ลุ่มลึกอิสราวดี 54

แก้วประเสริฐ


         ลุ่มลึกอิสราวดี  54
    ชายหนุ่มครั้นสั่งทหารทั้งสามร้อยนายให้หยุดแล้ว  ก็บังคับเจ้าสีเทาให้เหยาะย่างอย่างช้าๆไปถึง
ยังเบื้องหน้าของนักพรตแห่งขุนเขาอูกะระ  พลางพิจารณารูปร่างลักษณะเป็นคนร่างผ่ายผอมนัก
สะพายย่ามบนไหล่ซ้าย   ครั้นเห็นดังนั้นจึงถามไปว่า
    “การศึกสงครามนั้นหาใช่เป็นหน้าที่ของนักบวชเช่นท่านใยจึงไม่ถือศีลกินเจ มายุ่งเกี่ยวทำไมหรือ”
นักพรตครั้นได้ยินคำกล่าวเช่นนั้น  พลันแหงนหน้าหัวร่อดังเสียงสนั่นแล้วตวาดไปว่า
     “เอ๊ยๆๆๆ???... เจ้าหนุ่มปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมใยจึงจะมาตายเสียใยเล่า  ให้ไปตามแม่ทัพใหญ่เจ้า
ออกมา  เจ้ายังหนุ่มแน่นหรือว่าแม่ทัพเจ้ากลัวเราเสียหัวหดไปหมดแล้วรึ”
     “อันไม่แม่ทัพใหญ่เรานั้นหาได้เกรงกลัวท่านนักพรตไป  แต่ทว่าเห็นว่าเพียงแค่เราเองก็สามารถปราบ
เมื่อยามฆ่าควายใยต้องใช้มีดใหญ่ด้วยเล่า”  ชายหนุ่มตอบ
ครั้นได้ยินชายหนุ่มกล่าวเช่นนั้น   นักพรตทุศีลก็บังเกิดโทสะอย่างเกรี้ยวกราดยังนัก  ที่เห็นเขาเป็นควาย
      “เจ้าปากสามหาวนักเห็นเราเป็นควายไปหรือ  นับประสาเจ้าเพียงแค่ฝ่ามือเดียวของเราก็สามารถฆ่าเจ้า
ได้แล้ว  ยังมากล้าตีฝีปากแก่เราอีก”
      “คนอย่างข้านั้นหากแม้นตายด้วยคนที่มีศีลธรรมเราเองก็ยินยอมพร้อมใจ  แต่หากเป็นนักพรตทุศีลที่แม้
บัดนี้กลิ่นเหล้ายังคละคลุ้งมาอีก นี่หรือคำว่านักพรตข้าเองเห็นจะเปลี่ยนคำเรียกนักพรตว่าเป็นพวกเดรัชถีคง
จะเหมาะสมกว่ากระมัง ด้วยท่าทางท่านคล้ายสัตว์เลื้อยคลานเสียมากกว่าที่เขาเรียกกันว่าสัตว์เดรัชฉานไงเล่า”
    คำพูดของชายหนุ่มยิ่งสร้างความกริ้วโกรธแก่นักพรตยิ่งนักถึงกับตัวสั่น มันสำรอกถ่อยคำหยาบคายออกมา
แล้ว   พลางล้วงมือไปในย่ามพลางยกออกมาร่ายมนต์  พลางเป่ายังฝ่ามือตนเอง  บัดดลฝ่ามือมันก็ใหญ่โตมโหฬาร
สิ่งที่มันขว้างออกมากลายเป็นดวงไฟมากมายพุ่งเข้าหาร่างชายหนุ่มทันที   แต่ดวงไฟเหล่านั้นหาได้เข้าใกล้ร่าง
ของชายหนุ่มก็หาไม่ เพียงวนเวียนรายล้อมหมุนเป็นดุจกงจักร 
  
       ชายหนุ่มเห็นเช่นนั้นก็ยกมือขึ้นพนมพลางเป่าเข้าใส่ยังลูกไฟทันที   บัดดลลูกไฟทั้งหลายก็ย้อนกลับไปใส่ร่าง
ของนักพรตทั้งสิ้น ไม่เท่านั้นยังเลยร่างนักพรตต่างพุ่งใส่ยังทหารที่ยืนเรียงรายไป  ลูกไฟได้ไหม้เสื้อผ้าบรรดา
ทหารของเมืองอิสราวดีต่างร้องคร่ำครวญโหยหวน  ร่างถูกเผาสิ้นชีวิตทันที  บรรดาเหล่าทหารห้าร้อยคนก็แตก
กระจัดกระจายแยกออกไปทันที
       นักพรตเห็นเช่นนั้นก็เป่ามนต์ทำให้ลุกไฟทั้งหลายดับมอดไปทันที   พลางยกฝ่ามือทั้งสองอันใหญ่ปานภูเขา
ลูกย่อมๆฟาดมายังชายหนุ่มทันที   ชายหนุ่มหักม้าเจ้าสีเทาซึ่งมีความจัดเจนรวดเร็วนักหลบหลีกฝ่ามือไปมา ฝ่าอัน
ใหญ่โตก็ฟาดยังพื้นดินเป็นรอยใหญ่โตฝุ่นตลบคลุ้งไปทั่ว  มันรีบลงจากหลังม้าด้วยหากอยู่บนหลังม้าความคล่อง
แคล้วว่องไวก็จะน้อยลง  มันเดินย่างเข้าหาชายหนุ่มร่างมันมาได้อย่างรวดเร็วนัก    ชายหนุ่มเห็นเช่นนั้นก็พลัน
ล้วงในย่ามตนเอง   คราวนี้เขาสวมเสื้อขนนกวายุภักดิ์ที่บรรดาแม่นางสอยเย็บให้เป็นอย่างดีก็ยกก้อนหินสีแดง
ฉานพลันร่ายมนต์แล้วขว้างไปยังฝ่ามือของนักพรตทุศีลทันที
       บรรดาก้อนแก้วหินสีแดงก็พลันพุ่งเข้าหาฝ่ามือยักษ์ทั้งสองทะลุแล้วแตกกระจายออกด้วยอำนาจเวทย์มนต์
ที่ชายหนุ่มกำกับแตกแยกเป็นสะเก็ดชิ้นเล็กชิ้นน้อยพุ่งเข้าร่างของนักพรตทุศีลทะลุผ่านไปยังบรรดาเหล่าทหาร
ของเมืองอิสราวดี   ต่างพากันล้มตายกันไปเกือบหมดสิ้น       ฝ่ามือของนักพรตที่ใหญ่โตมโหฬารนั้นก็กลับเล็ก
ลงดังเดิมแต่มันได้แตกกระจายเหลือเพียงข้อมือทั้งสองเท่านั้น  และร่างมันยังถูกแก้วสีแดงทะลุผ่านระเบิดจน
ร่างมันแยกชิ้นส่วนกระจายไปในอากาศและพื้นดินสิ้นชีวิตทันที
       เมื่อเหล่าทหารของเมืองอิสราวดีที่รอดเหลืออยู่ต่างก็พากันหนีเข้าเมือง  ส่วนทหารบนเชิงเทินกำแพงเมือง
เห็นเหตุการณ์เช่นนี้ก็ให้ต่างตกใจรีบเปิดประตูเมืองรับทหารพวกตนเข้าเมือง    เมื่อนักพรตทุศีลสิ้นชีวิต
ไปแล้ว  เหล่าทหารที่เหลือรอดมาได้ไม่กี่คนก็รีบไปรายงานให้แม่ทัพใหญ่ทราบ  แม่ทัพใหญ่ที่ยืนบนเชิงเทิน
พร้อมด้วยมหาอำมาตย์ก็ตกใจจนหน้าซีดเผือด  ด้วยแลเห็นการต่อสู้ครั้งนี้อย่างชัดเจนมันไม่คิดว่าชายหนุ่มนี้
        ซึ่งสวมเสื้อคลุมประหลาดจะเก่งกล้าสามารถปราบนักพรตได้   ก่อนนั้นมันพากันยิ้มแย้มเมื่อเห็นฝ่ามือ
ของนักพรตใหญ่ปานขุนเขาไล่ตบไปยังร่างชายหนุ่ม  และเห็นดวงไฟพุ่งเข้าแต่ไม่อาจทำอันตายใดๆแก่
ชายหนุ่มได้มันก็สงสัยอยู่แล้ว  ครั้นเห็นชายหนุ่มโต้ตอบด้วยอะไรมันมองไม่ชัดเจนนอกจากสีแดงๆเท่านั้น
ส่วนทหารห้าร้อยนายรอดกลับมาไม่ถึงร้อยนาย  ทั้งสองก็รีบไปรายงานให้เจ้าเมืองทราบทันที
       ครั้นชายหนุ่มปราบนักพรตทุศีลได้แล้วก็สั่งให้ทหารถอยกลับเข้ายังหน้าค่ายใหญ่ไม่ต้องรออะไรอีก 
ด้วยคิดว่าอีกไม่ช้านักฝ่ายทางในเมืองมันก็คงจะออกมาต่อสู้อีก  ฝ่ายทหารของชายหนุ่มที่เห็นเหตุการณ์นี้ต่าง
ก็พากันโห่ร้องด้วยความยินดีเสียงสนั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไปจนไกล   ต่างพากันยกย่องชมเชยท่านมหาอุปราช
กัน   บรรดาแว่นแคว้นที่มาร่วมทัพ  บรรดานายทัพนายกองต่างพากันคิดหากชายหนุ่มใช้พระเวทย์แล้วพวกมัน
ก็คงจะไม่เหลือแม้แต่คนเดียว  แต่ด้วยความมีเมตตาของท่านมหาอุปราชที่ยังรักใคร่เอ็นดูพวกมันยิ่งพากันเทิดทูน
        และแล้วทหารก็เข้ามารายงานว่าองค์หญิงอิสรวดีนารี พร้อมด้วยแม่ทัพใหญ่มาถึงแล้วพร้อมด้วยทหาร
ดังนั้นชายหนุ่มจึงบอกเลิกกองทหารให้กลับไปพักผ่อนได้ ส่วนชายหนุ่มก็เดินทางเพื่อไปเข้าเฝ้าทันที
เมื่อทั้งสองพบกัน เจ้าหญิงอิศวรดีนารีก็น้อมพระวรกายถวายคาราวะแก่ชายหนุ่มทันทีว่าบัดนี้ท่านแม่ทัพใหญ่
ได้นำทหารที่ทางนายกองเหมี่ยวนรธาจำนวนหกพันนายเข้ามายังค่ายทหารเรียบร้อยแล้ว   
       ครั้นเมื่อทั้งสองนั่งลง  ชายหนุ่มก็แนะนำแม่นางทั้งห้าให้เจ้าหญิงอดีตกษัตริย์อิสราวดีได้รู้จักกัน 
  และชายหนุ่มก็แนะนำที่ปรึกษาใหญ่ของตัวเองให้เจ้าหญิงรู้จัก  เมื่อทั้งหมดรู้จักกันแล้ว บรรดาแม่หญิงทั้งห้า
ที่คิดว่าตัวเองเลอเลิศในด้านความสวยแล้ว หากเทียบกับแม่นางอิศวรดีนารีก็ยังห่างไกลกันนัก  และทราบว่า
แม่นางนั้นเป็นคู่หมั่นคู่หมายของชายหนุ่ม   ก็ต่างพากันเข้าถวายฝากเนื้อฝากตัวแก่แม่นางอิสรวดีนารีทันที
   ครั้นแม่นางอิสรวดีนารีทราบถึงผลงานของแม่นางทั้งห้าต่างก็เข้าสวมกอดบรรดานางทั้งห้าพร้อมกับเอ่ยว่า
   “ข่าวของพวกแม่นางพี่เองก็ทราบมาแล้ว  เราทั้งหมดขอให้ต่างอย่าได้รังเกียจเดียดฉันท์ถือมานะใดๆเลยนะ
ให้ถือว่าเราเป็นพี่น้องกัน  ร่วมมือกันสร้างอาณาจักรแห่งลุ่มแม่น้ำอิรวดีกันด้วยเถิด  เมื่อต่างคนต่างไล่อายุกัน
แล้วแม่นางอิสรวดีนารีนั้นนับได้ว่ามีอายุมากที่สุด รองลงมาก็แม่นางจันทิราแม่นางเรวดีอรทัย แม่นางกัลยาเทวี
แห่งแคว้นตองอู ติดตามด้วยแม่นางสิริกัลยา และแม่นางสิรินภาวดีตามลำดับการเรียกขานพี่น้อง”  
แต่แม่นางทั้งห้าพลันกล่าวแก่แม่นางอิสรวดีนารีว่า
   “เสด็จพี่เพค่ะ ยังมี่อีกสองแม่นางเพค่ะ”   ทำเอาพระแม่เจ้าอิสรวดีนารีถึงกับงุนงงไปทันที  เมื่อแม่นางทั้งห้า
เห็นดังนั้นจึงเล่าเรื่องแม่นางพรายทั้งสองให้ฟังว่า  เป็นบุคคลที่ช่วยเหลือเจ้าชายตั้งแต่ยังอยู่ในป่าดงดิบมีนามว่า
ประกายแดงเป็นพี่ ประกายเขียวเป็นน้อง  และยังมีลิงอีกสองตัว ตัวหนึ่งสีทอง ชื่อประกายทอง ลิงที่ตัวสีขาว
ชื่อประกายแก้ว เพค่ะ”
      ครั้นพระแม่เจ้าอิสรวดีนารีได้ฟังดังนั้นถึงกลับทรงพระสรวลเบาๆว่า  ท่านมหาอุปราชนั้นไม่เบานักนะน้อง
พี่หากรวมทั้งหมดก็เป็นแปดนางเข้าไปแล้ว  นี่ยังไม่รู้ว่าจะมีอีกสักเท่าไหร่กันแน่   ทำเอาเหล่าแม่นางทั้งห้าพา
กันหัวร่อ  พร้อมทั้งทูลว่า
        “จะเท่าไหร่ก็ช่างเถิดเพค่ะเสด็จพี่ พวกเรามีท่านมหาอุปราชองค์เดียวก็เพียงพอแล้ว   ให้เป็นไปตามพระ
ประสงค์ของท่านพี่มหาอุปราชก็แล้วกัน”  แม่นางจันทิรากล่าว   ทั้งหมดก็พากันหัวร่อหยอกเย้ากันเป็นที่สนุก
สนานยิ่งนัก    ครั้นชายหนุ่มก้าวเข้ามาต่างก็พากันเงียบหมดหันหน้ามามองตาซึ่งกันและกันแล้วก็อมยิ้ม
     “มีเรื่องอะไรหรือเห็นหัวร่อกันดังลอดออกมาทำให้พี่สงสัยนัก”  ชายหนุ่มกล่าว
     “มิมีเรื่องอะไรหรอกท่านพี่”  แม่นางจันทิรากล่าว
     “พวกเราสาบานกันว่าจะรักใคร่กลมเกลียวซึ่งกันและกันมิต้องให้ท่านที่ต้องเป็นห่วงเท่านั้นเอง”
      “ยังงั้นหรือน้องเราทั้งหมด   เมื่อเป็นเช่นนี้พี่ก็สบายใจแล้ว เอาเถอะอยู่คุยกันก่อนนะเดี๋ยวพี่จะไปปรึกษากับ
ท่านมหาอำมาตย์และเหล่าขุนทหารสักหน่อย ตามสบายนะ”  ชายหนุ่มกล่าวเสร็จก็เดินออกไป
      
        ทำให้บรรดาสาวๆทั้งหลายต่างกระเซ้าเย้าแย่กันเป็นที่สนุกสนานสำราญ และบอกว่าหากจะรู้อะไรดีๆก็ต้อง
ถามแม่นางพรายทั้งสอง ซึ่งติดตามท่านพี่ตลอดเวลาถึงจะรู้เรื่องละเอียดนัก
       “แล้วพี่จะพบแม่นางพรายทั้งสองได้เมื่อไหร่ล่ะพวกน้องเรา”  พระแม่เจ้าอิสรวดีนารีทรงตรัส
       “เรื่องนี้ต้องไปขอร้องท่านพี่ถึงจะได้ท่านพี่  ด้วยแม่นางพรายทั้งสองนั้นถึงอยู่เราก็มองไม่เห็นหรอกนอก
จากแม่นางจะทำให้พวกเราเห็นเท่านั้น แต่ว่านางนั้นเชื่อฟังท่านพี่นัก หากท่านพี่ให้ปรากฏร่างก็คงได้เห็นหรอก”
พวกแม่นางทั้งห้าเอ่ยขึ้น
        “ถ้าอย่างนั้นเมื่อท่านพี่ประชุมเสร็จพวกเราก็ไปหาท่านพี่พร้อมๆกันนี่แหละ” พระนางเจ้าอิสรวดีนารีเอ่ย
        “ต้องเป็นเวลากลางคืนท่านพี่  ให้พวกเราคืนนี้เข้าไปพร้อมๆกันและเอ่ยปากขอร้องท่านพี่เถอะ”
        “ตกลงพอพระอาทิตย์ตกดินแล้ว พวกเราเข้าไปหาท่านพี่ด้วยกันนะ  พี่เองก็อยากจะเห็นแม่นางพรายจริงๆ
ว่านางมีรูปร่างงดงามเพียงใด  ด้วยบรรดาพวกน้องๆนั้นล้วนแต่งดงามทั้งสิ้น”  แม่นางเจ้าทรงเอ่ย
       ครั้นยามย่ำค่ำล่วงเข้ามา  พวกนางทั้งหกก็ค่อยทยอยกันมาพบแล้วค่อยๆย่อง  พลางทำสัญญาณแจ้งแก่ทหาร
ยามที่เฝ้าอยู่ว่าอย่าส่งเสียงหรือไปรายงานใดๆแก่มหาอุปราช เดี๋ยวเราจะค่อยๆเข้าไปเอง  บรรดาทหารยาม
ทั้งหลายเมื่อได้ยินรับสั่งเจ้าเหนือหัวอดีตกษัตริย์แห่งอิสราวดีกล่าวเช่นนั้นต่างมองหน้า แต่กลับทูลว่า
   “หากเป็นพระประสงค์ของพระแม่เจ้า  แต่ขอได้โปรดแจ้งแก่ท่านมหาอุปราชด้วยว่าเป็นคำสั่งของพระแม่เจ้า
อย่าพวกข้าต้องรับโทษแต่ประการใดพระเจ้าข้า”
      พระแม่เจ้าก็ทรงพระสรวลแล้วรับปากแก่ทหารยามทั้งหลาย   ครั้นเดินถึงหน้าห้องของพระมหาอุปราชก็ได้
ยินเสียงหัวร่อของหญิงสาวแล้วเสียงก็หายไป   พลางชายหนุ่มก็บอกขอเชิญแม่นางทั้งหกเข้ามาได้แล้ว  ซึ่งทำ
ความแปลกใจว่าเหตุใดท่านมหาอุปราชจึงรู้   แม่นางจันทิราก็เอ่ยว่า
    “ท่านพี่จะไม่รู้ได้อย่างไรเล่าท่านพี่  ด้วยแม่นางพรายได้บอกท่านพี่แล้วล่ะ”
    “อ้อๆ???....อย่างงั้นหรือ “  กล่าวเสร็จก็แหวกม่านเข้าไปหาชายหนุ่มทั้งหกนางทันที  พระแม่เจ้ามองค้นหานาง
พรายที่ทราบมาแล้วแต่ไม่เห็นแต่ประการใด  จริงดังที่แม่นางจันทิรากล่าวไม่ผิดไปเลย  จึงกล่าวกับชายหนุ่มว่า
    “อยากจะทำความรู้จักกับแม่นางพรายประกายแดงประกายเขียวด้วย  ขอให้ท่านพี่แจ้งแก่แม่นางทั้งสองขอให้
ปรากฏร่างด้วยเถิด”   แม่เจ้าอิสราวดีนารีเอ่ยขึ้น
     “อย่างงั้นเองหรือ  อ้าวเขาก็ยืนกระหนาบข้างพี่ซ้ายขวาอยู่แล้วนี่นา”  ชายหนุ่มกล่าว
     “แต่น้องไม่แลเห็นแม่นางเลยเพค่ะท่านพี่”  พระแม่เจ้าอิสรวดีนารีเอ่ยขึ้น    ชายหนุ่มหัวร่อพลางหันไปทาง
แม่นางพรายทั้งสองพลางเอ่ยขึ้น
      “น้องเราทั้งสอง  บรรดาพี่น้องของเจ้าเขาอยากจะเห็น  จงปรากฏกายให้เห็นด้วยเถอะนะ”
     ครั้นแม่นางพรายประกายแดงประกายเขียวได้ยินเช่นนั้น   ร่างก็พลันค่อยๆปรากฏขึ้นทันใด   ทำเอาพระแม่
เจ้าอิสรวดีนารีทรงตลึงไปทันใด  ด้วยทั้งสองช่างสวยงดงามอะไรจะปานนั้นแม้แต่แม่นางเองที่จัดได้ว่าสวยแล้ว
ก็หาเทียบกับแม่นางพรายทั้งสองได้   แต่ด้วยชั่วเวลาเดี๋ยวเดียวก็ยิ้มพลางก้าวเข้าไปหาทั้งสองนางแล้วเข้าสวมกอด
พลางตรัสว่า
       
        “โอ้ๆๆๆ...ช่างงดงามอะไรเช่นนี้ “   กล่าวจบก็จุมพิตแม่นางพรายทั้งสองแล้วดึงร่างมานั่งรวมกันกับแม่นาง
ทั้งห้าทันที  นางพรายประกายแดงและประกายเขียวพลางน้อมกายถวายความเคารพแม่นางอิสรวดีนารีทันที
        “ไม่ต้องเรื่องมากหรอกน้องเรา  ไหนๆลองเล่าให้พี่ฟังซิว่าตอนพบท่านพี่ความเป็นมาอย่างไรพี่อยากใคร่รู้”
    ครั้นแล้วแม่นางพรายทั้งสองก็ผลัดกันเล่าความแต่หนหลังให้พระแม่เจ้าแห่งอิสราวดีฟังทันที  เมื่อแม่นางทั้ง
หกรู้เรื่องราวละเอียดก็ยิ่งเอ็นดูรักใคร่แม่นางทั้งสองยิ่งขึ้นด้วยการผจญภัยต่างๆปกป้องชายหนุ่มมาตลอดเวลา
ทั้งหมดต่างก็ให้สัญญาต่อกันและกันว่าจะปรนนิบัติร่วมกันแก่ชายหนุ่ม   ทำเอาชายหนุ่มซึ่งยืนฟังอยู่ถึงกับหน้า
แดง ครั้นจะเอ่ยประการใดก็มิอาจเอื้อมได้จึงเพียงแค่ยิ้มๆเท่านั้นเอง   
      ปล่อยให้บรรดาสาวๆทั้งหมดสนทนากันหยอกเย้ากระเซ้าเย้าแหย่ซึ่งกันและกันเป็นที่สนุกสนาน ส่วน
ชายหนุ่มก็เอนกายลงพักผ่อนนอนฟังการสนทนา ไป   พลางก็ขบคิดว่าพรุ่งนี้แล้วซินะจะต้องเผชิญหน้ากับ
อาจารย์คนใดของเจ้ากบฏอีก   การศึกวันพรุ่งนี้เห็นจะยากขึ้นตามลำดับ นี่ท่านผู้เฒ่ามังมหาสุรเดชาธิบดีจะมา
เมื่อใดหนอ  ชายหนุ่มครุ่นคิดการศึกไปจนกระทั่งหลับไป    ครั้นตื่นขึ้นมาในยามรุ่งสางก็แลเห็นแม่นางพราย
ทั้งสองยังนอนเคียงข้างอยู่  พลางสวมกอดแม่นางทั้งสองจนแม่นางพรายสะดุ้งพลางลุกแล้วค่อยกลับไปยังที่อยู่
ดังเดิม    ชายหนุ่มหลังจากทำความสะอาดชำระล้างร่างกายแล้วก็ออกมานอกที่พัก  เข้าประชุมยังห้องใหญ่ซึ่ง
บัดนี้เรียงรายไปด้วยเหล่าที่ปรึกษาอำมาตย์ใหญ่น้อยขุนทัพนางกองรอคอยอยู่  จึงเข้าไปนั่งยังที่สำหรับตน
พลางกล่าวขออภัยทุกๆคน   แล้วก็เข้าเรื่องประชุมเกี่ยวกับการรบพุ่งต่อไป..........
        * แก้วประเสริฐ. *

Cartoon_Animation_08.gifn016.gif				
comments powered by Disqus
  • กระต่ายใต้เงาจันทร์

    16 มีนาคม 2553 09:47 น. - comment id 115813

    11.gif36.gif
  • แก้วประเสริฐ

    17 มีนาคม 2553 16:21 น. - comment id 115840

    36.gif16.gif36.gif
    คุณ กระต่ายน้อย
    
       ใกล้จะเสร็จภาระเรื่องนี้แล้วละจ๊ะ รักเสมอ
    
            16.gifแก้วประเสริฐ.16.gif

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน