ลุ่มลึกอิสราวดี 55

แก้วประเสริฐ


                 ลุ่มลึกอิสราวดี  55
     ครั้นเข้าที่ประชุมบรรดาอำมาตย์ขุนทัพนายกองก็แสดงความคาราวะ    ชายหนุ่มกล่าวขอโทษที่
มาล่าช้าไป  แล้วนั่งลงบนเก้าอี้พลางถามทันที
     “ตอนนี้เหตุการณ์เป็นอย่างไรบ้าง  ทหารเราทุกๆนายขวัญกำลังใจเป็นอย่างไร”
     “บรรดาทหารเราต่างมีขวัญกำลังใจดีเยี่ยมพระเจ้าข้า”   แม่ทัพใหญ่กล่าวขึ้น
     “ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว  แล้วเสบียงทางเราล่ะขาดแคลนหรือไม่”
     “เรื่องเสบียงนั้นไม่เป็นปัญหาหรอกพระเจ้าข้า บรรดาแว่นแคว้นต่างๆส่งมาเหลือเฟือ ยังได้จัดมอบ
ให้บรรดาประชาชนชาวเมืองอิสราวดีและเหล่าทหารหาญอุดมสมบูรณ์พระเจ้าข้า”  อำมาตย์ใหญ่ตอบ
      “ดีแล้วล่ะขอบใจพวกท่านทั้งหลายมาก  ให้ความเมตตาอย่าได้คิดว่าเป็นพวกศัตรูเราเถิด คิดว่าเป็น
พวกเดียวกันก็แล้วกัน “
      “ทูลท่านมหาอุปราชว่า มีขุนทัพนายกองทางอิสราวดีนั้นใคร่ที่จะขอเข้าสู่สงครามด้วย  เพราะไม่
ชอบบรรดาเหล่าเจ้าเมืองใหม่และมวลมหาอำมาตย์และขุนทัพนายกองบางคน  ด้วยบัดนี้เขาทั้งหลาย
ได้นำครอบครัวให้หนีออกจากเมืองมาหาฝ่ายเราแล้วพระเจ้าข้า”
       “ถ้าเป็นอย่างงั้นได้ก็ยิ่งดีใหญ่นะ   ทางเขาจะได้ไม่ต้องกังวลต่อครอบครัวและจะทำงานให้เราโดย
ไม่ต้องห่วง  แต่ท่านทั้งหลายด้วยทางฝ่ายกบฏนั้นบรรดาอาจารย์มันหาใช่บุคคลธรรมดาไม่ล้วนประกอบ
ด้วยอาวุธและเวทย์มนต์ที่ทางฝ่ายเราย่อมจะไม่อาจจะต้านทานได้เพราะไม่ใช่การรบพุ่งธรรมดาเลย  แล้ว
ท่านผู้เฒ่า มังมหาสุรเดชาธิบดีระหว่างนี้ถึงที่ใดแล้วล่ะท่านมหาอำมาตย์ที่ปรึกษาใหญ่”  ชายหนุ่มถาม
     บัดดลทหารที่เฝ้ารักษาการณ์ก็เข้ามารายงานว่า มีผู้เฒ่าคนหนึ่งขอเข้าเฝ้าพระเจ้าข้า”
ชายหนุ่มทราบทันทีว่าเป็นบุคคลใดก็แสนจะดีใจ   จึงลุกจากเก้าอี้นั่งแล้วรีบเดินตามทหารออกไปทันที
เมื่อพบชายหนุ่มรีบทำความเคารพ   พร้อมกับเชิญเข้าไปยังที่ประชุมเพื่อปรึกษากัน   เมื่อชายหนุ่มนำหน้า
ท่านผู้เฒ่าแล้วให้ทหารนำเก้าอี้มานั่งเคียงคู่พร้อมแนะนำเหล่าอำมาตย์และขุนทัพนายกองทั้งหลายว่า
     “นี่คือท่านผู้เฒ่ามังมหาสุรเดชาธิบดีพระสหายพระบิดาที่เลี้ยงดูเราตลอดจนฝึกปรือฝีมือต่างๆให้”
       ดังนั้นบรรดาอำมาตย์และขุนทัพนายกองต่างลุกขึ้นยืนแสดงความคาราวะท่านผู้เฒ่าทันที  
     “ข้าขอขอบใจท่านทั้งหลายที่ให้เกียรติแก่เราทั้งหลายยิ่งนักที่ให้เกียรติแก่เรามาก  เรารีบเดินทางมา
และให้เจ้าขาวนำพวกเดินทางล่วงหน้ามาก่อน  หากข้าเองจะช่วยเหลืออะไรขอท่านทั้งหลายอย่างได้เกรงใจ
บอกแก่ข้าได้เถิด”  ผู้เฒ่าพลางน้อมรับคาราวะตอบ
      “บัดนี้สิ่งที่ข้ารอคอยได้มาครบเรียบร้อยแล้ว  ปัญหาที่ข้าเองกังวลก็หมดสิ้นไป  นับต่อไปนี้เห็นทีได้
เวลาจะต้องบุกโจมตีเมืองอิสราวดีให้แก่แม่นางอิศวรดีนารีมาถึงแล้ว  ขอให้ท่านทุกๆคนเตรียมตัวได้แล้ว
ตามที่ท่านมหาอำมาตย์ที่ปรึกษาใหญ่ได้แจ้งแก่ท่านทั้งหลาย   หากท่านใดสงสัยจงกล่าวขึ้นมาได้เลย”
       บรรดาขุนทัพนายกองทั้งหลายต่างกล่าวพร้อมเพรียงกันว่าไม่มีสิ่งใดพร้อมจะเข้าสู่สงครามได้ทุกเวลา
หากพระมหาอุปราชสั่งการมา
      ชายหนุ่มหันมาทางแม่นางอิศวรดีนารีพลางกล่าวขึ้นว่า
      “ข้าเองก่อนสงครามจะบังเกิดขึ้นขอให้พระแม่เจ้าจงติดตามข้า เพื่อเดินทางไปเลียบกำแพงเมืองเพื่อ
ให้บรรดาเหล่าทหารเมืองอิสราวดีได้พบว่า พระแม่เจ้าแห่งเมืองอิสราวดียังอยู่แล้วมาตีเมืองเพื่อกู้ราชบัลลังก์
คืนด้วยทราบจากฝ่ายในเมืองว่าทหารทั้งหลายได้เกิดการแตกออกซึ่งกันและกันแล้ว”
      “หากเป็นพระประสงค์ของท่านมหาอุปราชข้าเองก็ไม่ขัดข้องแต่ประการใดเพค่ะ”  แม่นางอิศวรดีนารีกล่าว
      ทันใดนั้นเสียงกลองศึกได้ดังกังวานขึ้นมา  
    “ทหารได้มารายงานว่ามีกองทัพยกออกจากเมืองมาจำนวนมากนำโดยแม่ทัพใหญ่พร้อมด้วย ฤๅษีสองรูปนำทัพมาเองพระเจ้าข้า”
     ชายหนุ่มหันมาทางท่านผู้เฒ่าพลางเอ่ยขึ้นว่า
       “การศึกครั้งนี้เห็นจะหนักด้วย ฤๅษีทั้งสองทุศีลมาด้วยทั้งสองตน ศึกครั้งนี้คงจะหนักหน่วงนัก  ขอเชิญท่าน
ผู้เฒ่าจงร่วมศึกพร้อมกับข้าด้วยเถิด ลำพังข้าเองคงจะรับมือไม่ไหวเป็นแน่แท้”
     “หาเป็นอย่างไรไม่ท่านมหาอุปราชด้วย แม้นฤๅษีสองตนนี้มาซึ่งเก่งกล้าอาคมข้าก็หาได้หวั่นไหวใดๆไม่  ศึก
ครั้งนี้ขอให้เป็นหน้าที่ของข้าเถิด” ท่านผู้เฒ่ากล่าว
        “หามิได้ที่ข้าเองต้องไปด้วยต่างจะได้ช่วยกัน หากเป็นฤๅษีตนเดียวก็คงจะไม่อาจรับมือท่านผู้เฒ่าได้แต่นี่มัน
มาทีเดียวสองตนนะท่านผู้เฒ่า” ชายหนุ่มกล่าว
        “หากเป็นเจตนารมณ์ของท่านมหาอุปราชก็ไม่ขัดข้อง  งั้นเราออกเดินทางทันที”  ท่านผู้เฒ่ากล่าว
      ชายหนุ่มพลางหันไปทางสาวทั้งหกและแม่ทัพนายกองพลางสั่งว่า
    “การศึกครั้งนี้หาใช่ธรรมดาไม่  ขอให้แม่ทัพใหญ่จัดกองกำลังเตรียมพร้อมไว้ในที่ตั้ง  และมอบทหารให้ข้าสัก
สามร้อยนายที่จะไปร่วมรบกับข้า แต่ให้เหล่าทหารเมือง ซิตเว  หล่อยก่อ ปะอาน ซึ่งล้วนแล้วแต่ชำนาญอาวุธยา
พิษทั้งสิ้นเป็นทัพหน้าคอยหยั่งเชิงให้จัดกำลังจากเมืองทั้งสามอย่างละร้อยคนพร้อมอาวุธที่ชุบด้วยยาพิษและธนู
หน้าไม้ต่างๆ  ไปกับข้าและท่านผู้เฒ่าด้วย”
      ครั้นแม่ทัพใหญ่ทราบดังนั้นก็หันไปสั่งแม่ทัพยังเมืองทั้งสามให้ถือปฏิบัติทันที  เหล่าแม่ทัพทั้งสามเมืองต่าง
รับคำและออกไปคัดทหารที่เชี่ยวชาญอาวุธพิษอย่างละร้อยนาย   เมื่อชายหนุ่มหันไปสั่งแม่นางทั้งหกว่าอย่าได้ติด
ตามเราเลยให้เพียงคอยดูอยู่บนค่ายเท่านั้นห้ามติดตามไปเด็ดขาด  เมื่อสั่งทหารทั้งหลายให้จัดเตรียมทัพรออยู่นอก
ค่ายแล้วสั่งให้ลั่นกลองรบทันที    
       พร้อมทั้งท่านผู้เฒ่าเจ้าลิงขนทองขนขาวทะยานเจ้าสีเทาออกนำทหารสามร้อยนายเคียงคู่ไปกับท่านผู้เฒ่า
เจ้าลิงทั้งสอง   ออกไปเผชิญหน้ากับเหล่าทหารซึ่งนำโดยแม่ทัพเมืองอิสราวดี เมื่อต่างเผชิญหน้ากัน 
ฤๅษีทั้งสองด้านซ้ายมือคือฤๅษี อิกาวะแห่งป่าพฤกษ์มาระ ขวามือฤๅษี ปัญจนราแห่งเทือกเขาพิคะเวนศรี  
ก็ออกมาด้านหน้าของกองทัพอิสราวดีทันที  ทั้งสองเมื่อเห็นเป็นชายหนุ่มกับผู้ชราต่างก็หัวร่อกันลั่นสนั่น
สนามรบ  
      ต่างก็ไม่พูดจาประการใด  ฤๅษีทั้งสองต่างร่ายพระเวทย์ทันทีพลางโยนสิ่งของขึ้นไปในอากาศ ท้องฟ้าที่สว่าง
แจ้งก็พลันมืดมิดด้วยปรากฏพายุพัดกระหน่ำเข้าสู่กองทัพของชายหนุ่มและท่านผู้เฒ่าทันที
      ท่านผู้เฒ่าหัวร่อร่าพลางร่ายพระเวทย์สะบัดมือขึ้นไปยังท้องฟ้าทันใด   ท้องฟ้าที่ประกอบด้วยความมืดมิดและ
พายุก็หายไปทันที   ยังเหลือบนท้องฟ้าล้วนแต่เป็นนกรูปร่างใหญ่โตมโหฬารเต็มไปหมด   ชายหนุ่มพลางล้วงไป
ในย่ามหยิบขนนกวายุภักดิ์พลางร่ายพระเวทย์แล้วโยนขึ้นไปในอากาศ   ปรากฏร่างนกพญาวายุภักดิ์จำนวนมาก
โผขึ้นเข้าต่อสู้กับบรรดานกยักษ์ทันใด   แต่อำนาจของนกพญาวายุภักดิ์มีมากมายข่มอำนาจของนกยักษ์ต่างๆเสีย
สิ้นเสื้อคลุมร่างของชายหนุ่มก็เปล่งรังสีกระจายไปทั่วๆกลายเป็นบรรดานกวายุภักดิ์เข้าจู่โจมบรรดาทหารของ
เมืองอิสราวดีทันทีต่างพ่นไฟออกจากปากนกพญาวายุภักดิ์เผาผลาญเหล่าทหารแม่ทัพนายกองล้มตายไปเสียเป็น
ส่วนใหญ่ บ้างก็ร้องโหยหวนด้วยเพลิงได้ลุกไหมบรรดาเสื้อผ้าทำให้กองทัพจำนวนมากมายแตกกระจายทันที
        ฝ่ายฤๅษีทั้งสองเห็นดังนั้นก็ให้ตกใจเป็นกำลังไม่คิดว่าชายหนุ่มกับผู้เฒ่านี้จะแก้ไขสิ่งของของมันได้ มัน
รีบล้วงไปในย่ามของมัน   พลันหยิบกระดิ่งกับ ลูกประคำออกมาเสกแล้วโยนขึ้นฟ้าไปทันที   กระดิ่งพลันขยาย
ออกใหญ่ส่งเสียงดังกังวานสะเทือนเลื่อนลั่นทำให้บรรดาทหารของชายหนุ่มต่างรีบปิดหูทั้งสองทันทีร่างทรุดกาย
ลง    ผู้เฒ่าและชายหนุ่มเห็นดังนั้นก็ต่างล้วงประคำและก้อนแก้วสีแดงออกมาภาวนาเวทย์มนต์แล้วโยนไปบน
ท้องฟ้าทันใดนั้นเอง ประคำของผู้เฒ่าก็กลายเป็นระฆังใบใหญ่เข้าครอบยังกระดิ่งของเจ้าฤๅษีแห่งป่าพฤกษ์มาระ
แล้วเสียงดังของกระดิ่งก็หายไปเสียงระเบิดภายในระฆังใบยักษ์สะท้านสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่ว
      ส่วนประคำของฤๅษีปัญจะนราแห่งเทือกเขาพิคะเวนศรีก็กลายเป็นลูกไฟพุ่งตรงไปยังร่างชายหนุ่มและผู้เฒ่า
กับบรรดาทหารฝ่ายชายหนุ่ม  แต่ก้อนแก้วสีแดงนั้นพลันกลัยกลายเป็นกระบองจำนวนมากมายฉีดน้ำสีแดงดัง
สายเลือดเข้าใส่ยังบรรดาลูกไฟทั้งหลายดับสิ้นแล้วกระบองนั้นก็ทุบตีลูกประคำของฤๅษีที่แยกตัวออกเป็นเม็ดๆ
รวมตัวเพื่อกลับคืนสู่เจ้าของ  ก็พลันแตกกระจายไปเสียสิ้น  ครั้นทำลายแล้วก็กลายเป็นก้อนแก้วหวนมายังชายหนุ่มอีกครั้ง ชายหนุ่มจึงนำเก็บไว้ในย่ามแล้วหันไปสั่งทหารให้ยิงธนูไปยังฤาษีทั้งสองและทหาร
ที่เหลือของเมืองอิสราวดีทันที
    บรรดาเหล่าทหารของเมืองซิตเว เมืองหล่อยก่อ เมืองปะอาน บรรดาลูกธนูลูกหน้าไม้ต่างๆที่ล้วน
อาบยาพิษก็พุ่งเข้าใส่ยังร่างฤๅษีและบรรดาทหารแม่ทัพใหญ่ ต่างล้มตายแม้กระทั่งแม่ทัพใหญ่เมือง
อิสราวดีก็สิ้นชีวิตไปหมด  ลูกธนูต้องร่างของฤๅษีทุศีลหาได้ทำอันตรายใดๆไม่  ผู้เฒ่าพลางร่ายพระเวทย์เป่า
ไปยังร่างฤๅษีทั้งสองเพื่อคัดขจัดมนต์ตราที่ทำให้ร่างอยู่ยงคงกะพันทันที  ทำให้บรรดาลูกธนูอาบยาพิษ
ของฝ่ายทหารชายหนุ่มต้องร่างฤๅษีทั้งสองล้มตายด้วยยาพิษตกจากหลังม้าขาดใจตายทันที 
  บรรดาทหารที่ส่งมาต่างไม่มีผู้ใดเล็ดรอดกลับเข้าเมืองได้แม้สักผู้เดียว  ทำให้ทหารที่เห็นบนกำแพงตกใจสิ้น
        ส่วนด้านบนท้องฟ้านกวายุภักดิ์ต่างก็เข้าต่อสู้กับนกยักษ์ต่างๆและสังหารไปจนหมด   แล้วพุ่งกลับลงมา
หาชายหนุ่มกลายเป็นขนนกวายุภักดิ์สู่มือชายหนุ่มทันที  ชายหนุ่มยกขนนกจูบเบาๆแล้วนำเก็บใส่ย่าม  แล้วควบ
ม้าไปยังร่างฤๅษีทั้งสองตัดคอออก  แล้วขี่ม้าชูไปยังกำแพงเมืองซึ่งเจ้ามหาอำมาตย์ทรยศยืนมองดูอยู่บนเชิงเทิน
กำแพง ต่างตกใจสั่งให้เหล่าทหารพลธนูทุกๆคนเตรียมพร้อม   แต่ชายหนุ่มหาได้เข้าใกล้กำแพงเมืองใดไม่กลับ
นำหัวของฤๅษีทั้งสองขว้างไปด้วยกำลังมหาศาลอันเกิดจากดีของพญางูยักษ์ที่ดื่มกินไป   หัวเจ้าฤๅษีทั้งสองหัว
ก็ลอยข้ามกำแพงเข้าไปยังในเมืองทันที
       ส่วนร่างฤๅษีที่ปราศจากหัวและเหล่าแม่ทัพใหญ่นายกองทหารทั้งหลายก็ปล่อยทิ้งไว้ในสนามรบหาได้สนใจ
ใยดีไม่   แล้วสั่งให้ทหารพลธนูทั้งหลายกลับยังค่ายพัก   ทำให้บรรดามหาอำมาตย์ที่ปรึกษาใหญ่ตลอดจนแม่ทัพ
นายกองทั้งหลายพึ่งทราบแน่แก่ใจว่า   เหตุไฉนท่านมหาอุปราชจึงไม่สั่งให้พวกเขาเข้าโจมตีเมืองอิสราวดีนั้น
ก็ด้วยเหตุดั่งนี้   ทหารของชายหนุ่มต่างส่งเสียงโห่ร้องกันดังลั่นสนั่นเข้าไปในเมือง  ข่าวดังกล่าวก็ล่วงรู้ไปยัง
แม่ทัพนายกองทั้งหลายที่ล้อมเมืองทั้งสี่ด้าน  ที่ไม่ได้เห็นต่างเสียดายไปตามๆกัน
       ครั้นมังสุระบดีอำมาตย์กบฏเข้าไปหาอาจารย์มันทั้งสองพร้อมรายงานให้ทราบถึงเรื่องราวต่างๆของการ
ต่อสู้แก่ นักพรตและนักบวชทราบ   มันทั้งสองต่างมองหน้ากันทำตาปริบๆครั้นจะปลีกตัวหรือก็ให้ละอายแก่ใจ
มันยิ่งนัก  ด้วยทราบว่าหากนับด้วยแล้ว ฤๅษีทั้งสองนั้นมีอิทธิฤทธิ์กว่ามันทั้งสองมากนักที่ไม่รับอาสาออกไปก็
เชื่อมั่นว่าฤๅษีทั้งสองคงจะต้องปราบศัตรูได้อย่างราบคาบถึงได้ให้แม่ทัพใหญ่แห่งเมืองอิสราวดีนำกำลังพลอัน
มากมายออกไป  ครั้นชนะแล้วก็จะได้โจมตีค่ายใหญ่   ครั้นมันจะปฏิเสธหรือก็ใช่ที่เดี๋ยวศิษย์มันจะว่ากล่าวได้
นอกจากอ้ำอึ้งไป
      ครั้นตัดใจได้แล้วก็แจ้งแก่ศิษย์มันว่าพรุ่งนี้จะออกรบด้วยกัน  พลางให้จัดสถานที่บูชาตั้งขึ้นเพื่อมันจะได้
ทำพิธีอีกครั้งหนึ่ง   ดังนั้นเจ้าเมืองใหม่แห่งอิสราวดีก็จัดหาสิ่งของที่มันทั้งสองประสงค์ได้แล้วก็รีบออกไปเรียก
เหล่าอำมาตย์แม่ทัพนายกองทั้งหลายที่เข้าข้างมันอยู่ประชุมต่อไปเพื่อหาทางป้องกันเมือง ฝ่ายมหาอำมาตย์ก็
เอ่ยขึ้น
     “การณ์ครั้งนี้เราควรจะปกป้องแต่ในเมืองไว้ก่อนหากมาดแม้นว่า ท่านอาจารย์ทั้งสองพ่ายแพ้
อีกก็จะให้ตีฝ่าวงล้อมออกไป   หาทางมายึดเมืองต่อไปจะดีหรือเปล่าพระเจ้าข้า”
       “ข้าเองก็คิดเช่นนั้นเหมือนกันว่าหากการต่อสู้วันพรุ่งนี้เกิดพ่ายแพ้อีกเห็นทีจะต้องหาทางตีฝ่าวงล้อมออกไป”
เจ้าเมืองทรยศกล่าว
        “แต่รองแม่ทัพใหญ่พลางกล่าวว่าบัดนี้ทหารทั้งปวงต่างขวัญเสียไปเกือบหมดแล้ว  เหลือเพียงทหารที่ยัง
ซื่อสัตย์เท่านั้นพระเจ้าข้า”
        “ช่างหัวมันเถิดเป็นอย่างนี้ใครเล่าจะไม่เสียขวัญ   แต่เราพยายามปลุกปลอบขวัญกำลังใจให้แก่พวกมัน
ว่าหากได้ชัยชนะจะกำนัลด้วยของขวัญมีค่าอย่างงามเพื่อล่อใจพวกทหารทั้งหลายไว้”   เจ้าเมืองทรยศกล่าวขึ้น
         “ข้าพระองค์จะติดตามพระองค์ไปทุกๆหนแห่งพระเจ้าข้า  และจะออกไปปลอบขวัญเหล่าทหารทั้งปวง
ให้ทราบพระเจ้าข้า”  รองแม่ทัพใหญ่มังสุรศรีกล่าวรายงาน
         “ถ้าอย่างงั้นข้าเองขอแต่งตั้งเจ้าขึ้นดำรงแม่ทัพใหญ่แทนมังละสุทีก็แล้วกัน  ให้เจ้ารีบไปจัดการได้”
          “พระเจ้าข้า  ข้าพระองค์จะไปดำเนินการตามรับสั่งทันที”  กล่าวเสร็จก็ถอยออกมาแล้วไปแจ้งแก่
บรรดาทหารทั้งปวงถึงการรับสั่งของเจ้าเมือง  ทำให้บรรดาทหารทรยศต่างดีใจกันทั่วถ้วนหน้า
          ครั้นวันรุ่งขึ้นทางเมืองอิสราวดีก็เคลื่อนกำลังพลทหารออกมานำโดยมังสุรศรีแม่ทัพใหญ่ประกอบด้วย
นักพรตชีวะกะแห่งขุนเขาจิระเวคิน และนักบวชแห่งขุนเขาบุระกะ  ออกขี้ม้านำหน้ามายังสนามรบทันที
        ด้านชายหนุ่มกับท่านผู้เฒ่าก็นำทหารแห่งเมือง ซิตเว ปะอาน และเมืองหล่อยก่อออกมาดังเดิม  และยัง
สั่งทหารทั้งปวงว่า  หากการครั้งนี้สำเร็จเหมือนดั่งเดิม  ก็ให้สั่งให้บรรดาทหารทั้งหลายที่รายล้อมเมืองเตรียม
กำลังพลให้พร้อมเพื่อจะได้ตีเมืองอิสราวดีต่อไป.............
                 * แก้วประเสริฐ. *   

Cartoon_Animation_08.gifn016.gif				
comments powered by Disqus
  • กิ่งโศก

    15 มีนาคม 2553 15:04 น. - comment id 115804

    กะว่าให้ครูแก้วลงเยอะๆ แล้วอ่านรวดเดียว อิอิ
    
    ลงรวดเดียวตามคาดด้วยครับ
    
    ขอไปอ่านตั้งแต่ตอนที่48 ครับ
  • แก้วประเสริฐ

    15 มีนาคม 2553 21:32 น. - comment id 115810

    36.gif16.gif36.gif
    คุณ กิ่งโศก
    
       ศิษย์รักเรา  ครูเร่งมือว่าจะให้ยาวๆอีกหน่อย
    แต่คิดว่า พอสักทีนี้ก็ใกล้ๆจะจบแล้วล่ะ รักเสมอ
    
            16.gifแก้วประเสริฐ.16.gif

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน