ลุ่มลึกอิสราวดี 54
แก้วประเสริฐ
ลุ่มลึกอิสราวดี 54
ชายหนุ่มครั้นสั่งทหารทั้งสามร้อยนายให้หยุดแล้ว ก็บังคับเจ้าสีเทาให้เหยาะย่างอย่างช้าๆไปถึง
ยังเบื้องหน้าของนักพรตแห่งขุนเขาอูกะระ พลางพิจารณารูปร่างลักษณะเป็นคนร่างผ่ายผอมนัก
สะพายย่ามบนไหล่ซ้าย ครั้นเห็นดังนั้นจึงถามไปว่า
“การศึกสงครามนั้นหาใช่เป็นหน้าที่ของนักบวชเช่นท่านใยจึงไม่ถือศีลกินเจ มายุ่งเกี่ยวทำไมหรือ”
นักพรตครั้นได้ยินคำกล่าวเช่นนั้น พลันแหงนหน้าหัวร่อดังเสียงสนั่นแล้วตวาดไปว่า
“เอ๊ยๆๆๆ???... เจ้าหนุ่มปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมใยจึงจะมาตายเสียใยเล่า ให้ไปตามแม่ทัพใหญ่เจ้า
ออกมา เจ้ายังหนุ่มแน่นหรือว่าแม่ทัพเจ้ากลัวเราเสียหัวหดไปหมดแล้วรึ”
“อันไม่แม่ทัพใหญ่เรานั้นหาได้เกรงกลัวท่านนักพรตไป แต่ทว่าเห็นว่าเพียงแค่เราเองก็สามารถปราบ
เมื่อยามฆ่าควายใยต้องใช้มีดใหญ่ด้วยเล่า” ชายหนุ่มตอบ
ครั้นได้ยินชายหนุ่มกล่าวเช่นนั้น นักพรตทุศีลก็บังเกิดโทสะอย่างเกรี้ยวกราดยังนัก ที่เห็นเขาเป็นควาย
“เจ้าปากสามหาวนักเห็นเราเป็นควายไปหรือ นับประสาเจ้าเพียงแค่ฝ่ามือเดียวของเราก็สามารถฆ่าเจ้า
ได้แล้ว ยังมากล้าตีฝีปากแก่เราอีก”
“คนอย่างข้านั้นหากแม้นตายด้วยคนที่มีศีลธรรมเราเองก็ยินยอมพร้อมใจ แต่หากเป็นนักพรตทุศีลที่แม้
บัดนี้กลิ่นเหล้ายังคละคลุ้งมาอีก นี่หรือคำว่านักพรตข้าเองเห็นจะเปลี่ยนคำเรียกนักพรตว่าเป็นพวกเดรัชถีคง
จะเหมาะสมกว่ากระมัง ด้วยท่าทางท่านคล้ายสัตว์เลื้อยคลานเสียมากกว่าที่เขาเรียกกันว่าสัตว์เดรัชฉานไงเล่า”
คำพูดของชายหนุ่มยิ่งสร้างความกริ้วโกรธแก่นักพรตยิ่งนักถึงกับตัวสั่น มันสำรอกถ่อยคำหยาบคายออกมา
แล้ว พลางล้วงมือไปในย่ามพลางยกออกมาร่ายมนต์ พลางเป่ายังฝ่ามือตนเอง บัดดลฝ่ามือมันก็ใหญ่โตมโหฬาร
สิ่งที่มันขว้างออกมากลายเป็นดวงไฟมากมายพุ่งเข้าหาร่างชายหนุ่มทันที แต่ดวงไฟเหล่านั้นหาได้เข้าใกล้ร่าง
ของชายหนุ่มก็หาไม่ เพียงวนเวียนรายล้อมหมุนเป็นดุจกงจักร
ชายหนุ่มเห็นเช่นนั้นก็ยกมือขึ้นพนมพลางเป่าเข้าใส่ยังลูกไฟทันที บัดดลลูกไฟทั้งหลายก็ย้อนกลับไปใส่ร่าง
ของนักพรตทั้งสิ้น ไม่เท่านั้นยังเลยร่างนักพรตต่างพุ่งใส่ยังทหารที่ยืนเรียงรายไป ลูกไฟได้ไหม้เสื้อผ้าบรรดา
ทหารของเมืองอิสราวดีต่างร้องคร่ำครวญโหยหวน ร่างถูกเผาสิ้นชีวิตทันที บรรดาเหล่าทหารห้าร้อยคนก็แตก
กระจัดกระจายแยกออกไปทันที
นักพรตเห็นเช่นนั้นก็เป่ามนต์ทำให้ลุกไฟทั้งหลายดับมอดไปทันที พลางยกฝ่ามือทั้งสองอันใหญ่ปานภูเขา
ลูกย่อมๆฟาดมายังชายหนุ่มทันที ชายหนุ่มหักม้าเจ้าสีเทาซึ่งมีความจัดเจนรวดเร็วนักหลบหลีกฝ่ามือไปมา ฝ่าอัน
ใหญ่โตก็ฟาดยังพื้นดินเป็นรอยใหญ่โตฝุ่นตลบคลุ้งไปทั่ว มันรีบลงจากหลังม้าด้วยหากอยู่บนหลังม้าความคล่อง
แคล้วว่องไวก็จะน้อยลง มันเดินย่างเข้าหาชายหนุ่มร่างมันมาได้อย่างรวดเร็วนัก ชายหนุ่มเห็นเช่นนั้นก็พลัน
ล้วงในย่ามตนเอง คราวนี้เขาสวมเสื้อขนนกวายุภักดิ์ที่บรรดาแม่นางสอยเย็บให้เป็นอย่างดีก็ยกก้อนหินสีแดง
ฉานพลันร่ายมนต์แล้วขว้างไปยังฝ่ามือของนักพรตทุศีลทันที
บรรดาก้อนแก้วหินสีแดงก็พลันพุ่งเข้าหาฝ่ามือยักษ์ทั้งสองทะลุแล้วแตกกระจายออกด้วยอำนาจเวทย์มนต์
ที่ชายหนุ่มกำกับแตกแยกเป็นสะเก็ดชิ้นเล็กชิ้นน้อยพุ่งเข้าร่างของนักพรตทุศีลทะลุผ่านไปยังบรรดาเหล่าทหาร
ของเมืองอิสราวดี ต่างพากันล้มตายกันไปเกือบหมดสิ้น ฝ่ามือของนักพรตที่ใหญ่โตมโหฬารนั้นก็กลับเล็ก
ลงดังเดิมแต่มันได้แตกกระจายเหลือเพียงข้อมือทั้งสองเท่านั้น และร่างมันยังถูกแก้วสีแดงทะลุผ่านระเบิดจน
ร่างมันแยกชิ้นส่วนกระจายไปในอากาศและพื้นดินสิ้นชีวิตทันที
เมื่อเหล่าทหารของเมืองอิสราวดีที่รอดเหลืออยู่ต่างก็พากันหนีเข้าเมือง ส่วนทหารบนเชิงเทินกำแพงเมือง
เห็นเหตุการณ์เช่นนี้ก็ให้ต่างตกใจรีบเปิดประตูเมืองรับทหารพวกตนเข้าเมือง เมื่อนักพรตทุศีลสิ้นชีวิต
ไปแล้ว เหล่าทหารที่เหลือรอดมาได้ไม่กี่คนก็รีบไปรายงานให้แม่ทัพใหญ่ทราบ แม่ทัพใหญ่ที่ยืนบนเชิงเทิน
พร้อมด้วยมหาอำมาตย์ก็ตกใจจนหน้าซีดเผือด ด้วยแลเห็นการต่อสู้ครั้งนี้อย่างชัดเจนมันไม่คิดว่าชายหนุ่มนี้
ซึ่งสวมเสื้อคลุมประหลาดจะเก่งกล้าสามารถปราบนักพรตได้ ก่อนนั้นมันพากันยิ้มแย้มเมื่อเห็นฝ่ามือ
ของนักพรตใหญ่ปานขุนเขาไล่ตบไปยังร่างชายหนุ่ม และเห็นดวงไฟพุ่งเข้าแต่ไม่อาจทำอันตายใดๆแก่
ชายหนุ่มได้มันก็สงสัยอยู่แล้ว ครั้นเห็นชายหนุ่มโต้ตอบด้วยอะไรมันมองไม่ชัดเจนนอกจากสีแดงๆเท่านั้น
ส่วนทหารห้าร้อยนายรอดกลับมาไม่ถึงร้อยนาย ทั้งสองก็รีบไปรายงานให้เจ้าเมืองทราบทันที
ครั้นชายหนุ่มปราบนักพรตทุศีลได้แล้วก็สั่งให้ทหารถอยกลับเข้ายังหน้าค่ายใหญ่ไม่ต้องรออะไรอีก
ด้วยคิดว่าอีกไม่ช้านักฝ่ายทางในเมืองมันก็คงจะออกมาต่อสู้อีก ฝ่ายทหารของชายหนุ่มที่เห็นเหตุการณ์นี้ต่าง
ก็พากันโห่ร้องด้วยความยินดีเสียงสนั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไปจนไกล ต่างพากันยกย่องชมเชยท่านมหาอุปราช
กัน บรรดาแว่นแคว้นที่มาร่วมทัพ บรรดานายทัพนายกองต่างพากันคิดหากชายหนุ่มใช้พระเวทย์แล้วพวกมัน
ก็คงจะไม่เหลือแม้แต่คนเดียว แต่ด้วยความมีเมตตาของท่านมหาอุปราชที่ยังรักใคร่เอ็นดูพวกมันยิ่งพากันเทิดทูน
และแล้วทหารก็เข้ามารายงานว่าองค์หญิงอิสรวดีนารี พร้อมด้วยแม่ทัพใหญ่มาถึงแล้วพร้อมด้วยทหาร
ดังนั้นชายหนุ่มจึงบอกเลิกกองทหารให้กลับไปพักผ่อนได้ ส่วนชายหนุ่มก็เดินทางเพื่อไปเข้าเฝ้าทันที
เมื่อทั้งสองพบกัน เจ้าหญิงอิศวรดีนารีก็น้อมพระวรกายถวายคาราวะแก่ชายหนุ่มทันทีว่าบัดนี้ท่านแม่ทัพใหญ่
ได้นำทหารที่ทางนายกองเหมี่ยวนรธาจำนวนหกพันนายเข้ามายังค่ายทหารเรียบร้อยแล้ว
ครั้นเมื่อทั้งสองนั่งลง ชายหนุ่มก็แนะนำแม่นางทั้งห้าให้เจ้าหญิงอดีตกษัตริย์อิสราวดีได้รู้จักกัน
และชายหนุ่มก็แนะนำที่ปรึกษาใหญ่ของตัวเองให้เจ้าหญิงรู้จัก เมื่อทั้งหมดรู้จักกันแล้ว บรรดาแม่หญิงทั้งห้า
ที่คิดว่าตัวเองเลอเลิศในด้านความสวยแล้ว หากเทียบกับแม่นางอิศวรดีนารีก็ยังห่างไกลกันนัก และทราบว่า
แม่นางนั้นเป็นคู่หมั่นคู่หมายของชายหนุ่ม ก็ต่างพากันเข้าถวายฝากเนื้อฝากตัวแก่แม่นางอิสรวดีนารีทันที
ครั้นแม่นางอิสรวดีนารีทราบถึงผลงานของแม่นางทั้งห้าต่างก็เข้าสวมกอดบรรดานางทั้งห้าพร้อมกับเอ่ยว่า
“ข่าวของพวกแม่นางพี่เองก็ทราบมาแล้ว เราทั้งหมดขอให้ต่างอย่าได้รังเกียจเดียดฉันท์ถือมานะใดๆเลยนะ
ให้ถือว่าเราเป็นพี่น้องกัน ร่วมมือกันสร้างอาณาจักรแห่งลุ่มแม่น้ำอิรวดีกันด้วยเถิด เมื่อต่างคนต่างไล่อายุกัน
แล้วแม่นางอิสรวดีนารีนั้นนับได้ว่ามีอายุมากที่สุด รองลงมาก็แม่นางจันทิราแม่นางเรวดีอรทัย แม่นางกัลยาเทวี
แห่งแคว้นตองอู ติดตามด้วยแม่นางสิริกัลยา และแม่นางสิรินภาวดีตามลำดับการเรียกขานพี่น้อง”
แต่แม่นางทั้งห้าพลันกล่าวแก่แม่นางอิสรวดีนารีว่า
“เสด็จพี่เพค่ะ ยังมี่อีกสองแม่นางเพค่ะ” ทำเอาพระแม่เจ้าอิสรวดีนารีถึงกับงุนงงไปทันที เมื่อแม่นางทั้งห้า
เห็นดังนั้นจึงเล่าเรื่องแม่นางพรายทั้งสองให้ฟังว่า เป็นบุคคลที่ช่วยเหลือเจ้าชายตั้งแต่ยังอยู่ในป่าดงดิบมีนามว่า
ประกายแดงเป็นพี่ ประกายเขียวเป็นน้อง และยังมีลิงอีกสองตัว ตัวหนึ่งสีทอง ชื่อประกายทอง ลิงที่ตัวสีขาว
ชื่อประกายแก้ว เพค่ะ”
ครั้นพระแม่เจ้าอิสรวดีนารีได้ฟังดังนั้นถึงกลับทรงพระสรวลเบาๆว่า ท่านมหาอุปราชนั้นไม่เบานักนะน้อง
พี่หากรวมทั้งหมดก็เป็นแปดนางเข้าไปแล้ว นี่ยังไม่รู้ว่าจะมีอีกสักเท่าไหร่กันแน่ ทำเอาเหล่าแม่นางทั้งห้าพา
กันหัวร่อ พร้อมทั้งทูลว่า
“จะเท่าไหร่ก็ช่างเถิดเพค่ะเสด็จพี่ พวกเรามีท่านมหาอุปราชองค์เดียวก็เพียงพอแล้ว ให้เป็นไปตามพระ
ประสงค์ของท่านพี่มหาอุปราชก็แล้วกัน” แม่นางจันทิรากล่าว ทั้งหมดก็พากันหัวร่อหยอกเย้ากันเป็นที่สนุก
สนานยิ่งนัก ครั้นชายหนุ่มก้าวเข้ามาต่างก็พากันเงียบหมดหันหน้ามามองตาซึ่งกันและกันแล้วก็อมยิ้ม
“มีเรื่องอะไรหรือเห็นหัวร่อกันดังลอดออกมาทำให้พี่สงสัยนัก” ชายหนุ่มกล่าว
“มิมีเรื่องอะไรหรอกท่านพี่” แม่นางจันทิรากล่าว
“พวกเราสาบานกันว่าจะรักใคร่กลมเกลียวซึ่งกันและกันมิต้องให้ท่านที่ต้องเป็นห่วงเท่านั้นเอง”
“ยังงั้นหรือน้องเราทั้งหมด เมื่อเป็นเช่นนี้พี่ก็สบายใจแล้ว เอาเถอะอยู่คุยกันก่อนนะเดี๋ยวพี่จะไปปรึกษากับ
ท่านมหาอำมาตย์และเหล่าขุนทหารสักหน่อย ตามสบายนะ” ชายหนุ่มกล่าวเสร็จก็เดินออกไป
ทำให้บรรดาสาวๆทั้งหลายต่างกระเซ้าเย้าแย่กันเป็นที่สนุกสนานสำราญ และบอกว่าหากจะรู้อะไรดีๆก็ต้อง
ถามแม่นางพรายทั้งสอง ซึ่งติดตามท่านพี่ตลอดเวลาถึงจะรู้เรื่องละเอียดนัก
“แล้วพี่จะพบแม่นางพรายทั้งสองได้เมื่อไหร่ล่ะพวกน้องเรา” พระแม่เจ้าอิสรวดีนารีทรงตรัส
“เรื่องนี้ต้องไปขอร้องท่านพี่ถึงจะได้ท่านพี่ ด้วยแม่นางพรายทั้งสองนั้นถึงอยู่เราก็มองไม่เห็นหรอกนอก
จากแม่นางจะทำให้พวกเราเห็นเท่านั้น แต่ว่านางนั้นเชื่อฟังท่านพี่นัก หากท่านพี่ให้ปรากฏร่างก็คงได้เห็นหรอก”
พวกแม่นางทั้งห้าเอ่ยขึ้น
“ถ้าอย่างนั้นเมื่อท่านพี่ประชุมเสร็จพวกเราก็ไปหาท่านพี่พร้อมๆกันนี่แหละ” พระนางเจ้าอิสรวดีนารีเอ่ย
“ต้องเป็นเวลากลางคืนท่านพี่ ให้พวกเราคืนนี้เข้าไปพร้อมๆกันและเอ่ยปากขอร้องท่านพี่เถอะ”
“ตกลงพอพระอาทิตย์ตกดินแล้ว พวกเราเข้าไปหาท่านพี่ด้วยกันนะ พี่เองก็อยากจะเห็นแม่นางพรายจริงๆ
ว่านางมีรูปร่างงดงามเพียงใด ด้วยบรรดาพวกน้องๆนั้นล้วนแต่งดงามทั้งสิ้น” แม่นางเจ้าทรงเอ่ย
ครั้นยามย่ำค่ำล่วงเข้ามา พวกนางทั้งหกก็ค่อยทยอยกันมาพบแล้วค่อยๆย่อง พลางทำสัญญาณแจ้งแก่ทหาร
ยามที่เฝ้าอยู่ว่าอย่าส่งเสียงหรือไปรายงานใดๆแก่มหาอุปราช เดี๋ยวเราจะค่อยๆเข้าไปเอง บรรดาทหารยาม
ทั้งหลายเมื่อได้ยินรับสั่งเจ้าเหนือหัวอดีตกษัตริย์แห่งอิสราวดีกล่าวเช่นนั้นต่างมองหน้า แต่กลับทูลว่า
“หากเป็นพระประสงค์ของพระแม่เจ้า แต่ขอได้โปรดแจ้งแก่ท่านมหาอุปราชด้วยว่าเป็นคำสั่งของพระแม่เจ้า
อย่าพวกข้าต้องรับโทษแต่ประการใดพระเจ้าข้า”
พระแม่เจ้าก็ทรงพระสรวลแล้วรับปากแก่ทหารยามทั้งหลาย ครั้นเดินถึงหน้าห้องของพระมหาอุปราชก็ได้
ยินเสียงหัวร่อของหญิงสาวแล้วเสียงก็หายไป พลางชายหนุ่มก็บอกขอเชิญแม่นางทั้งหกเข้ามาได้แล้ว ซึ่งทำ
ความแปลกใจว่าเหตุใดท่านมหาอุปราชจึงรู้ แม่นางจันทิราก็เอ่ยว่า
“ท่านพี่จะไม่รู้ได้อย่างไรเล่าท่านพี่ ด้วยแม่นางพรายได้บอกท่านพี่แล้วล่ะ”
“อ้อๆ???....อย่างงั้นหรือ “ กล่าวเสร็จก็แหวกม่านเข้าไปหาชายหนุ่มทั้งหกนางทันที พระแม่เจ้ามองค้นหานาง
พรายที่ทราบมาแล้วแต่ไม่เห็นแต่ประการใด จริงดังที่แม่นางจันทิรากล่าวไม่ผิดไปเลย จึงกล่าวกับชายหนุ่มว่า
“อยากจะทำความรู้จักกับแม่นางพรายประกายแดงประกายเขียวด้วย ขอให้ท่านพี่แจ้งแก่แม่นางทั้งสองขอให้
ปรากฏร่างด้วยเถิด” แม่เจ้าอิสราวดีนารีเอ่ยขึ้น
“อย่างงั้นเองหรือ อ้าวเขาก็ยืนกระหนาบข้างพี่ซ้ายขวาอยู่แล้วนี่นา” ชายหนุ่มกล่าว
“แต่น้องไม่แลเห็นแม่นางเลยเพค่ะท่านพี่” พระแม่เจ้าอิสรวดีนารีเอ่ยขึ้น ชายหนุ่มหัวร่อพลางหันไปทาง
แม่นางพรายทั้งสองพลางเอ่ยขึ้น
“น้องเราทั้งสอง บรรดาพี่น้องของเจ้าเขาอยากจะเห็น จงปรากฏกายให้เห็นด้วยเถอะนะ”
ครั้นแม่นางพรายประกายแดงประกายเขียวได้ยินเช่นนั้น ร่างก็พลันค่อยๆปรากฏขึ้นทันใด ทำเอาพระแม่
เจ้าอิสรวดีนารีทรงตลึงไปทันใด ด้วยทั้งสองช่างสวยงดงามอะไรจะปานนั้นแม้แต่แม่นางเองที่จัดได้ว่าสวยแล้ว
ก็หาเทียบกับแม่นางพรายทั้งสองได้ แต่ด้วยชั่วเวลาเดี๋ยวเดียวก็ยิ้มพลางก้าวเข้าไปหาทั้งสองนางแล้วเข้าสวมกอด
พลางตรัสว่า
“โอ้ๆๆๆ...ช่างงดงามอะไรเช่นนี้ “ กล่าวจบก็จุมพิตแม่นางพรายทั้งสองแล้วดึงร่างมานั่งรวมกันกับแม่นาง
ทั้งห้าทันที นางพรายประกายแดงและประกายเขียวพลางน้อมกายถวายความเคารพแม่นางอิสรวดีนารีทันที
“ไม่ต้องเรื่องมากหรอกน้องเรา ไหนๆลองเล่าให้พี่ฟังซิว่าตอนพบท่านพี่ความเป็นมาอย่างไรพี่อยากใคร่รู้”
ครั้นแล้วแม่นางพรายทั้งสองก็ผลัดกันเล่าความแต่หนหลังให้พระแม่เจ้าแห่งอิสราวดีฟังทันที เมื่อแม่นางทั้ง
หกรู้เรื่องราวละเอียดก็ยิ่งเอ็นดูรักใคร่แม่นางทั้งสองยิ่งขึ้นด้วยการผจญภัยต่างๆปกป้องชายหนุ่มมาตลอดเวลา
ทั้งหมดต่างก็ให้สัญญาต่อกันและกันว่าจะปรนนิบัติร่วมกันแก่ชายหนุ่ม ทำเอาชายหนุ่มซึ่งยืนฟังอยู่ถึงกับหน้า
แดง ครั้นจะเอ่ยประการใดก็มิอาจเอื้อมได้จึงเพียงแค่ยิ้มๆเท่านั้นเอง
ปล่อยให้บรรดาสาวๆทั้งหมดสนทนากันหยอกเย้ากระเซ้าเย้าแหย่ซึ่งกันและกันเป็นที่สนุกสนาน ส่วน
ชายหนุ่มก็เอนกายลงพักผ่อนนอนฟังการสนทนา ไป พลางก็ขบคิดว่าพรุ่งนี้แล้วซินะจะต้องเผชิญหน้ากับ
อาจารย์คนใดของเจ้ากบฏอีก การศึกวันพรุ่งนี้เห็นจะยากขึ้นตามลำดับ นี่ท่านผู้เฒ่ามังมหาสุรเดชาธิบดีจะมา
เมื่อใดหนอ ชายหนุ่มครุ่นคิดการศึกไปจนกระทั่งหลับไป ครั้นตื่นขึ้นมาในยามรุ่งสางก็แลเห็นแม่นางพราย
ทั้งสองยังนอนเคียงข้างอยู่ พลางสวมกอดแม่นางทั้งสองจนแม่นางพรายสะดุ้งพลางลุกแล้วค่อยกลับไปยังที่อยู่
ดังเดิม ชายหนุ่มหลังจากทำความสะอาดชำระล้างร่างกายแล้วก็ออกมานอกที่พัก เข้าประชุมยังห้องใหญ่ซึ่ง
บัดนี้เรียงรายไปด้วยเหล่าที่ปรึกษาอำมาตย์ใหญ่น้อยขุนทัพนางกองรอคอยอยู่ จึงเข้าไปนั่งยังที่สำหรับตน
พลางกล่าวขออภัยทุกๆคน แล้วก็เข้าเรื่องประชุมเกี่ยวกับการรบพุ่งต่อไป..........
* แก้วประเสริฐ. *