ลุ่มลึกอิสราวดี 61 (อวสาน) งานพิธีพระราชสยุมพรบังเกิดขึ้น ประชาชนภายในเมืองต่างหยุดการค้าขายทั้งสิ้นพากันออกมา ร่วมถวายพระพรพร้อมเพรียงกัน ทางฝ่ายอำมาตย์ใหญ่เสนาบดีก็จัดการเฉลิมฉลองด้วยบรรดา มโหรีการแสดงต่างๆอย่างมโหฬาร ให้บรรดาประชาราษฎร์ต่างชมกัน ภายในเมืองมีแต่เสียงหัวร่อ บรรดาเหล่าทหารหาญทั้งหลายก็ได้รับอนุญาตจากแม่ทัพใหญ่ตามแนวกำแพงเมืองมิให้มีการป้อง กันแต่ประการใดมาร่วมงานในครั้งนี้ เพียงกำชับว่าหากดื่มกินเหล้าแล้วอย่าสร้างความเดือดร้อนให้ แก่ประชาชน หากผู้ใดฝ่าฝืนจะถูกลงโทษอย่างหนัก เป็นที่ครึกครื้นสนุกสนานไปทั่วเมือง ในท้องพระโรงนั้นถูกประดับประดาด้วยสีสันอันอลังการ สถานที่ใช้รดน้ำพระคนโทนั้นก็ถูก ประดับด้วยสีสันลวดลายต่างๆ หน้าโต๊ะที่ประดับไว้กับประดับด้วยไข่มุกส่งแสงเรืองรองยิ่งนัก เหล่าบรรดาสนมกำนัลนางต่างแต่งกายโอ้อวดกันและกัน ส่งเสียงหัวร่อและต่างเข้ารับแขกเมือง มิให้ขาดพระแม่เจ้าสิริสาอลงกรณ์วดีเป็นผู้ที่หลั่งน้ำพระสยุมพรคนแรกตามมาด้วยพระปิตุลาและ เจ้าเมืองอิสราวดีและเจ้าเมืองขององค์หญิงต่างๆแล้วตามไปด้วยบรรดาแว่นแคว้นต่างๆแล้วเข้าประจำที่ ภายในมีการแสดงมโหรีฟ้อนรำอวยพรถวายให้แขกเมืองชม ต่างพากันส่งเสียงหัวร่อต่อกระซิกกัน มีความรักใคร่ดุจพี่น้องครอบครัวเดียวกัน ครั้นงานรดน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว พระเจ้าศิระสุริยะชัยราชันย์ ก็พาพระมเหสีทั้งหลายกล่าวขอบคุณไปยังบรรดาเจ้าเมืองทั้งหลาย บรรดาเจ้าเมืองทั้งหลายต่างตาค้างไปตามๆกันถึงความงดงามของพระมเหสีทั้งหลาย คิดไม่ถึงว่า พระมหากษัตริย์แห่งเมืองศิระสุริยะชัยจะทรงเปี่ยมด้วยพระบารมียิ่งนัก ประดุจดาวล้อมเดือนมิปาน ต่างเซ็งแซ่กล่าวขานมิสิ้นสุดต่างสดุดีพระบารมีของปฐมกษัตริย์เมืองนี้มากมาย ชายหนุ่มก็ทักทาย บรรดาเจ้าเมืองต่างๆโดยพร้อมเพรียงกันทุกๆพระองค์ แล้วทรงมอบของขวัญตอบแทนเพื่อเป็นที่ ระลึกประกอบด้วยสิ่งของมีค่ายิ่งนัก แล้วก็เสด็จมายืนหน้าพระราชบัลลังก์ ทรงให้เหล่าสนมกำนัล นำพานออกมา ภายในพานประดับด้วยแก้วสดใสที่ถูกเจียรนัยสีแดงคือก้อนหินสีแดงนั่นเองที่กลาย เป็นแก้ว ครั้นถูกเจียรนัยแล้วส่งประกายแวววาวสดใสยิ่งนักล้อมด้วยเพชรนิลจินดาเก้าประการ สายสร้อยนั้นทำด้วยทองคำและเรียงรายด้วยเพชรทั้งสิ้น พร้อมทั้งสวมมงกุฎที่ประดับประดาด้วย เพชรนิลจินดาเก้าประการหน้ากระบังมงกุฎก็ประดับด้วยแก้วสีแดงที่ถูกเจียรนัยไว้ยอดของหน้ากระบัง นั้นถูกประดับด้วยขนนกวายุภักดิ์ที่มีสีสันแวววาวหลากสี มวยผมของเหล่ามเหสีประดับด้วยปิ่นทองที่ เรียงรายด้วยเพชรนิลจินดาต่างแห่งเมืองหงสาที่พระแม่เจ้าทรงสั่งทำขึ้นเป็นพิเศษมอบให้ตอนหลั่งน้ำ แล้วพระองค์ทรงปักบนมวยผมให้เองทุกๆพระองค์หญิง ครั้นได้รับของมาแล้วชายหนุ่มก็ทรงสวมสร้อยที่พระศอแล้วสวมมงกุฎบนพระเศียรพระอัครมเหสี ก่อนแล้วก็ทำแบบเดียวกันกับรองลงมาจนครบแปดเจ้าหญิง บรรดานางรำก็นำดอกไม้นานาชนิดที่ส่ง กลิ่นหอมยิ่งนักโปรยไปยังบรรดาพระมเหสีทั้งแปดทันที มโหรีต่างบรรเลงเพลงติดตามด้วยนางรำออก มาร่ายรำ ทำให้บรรดาเจ้าเมืองที่เป็นพระบิดาพระมารดาขององค์หญิงพากันหลั่งน้ำพระเนตรด้วยความ ปลื้มปิติไปสิ้น แม้ แต่อำมาตย์หัวหน้าเผ่าคิกิอุระกะและพี่ชายก็ปิติปลื้มยินดีไปทั่ว แม้ว่ารู้แล้วว่าแม้จะ เป็นบุตรสาวตนเองแต่ก็แค่เพียงร่างกายแต่ภายในหาใช่ไม่ ด้วยเคยเข้าเฝ้าแล้วพระนางประกายแดงและ พระนางประกายเขียวจำไม่ได้เลย แต่ด้วยปฏิภาณไหวพริบก็ไม่ทรงรังเกียจให้การต้อนรับประดุจบิดา และพี่ชายเช่นเดียวกัน ตลอดจนถามไถ่ความเบื้องหลังของร่างแม่นางทั้งสองอย่างละเอียด หัวหน้าเผ่าซึ่งบัดนี้เป็นอำมาตย์ ก็กราบทูลให้ทราบทั้งสิ้น นางทั้งสองจึงยกย่องเสมอบิดาตนเอง ครั้นงานพิธีผ่านไปจวบจนเกือบจะ เที่ยงคืน เจ้าเมืองต่างๆก็พากันลากลับไปพักผ่อนยังที่ห้องรับรองแขกทันที เหลือแต่เหล่าสนมกำนัล และทหารองครักษ์ที่ยังคอยปรนนิบัติชายหนุ่มและเจ้าหญิงทั้งแปดอยู่จนกระทั่งชายหนุ่มนำพระมเหสี ทั้งแปดเข้าสู่ยังตำหนักของพระองค์แล้วก็ทรงเย้าหยอกล้อกันกัน ทำให้บรรดาพระมเหสีต่างเอียงอาย ไปตามๆกัน พลางชายหนุ่มก็เอื้อนเอ่ยพระดำรัสขึ้นในท่ามกลางการหยอกเย้าของเหล่ามเหสี ทำให้เหล่า พระมเหสีหยุด ต่างหันมาฟังพระดำรัสทันที แปดนางช่างเพริศพริ้ง ลาวัลย์ จริงเฮย ผิวเปล่งดั่งนวลจันทร์ หยาดเยิ้ม ยากคิดแบ่งเสกสรร คืนก่อ สวาทแฮ ยิ่งพิศยิ่งเคลิบเคลิ้ม อ่อนซึ้งนวลฉวี ฯ ลีลานางดุจฟ้า โลมดิน เปรียบดั่งหงส์ยุพิน ยากคว้า ค่ำนี้ยากคงถวิล กกกอด นางเฮย พิศยิ่งใจอ่อนล้า ยากแท้เยือนนาง ฯ องค์หญิงจันทิราเทวีครั้นได้รับฟังก็แย้มยิ้มพลันเจื่อนแจ้วทันที อิสราวดีซาบซึ้ง ก่อนใคร พี่เอย เคยสู่หมั้นเหตุไฉน ป่วนซึ้ง ใยท่านพี่มากไป จวบก่อ กาลแฮ จงฝากสิ่งก้นบึ้ง แห่งห้วงเสน่หา ฯ องค์หญิงอรทัยตอบโต้ทันควัน เดือนดาวแม้นมิคล้อง ใฝ่ปอง อวบอัดมัดเรืองรอง คอยแล้ว เหล่าหญิงเลือกให้ครอง รอพี่ ต่อแฮ ตัวพี่อย่าคลาดแคล้ว เหล่าน้องคอยสนอง ฯ ส่วนองค์หญิงกัลยาเทวีก็ไม่ยอมแพ้เอื้อนเอ่ยพลางพระสรวลดังลั่นแถมหลิ่วตาอีกด้วย มังกรทองผ่องแพร้ว หฤทัย พี่เอย หงส์ฟ้าปีกวิไล หุบซึ้ง ถ้ำทองผ่องอำไพ หวังเทียบ เมฆินทร์ อันอาจจะโกรธขึ้ง หมดสิ้นถวิลปอง ฯ พอพระนางกลางจบก็พลางหัวร่อต่อกระซิกกับเจ้าหญิงองค์อื่นๆ องค์หญิงสิริกัลยาหัวร่อพลางขานแจ้ว บุรุษใยโลกนี้ ป่วนคนึง มิคิดความตราตรึง แย่แล้ว ในสนามรบถูกขึง ฟันฝ่า มากแฮ เพียงหนึ่งหญิงเพริศแพร้ว พี่เจ้าใคร่ครวญ ฯ องค์หญิงสิรินภาวดีตรัสขึ้นทันที ข้าศึกยังเตลิดแล้ว ยามพบ พี่นา หญิงหนึ่งงามบรรจบ จากฟ้า กลัวเกรงกลับมิสงบ ฝากต่อ ใครเอย องค์พี่งามเลิศหล้า สุดแท้ผ่านสนอง ฯ องค์หญิงประกายแดงเทวีหันไปหยิกแขนชายหนุ่มแล้วเอ่ยว่า ประกายแดงแนบข้าง ยังยอม พวกเอย ไม้ดอกกรุ่นกลิ่นพยอม หอบซึ้ง นางยอมซึ่งชวนดอม ใยพี่ กลัวแฮ ใครเอ่ยซาบซึ้งบึ้ง กิ่งแก้วเหม่อมอง ฯ องค์หญิงประกายเขียวพลันทรงพระสรวลลั่นเอ่ยวจีไปพลางหัวร่อไป ใดใดใยโลกนี้ แปลกจริง แต่ก่อนเคยแอบอิง สู่น้อง บัดนี้กลับยากพิง ฟ้าแนบ สวรรค์แฮ โอ้อกเอ๋ยต้องร้อง แปลกแท้แมนสรวง.ฯ ครั้นเจ้าหญิงอิสรวดีนารีได้ฟังการหยอกเย้าก็ไล่หยิกทุบตีพวกนางทั้งเจ็ดทันที เหล่าบรรดาแม่นาง ทั้งเจ็ดก็พากันทรงพระสรวลลั่นห้องแล้วพากันชักชวนกันออกไป ทิ้งไว้ให้ชายหนุ่มอยู่กับแม่นางอิสรวดีนารี เพียงสองต่อสอง เมื่ออยู่สองต่อสองเจ้าหญิงอิสรวดีนารีก็นั่งเขินอาย ชายหนุ่มก็เดินเข้ามาสวมกอดแม่นาง ทันที พลางอุ้มแม่นางเดินไปยังแท่นบรรทมทันที พลางเล้าโลม เจ้าหญิงซึ่งใจปฏิพัทธ์อยู่แล้วก็โอนอ่อนผ่อนตามชายหนุ่มค่อยๆเล้าโลมแล้วค่อยเปลื้องเครื่องทรงออกจนร่างกายเปลือยเปล่า ชายหนุ่มถึงกับตลึงในความ งดงามยิ่งนัก เพ่งร่างที่ขาวผ่องอวบอัดยามขาดเครื่องทรงก็เผยความสมบูรณ์ ออกมาปทุมพระถันเต่งตึงจงอยสีชมพูตระการเด่นเย้ยผงาดต่อแสงไฟที่ส่องแสง แวววาววับๆแวมๆ ยิ่งเพิ่มความงามแก่ชายหนุ่ม เมื่อทั้งสองเข้าประคองกอดกันต่างระรื่นชื่น พระหทัยกันจนทั้งสองฝ่าย ต่างออดอ้อนด้วยคำหวานซึ้ง จวบจน เสียงฟ้าคำรามลั่นสะท้านไปทั่วฝนก็พลันหลั่งชโลม พื้นหล้าองค์หญิงเล่าก็ร้องว้ายผวาเข้าซบพระอุระพระสวามี ครั้นฝนพลันหลั่งจนทั่วหล้าไหลริน ผ่านพื้นพสุธา บ่อน้ำน้อยที่แห้งขอดก็เต็มไปด้วยน้ำฝนล้นรินหลั่งไหลเป็นทางไปตาม ห้วยหนองลำคลอง ทำให้พื้นดินทั้งเคยแห้งแล้งต่างชุ่มชื้นฉ่ำ พื้นแผ่นดินก็ผุดผ่อง ไสวอุดมแก่พืชพันธุ์ไม้ต่างที่เรียงรายก็พลอยชุ่มชื่นไปด้วย แล้วพายุฝนฟ้าก็ค่อยๆจางหายไป ฟ้าก็กลับคืนสู่สภาพเดิมทันที ครั้นอรุณรุ่งสางเจ้าหญิงทั้งเจ็ดก็พากันเดินเข้ามายังห้องบรรทม ต่างหยอกเจ้าแม่นางอิศวรดีนารีทำให้ แม่นางซึ่งมีใบหน้าอิดโรยยิ่งนัก ก็พาวิ่งไล่ทุบตีแล้วกล่าว่า เอาเถอะน้องเราต่อไปถึงคราวของพวกน้องๆแล้ว การประยุทธ์ครั้งนี้ใครเล่าจะเป็นผู้ชนะ ทำให้ใบหน้าของเหล่าองค์หญิงต่างแดงกันไปทั้งสิ้นเมื่อสอบถาม แม่นางอิศวรดีนารีก็มิปิดบัง ตอนนี้ถึงเวลาของน้องจันทิราเทวีแล้วที่จะต้องรับศึกภายในบ้างล่ะ ยิ่งทำให้แม่ นางจันทิราเทวีถึงกับขวยอาย และแล้วเวลาย่อมผ่านไม่อย่างรวดเร็ว พอตกค่ำๆเป็นหน้าที่ของเหล่าองค์หญิง ทั้งแปดพระองค์ ต่างก็ได้รับสายฝนกันทั่วหน้ามิมีผู้ใดขาดตกบกพร่อง การศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงยิ่งนักแต่ก็เปี่ยมไปด้วยความสุขสดชื่นแก่บรรดาองค์หญิงทั้งหลาย จวบกาลได้ผ่าน ไปเรื่อย ครั้นครบกำหนดหนึ่งปี บรรดาองค์หญิงต่างก็ตั้งพระครรภ์กันทั้งแปดพระองค์ จวบวาระกาลผ่านไป ครบทศมาศ ก็ทรงมีพระโอรสพระธิดา พระนางจันทิราเทวี พระนางประกายแดงเทวี พระนางประกายเขียวทรง ได้พระโอรส นอกนั้นได้พระธิดาทั้งสิ้น แต่เหล่าแม่นางทั้งแปดได้หาทรงอิจฉาริษยากันไม่ต่างช่วยกันเลี้ยงดู เหล่าพระโอรสและพระธิดาพร้อมๆกัน จนเป็นที่พอพระราชหฤทัยแก่จอมกษัตริย์ยิ่งนักที่มิเห็นผู้ใดอิจฉากัน ครั้นกาลล่วงไปอีก ต่างก็สลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนไปต่างก็ได้พระราชโอรสและพระธิดาฝ่ายละเท่าๆกันจวบ จนกาลผ่านไปอาณาจักรเมืองของศิระสุริยะชัยบรรดาไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินต่างอยู่กันสุขเกษมสำราญ แผ่นดิน ต่างๆที่พระองค์รวบรวมไว้ต่างก็ปรองดองกันดียิ่งนัก หาได้มีการกระด้างกระเดื่องไปไม่จวบจนพระแม่เจ้า แห่งหงสาวดี พระปิตุลา ตลอดจนเจ้าเมืองอิสราวดีสิ้นสู่สวรรคต ผู้ครองแคว้นอิสราวดีก็ยังถือขนบธรรมเนียม ความสุขทั้งหลายก็เกิดขึ้นเป็นแผ่นดินแผ่นเดียวกันไม่แตกแยกกันไป ต่างสามัคคี จวบจนพระเจ้าศิระสุริยะชัย ทรงพระชนม์มายุเข้าสู่วัยชรา วันหนึ่งขณะทอดพระเนตรไปบนท้องฟ้าเพื่อตรวจดูตามดาราศาสตร์เห็นดวงดาว ประจำเมืองแห่งเมืองศิระสุริยะชัยหม่นหมองและล่วงตกลงมา พระองค์ก็ทรงทราบว่าถึงวาระของพระองค์แล้ว จึงเสด็จเข้าไปยังห้องพระอักษร ทรงร่างหนังสือขึ้นสามฉบับ ฉบับหนึ่งฝากลาแก่เจ้าหญิงทั้งแปด ฉบับหนึ่ง การขึ้นครองราชย์ของพระโอรสให้ท่านมหาอำมาตย์ใหญ่และเสนาบดีทดสอบฝ่ายการเมือง ให้แม่ทัพใหญ่ตลอด รองแม่ทัพใหญ่ ให้จัดการประลองยุทธ์กันหาผู้ชนะทั้งทางด้านการเมืองและด้านฝีมือปกครองทหารทั้งปวง ตลอดจนให้พระคุณเจ้าที่ครอบครองวัดในเขตพระราชฐานวัดทางด้านจิตใจด้วย โดยให้ทำเป็นคะแนนไว้เมื่อใคร ได้คะแนนสูงสุด หากโอรสองค์ใดสามารถผ่านการพิสูจน์ทดลองได้แล้วก็ให้เถลิงขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ต่อไป ไม่ว่าจะเป็นโอรสองค์ใหญ่หรือองค์รองไม่ว่าจะเป็นฐานันดรใดๆทั้งสิ้น ให้เห็นประโยชน์แก่บ้านเมืองทรง คัดลอกไว้อีกสี่ฉบับส่งให้แก่อำมาตย์ใหญ่ เสนาบดี แม่ทัพใหญ่ และพระที่ครอบครองวัดในพระราชวัง ส่วนอีกฉบับหนึ่งเป็นการแต่งตั้งองค์พระมหากษัตริย์ขึ้นครองเมืองศิระสุริยะชัย มีหนังสือกำกับไว้ด้วยให้ เหล่าพวกที่ไว้ใจได้นำไปลงนามรับรองไว้ทั้งสิ้นถือเป็นพินัยกรรมสมบูรณ์หากจะขาดใครไปมิได้ โดยแอบมอบ ให้และสั่งการเป็นความลับสูงสุดแต่ขอสัญญาไว้ด้วย สองฉบับนี้พระองค์สอดไว้ใต้พระเขนยของพระองค์ ครั้นตรวจดูแน่แก่ใจแล้วว่าคืนนี้พระองค์จะสวรรคตก่อนรุ่งสาง ดังนั้นจึงเสด็จไปเยี่ยมเหล่าแม่นางทั้งแปดและ หยอกเย้าเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ครั้นกาลล่วงเที่ยงคืนไปแล้วจึงขอตัวจากแม่นางทั้งแปดพลางพระดำรัสว่า พี่เองนั้นก็อายุมากแล้วหากจากน้องทั้งแปดไปอย่าได้เศร้าโศก ด้วยจะทำให้พี่นี้ยิ่งเป็นห่วงนัก พอดำรัสเสร็จก็ เสด็จออกไปเขาห้องพระบรรทม และห้ามมิให้ใครๆเข้าไปรบกวนเพราะรู้สึกว่าเพลียมากจะขอพักผ่อน ครั้นพระเจ้าศิระสุริยะชัยจากไปพร้อมกับฝากพระดำรัสเช่นนั้น ทำให้เหล่าบรรดาพระมเหสีทั้งแปดพากัน งวยงง แต่มิได้สงสัยแต่ประการใด ด้วยเพราะได้รับรายงานจากเหล่าสนมกำนัลว่าพระราชโอรสและพระธิดา จะขอเข้าเฝ้า ดังนั้นจึงปลีกตัวไปยังตำหนักของตัวต้อนเพื่อไถ่ถามถึงเหตุที่พระโอรสและพระธิดาใยจึงมาพร้อมๆกันทั้งแปดพระองค์ แต่หาได้สังหรณ์ใจแต่ประการใดไม่ ครั้นรุ่งสางของวันใหม่พระอาทิตย์ส่องแสงสีนวลอำไพนัก เกิดพายุหมุนท้องฟ้าครึ้มไปทั่วบริเวณเมือง เหล่าองค์หญิงทั้งแปดก็ให้แปลกใจยิ่งนัก จึงต่างไปชวนกันทั้งแปดเพื่อเข้าเฝ้าพระเจ้าศิระสุริยะชัย ครั้นทั้งหมด ไปยังแท่นพระบรรทมเห็นพระสวามียังนอนหลับตาพริ้มแย้มยิ้มอยู่ก็ไม่สังหรณ์ใจ จนเวลาผ่านไปสายก็ยังไม่ เสด็จลุกจากแท่นพระบรรทม ก็ให้แปลกพระหฤทัยยิ่งนัก พระนางอิสราวดีนารีก็เข้าไปขยับพระวรกายแต่แข็ง ไปและรีบตรวจช่องพระนาสิกก็ปราศจากลมเข้าออก จึงทราบว่าพระสวามีสิ้นพระชนม์สวรรคตแล้วพระนาง ก็ร้องกรีดสุดเสียง ทำให้บรรดาพระมเหสีทั้งเจ็ดรีบเข้ามาตรวจพระอาการต่างก็ทรงพระกรรแสงอย่างน่าเวทนา เจ้าหญิงประกายแดงเทวีเห็นพระกรซุกไว้ใต้พระเขนยก็เรียกเจ้าหญิงอิศวรดีนารีมาให้ตรวจสอบพระเขนย ก็พบหนังสือสองฉบับจ่าหน้าถึงพระมเหสีทั้งแปด อีกฉบับหนึ่งเป็นพินัยกรรมให้ผู้ครองอำนาจขึ้นครองราชย์ สมบัติสืบต่อไป ก็ทรงอ่านให้เหล่าบรรดามเหสีทราบทันที ว่าการนี้พี่รู้ตัวแล้วว่าจะต้องสวรรคตในคืนนี้ก่อน รุ่งสาง สิ่งใดผิดพลาดไปขอพระน้องนางยกโทษแก่พี่ ที่ไม่บอกกล่าวให้รู้ไว้ด้วยรู้ว่าหากน้องพี่ทั้งแปดรู้แล้วก็ จะเกิดความไม่สบายพระราชหฤทัยยิ่งนัก พี่ขอลาน้องไปก่อนให้รักษาและถือหนังสือพี่นี้เป็นสำคัญให้ต่างช่วย กันทำนุบำรุงบ้านเมืองก่อนจะมีพระโอรสองค์ใดขึ้นครองราชย์สมบัติอย่าได้ถือดีถือเด่น หากผู้ใดยังรักพี่อยู่ ก็ขอให้ปฏิบัติตามคำพี่นะ พี่เองนั้นรักน้องพี่ทุกๆคนเสมอภาคกันมาจวบจนหมดอายุพี่แล้ว ลาก่อนน้องแก้ว ทั้งหลาย ลงพระนามพร้อมกับประทับตราแผ่นดินของเมืองศิระสุริยะชัย เสียงพายุกึกก้องฝนได้กระหน่ำ บัดดลสายฟ้าฟาดลงมาเสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วห้องของโรงพยาบาล ทำให้เหล่าหมอและพยาบาลต่างตระหนกตกใจไปสิ้น ภายในห้องหนึ่งที่มีร่างชายหนุ่มนอนรักษาตัวอยู่เป็นเวลา ช้านานที่เขาเรียกว่าเจ้าชายนิทรา เสียงร้องแสดงความยินดีพร้อมกับเสียงฟ้าคำรามเจือจางสายฝนหายไปแล้ว เมื่อร่างของชายหนุ่มพลันกระดิกตัวได้ทางมือ บรรดาญาติต่างวิ่งไปแจ้งหมอพยาบาลเข้ามาทันที เมื่อหมอและ พยาบาลเข้ามาแล้ว เข้าตรวจอาการร่างชายหนุ่มพร้อมฉีดยาให้หนึ่งเข็ม ชายหนุ่มลืมตาขึ้นทันที เสียงร้องของ สุภาพสตรีสูงอายุร้องลั่นห้อง พ่อธวัชชัยฟื้นแล้ว พ่อๆๆๆรีบเข้ามาดูโดยด่วน ทำเอาบรรดาญาติทั้งหลายที่เฝ้าอาการมาเป็นปีๆต่างพากัน ดีใจ ครั้นชายหนุ่มลุกขึ้นนั่งพลันหันไปถามผู้เป็นมารดาว่า “แม่นี่ที่ไหนล่ะ” “นี่โรงพยาบาลในกรุงเทพพ่อธวัชชัย ด้วยพ่อธวัชชัยหายไปในระหว่างไปมอบงานเมืองพม่าโน่นแนะ พวกเราได้ค้นหาพบ พ่อธวัชนอนสลบไม่ได้สติจึงนำไปรักษายังโรงพยาบาลพม่า แต่หมอทางโน้นบอกว่า เครื่องมือไม่ครบ แม่และพ่อจึงนำลูกบินมายังกรุงเทพเข้ารักษาแต่ลูกกลับนอนหลับใหลคล้ายเจ้าชายนิทราไป แต่แปลกนะ นี่ไงล่ะในมือยังกำถือก้อนหินแปลกๆสีแดง อีกมือหนึ่งถือขนนกอะไรก็ไม่รู้สวยงามจริงๆ” มารดาชายหนุ่มพลางล้วงหยิบมาให้ชายหนุ่มดู ชายหนุ่มก็ลอบหยิกแขนตัวเองรู้สึกเจ็บ จึงลุกขึ้นยืนแต่ แม่กลับห้ามไว้ว่ายังไม่หายดี ชายหนุ่มหัวร่อพลางตอบว่าหายดีแล้วครับคุณพ่อคุณแม่ เดี๋ยวขอผมออกไปมอง ทางหน้าต่างหน่อยนะ ซึ่งหน้าต่างนั้นมองเห็นท้องฟ้ากำลังส่องแสงระยิบระยับด้วยประกายไอความร้อน ชายหนุ่มจึงนำขนนกวายุภักดิ์กับก้อนแก้วสีแดงคือเลือดงูยักษ์มามอง นี่เราไม่ได้ฝันนี่นา แต่กลับเข้าไปสู่ยังมิติ ลี้ลับหาใช่ความฝันใดๆไม่ มิฉะนั้นคงไม่มีสิ่งของดังกล่าว แปลกมากๆ แต่ชายหนุ่มก็เก็บสิ่งของสองอย่าง ลงกระเป๋ากางเกง พลางบอกว่า “คุณพ่อคุณแม่ครับ ผมหายดีแล้ว ขอเช็คเอ๊าท์ออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว นึกถึงบ้านจัง” ได้ซิจ๊ะ ให้ลูกไปพักผ่อนที่บ้านเราดีกว่า เดี๋ยวแม่จะให้พ่อไปเช็คเอ๊าท์กลับบ้านเราเลย ที่คฤหาสน์อันใหญ่โตแถวบริเวณสาธรใต้ ชายหนุ่มออกเดินเล่นในสวนพลางนึกถึงเรื่องราวต่างๆ พร้อมมองก้อนแก้วสีแดงและขนนกพลางจูบไปบนสิ่งของนั้นให้พลันรำลึกนึกถึงนางทั้งแปดทันที ฉับพลันก็แลเห็นพระภิกษุชราเดินผ่านหน้าประตูบ้าน ชายหนุ่มแลคล้ายจะคุ้นเคยก็วิ่งไปหาพลาง อาราธนาให้ท่านหยุดก่อนพระภิกษุรูปชรานั้นหันมามองหน้าชายหนุ่มพลางกล่าวว่า “โยมคนละวาระกาลแล้วนะอย่าคิดมาก อาตมาก็คือส่วนหนึ่งของที่โยมสั่งไว้ อาตมากล่าวเช่นนี้ โยมคงจะจำได้หรอกด้วยสัญญาของโยมยังไม่อาจลืมเลือนได้ถึงแม้จะคนละมิติกัน อาตมาก็มาจากมิติ นั้น มาอวยพรให้โยมจง อย่าคิดในอดีตไปด้วย โยมเป็นคนที่เคารพอาตมามากไปเชิญอาตมายังชมพูทวีป ขอให้สุขสวัสดีมีชัยเถอะโยม อาตมาลาก่อน ด้วยกำหนดเวลาจะปิดทางเสียแล้ว โยมจะฝากอะไรให้กับ เจ้าหญิงล่ะ” ชายหนุ่มนั่งพนมมือพลางกราบลง เขาทราบทั้งหมดและกล่าวขึ้นว่า “นมัสการพระคุณเจ้า ดังนี้กระผมขอฝากสิ่งของสิ่งหนึ่งให้พระคุณเจ้านำไปยังมิตินั้นด้วยและแจ้งว่า โยมยังคอยอยู่เสมอๆ” พลางยื่นขนนกวายุภักดิ์เพื่อสักขีพยานว่าเขายังอยู่ พระภิกษุชรารูปนั้นก็ยื่นมือมารับขนนกวายุภักดิ์ แล้วร่างก็ค่อยๆจางๆหายไปทันที ชายหนุ่มก็ก้มลงกราบบนพื้นดินแล้วพลางเดินเข้าไปยังที่พักเพื่อเข้าพักผ่อนต่อไป........ ปล. แม้นเรื่องนี้จะยาวไปอาจจะทำให้ท่านผู้อ่านผิดหวังไป แต่ข้าพเจ้าเขียนขึ้นตามบางตอนในสมัยพุกาม แล้วมาจัดแต่ง ส่วนชื่อนั้นข้าพเจ้าตั้งเองทั้งสิ้น เว้นพระเจ้าอลองพญาแห่งหงสาวดี และพระเจ้าอโนรธา ที่ปกครองแว่นแคว้นพุกาม นับได้เก้าพระองค์ คือ พระเจ้าอโนรธา พระเจ้าจานสิตา พระเจ้าอลองสิธู พระเจ้าสีหบดี พระเจ้าเซงพะยูเชง พระเจ้าโบดอพญา พระเจ้าบาคยีดอว์ พระเจ้าชีบอ และพระเจ้ามินดง ที่ต่างรบพุ่งแย่งชิงอาณาเขตจนแตกออกเป็นเก้าแคว้น แห่งแดนพุกาม.........สวัสดีขอรับผิดพลั้งขออภัยด้วยบ๊ายบาย.......... * แก้วประเสริฐ. *
18 มีนาคม 2553 01:28 น. - comment id 115856
...... ลุงแก้วฯ เก่งจังคะ ..... พี่อ้อย เทียนหยด กะสหายฝน ฝากความคิดถึงยังลุงแก้วด้วยนะคะ พอดีพี่เค้ไม่ค่อยว่างกันน่ะค่ะ
18 มีนาคม 2553 01:29 น. - comment id 115857
แหะ..แหะ.. จะพิมพ์คำว่า พี่เค้า กลายเป็น คำว่า พี่เค้ ....... เดี๋ยวลุงแก้ว งง ใครหว่า พี่เค้ อิอิ .......
18 มีนาคม 2553 08:43 น. - comment id 115864
และแล้ว เรื่องสั้นของครู ก็จบบริบูรณ์ โห..พระเอกมี พระชายา ตั้ง แปดแน่ะ... สุดยอดจริงๆ ครูจะมีเรื่องใหม่ลงต่อเลยหรือเปล่าค่ะ ดูแลสุขภาพด้วยนะคะครู ด้วยความเป็นห่วงค่ะ
18 มีนาคม 2553 08:44 น. - comment id 115865
ขออนุญาติพาดพุง เจ้าฉางหน่อยค่ะ ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงเลยค่ะคุณ
18 มีนาคม 2553 09:23 น. - comment id 115868
อวสานแล้ว...เหนื่อยไหมค่ะ
18 มีนาคม 2553 11:59 น. - comment id 115891
4......... ขออนุญาตพาดพุงพี่อ้อย หน่อยนะคะลุงแก้วฯ .........หามิได้ มิเป็นไร ท่านพี่.........
18 มีนาคม 2553 12:20 น. - comment id 115906
คุณ ฉางน้อย มิเก่งหรอกหล่านเอ๋ย มั่วจั้วไปเรื่อยๆจน จบสักที อันที่จริงจะให้ยาวกว่านี้เห็นใจคนอ่าน เน๊อะจึงได้รวบรัดตอนหลังขึ้น รักหลานเราเสมอ แก้วประเสริฐ.
18 มีนาคม 2553 12:22 น. - comment id 115909
คุณ ฉางน้อย หลานเอ๋ยลุงรู้แล้วล่ะพิมพ์ผิดเน๊อะ อิอิ บางครั้งลุงยังพิมพ์บ่อยๆ รักเสมอ แก้วประเสริฐ.
18 มีนาคม 2553 12:26 น. - comment id 115910
คุณ เที่ยนหยด ศิษย์รักเอ๋ย ครูเองไม่เจ้าชู้แต่เรื่องก็ต้อง เจ้าชู้ละซิฮ่าๆๆๆ รักศิษย์เราเสมอ แก้วประเสริฐ.
18 มีนาคม 2553 12:28 น. - comment id 115911
คุณ น้ำตาลหวาน ขอบคุณเหนื่อยนั้นไม่เหนื่อยสนุกเสียอีก แต่ ทว่าปวดขมองมากกว่าการเขียนแบบธรรมดาจ๊ะ ด้วยกึ่งพงศาวดารไว้ด้วย รักเสมอ แก้วประเสริฐ.
18 มีนาคม 2553 12:29 น. - comment id 115912
คุณ ฉางน้อย ตามสบายเลย บ้านลุงเหมือนบ้านหลานแหละ เล่นได้ตามสบาย รักเสมอ แก้วประเสริฐ.
18 มีนาคม 2553 12:31 น. - comment id 115915
คุณ เที่ยนหยด บ้านครูก็เหมือนบ้านศิษย์เราแหละ เชิญ ตามสบายเลยล่ะจ้า รักเสมอ แก้วประเสริฐ.
18 มีนาคม 2553 20:57 น. - comment id 115939
สุดท้ายก็ถึงบทอวสานต์ จนได้ ..บทเข้าพระเข้านาง ครูแก้ว ก็ยังมีมุมให้อ่านเหมือนกวีสมัยก่อนเลยครับ ชื่นชมครับครู ที่จบ ดูเหมือนจะเรียก่าแฮปปี้เอนดิ้งครับ แม้จะเป็นการหลุดเข้าสู่อีกมิติหนึ่ง ยอมรับว่าครูแก้วเก็บรายละเอียดรอบตัวเก่งจังครับ เช่น พวกสิ่งปลูกสร้าง พระราชวัง
19 มีนาคม 2553 12:19 น. - comment id 115958
คุณ กิ่งโศก ศิษย์รักเรา งานร้อยแก้วหรือร้อยกรอง นั้นก็มีลักษณะคล้ายๆกันแหละดังที่ครูกล่าวไว้ให้ ฟังแล้ว เพียงงานร้อยกรองต้องอาศัยทำนองเสียง เป็นเกณฑ์ ส่วนร้อยแก้วสรุปแล้วทิ้งข้อความบาง ส่วนให้คนอ่านได้คิด อย่างเช่นภาพยนตร์ฝรั่งบาง เรื่องนั่นแหละ การผสมผสานจินตนาการกับ เรื่องจริง ครูเองไม่เอามาหมดจะมีแค่บางส่วนนั้น อันเมืองหงสาวดีนั้นไม่ได้ติดกับแม่น้ำอิรวดี หรอกไปติดค่อนข้างทางประเทศจีน จึงมัจะรบ พุ่งกันเสมอๆเรื่องอาณาเขต อันที่จริงอาณาจักร พุกามนี้ขอมยึดครองมาก่อน จวบจนชาวเผ่า พม่าอันแท้จริงนั้นอาศัยแถบตอนเหนือของ ประเทศพม่าซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยได้รวมรวบขึ้น แล้วมาจัดตั้งเมืองหงสาวดีค่อยๆขยายอาณาเขต เมื่อพระเจ้าชัยวรมันเสื่อมอำนาจลงต่างก็แยก ตัวออกมาเป็น ญวนซึ่งมาจากประเทศจีน ไทย พม่า ต่างแยกตัวกันเขมรนั้นเหลือแค่ชนชาว ขอมส่วนน้อยแต่มาผสมพันธุ์กับญวนชนเผ่า ดั่งเดิมครอบคลุมบริเวณส่วนน้อยเท่านั้นเอง ซึ่งขอมได้สูญสลายไปหมดสิ้นแล้ว ส่วนอาณาจักร พุกามนั้นต่อมาได้เป็นพม่าดังที่ศิษย์เราทราบ ส่วนพุกามเมื่อสิ้นอำนาจขอมไปแล้วได้เกิดเผ่า ต่างๆ ขึ้น เช่น เผ่า บาโม มายิกายิเน ลัลดาเล ตะอังกิ โมนาวา ชาอุ โปเม ตองอู อังวะ(คือ หงสาวดีภายหลัง)และอลองพญา ต่อมาพระเจ้า อโนรธากับพระเจ้า นรสีหบดี อลองสินธูก็รวบ รวมบรรดาเผ่าต่างขึ้นแล้วกลายมาเป็นพม่าซึ่ง อังวะหรือหงสาวดีนั้นรวบรวมแว่นแคว้นได้หมด จัดตั้งเป็นประเทศพม่า ตามครูรู้มานะจะผิด หรือถูกก็ไม่ว่ากันนะคนแก่หลงๆลืมไป แต่ครู มาเปลี่ยนแปลงแต่คงเหลือเพียงชื่อกษัตริย์ที่ ยิ่งใหญ่ไว้สองคนคือพระเจ้าอโนรธา กับพระเจ้าอลองพญา(อลองสินธู ส่วนเมืองศิระสุริยันต์ และเมืองอิสราวดีนั้นไม่มีครูแต่งขึ้นเองแหละ ส่วนบรรดาอำมาตย์แม่ทัพนายกองขุนทหารครู แต่งขึ้นทั้งหมด การรวบรวมบรรดาแคว้นเผ่า ต่างๆพระเจ้าอโนรธา กับพระเจ้า อลองสินธู เก่งที่สุดจ๊ะ รักศิษย์เราเสมอๆ แก้วประเสริฐ.
19 มีนาคม 2553 12:53 น. - comment id 115961
มาอ่านตอนจบค่ะ อ่านไปคิดไปนึกไป ลุงแก้วความจำดีมากนะค่ะ คิดว่าคุณลุงที่บ้านคงหนังสือเยอะ เอิ๊กๆๆน่าสนใจ กระต่ายชอบอยู่กับหนังสือค่ะมีความสุขดี รักษาสุขภาพนะคะลุง กระต่ายน้อย
19 มีนาคม 2553 13:19 น. - comment id 115962
คุณ กระต่ายน้อย ผิดถนัดเลยล่ะที่บ้านลุงแทบจะไม่มีหนังสือ อะไรเลย นอกจากหนังสือธรรมะเล่มเล็กๆที่ได้ รับแจกงานศพบ้าง พระให้มาบ้าง ซื้อบ้าง และพระอภัยมณี ประวัติผลงานของท่านบรมครูกับพจนานุกรมไทย เล่มเล็กๆเท่านั้นเองแหละจ้า เรื่องงานเขียนนี้มัน มักจะออกมาจากความรู้สึกภายในเสียมากกว่า ประกอบด้วยความรักในหนังสือด้วยกระมัง จึงได้ เกิดงานเขียนไม่ซ้ำกันออกมา ครั้นจะให้ย้อนกลับ ไปเขียนอีกนั้นลุงเองทำไม่ได้หรอก ทั้งร้อยแก้ว และร้อยกรอง ด้วยเมื่อเขียนเสร็จส่วนใหญ่ มักจะลบเลือนหายไปไปจากสมองหมดจ้า ด้วย การฝึกของลุงจนทำให้จิตเป็นกลอน กลอน เป็นจิตทั้งอารมณ์ไว้ได้อย่างดีกระมัง งานร้อยแก้วหรือร้อยกรอง จึงออกมาแบบนี้ และจะย้อนไปอีกให้เหมือน เดิมไม่ได้ ด้วยเกิดจากจิตและอารมณ์ของตน เอง การรู้ก็รู้ด้วยตนเองเสมอๆจ้าหลานรัก รักหลานเราเสมอ แก้วประเสริฐ.