ลุ่มลึกอิสราวดี 55 ครั้นเข้าที่ประชุมบรรดาอำมาตย์ขุนทัพนายกองก็แสดงความคาราวะ ชายหนุ่มกล่าวขอโทษที่ มาล่าช้าไป แล้วนั่งลงบนเก้าอี้พลางถามทันที “ตอนนี้เหตุการณ์เป็นอย่างไรบ้าง ทหารเราทุกๆนายขวัญกำลังใจเป็นอย่างไร” “บรรดาทหารเราต่างมีขวัญกำลังใจดีเยี่ยมพระเจ้าข้า” แม่ทัพใหญ่กล่าวขึ้น “ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว แล้วเสบียงทางเราล่ะขาดแคลนหรือไม่” “เรื่องเสบียงนั้นไม่เป็นปัญหาหรอกพระเจ้าข้า บรรดาแว่นแคว้นต่างๆส่งมาเหลือเฟือ ยังได้จัดมอบ ให้บรรดาประชาชนชาวเมืองอิสราวดีและเหล่าทหารหาญอุดมสมบูรณ์พระเจ้าข้า” อำมาตย์ใหญ่ตอบ “ดีแล้วล่ะขอบใจพวกท่านทั้งหลายมาก ให้ความเมตตาอย่าได้คิดว่าเป็นพวกศัตรูเราเถิด คิดว่าเป็น พวกเดียวกันก็แล้วกัน “ “ทูลท่านมหาอุปราชว่า มีขุนทัพนายกองทางอิสราวดีนั้นใคร่ที่จะขอเข้าสู่สงครามด้วย เพราะไม่ ชอบบรรดาเหล่าเจ้าเมืองใหม่และมวลมหาอำมาตย์และขุนทัพนายกองบางคน ด้วยบัดนี้เขาทั้งหลาย ได้นำครอบครัวให้หนีออกจากเมืองมาหาฝ่ายเราแล้วพระเจ้าข้า” “ถ้าเป็นอย่างงั้นได้ก็ยิ่งดีใหญ่นะ ทางเขาจะได้ไม่ต้องกังวลต่อครอบครัวและจะทำงานให้เราโดย ไม่ต้องห่วง แต่ท่านทั้งหลายด้วยทางฝ่ายกบฏนั้นบรรดาอาจารย์มันหาใช่บุคคลธรรมดาไม่ล้วนประกอบ ด้วยอาวุธและเวทย์มนต์ที่ทางฝ่ายเราย่อมจะไม่อาจจะต้านทานได้เพราะไม่ใช่การรบพุ่งธรรมดาเลย แล้ว ท่านผู้เฒ่า มังมหาสุรเดชาธิบดีระหว่างนี้ถึงที่ใดแล้วล่ะท่านมหาอำมาตย์ที่ปรึกษาใหญ่” ชายหนุ่มถาม บัดดลทหารที่เฝ้ารักษาการณ์ก็เข้ามารายงานว่า มีผู้เฒ่าคนหนึ่งขอเข้าเฝ้าพระเจ้าข้า” ชายหนุ่มทราบทันทีว่าเป็นบุคคลใดก็แสนจะดีใจ จึงลุกจากเก้าอี้นั่งแล้วรีบเดินตามทหารออกไปทันที เมื่อพบชายหนุ่มรีบทำความเคารพ พร้อมกับเชิญเข้าไปยังที่ประชุมเพื่อปรึกษากัน เมื่อชายหนุ่มนำหน้า ท่านผู้เฒ่าแล้วให้ทหารนำเก้าอี้มานั่งเคียงคู่พร้อมแนะนำเหล่าอำมาตย์และขุนทัพนายกองทั้งหลายว่า “นี่คือท่านผู้เฒ่ามังมหาสุรเดชาธิบดีพระสหายพระบิดาที่เลี้ยงดูเราตลอดจนฝึกปรือฝีมือต่างๆให้” ดังนั้นบรรดาอำมาตย์และขุนทัพนายกองต่างลุกขึ้นยืนแสดงความคาราวะท่านผู้เฒ่าทันที “ข้าขอขอบใจท่านทั้งหลายที่ให้เกียรติแก่เราทั้งหลายยิ่งนักที่ให้เกียรติแก่เรามาก เรารีบเดินทางมา และให้เจ้าขาวนำพวกเดินทางล่วงหน้ามาก่อน หากข้าเองจะช่วยเหลืออะไรขอท่านทั้งหลายอย่างได้เกรงใจ บอกแก่ข้าได้เถิด” ผู้เฒ่าพลางน้อมรับคาราวะตอบ “บัดนี้สิ่งที่ข้ารอคอยได้มาครบเรียบร้อยแล้ว ปัญหาที่ข้าเองกังวลก็หมดสิ้นไป นับต่อไปนี้เห็นทีได้ เวลาจะต้องบุกโจมตีเมืองอิสราวดีให้แก่แม่นางอิศวรดีนารีมาถึงแล้ว ขอให้ท่านทุกๆคนเตรียมตัวได้แล้ว ตามที่ท่านมหาอำมาตย์ที่ปรึกษาใหญ่ได้แจ้งแก่ท่านทั้งหลาย หากท่านใดสงสัยจงกล่าวขึ้นมาได้เลย” บรรดาขุนทัพนายกองทั้งหลายต่างกล่าวพร้อมเพรียงกันว่าไม่มีสิ่งใดพร้อมจะเข้าสู่สงครามได้ทุกเวลา หากพระมหาอุปราชสั่งการมา ชายหนุ่มหันมาทางแม่นางอิศวรดีนารีพลางกล่าวขึ้นว่า “ข้าเองก่อนสงครามจะบังเกิดขึ้นขอให้พระแม่เจ้าจงติดตามข้า เพื่อเดินทางไปเลียบกำแพงเมืองเพื่อ ให้บรรดาเหล่าทหารเมืองอิสราวดีได้พบว่า พระแม่เจ้าแห่งเมืองอิสราวดียังอยู่แล้วมาตีเมืองเพื่อกู้ราชบัลลังก์ คืนด้วยทราบจากฝ่ายในเมืองว่าทหารทั้งหลายได้เกิดการแตกออกซึ่งกันและกันแล้ว” “หากเป็นพระประสงค์ของท่านมหาอุปราชข้าเองก็ไม่ขัดข้องแต่ประการใดเพค่ะ” แม่นางอิศวรดีนารีกล่าว ทันใดนั้นเสียงกลองศึกได้ดังกังวานขึ้นมา “ทหารได้มารายงานว่ามีกองทัพยกออกจากเมืองมาจำนวนมากนำโดยแม่ทัพใหญ่พร้อมด้วย ฤๅษีสองรูปนำทัพมาเองพระเจ้าข้า” ชายหนุ่มหันมาทางท่านผู้เฒ่าพลางเอ่ยขึ้นว่า “การศึกครั้งนี้เห็นจะหนักด้วย ฤๅษีทั้งสองทุศีลมาด้วยทั้งสองตน ศึกครั้งนี้คงจะหนักหน่วงนัก ขอเชิญท่าน ผู้เฒ่าจงร่วมศึกพร้อมกับข้าด้วยเถิด ลำพังข้าเองคงจะรับมือไม่ไหวเป็นแน่แท้” “หาเป็นอย่างไรไม่ท่านมหาอุปราชด้วย แม้นฤๅษีสองตนนี้มาซึ่งเก่งกล้าอาคมข้าก็หาได้หวั่นไหวใดๆไม่ ศึก ครั้งนี้ขอให้เป็นหน้าที่ของข้าเถิด” ท่านผู้เฒ่ากล่าว “หามิได้ที่ข้าเองต้องไปด้วยต่างจะได้ช่วยกัน หากเป็นฤๅษีตนเดียวก็คงจะไม่อาจรับมือท่านผู้เฒ่าได้แต่นี่มัน มาทีเดียวสองตนนะท่านผู้เฒ่า” ชายหนุ่มกล่าว “หากเป็นเจตนารมณ์ของท่านมหาอุปราชก็ไม่ขัดข้อง งั้นเราออกเดินทางทันที” ท่านผู้เฒ่ากล่าว ชายหนุ่มพลางหันไปทางสาวทั้งหกและแม่ทัพนายกองพลางสั่งว่า “การศึกครั้งนี้หาใช่ธรรมดาไม่ ขอให้แม่ทัพใหญ่จัดกองกำลังเตรียมพร้อมไว้ในที่ตั้ง และมอบทหารให้ข้าสัก สามร้อยนายที่จะไปร่วมรบกับข้า แต่ให้เหล่าทหารเมือง ซิตเว หล่อยก่อ ปะอาน ซึ่งล้วนแล้วแต่ชำนาญอาวุธยา พิษทั้งสิ้นเป็นทัพหน้าคอยหยั่งเชิงให้จัดกำลังจากเมืองทั้งสามอย่างละร้อยคนพร้อมอาวุธที่ชุบด้วยยาพิษและธนู หน้าไม้ต่างๆ ไปกับข้าและท่านผู้เฒ่าด้วย” ครั้นแม่ทัพใหญ่ทราบดังนั้นก็หันไปสั่งแม่ทัพยังเมืองทั้งสามให้ถือปฏิบัติทันที เหล่าแม่ทัพทั้งสามเมืองต่าง รับคำและออกไปคัดทหารที่เชี่ยวชาญอาวุธพิษอย่างละร้อยนาย เมื่อชายหนุ่มหันไปสั่งแม่นางทั้งหกว่าอย่าได้ติด ตามเราเลยให้เพียงคอยดูอยู่บนค่ายเท่านั้นห้ามติดตามไปเด็ดขาด เมื่อสั่งทหารทั้งหลายให้จัดเตรียมทัพรออยู่นอก ค่ายแล้วสั่งให้ลั่นกลองรบทันที พร้อมทั้งท่านผู้เฒ่าเจ้าลิงขนทองขนขาวทะยานเจ้าสีเทาออกนำทหารสามร้อยนายเคียงคู่ไปกับท่านผู้เฒ่า เจ้าลิงทั้งสอง ออกไปเผชิญหน้ากับเหล่าทหารซึ่งนำโดยแม่ทัพเมืองอิสราวดี เมื่อต่างเผชิญหน้ากัน ฤๅษีทั้งสองด้านซ้ายมือคือฤๅษี อิกาวะแห่งป่าพฤกษ์มาระ ขวามือฤๅษี ปัญจนราแห่งเทือกเขาพิคะเวนศรี ก็ออกมาด้านหน้าของกองทัพอิสราวดีทันที ทั้งสองเมื่อเห็นเป็นชายหนุ่มกับผู้ชราต่างก็หัวร่อกันลั่นสนั่น สนามรบ ต่างก็ไม่พูดจาประการใด ฤๅษีทั้งสองต่างร่ายพระเวทย์ทันทีพลางโยนสิ่งของขึ้นไปในอากาศ ท้องฟ้าที่สว่าง แจ้งก็พลันมืดมิดด้วยปรากฏพายุพัดกระหน่ำเข้าสู่กองทัพของชายหนุ่มและท่านผู้เฒ่าทันที ท่านผู้เฒ่าหัวร่อร่าพลางร่ายพระเวทย์สะบัดมือขึ้นไปยังท้องฟ้าทันใด ท้องฟ้าที่ประกอบด้วยความมืดมิดและ พายุก็หายไปทันที ยังเหลือบนท้องฟ้าล้วนแต่เป็นนกรูปร่างใหญ่โตมโหฬารเต็มไปหมด ชายหนุ่มพลางล้วงไป ในย่ามหยิบขนนกวายุภักดิ์พลางร่ายพระเวทย์แล้วโยนขึ้นไปในอากาศ ปรากฏร่างนกพญาวายุภักดิ์จำนวนมาก โผขึ้นเข้าต่อสู้กับบรรดานกยักษ์ทันใด แต่อำนาจของนกพญาวายุภักดิ์มีมากมายข่มอำนาจของนกยักษ์ต่างๆเสีย สิ้นเสื้อคลุมร่างของชายหนุ่มก็เปล่งรังสีกระจายไปทั่วๆกลายเป็นบรรดานกวายุภักดิ์เข้าจู่โจมบรรดาทหารของ เมืองอิสราวดีทันทีต่างพ่นไฟออกจากปากนกพญาวายุภักดิ์เผาผลาญเหล่าทหารแม่ทัพนายกองล้มตายไปเสียเป็น ส่วนใหญ่ บ้างก็ร้องโหยหวนด้วยเพลิงได้ลุกไหมบรรดาเสื้อผ้าทำให้กองทัพจำนวนมากมายแตกกระจายทันที ฝ่ายฤๅษีทั้งสองเห็นดังนั้นก็ให้ตกใจเป็นกำลังไม่คิดว่าชายหนุ่มกับผู้เฒ่านี้จะแก้ไขสิ่งของของมันได้ มัน รีบล้วงไปในย่ามของมัน พลันหยิบกระดิ่งกับ ลูกประคำออกมาเสกแล้วโยนขึ้นฟ้าไปทันที กระดิ่งพลันขยาย ออกใหญ่ส่งเสียงดังกังวานสะเทือนเลื่อนลั่นทำให้บรรดาทหารของชายหนุ่มต่างรีบปิดหูทั้งสองทันทีร่างทรุดกาย ลง ผู้เฒ่าและชายหนุ่มเห็นดังนั้นก็ต่างล้วงประคำและก้อนแก้วสีแดงออกมาภาวนาเวทย์มนต์แล้วโยนไปบน ท้องฟ้าทันใดนั้นเอง ประคำของผู้เฒ่าก็กลายเป็นระฆังใบใหญ่เข้าครอบยังกระดิ่งของเจ้าฤๅษีแห่งป่าพฤกษ์มาระ แล้วเสียงดังของกระดิ่งก็หายไปเสียงระเบิดภายในระฆังใบยักษ์สะท้านสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่ว ส่วนประคำของฤๅษีปัญจะนราแห่งเทือกเขาพิคะเวนศรีก็กลายเป็นลูกไฟพุ่งตรงไปยังร่างชายหนุ่มและผู้เฒ่า กับบรรดาทหารฝ่ายชายหนุ่ม แต่ก้อนแก้วสีแดงนั้นพลันกลัยกลายเป็นกระบองจำนวนมากมายฉีดน้ำสีแดงดัง สายเลือดเข้าใส่ยังบรรดาลูกไฟทั้งหลายดับสิ้นแล้วกระบองนั้นก็ทุบตีลูกประคำของฤๅษีที่แยกตัวออกเป็นเม็ดๆ รวมตัวเพื่อกลับคืนสู่เจ้าของ ก็พลันแตกกระจายไปเสียสิ้น ครั้นทำลายแล้วก็กลายเป็นก้อนแก้วหวนมายังชายหนุ่มอีกครั้ง ชายหนุ่มจึงนำเก็บไว้ในย่ามแล้วหันไปสั่งทหารให้ยิงธนูไปยังฤาษีทั้งสองและทหาร ที่เหลือของเมืองอิสราวดีทันที บรรดาเหล่าทหารของเมืองซิตเว เมืองหล่อยก่อ เมืองปะอาน บรรดาลูกธนูลูกหน้าไม้ต่างๆที่ล้วน อาบยาพิษก็พุ่งเข้าใส่ยังร่างฤๅษีและบรรดาทหารแม่ทัพใหญ่ ต่างล้มตายแม้กระทั่งแม่ทัพใหญ่เมือง อิสราวดีก็สิ้นชีวิตไปหมด ลูกธนูต้องร่างของฤๅษีทุศีลหาได้ทำอันตรายใดๆไม่ ผู้เฒ่าพลางร่ายพระเวทย์เป่า ไปยังร่างฤๅษีทั้งสองเพื่อคัดขจัดมนต์ตราที่ทำให้ร่างอยู่ยงคงกะพันทันที ทำให้บรรดาลูกธนูอาบยาพิษ ของฝ่ายทหารชายหนุ่มต้องร่างฤๅษีทั้งสองล้มตายด้วยยาพิษตกจากหลังม้าขาดใจตายทันที บรรดาทหารที่ส่งมาต่างไม่มีผู้ใดเล็ดรอดกลับเข้าเมืองได้แม้สักผู้เดียว ทำให้ทหารที่เห็นบนกำแพงตกใจสิ้น ส่วนด้านบนท้องฟ้านกวายุภักดิ์ต่างก็เข้าต่อสู้กับนกยักษ์ต่างๆและสังหารไปจนหมด แล้วพุ่งกลับลงมา หาชายหนุ่มกลายเป็นขนนกวายุภักดิ์สู่มือชายหนุ่มทันที ชายหนุ่มยกขนนกจูบเบาๆแล้วนำเก็บใส่ย่าม แล้วควบ ม้าไปยังร่างฤๅษีทั้งสองตัดคอออก แล้วขี่ม้าชูไปยังกำแพงเมืองซึ่งเจ้ามหาอำมาตย์ทรยศยืนมองดูอยู่บนเชิงเทิน กำแพง ต่างตกใจสั่งให้เหล่าทหารพลธนูทุกๆคนเตรียมพร้อม แต่ชายหนุ่มหาได้เข้าใกล้กำแพงเมืองใดไม่กลับ นำหัวของฤๅษีทั้งสองขว้างไปด้วยกำลังมหาศาลอันเกิดจากดีของพญางูยักษ์ที่ดื่มกินไป หัวเจ้าฤๅษีทั้งสองหัว ก็ลอยข้ามกำแพงเข้าไปยังในเมืองทันที ส่วนร่างฤๅษีที่ปราศจากหัวและเหล่าแม่ทัพใหญ่นายกองทหารทั้งหลายก็ปล่อยทิ้งไว้ในสนามรบหาได้สนใจ ใยดีไม่ แล้วสั่งให้ทหารพลธนูทั้งหลายกลับยังค่ายพัก ทำให้บรรดามหาอำมาตย์ที่ปรึกษาใหญ่ตลอดจนแม่ทัพ นายกองทั้งหลายพึ่งทราบแน่แก่ใจว่า เหตุไฉนท่านมหาอุปราชจึงไม่สั่งให้พวกเขาเข้าโจมตีเมืองอิสราวดีนั้น ก็ด้วยเหตุดั่งนี้ ทหารของชายหนุ่มต่างส่งเสียงโห่ร้องกันดังลั่นสนั่นเข้าไปในเมือง ข่าวดังกล่าวก็ล่วงรู้ไปยัง แม่ทัพนายกองทั้งหลายที่ล้อมเมืองทั้งสี่ด้าน ที่ไม่ได้เห็นต่างเสียดายไปตามๆกัน ครั้นมังสุระบดีอำมาตย์กบฏเข้าไปหาอาจารย์มันทั้งสองพร้อมรายงานให้ทราบถึงเรื่องราวต่างๆของการ ต่อสู้แก่ นักพรตและนักบวชทราบ มันทั้งสองต่างมองหน้ากันทำตาปริบๆครั้นจะปลีกตัวหรือก็ให้ละอายแก่ใจ มันยิ่งนัก ด้วยทราบว่าหากนับด้วยแล้ว ฤๅษีทั้งสองนั้นมีอิทธิฤทธิ์กว่ามันทั้งสองมากนักที่ไม่รับอาสาออกไปก็ เชื่อมั่นว่าฤๅษีทั้งสองคงจะต้องปราบศัตรูได้อย่างราบคาบถึงได้ให้แม่ทัพใหญ่แห่งเมืองอิสราวดีนำกำลังพลอัน มากมายออกไป ครั้นชนะแล้วก็จะได้โจมตีค่ายใหญ่ ครั้นมันจะปฏิเสธหรือก็ใช่ที่เดี๋ยวศิษย์มันจะว่ากล่าวได้ นอกจากอ้ำอึ้งไป ครั้นตัดใจได้แล้วก็แจ้งแก่ศิษย์มันว่าพรุ่งนี้จะออกรบด้วยกัน พลางให้จัดสถานที่บูชาตั้งขึ้นเพื่อมันจะได้ ทำพิธีอีกครั้งหนึ่ง ดังนั้นเจ้าเมืองใหม่แห่งอิสราวดีก็จัดหาสิ่งของที่มันทั้งสองประสงค์ได้แล้วก็รีบออกไปเรียก เหล่าอำมาตย์แม่ทัพนายกองทั้งหลายที่เข้าข้างมันอยู่ประชุมต่อไปเพื่อหาทางป้องกันเมือง ฝ่ายมหาอำมาตย์ก็ เอ่ยขึ้น “การณ์ครั้งนี้เราควรจะปกป้องแต่ในเมืองไว้ก่อนหากมาดแม้นว่า ท่านอาจารย์ทั้งสองพ่ายแพ้ อีกก็จะให้ตีฝ่าวงล้อมออกไป หาทางมายึดเมืองต่อไปจะดีหรือเปล่าพระเจ้าข้า” “ข้าเองก็คิดเช่นนั้นเหมือนกันว่าหากการต่อสู้วันพรุ่งนี้เกิดพ่ายแพ้อีกเห็นทีจะต้องหาทางตีฝ่าวงล้อมออกไป” เจ้าเมืองทรยศกล่าว “แต่รองแม่ทัพใหญ่พลางกล่าวว่าบัดนี้ทหารทั้งปวงต่างขวัญเสียไปเกือบหมดแล้ว เหลือเพียงทหารที่ยัง ซื่อสัตย์เท่านั้นพระเจ้าข้า” “ช่างหัวมันเถิดเป็นอย่างนี้ใครเล่าจะไม่เสียขวัญ แต่เราพยายามปลุกปลอบขวัญกำลังใจให้แก่พวกมัน ว่าหากได้ชัยชนะจะกำนัลด้วยของขวัญมีค่าอย่างงามเพื่อล่อใจพวกทหารทั้งหลายไว้” เจ้าเมืองทรยศกล่าวขึ้น “ข้าพระองค์จะติดตามพระองค์ไปทุกๆหนแห่งพระเจ้าข้า และจะออกไปปลอบขวัญเหล่าทหารทั้งปวง ให้ทราบพระเจ้าข้า” รองแม่ทัพใหญ่มังสุรศรีกล่าวรายงาน “ถ้าอย่างงั้นข้าเองขอแต่งตั้งเจ้าขึ้นดำรงแม่ทัพใหญ่แทนมังละสุทีก็แล้วกัน ให้เจ้ารีบไปจัดการได้” “พระเจ้าข้า ข้าพระองค์จะไปดำเนินการตามรับสั่งทันที” กล่าวเสร็จก็ถอยออกมาแล้วไปแจ้งแก่ บรรดาทหารทั้งปวงถึงการรับสั่งของเจ้าเมือง ทำให้บรรดาทหารทรยศต่างดีใจกันทั่วถ้วนหน้า ครั้นวันรุ่งขึ้นทางเมืองอิสราวดีก็เคลื่อนกำลังพลทหารออกมานำโดยมังสุรศรีแม่ทัพใหญ่ประกอบด้วย นักพรตชีวะกะแห่งขุนเขาจิระเวคิน และนักบวชแห่งขุนเขาบุระกะ ออกขี้ม้านำหน้ามายังสนามรบทันที ด้านชายหนุ่มกับท่านผู้เฒ่าก็นำทหารแห่งเมือง ซิตเว ปะอาน และเมืองหล่อยก่อออกมาดังเดิม และยัง สั่งทหารทั้งปวงว่า หากการครั้งนี้สำเร็จเหมือนดั่งเดิม ก็ให้สั่งให้บรรดาทหารทั้งหลายที่รายล้อมเมืองเตรียม กำลังพลให้พร้อมเพื่อจะได้ตีเมืองอิสราวดีต่อไป............. * แก้วประเสริฐ. *
15 มีนาคม 2553 15:04 น. - comment id 115804
กะว่าให้ครูแก้วลงเยอะๆ แล้วอ่านรวดเดียว อิอิ ลงรวดเดียวตามคาดด้วยครับ ขอไปอ่านตั้งแต่ตอนที่48 ครับ
15 มีนาคม 2553 21:32 น. - comment id 115810
คุณ กิ่งโศก ศิษย์รักเรา ครูเร่งมือว่าจะให้ยาวๆอีกหน่อย แต่คิดว่า พอสักทีนี้ก็ใกล้ๆจะจบแล้วล่ะ รักเสมอ แก้วประเสริฐ.