ลุ่มลึกอิสราวดี 59 ในระหว่างการทำพิธีของชายหนุ่มบัดนี้ล่วงเข้าเจ็ดวัน เพียงขาดอีกทิวาเดียวก็ครบตามตำรา ในค่ำคืนวันที่หก นางทั้งแปดต่างหยอกล้อกันตามประสาหญิง กล่าวถึงว่าหากนางพรายทั้งสอง หากคืนร่างได้แล้ว ให้พวกเรามาประลองยุทธ์กันว่าใครจะสามารถมีโอรสธิดากันได้ก่อนใคร ซึ่งทุกๆพวกนางต่างพากันหัวร่อครื้นเครงกันหยิกหยอกเย้ากันเล่นเป็นที่สำราญยิ่งนัก แต่บัดดลนั้นนางพรายทั้งสองระหว่างการหัวร่อก็หยุดชะงักร่างกายเริ่มโอนเอนไปๆมาๆอยู่ ทันทีทำให้บรรดาเจ้าหญิงทั้งหกสงสัย ด้วยเห็นแม่นางพรายทั้งสองหยุดชะงักการหัวร่อและ ร่างกายเริ่มสั่นสะท้านไปทั้งร่างอย่างเห็นได้ชัด ร่างนางพรายทั้งสองพลันค่อยๆจางลงๆไปเรื่อยๆ ทำให้บรรดาเจ้าหญิงทั้งหกตกใจ พลางถลาเข้าไปสวมกอดแต่ร่างนั้น แต่หาได้กระทบเนื้อดังแต่เก่า ก่อนก็หาไม่ ต่างคว้าอากาศไปเสียสิ้นทุกๆพระองค์ แล้วร่างแม่นางพรายทั้งสองก็ค่อยๆหายวับไป เหล่าบรรดาเจ้าหญิงถึงกับตลึงไปทั้งสิ้น ครั้นจะเข้าไปหาชายหนุ่มก็มิได้ ต่างไต่ถามกันไปมา ว่าทำไมถึงเป็นอย่างนี้ แม่นางจันทิราเทวีพลันก็เอ่ยขึ้นว่า “หรือว่าเสด็จพี่เราจะทำพิธีใกล้สำเร็จแล้วกระมัง ร่างนางพรายทั้งสองจึงถูกเรียกไปเข้าร่างที่ นอนอยู่ในพิธีดังกล่าว” “คงจะจริงซินะ อยู่ๆนางพรายแม่ประกายแดงประกายเขียวถึงได้เป็นเช่นนี้ เราชวนกันไปเฝ้า รักษาการณ์ก่อนเหตุการณ์ร้ายจะเกิดขึ้นได้ เหลือเพียงอีกหนึ่งวันเท่านั้น ฉะนั้นจงรีบแบ่งหน้าที่กัน ไปควบคุมหน้าต่างประตูทั้งหมดดีกว่า” แม่นางทั้งห้าเอ่ยขึ้น ดังนั้นพวกเราทั้งหมดนี้ไปกันเถอะ อย่าลืมนำอาวุธติดตัวไปด้วยนะ หากเกิดเหตุอันคาดคิดมิได้ ก็จะได้ช่วยกันป้องกันไว้อย่าได้ประมาท แม่นางทั้งหกก็ต่างนำอาวุธของตัวเองรีบออกไปยืนเฝ้ายัง หน้าประตูหน้าต่างพร้อมทั้งกำชับทหารองครักษ์ให้ไปแจ้งแก่หัวหน้าองครักษ์ให้เพิ่มทหารขึ้นมา รักษาการณ์ที่นี้ให้หมด ให้กระจายกำลังตรวจตราดูแลทั้งล่างและบนอย่าให้ขาดสายตาไปได้ บรรดาทหารองครักษ์รับคำสั่งแล้วก็รีบไปแจ้งแก่หัวหน้าองครักษ์ทันที ไม่นานก็ปรากฏทหาร องครักษ์จำนวนมากถืออาวุธครบมือกระจายกำลังเฝ้าห้อมล้อมไว้ทุกๆด้าน ส่วนหัวหน้าองครักษ์นั้น ถึงกับเดินตรวจตราด้วยตนเองพร้อมรองหัวหน้า มิให้องครักษ์ใดเผลอไผลหลับไปได้ ต่างคนต่างผลัด กันเดินตรวจกันอย่างละเอียดถี่ถ้วนจนกลางคืนผ่านพ้นไป แต่เจ้าหญิงทั้งหกบอกว่าช่วงกลางวันนี้ก็ สมควรจัดเวรยามใครอ่อนเพลียผลัดกันพักผ่อน แล้วมาเข้ายามต่อไป ส่วนหัวหน้าองครักษ์และรอง มิยอมหลับนอน ต่างผลัดกันตรวจตราด้วยความเข้มงวดกวดขันยิ่ง เจ้าหญิงทั้งหกก็หาได้หลับนอนไม่ต่างช่วยกันตรวจตราอย่างเข้มงวดกวดขัน จนล่วงเวลาผ่าน เข้าสู่ย่ำค่ำ ก็ยังมิเห็นชายหนุ่มออกมาจากห้องพิธีเลย ก็เกิดความกังวลใจเป็นอย่างยิ่ง เวลาผ่านไปแต่ ละนาที เหล่าเจ้าหญิงต่างกล่าวว่าช่างเชื่องช้าอะไรเช่นนี้ จวบจนค่ำมืดแล้วนั่นเอง จึงเห็นชายหนุ่ม ก้าวออกมาจากห้องพิธีแต่หาได้เห็นแม่นางทั้งสองไม่ ต่างพากันตลึงหรือว่าการณ์ครั้งนี้คงไม่สำเร็จ บรรดาเจ้าหญิงทั้งเจ็ดก็เข้าไปทูลถามทันที “เป็นไงบ้างเพค่ะ พวกหม่อมฉันต่างจัดกำลังทหารมาป้องกันทุกๆวันเห็นเสด็จพี่ออกมาคนเดียวแล้ว ไม่เห็นแม่นางพรายเลย หรือว่า????....” พวกนางชะงักมิกล้าเอ่ยประการใด ครั้นชายหนุ่มได้ยินเช่นนั้นก็นำเหล่าเจ้าหญิงทั้งหกไปนั่งลงก่อนแล้ว หัวร่อเอ่ยว่า “บัดนี้พวกน้องพี่ได้น้องใหม่อีกสองนางแล้วล่ะ แต่ตอนนี้กำลังแต่งตัวกันอยู่หากออกมาทั้งที่ ร่างยังเปลือยจะน่าดูหรือไง” แล้วทรงพระสรวลลั่นพลางขอตัวไปชำระล้างร่างกายก่อนด้วยเจ็ดวันนี้ มิได้อาบน้ำเลยแล้วก็จะผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ด้วย เมื่อเจ้าหญิงทั้งหกได้ยินเช่นนั้นก็ต่างลูบพระอุระทันที ต่างก็พากันหัวร่อทุกพระองค์จ้องไปที่ หน้าประตูห้องพิธีเพื่อรอดูแม่นางพรายในร่างมนุษย์ เวลาผ่านไปดูช่างเนิ่นนานยิ่งนักด้วยความร้อนรน พลันเจ้าหญิงทั้งหกก็แลเห็นนางหนึ่งแต่งกายสไบแดง อีกนางหนึ่งพาดสไบสีเขียว อันเป็นเครื่องทรง ที่เหล่าเจ้าหญิงทั้งหกต่างช่วยกันตัดเย็บขึ้นมา แต่ภายใต้เสื้อนั้นซิช่างเหมาะเจาะอ้อนแอ้นเสียยิ่งกระไร สะโพกผายสมสัดส่วน เบื้องทรวงก็แลดูช่างล้ำนักถึงกับทำให้เสื้อล้นนูนเด่น ใบหน้าหรือช่างงดงาม ยิ่งคิ้วโขนงดั่งวงพระจันทร์ดำสนิท ปานวาดด้วยดินสอรับกับใบหน้า แก้มสองข้างช่างเอิบอิ่ม มีลักยิ้มทั้งสองข้าง ดั่งนางในฟ้ามิปานทำให้ บรรดาเจ้าหญิงทั้งหลายถึงกับตลึงงันไปทั้งหกพระองค์ ครั้นนางทั้งสองเดินเข้ามาหาเจ้าหญิงทั้งหกแล้วพลางทอดสายบัวคาราวะถวายบังคมเจ้าหญิงทั้งหกทันที ยิ่งเพ่งมองใกล้ก็ยิ่งงามสวยเด่นยิ่งนัก เหล่าเจ้าหญิงถึงกับพระโอษฐ์พระเนตรค้างไปตามๆกัน นางสไบแดงนางสไบเขียวพลางเอ่ยว่า “เสด็จพี่ทั้งหลายทำไมถึงเป็นเช่นนั้นเล่าเพค่ะ จำหม่อมฉันไม่ได้แล้วหรือ หม่อมฉันประกายแดงไงเพค่ะ และหม่อมฉันประกายเขียวเพค่ะ” เมื่อเจ้าหญิงตื่นจากความงดงามของนางทั้งสองพลางรีบเข้ามาสวมกอดต่างก็ชมเชยนางทั้งสองต่างๆนาๆ ทำให้แม่นางประกายแดงประกายเขียวถึงกับม้วนอายไปทันที “ถึงอย่างไรหม่อมฉันก็สวยสู้เสด็จพี่มิได้หรอกเพค่ะ” นางทั้งสองตอบ “โอ้น้องเราทั้งสอง เจ้าใยจึงงดงามยิ่งนัก พี่ทั้งหกชักจะอิจฉาเจ้าเสียแล้ว” พลางเจ้าหญิงทั้งหกก็ทรงพระสรวล แล้วพลางกันเข้าสวมกอดแม่นางทั้งสองทันที ทั้งหมดเมื่อนางพรายเป็นมนุษย์ไปแล้วต่างก็หยอกเย้าล้อเล่นดังเดิม เจ้าหญิงจันทิราเทวีพลางกล่าวว่าการ ประลองยุทธ์ของเราทั้งแปดนี้ เห็นทีจะพ่ายแพ้แก่แม่ประกายแดงและประกายเขียวเสียแล้วกระมัง จริงไหม?.... เสด็จพี่อิสราวดีนารี หรือน้องทั้งสี่ว่าเป็นดั่งที่พี่กล่าวหรือไม่” จริงเพค่ะดังเสด็จพี่จันทิราเทวีกล่าวไม่ผิดหรอก แล้วทั้งแปดก็วิ่งล้อเล่นหยอกเย้ากันจับโน่นจับนี่กันชุลมุน ไปหมด วิ่งไปรอบๆห้องพระบรรทมขององค์กษัตริย์ ครั้นชายหนุ่มก้าวเข้ามาหลังจากเปลี่ยนเครื่องแต่งกายสีขาวแล้ว ทรงพระฉลองพระองค์ใหม่ก็หัวร่อพลาง เข้าหยอกล้อแก่เหล่านางทั้งแปดทันที เป็นที่สุขเกษมพระสำราญพระหฤทัยกันถ้วนหน้า ชายหนุ่มก็เรียกทหาร องครักษ์ให้รีบไปแจ้งแก่หัวหน้าเหล่านางกำนัล เพื่อไปทำความสะอาดและจัดตำหนักของแม่นางประกายแดง และแม่นางประกายเขียวที่สร้างวังติดกันแล้วจัดหานางกำนัลเพื่อสนองรับใช้ทั้งสองนางทันทีอย่าได้ขาดตก บกพร่องแต่ประการใด ทหารองครักษ์ก็รีบไปแจ้งแก่หัวหน้านางกำนัลทั้งหลายทันที แล้วกลับมาทูลว่าได้ สั่งหัวหน้านางกำนัลตามรับสั่งแล้ว ก็รีบออกไปทำหน้าที่ทันที เหล่าเจ้าหญิงและแม่นางทั้งสองก็ต่างหยอกล้อกับชายหนุ่มต่อไป จวบจนเที่ยงคืนจึงแยกย้ายกันกลับไปวัง นางประกายแดงและนางประกายเขียว ต่างงุนงงด้วยเหตุที่ว่าตลอดมาได้เคียงแนบชิดกับชายหนุ่มเสมอมามิเคย ห่างไป แต่มาบัดนี้จำต้องแยกไปอยู่ตามตำหนักที่ถูกกำหนดให้ ก็ให้รู้สึกอาลัยยิ่งนัก พลางคิดในใจว่ารู้แบบนี้ก็จะไม่ขอคืนกลับเป็นมนุษย์อีกดีกว่า แต่ทำไงได้หากขอร้องต่อชายหนุ่มก็เกรงพระหทัยบรรดาเจ้าหญิงทั้งหลายจึงต้องเดิน ตามนางกำนัลไปยังตำหนักของแต่ละนางทันที แต่ทว่านางทั้งสองนั้นก็ขอนอนร่วมด้วยกันเพราะเหตุว่าไม่เคยแยกจากกันมานานแล้ว ต่างสัญญาว่าจะผลัดกัน ไปนอนยังตำหนักคนละวันผลัดเปลี่ยนวนเวียนกันไป จึงพากันเข้าไปพักยังตำหนักของแม่นางประกายแดงก่อน ทั้งสองพูดตรงกันว่าเราต่างได้ร่างของลูกสาวหัวหน้าเผ่าแต่เราไม่รู้จัก ถ้าหากหัวหน้าเผ่าเจอพวกเรา แล้วจะทำอย่างใดดี ต่างคนก็ปรึกษาหารือกันว่า หากมาดแม้นเจอและเขาจำได้ให้เราทำเป็นไม่รู้จักก็แล้วกัน ด้วยเราเองยังไม่รู้จักหัวหน้าเผ่าเสียเลยด้วยเวลานั้นเราต่างพักผ่อน หรือว่าเราทั้งสองจะปล่อยโดยสวมรอยเสีย เพื่อจะได้ไม่เป็นที่ติฉินนินทาจากพวกเผ่าภายหลัง อย่างไรวันรุ่งขึ้นค่อยไปถามท่านพี่ดีกว่า ครั้นตกลงกันได้แล้ว ต่างก็เข้านอนร่วมกันบนที่บรรทมเดียวกันทันที ด้วยมิอาจจะทนต่อความง่วงเหงาหาวนอนของความเป็นมนุษย์ซึ่งบังคับไปด้วยธรรมชาตินั่นเอง ตอนแรกๆก็นอนไม่หลับด้วยตอนเป็นนางพรายนั้นกลางคืนคือกลางวันของพวกนาง แต่บัดนี้กาลกลับเปลี่ยนไปเสียแล้ว ร่างกายจึงต้องการในสิ่งที่ธรรมชาติสร้างมา ครั้นฝืนๆก็ยังมิอาจทำได้ ต่างคุยกันไปคุยกันมาถึงเรื่องราวในอนาคตต่อไป เพียงสักพักเดียวแม่นางประกายเขียวก็หลับใหลไป ก่อน แม่นางประกายแดงครั้นเห็นน้องหลับไปแล้ว ก็คิดว่าแม่นางทั้งหกนั้นล้วนแล้วแต่เป็นองค์หญิงทั้งสิ้นแล้ว เราทั้งสองล่ะท่านพี่จะคิดประการใด ยิ่งคิดไปยิ่งทำให้กลัดกลุ้มใจเป็นอย่างยิ่งแต่ไม่รู้จะทำประการใด จนทน ความง่วงนอนไม่ไหวพาหลับใหลตามน้องสาวไป ครั้นเมื่อเหล่าแม่นางทั้งแปดไปหมดสิ้นแล้ว ชายหนุ่มหาบรรทมไม่กลับมานั่งคิดด้วย เหตุว่าเหล่าเจ้าหญิงหกองค์ล้วนแต่มีเชื้อกษัตริย์ทั้งสิ้น แม่นางพรายทั้งสองหาได้เป็นเช่นนั้นแต่พลันนึกได้ว่าแม่ จันจันทิราเทวีก่อนเก่าก็หาได้เป็นองค์หญิงใดไม่ เมื่อแม่นางอิศวรดีนารีสละราชสมบัติแล้วให้ท่านมหาอำมาตย์ เหมี่ยวมังกะยอชวาขึ้นครองราชย์สมบัติเมืองอิสราวดี ดังนั้นฐานันดรจึงเกิดขึ้นแก่บุตรีตนขึ้นเป็นองค์หญิงทันที เมื่อคิดได้เช่นนี้ก็ร่างที่แม่นางพรายครอบครองอยู่นั้นก็เป็นบุตรีของหัวหน้าเผ่าอยู่เทียบเท่ากับเมืองๆหนึ่ง หากเราจะแต่งตั้งหัวหน้าเผ่าขึ้นมียศฐานันดรให้เปรียบเสมือนดังเจ้าเมืองคนหนึ่ง ก็สามารถทำให้บุตรีฝาแฝดนี้ กลับกลายเป็นองค์หญิงไปได้ ด้วยเราจะประกาศแต่งตั้งพร้อมๆกับแม่นางพรายทั้งสองทันทีให้มีศักดิ์เป็นเจ้าหญิง คงจะไม่น่าเกียจใดนัก เมื่อคิดเสร็จผู้ที่จะดำเนินการได้คือท่านลุงเรานี่แหละ ค่อยผ่อนคลายอารมณ์ฟุ้งซ่านได้จึง เข้าพระบรรทมทันที เมื่อตะวันขึ้นแล้วก็มีรับสั่งให้ทหารองครักษ์ไปแจ้งแก่ท่านมหาอำมาตย์ใหญ่ที่ปรึกษา ว่าข้ามีคำสั่งขอเชิญเข้า พบด่วนด้วย เมื่อทหารองครักษ์รีบไปแล้ว ไม่นานนักท่านผู้เฒ่าก็ก้าวเข้ามายังห้องพระบรรทม ชายหนุ่มเชิญ ให้นั่งยังเก้าอี้และสั่งให้นางกำนัลนำอาหารมาเลี้ยงดูแก่ท่านมหาอำมาตย์ทันที ครั้นท่านผู้เฒ่าเห็นเช่นนั้นก็ให้นึกแปลกใจแต่ไม่กล้าถามประการใด จนชายหนุ่มเอ่ยขึ้นระหว่างทานอาหารเช้า ผ่านไปไม่นานว่า ท่านพ่อลุงข้าเองกลัดกลุ้มใจนักในเรื่องของแม่นางพรายนั้นว่าจะทำฉันท์ใดดีแล้วก็เล่าความคิด อ่านของตนให้ท่านผู้เฒ่าฟัง ท่านผู้เฒ่าครั้นได้ยินชายหนุ่มกล่าวเช่นนี้ก็พลางหัวร่อขึ้นมาพลางเอ่ยว่า “ใยพระองค์จะทรงหมองพระหทัยไปใยเล่า ด้วยอำนาจในเมืองศิระสุริยะชัยนี้ พระองค์ทรงปกครองไพร่ฟ้า ประชาราษฎร์จนร่มเย็นเป็นสุข มีหลายเผ่าต่างก็พากันมาจำนวนมาก หากจะทำเป็นพระราชสาสน์แต่งตั้ง แม่นางทั้งสองใครเล่าจะกล้าคัดค้านอีกประการหนึ่ง บรรดาอำมาตย์แม่ทัพนายกองขุนทหารทั้งหลายต่างก็เชื่อฟัง ในพระองค์อยู่แล้ว หากจะให้เหมาะสมแนบเนียนก็ควรแต่งตั้งให้บรรดาหัวหน้าเผ่าต่างๆเป็นเชื้อพระวงศ์โดย สมมุตแล้วให้ฐานันดรเป็นอำมาตย์ด้วย บรรดาหัวหน้าเผ่านั้นก็เปรียบดั่งเป็นเมืองเล็กๆเมืองหนึ่งอยู่แล้วก็จะทำ ให้คนในราชสำนักซึ่งไม่มีใครเลยสักคน ว่าการครั้งนี้เพื่อรวบรวมความปึกแผ่นแก่แผ่นดินก็จะเสมือนยิงนกได้ ที่เดียวได้สองตัว ก็จะทำให้บรรดาหัวหน้าเผ่าต่างๆบังเกิดความซื่อสัตย์สุจริตตลอดจนมวลเผ่าต่างๆ ซึ่งข้าเอง รวบรวมทำหนังสือบันทึกไว้มีทั้งหมดเจ็ดเผ่า เผ่าเล็กๆสามเผ่า เผ่าใหญ่มีสี่เผ่ารวมทั้งบิดาของแม่นางฝาแฝดด้วย ก็จะไร้ครหานินทาใดไม่ ในวันนี้ครั้นประชุมเหล่าข้าราชการประจำอยู่แล้ว ข้าพระองค์ก็จะร่างหนังสือให้พระองค์ทรงลงนาม พระปรมาภิไธยประทับตราแผ่นดินที่จัดทำขึ้นไว้แล้ว การครั้งนี้ก็จะสำเร็จ ที่สำคัญราชวงศ์ของเราก็พึ่งตั้งขึ้นมาใหม่ๆหาได้มีการสืบเชื้อสายมาแต่อย่างใดนอกจากพระองค์เพียงองค์เดียว เท่านั้น หากได้หัวหน้าเผ่าเข้ามาร่วมฐานันดรด้วยฐานะเมืองศิระสุริยะชัยก็จะกว้างใหญ่ไพศาลขจรไปไกล ครอบคลุมยังบรรดาขุนเขาทั้งหลายเป็นการขยายอาณาเขตไปในตัวเอง โดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ แต่ประการใดไม่พระเจ้าข้า” ครั้นชายหนุ่มได้รับฟังเช่นนั้นก็ให้บังเกิดเสมือน ยกภูเขาออกจากออกพระอุระ หากในพระหทัยของชายหนุ่มนี้ย่อมจะผูกพันแก่แม่นางพรายมากกว่าบรรดาเจ้าหญิงทั้งปวง ด้วยผจญภัยกันมาและอีกประการหนึ่งเป็นนางทั้งสองแรกที่เรารู้จักก่อนใครๆทั้งสิ้น ดังนั้นจึงหัวร่อพลางคาราวะท่านพ่อลุงทันที “หากมาดแม้นมิได้ความคิดพ่อท่านลุงกล่าวมาเช่นนี้ จึงขอความกรุณาร่างหนังสือแก่เราก่อนประชุมเหล่า อำมาตย์ข้าราชบริพารทั้งหลายด้วยเถิด” “พระเจ้าข้า หม่อมฉันจะออกไปดำเนินการเดี๋ยวนี้ “กล่าวเสร็จก็น้อมคาราวะชายหนุ่มออกเดินทางไปทันที คราวนี้ชายหนุ่มจึงเดินไปยังห้องพระอักษรทันทีร่างหนังสือขึ้นอีกสองฉบับ แล้วเก็บไว้ในเบื้องพระอุระพลาง ออกจากพระราชตำหนักหลวง เพื่อเข้าประชุมในท้องพระโรงทันที ระหว่างเดินทางใกล้จะถึงท่านมหาอำมาตย์ ก็ยื่นหนังสือให้ทรงทอดพระเนตร ชายหนุ่มอ่านเนื้อความแค่เพียงแต่งตั้งบรรดาหัวหน้าเผ่าขึ้นมีฐานันดรศักดิ์ ถึงเชื้อพระวงศ์ก็ทรงพอพระราชหฤทัย แล้วย้อนกลับไปยังห้องพระอักษรเพิ่มข้อความลงไปอีกลง พระปรมาภิไธยประทับตราแผ่นดินทันที ท่านมหาอำมาตย์ยืนคอยหน้าห้องพระอักษร แต่พลางสั่งว่า “ให้ท่านพ่อลุงเข้าไปในท้องพระโรงก่อน เดี๋ยวหลานจะตามไปด้วย” เมื่อมหาอำมาตย์ใหญ่ได้รับพระราชบัญชาเช่นนั้นก็รีบเดินทางเข้าไปยังท้องพระโรงทันที ชายหนุ่มเดินไป ยิ้มไป พลางเรียกหัวหน้าอาลักษณ์มาพบแล้วกระซิบบอกความนัย ให้หัวหน้าอาลักษณ์เดินทางเข้าท้องพระโรง ก่อน เดี๋ยวจะเสด็จตามไป.............. * แก้วประเสริฐ. *
17 มีนาคม 2553 15:18 น. - comment id 115838
คงใกล้จะจบแล้วใช่ไหมครับครู ตอนนี้เหลือแต่ว่า..พระเอกคนเดียว นางเอกเยอะด้วย..ไหนจะต้องกลับมาในโลกปัจจุบันอีก
17 มีนาคม 2553 16:10 น. - comment id 115839
คุณ กิ่งโศก โอ้โห...เก่งๆๆๆจริงศิษย์รักเราคนนี้ช่างเดา ใจครูออก สมแล้วที่ครูรักและไว้วางใจนัก รักเสมอๆ แก้วประเสริฐ.