ลุ่มลึกอิสราวดี 59

แก้วประเสริฐ


                  ลุ่มลึกอิสราวดี  59
      ในระหว่างการทำพิธีของชายหนุ่มบัดนี้ล่วงเข้าเจ็ดวัน  เพียงขาดอีกทิวาเดียวก็ครบตามตำรา
ในค่ำคืนวันที่หก นางทั้งแปดต่างหยอกล้อกันตามประสาหญิง กล่าวถึงว่าหากนางพรายทั้งสอง
หากคืนร่างได้แล้ว  ให้พวกเรามาประลองยุทธ์กันว่าใครจะสามารถมีโอรสธิดากันได้ก่อนใคร
ซึ่งทุกๆพวกนางต่างพากันหัวร่อครื้นเครงกันหยิกหยอกเย้ากันเล่นเป็นที่สำราญยิ่งนัก  
      แต่บัดดลนั้นนางพรายทั้งสองระหว่างการหัวร่อก็หยุดชะงักร่างกายเริ่มโอนเอนไปๆมาๆอยู่
ทันทีทำให้บรรดาเจ้าหญิงทั้งหกสงสัย  ด้วยเห็นแม่นางพรายทั้งสองหยุดชะงักการหัวร่อและ
ร่างกายเริ่มสั่นสะท้านไปทั้งร่างอย่างเห็นได้ชัด   ร่างนางพรายทั้งสองพลันค่อยๆจางลงๆไปเรื่อยๆ
ทำให้บรรดาเจ้าหญิงทั้งหกตกใจ  พลางถลาเข้าไปสวมกอดแต่ร่างนั้น แต่หาได้กระทบเนื้อดังแต่เก่า
ก่อนก็หาไม่  ต่างคว้าอากาศไปเสียสิ้นทุกๆพระองค์  แล้วร่างแม่นางพรายทั้งสองก็ค่อยๆหายวับไป
      เหล่าบรรดาเจ้าหญิงถึงกับตลึงไปทั้งสิ้น  ครั้นจะเข้าไปหาชายหนุ่มก็มิได้ ต่างไต่ถามกันไปมา
ว่าทำไมถึงเป็นอย่างนี้   แม่นางจันทิราเทวีพลันก็เอ่ยขึ้นว่า
      “หรือว่าเสด็จพี่เราจะทำพิธีใกล้สำเร็จแล้วกระมัง   ร่างนางพรายทั้งสองจึงถูกเรียกไปเข้าร่างที่
นอนอยู่ในพิธีดังกล่าว”
        “คงจะจริงซินะ  อยู่ๆนางพรายแม่ประกายแดงประกายเขียวถึงได้เป็นเช่นนี้ เราชวนกันไปเฝ้า
รักษาการณ์ก่อนเหตุการณ์ร้ายจะเกิดขึ้นได้  เหลือเพียงอีกหนึ่งวันเท่านั้น  ฉะนั้นจงรีบแบ่งหน้าที่กัน
ไปควบคุมหน้าต่างประตูทั้งหมดดีกว่า”  แม่นางทั้งห้าเอ่ยขึ้น
        ดังนั้นพวกเราทั้งหมดนี้ไปกันเถอะ  อย่าลืมนำอาวุธติดตัวไปด้วยนะ หากเกิดเหตุอันคาดคิดมิได้
ก็จะได้ช่วยกันป้องกันไว้อย่าได้ประมาท    แม่นางทั้งหกก็ต่างนำอาวุธของตัวเองรีบออกไปยืนเฝ้ายัง
หน้าประตูหน้าต่างพร้อมทั้งกำชับทหารองครักษ์ให้ไปแจ้งแก่หัวหน้าองครักษ์ให้เพิ่มทหารขึ้นมา
รักษาการณ์ที่นี้ให้หมด ให้กระจายกำลังตรวจตราดูแลทั้งล่างและบนอย่าให้ขาดสายตาไปได้
        บรรดาทหารองครักษ์รับคำสั่งแล้วก็รีบไปแจ้งแก่หัวหน้าองครักษ์ทันที  ไม่นานก็ปรากฏทหาร
องครักษ์จำนวนมากถืออาวุธครบมือกระจายกำลังเฝ้าห้อมล้อมไว้ทุกๆด้าน  ส่วนหัวหน้าองครักษ์นั้น
ถึงกับเดินตรวจตราด้วยตนเองพร้อมรองหัวหน้า มิให้องครักษ์ใดเผลอไผลหลับไปได้ ต่างคนต่างผลัด
กันเดินตรวจกันอย่างละเอียดถี่ถ้วนจนกลางคืนผ่านพ้นไป  แต่เจ้าหญิงทั้งหกบอกว่าช่วงกลางวันนี้ก็
สมควรจัดเวรยามใครอ่อนเพลียผลัดกันพักผ่อน  แล้วมาเข้ายามต่อไป ส่วนหัวหน้าองครักษ์และรอง
มิยอมหลับนอน ต่างผลัดกันตรวจตราด้วยความเข้มงวดกวดขันยิ่ง  
            เจ้าหญิงทั้งหกก็หาได้หลับนอนไม่ต่างช่วยกันตรวจตราอย่างเข้มงวดกวดขัน  จนล่วงเวลาผ่าน
เข้าสู่ย่ำค่ำ   ก็ยังมิเห็นชายหนุ่มออกมาจากห้องพิธีเลย   ก็เกิดความกังวลใจเป็นอย่างยิ่ง เวลาผ่านไปแต่
ละนาที   เหล่าเจ้าหญิงต่างกล่าวว่าช่างเชื่องช้าอะไรเช่นนี้  จวบจนค่ำมืดแล้วนั่นเอง  จึงเห็นชายหนุ่ม
ก้าวออกมาจากห้องพิธีแต่หาได้เห็นแม่นางทั้งสองไม่  ต่างพากันตลึงหรือว่าการณ์ครั้งนี้คงไม่สำเร็จ
        บรรดาเจ้าหญิงทั้งเจ็ดก็เข้าไปทูลถามทันที
    “เป็นไงบ้างเพค่ะ  พวกหม่อมฉันต่างจัดกำลังทหารมาป้องกันทุกๆวันเห็นเสด็จพี่ออกมาคนเดียวแล้ว
ไม่เห็นแม่นางพรายเลย  หรือว่า????....”  พวกนางชะงักมิกล้าเอ่ยประการใด
      ครั้นชายหนุ่มได้ยินเช่นนั้นก็นำเหล่าเจ้าหญิงทั้งหกไปนั่งลงก่อนแล้ว  หัวร่อเอ่ยว่า
       “บัดนี้พวกน้องพี่ได้น้องใหม่อีกสองนางแล้วล่ะ   แต่ตอนนี้กำลังแต่งตัวกันอยู่หากออกมาทั้งที่
ร่างยังเปลือยจะน่าดูหรือไง”  แล้วทรงพระสรวลลั่นพลางขอตัวไปชำระล้างร่างกายก่อนด้วยเจ็ดวันนี้
มิได้อาบน้ำเลยแล้วก็จะผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ด้วย
       เมื่อเจ้าหญิงทั้งหกได้ยินเช่นนั้นก็ต่างลูบพระอุระทันที  ต่างก็พากันหัวร่อทุกพระองค์จ้องไปที่
หน้าประตูห้องพิธีเพื่อรอดูแม่นางพรายในร่างมนุษย์  เวลาผ่านไปดูช่างเนิ่นนานยิ่งนักด้วยความร้อนรน
       พลันเจ้าหญิงทั้งหกก็แลเห็นนางหนึ่งแต่งกายสไบแดง  อีกนางหนึ่งพาดสไบสีเขียว อันเป็นเครื่องทรง
ที่เหล่าเจ้าหญิงทั้งหกต่างช่วยกันตัดเย็บขึ้นมา  แต่ภายใต้เสื้อนั้นซิช่างเหมาะเจาะอ้อนแอ้นเสียยิ่งกระไร
สะโพกผายสมสัดส่วน เบื้องทรวงก็แลดูช่างล้ำนักถึงกับทำให้เสื้อล้นนูนเด่น  ใบหน้าหรือช่างงดงาม
ยิ่งคิ้วโขนงดั่งวงพระจันทร์ดำสนิท
ปานวาดด้วยดินสอรับกับใบหน้า   แก้มสองข้างช่างเอิบอิ่ม มีลักยิ้มทั้งสองข้าง  ดั่งนางในฟ้ามิปานทำให้
บรรดาเจ้าหญิงทั้งหลายถึงกับตลึงงันไปทั้งหกพระองค์ 
    
       ครั้นนางทั้งสองเดินเข้ามาหาเจ้าหญิงทั้งหกแล้วพลางทอดสายบัวคาราวะถวายบังคมเจ้าหญิงทั้งหกทันที
ยิ่งเพ่งมองใกล้ก็ยิ่งงามสวยเด่นยิ่งนัก เหล่าเจ้าหญิงถึงกับพระโอษฐ์พระเนตรค้างไปตามๆกัน  
นางสไบแดงนางสไบเขียวพลางเอ่ยว่า
       “เสด็จพี่ทั้งหลายทำไมถึงเป็นเช่นนั้นเล่าเพค่ะ  จำหม่อมฉันไม่ได้แล้วหรือ หม่อมฉันประกายแดงไงเพค่ะ
และหม่อมฉันประกายเขียวเพค่ะ”
      เมื่อเจ้าหญิงตื่นจากความงดงามของนางทั้งสองพลางรีบเข้ามาสวมกอดต่างก็ชมเชยนางทั้งสองต่างๆนาๆ
ทำให้แม่นางประกายแดงประกายเขียวถึงกับม้วนอายไปทันที 
     “ถึงอย่างไรหม่อมฉันก็สวยสู้เสด็จพี่มิได้หรอกเพค่ะ” นางทั้งสองตอบ
     “โอ้น้องเราทั้งสอง เจ้าใยจึงงดงามยิ่งนัก พี่ทั้งหกชักจะอิจฉาเจ้าเสียแล้ว”  พลางเจ้าหญิงทั้งหกก็ทรงพระสรวล
แล้วพลางกันเข้าสวมกอดแม่นางทั้งสองทันที
        ทั้งหมดเมื่อนางพรายเป็นมนุษย์ไปแล้วต่างก็หยอกเย้าล้อเล่นดังเดิม   เจ้าหญิงจันทิราเทวีพลางกล่าวว่าการ
ประลองยุทธ์ของเราทั้งแปดนี้  เห็นทีจะพ่ายแพ้แก่แม่ประกายแดงและประกายเขียวเสียแล้วกระมัง จริงไหม?....
เสด็จพี่อิสราวดีนารี  หรือน้องทั้งสี่ว่าเป็นดั่งที่พี่กล่าวหรือไม่”
       จริงเพค่ะดังเสด็จพี่จันทิราเทวีกล่าวไม่ผิดหรอก  แล้วทั้งแปดก็วิ่งล้อเล่นหยอกเย้ากันจับโน่นจับนี่กันชุลมุน
ไปหมด วิ่งไปรอบๆห้องพระบรรทมขององค์กษัตริย์
       ครั้นชายหนุ่มก้าวเข้ามาหลังจากเปลี่ยนเครื่องแต่งกายสีขาวแล้ว   ทรงพระฉลองพระองค์ใหม่ก็หัวร่อพลาง
เข้าหยอกล้อแก่เหล่านางทั้งแปดทันที   เป็นที่สุขเกษมพระสำราญพระหฤทัยกันถ้วนหน้า ชายหนุ่มก็เรียกทหาร
องครักษ์ให้รีบไปแจ้งแก่หัวหน้าเหล่านางกำนัล  เพื่อไปทำความสะอาดและจัดตำหนักของแม่นางประกายแดง 
และแม่นางประกายเขียวที่สร้างวังติดกันแล้วจัดหานางกำนัลเพื่อสนองรับใช้ทั้งสองนางทันทีอย่าได้ขาดตก
บกพร่องแต่ประการใด  ทหารองครักษ์ก็รีบไปแจ้งแก่หัวหน้านางกำนัลทั้งหลายทันที  แล้วกลับมาทูลว่าได้
สั่งหัวหน้านางกำนัลตามรับสั่งแล้ว    ก็รีบออกไปทำหน้าที่ทันที
       เหล่าเจ้าหญิงและแม่นางทั้งสองก็ต่างหยอกล้อกับชายหนุ่มต่อไป  จวบจนเที่ยงคืนจึงแยกย้ายกันกลับไปวัง
นางประกายแดงและนางประกายเขียว ต่างงุนงงด้วยเหตุที่ว่าตลอดมาได้เคียงแนบชิดกับชายหนุ่มเสมอมามิเคย
ห่างไป  แต่มาบัดนี้จำต้องแยกไปอยู่ตามตำหนักที่ถูกกำหนดให้  
ก็ให้รู้สึกอาลัยยิ่งนัก พลางคิดในใจว่ารู้แบบนี้ก็จะไม่ขอคืนกลับเป็นมนุษย์อีกดีกว่า   แต่ทำไงได้หากขอร้องต่อชายหนุ่มก็เกรงพระหทัยบรรดาเจ้าหญิงทั้งหลายจึงต้องเดิน ตามนางกำนัลไปยังตำหนักของแต่ละนางทันที 
  แต่ทว่านางทั้งสองนั้นก็ขอนอนร่วมด้วยกันเพราะเหตุว่าไม่เคยแยกจากกันมานานแล้ว  ต่างสัญญาว่าจะผลัดกัน
ไปนอนยังตำหนักคนละวันผลัดเปลี่ยนวนเวียนกันไป จึงพากันเข้าไปพักยังตำหนักของแม่นางประกายแดงก่อน   
 
      ทั้งสองพูดตรงกันว่าเราต่างได้ร่างของลูกสาวหัวหน้าเผ่าแต่เราไม่รู้จัก   ถ้าหากหัวหน้าเผ่าเจอพวกเรา
แล้วจะทำอย่างใดดี       ต่างคนก็ปรึกษาหารือกันว่า หากมาดแม้นเจอและเขาจำได้ให้เราทำเป็นไม่รู้จักก็แล้วกัน
 ด้วยเราเองยังไม่รู้จักหัวหน้าเผ่าเสียเลยด้วยเวลานั้นเราต่างพักผ่อน  หรือว่าเราทั้งสองจะปล่อยโดยสวมรอยเสีย
เพื่อจะได้ไม่เป็นที่ติฉินนินทาจากพวกเผ่าภายหลัง  อย่างไรวันรุ่งขึ้นค่อยไปถามท่านพี่ดีกว่า  ครั้นตกลงกันได้แล้ว
ต่างก็เข้านอนร่วมกันบนที่บรรทมเดียวกันทันที  
       ด้วยมิอาจจะทนต่อความง่วงเหงาหาวนอนของความเป็นมนุษย์ซึ่งบังคับไปด้วยธรรมชาตินั่นเอง  
 ตอนแรกๆก็นอนไม่หลับด้วยตอนเป็นนางพรายนั้นกลางคืนคือกลางวันของพวกนาง   แต่บัดนี้กาลกลับเปลี่ยนไปเสียแล้ว  ร่างกายจึงต้องการในสิ่งที่ธรรมชาติสร้างมา  ครั้นฝืนๆก็ยังมิอาจทำได้   
ต่างคุยกันไปคุยกันมาถึงเรื่องราวในอนาคตต่อไป    เพียงสักพักเดียวแม่นางประกายเขียวก็หลับใหลไป
ก่อน  แม่นางประกายแดงครั้นเห็นน้องหลับไปแล้ว ก็คิดว่าแม่นางทั้งหกนั้นล้วนแล้วแต่เป็นองค์หญิงทั้งสิ้นแล้ว
เราทั้งสองล่ะท่านพี่จะคิดประการใด  ยิ่งคิดไปยิ่งทำให้กลัดกลุ้มใจเป็นอย่างยิ่งแต่ไม่รู้จะทำประการใด  จนทน
ความง่วงนอนไม่ไหวพาหลับใหลตามน้องสาวไป
      ครั้นเมื่อเหล่าแม่นางทั้งแปดไปหมดสิ้นแล้ว  ชายหนุ่มหาบรรทมไม่กลับมานั่งคิดด้วย
เหตุว่าเหล่าเจ้าหญิงหกองค์ล้วนแต่มีเชื้อกษัตริย์ทั้งสิ้น  แม่นางพรายทั้งสองหาได้เป็นเช่นนั้นแต่พลันนึกได้ว่าแม่
จันจันทิราเทวีก่อนเก่าก็หาได้เป็นองค์หญิงใดไม่   เมื่อแม่นางอิศวรดีนารีสละราชสมบัติแล้วให้ท่านมหาอำมาตย์
เหมี่ยวมังกะยอชวาขึ้นครองราชย์สมบัติเมืองอิสราวดี  ดังนั้นฐานันดรจึงเกิดขึ้นแก่บุตรีตนขึ้นเป็นองค์หญิงทันที
         เมื่อคิดได้เช่นนี้ก็ร่างที่แม่นางพรายครอบครองอยู่นั้นก็เป็นบุตรีของหัวหน้าเผ่าอยู่เทียบเท่ากับเมืองๆหนึ่ง
หากเราจะแต่งตั้งหัวหน้าเผ่าขึ้นมียศฐานันดรให้เปรียบเสมือนดังเจ้าเมืองคนหนึ่ง   ก็สามารถทำให้บุตรีฝาแฝดนี้
กลับกลายเป็นองค์หญิงไปได้  ด้วยเราจะประกาศแต่งตั้งพร้อมๆกับแม่นางพรายทั้งสองทันทีให้มีศักดิ์เป็นเจ้าหญิง
คงจะไม่น่าเกียจใดนัก   เมื่อคิดเสร็จผู้ที่จะดำเนินการได้คือท่านลุงเรานี่แหละ ค่อยผ่อนคลายอารมณ์ฟุ้งซ่านได้จึง
เข้าพระบรรทมทันที
       เมื่อตะวันขึ้นแล้วก็มีรับสั่งให้ทหารองครักษ์ไปแจ้งแก่ท่านมหาอำมาตย์ใหญ่ที่ปรึกษา  ว่าข้ามีคำสั่งขอเชิญเข้า
พบด่วนด้วย    เมื่อทหารองครักษ์รีบไปแล้ว   ไม่นานนักท่านผู้เฒ่าก็ก้าวเข้ามายังห้องพระบรรทม  ชายหนุ่มเชิญ
ให้นั่งยังเก้าอี้และสั่งให้นางกำนัลนำอาหารมาเลี้ยงดูแก่ท่านมหาอำมาตย์ทันที
    ครั้นท่านผู้เฒ่าเห็นเช่นนั้นก็ให้นึกแปลกใจแต่ไม่กล้าถามประการใด จนชายหนุ่มเอ่ยขึ้นระหว่างทานอาหารเช้า
ผ่านไปไม่นานว่า  ท่านพ่อลุงข้าเองกลัดกลุ้มใจนักในเรื่องของแม่นางพรายนั้นว่าจะทำฉันท์ใดดีแล้วก็เล่าความคิด
อ่านของตนให้ท่านผู้เฒ่าฟัง   ท่านผู้เฒ่าครั้นได้ยินชายหนุ่มกล่าวเช่นนี้ก็พลางหัวร่อขึ้นมาพลางเอ่ยว่า
       “ใยพระองค์จะทรงหมองพระหทัยไปใยเล่า ด้วยอำนาจในเมืองศิระสุริยะชัยนี้  พระองค์ทรงปกครองไพร่ฟ้า
ประชาราษฎร์จนร่มเย็นเป็นสุข   มีหลายเผ่าต่างก็พากันมาจำนวนมาก   หากจะทำเป็นพระราชสาสน์แต่งตั้ง
แม่นางทั้งสองใครเล่าจะกล้าคัดค้านอีกประการหนึ่ง บรรดาอำมาตย์แม่ทัพนายกองขุนทหารทั้งหลายต่างก็เชื่อฟัง
ในพระองค์อยู่แล้ว  หากจะให้เหมาะสมแนบเนียนก็ควรแต่งตั้งให้บรรดาหัวหน้าเผ่าต่างๆเป็นเชื้อพระวงศ์โดย
สมมุตแล้วให้ฐานันดรเป็นอำมาตย์ด้วย  บรรดาหัวหน้าเผ่านั้นก็เปรียบดั่งเป็นเมืองเล็กๆเมืองหนึ่งอยู่แล้วก็จะทำ
ให้คนในราชสำนักซึ่งไม่มีใครเลยสักคน   ว่าการครั้งนี้เพื่อรวบรวมความปึกแผ่นแก่แผ่นดินก็จะเสมือนยิงนกได้
ที่เดียวได้สองตัว   ก็จะทำให้บรรดาหัวหน้าเผ่าต่างๆบังเกิดความซื่อสัตย์สุจริตตลอดจนมวลเผ่าต่างๆ   ซึ่งข้าเอง
รวบรวมทำหนังสือบันทึกไว้มีทั้งหมดเจ็ดเผ่า   เผ่าเล็กๆสามเผ่า เผ่าใหญ่มีสี่เผ่ารวมทั้งบิดาของแม่นางฝาแฝดด้วย
ก็จะไร้ครหานินทาใดไม่
          ในวันนี้ครั้นประชุมเหล่าข้าราชการประจำอยู่แล้ว  ข้าพระองค์ก็จะร่างหนังสือให้พระองค์ทรงลงนาม
พระปรมาภิไธยประทับตราแผ่นดินที่จัดทำขึ้นไว้แล้ว การครั้งนี้ก็จะสำเร็จ  
ที่สำคัญราชวงศ์ของเราก็พึ่งตั้งขึ้นมาใหม่ๆหาได้มีการสืบเชื้อสายมาแต่อย่างใดนอกจากพระองค์เพียงองค์เดียว
เท่านั้น  หากได้หัวหน้าเผ่าเข้ามาร่วมฐานันดรด้วยฐานะเมืองศิระสุริยะชัยก็จะกว้างใหญ่ไพศาลขจรไปไกล
ครอบคลุมยังบรรดาขุนเขาทั้งหลายเป็นการขยายอาณาเขตไปในตัวเอง   โดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ
แต่ประการใดไม่พระเจ้าข้า”
   
         ครั้นชายหนุ่มได้รับฟังเช่นนั้นก็ให้บังเกิดเสมือน ยกภูเขาออกจากออกพระอุระ
  หากในพระหทัยของชายหนุ่มนี้ย่อมจะผูกพันแก่แม่นางพรายมากกว่าบรรดาเจ้าหญิงทั้งปวง 
 ด้วยผจญภัยกันมาและอีกประการหนึ่งเป็นนางทั้งสองแรกที่เรารู้จักก่อนใครๆทั้งสิ้น
   ดังนั้นจึงหัวร่อพลางคาราวะท่านพ่อลุงทันที
       “หากมาดแม้นมิได้ความคิดพ่อท่านลุงกล่าวมาเช่นนี้  จึงขอความกรุณาร่างหนังสือแก่เราก่อนประชุมเหล่า
อำมาตย์ข้าราชบริพารทั้งหลายด้วยเถิด”
        “พระเจ้าข้า   หม่อมฉันจะออกไปดำเนินการเดี๋ยวนี้  “กล่าวเสร็จก็น้อมคาราวะชายหนุ่มออกเดินทางไปทันที
คราวนี้ชายหนุ่มจึงเดินไปยังห้องพระอักษรทันทีร่างหนังสือขึ้นอีกสองฉบับ   แล้วเก็บไว้ในเบื้องพระอุระพลาง
ออกจากพระราชตำหนักหลวง  เพื่อเข้าประชุมในท้องพระโรงทันที   ระหว่างเดินทางใกล้จะถึงท่านมหาอำมาตย์
ก็ยื่นหนังสือให้ทรงทอดพระเนตร  ชายหนุ่มอ่านเนื้อความแค่เพียงแต่งตั้งบรรดาหัวหน้าเผ่าขึ้นมีฐานันดรศักดิ์
ถึงเชื้อพระวงศ์ก็ทรงพอพระราชหฤทัย  แล้วย้อนกลับไปยังห้องพระอักษรเพิ่มข้อความลงไปอีกลง
พระปรมาภิไธยประทับตราแผ่นดินทันที    ท่านมหาอำมาตย์ยืนคอยหน้าห้องพระอักษร  แต่พลางสั่งว่า
   “ให้ท่านพ่อลุงเข้าไปในท้องพระโรงก่อน  เดี๋ยวหลานจะตามไปด้วย”
          เมื่อมหาอำมาตย์ใหญ่ได้รับพระราชบัญชาเช่นนั้นก็รีบเดินทางเข้าไปยังท้องพระโรงทันที   ชายหนุ่มเดินไป
ยิ้มไป  พลางเรียกหัวหน้าอาลักษณ์มาพบแล้วกระซิบบอกความนัย  ให้หัวหน้าอาลักษณ์เดินทางเข้าท้องพระโรง
ก่อน  เดี๋ยวจะเสด็จตามไป..............
          * แก้วประเสริฐ. *

Cartoon_Animation_08.gifn016.gif				
comments powered by Disqus
  • กิ่งโศก

    17 มีนาคม 2553 15:18 น. - comment id 115838

    คงใกล้จะจบแล้วใช่ไหมครับครู
    
    ตอนนี้เหลือแต่ว่า..พระเอกคนเดียว  นางเอกเยอะด้วย..ไหนจะต้องกลับมาในโลกปัจจุบันอีก
  • แก้วประเสริฐ

    17 มีนาคม 2553 16:10 น. - comment id 115839

    36.gif16.gif36.gif
    คุณ กิ่งโศก
    
        โอ้โห...เก่งๆๆๆจริงศิษย์รักเราคนนี้ช่างเดา
    ใจครูออก สมแล้วที่ครูรักและไว้วางใจนัก 
    รักเสมอๆ
    
             16.gifแก้วประเสริฐ.16.gif

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน