ลุ่มลึกอิสราวดี 53

แก้วประเสริฐ


              ลุ่มลึกอิสราวดี  53
   เมื่อชายหนุ่มนำทัพเข้าร่วมกับท่านที่ปรึกษาใหญ่มหาอำมาตย์เหมี่ยวมังกะยอชวา  ร่วมกันปรึกษาเรียบร้อย
ก็นำกำลังพลไปสมทบกับแม่ทัพใหญ่เหมี่ยวสุรินทร์นราเข้ารายล้อมเมืองอิสราวดีทันที   พร้อมร่างหนังสือ
ให้ทหารม้าเร็วนำไปส่งให้แก่เหมี่ยวสุรินทราบดีแม่ทัพใหญ่เพื่อแจ้งแก่องค์หญิงอิศวรดีนารีเพื่อให้เคลื่อน
กำลังมาร่วมสมทบด้วย   หนังสืออีกฉบับหนึ่งก็ให้เจ้าลิงขาวไปส่งมอบให้แก่มังมหาสุรเดชาธิบดีด้วยพ้น
จากสัจจะวาจาแล้ว  ให้รีบเดินทางมาร่วมทัพกอบกู้แผ่นดินอิสราวดีต่อไป
    ครั้นทหารม้าเร็วได้รับหนังสือและเจ้าลิงขาวซึ่งชายหนุ่มทำสัญญาณแจ้งก็ขึ้นม้ารีบออกเดินทางไปทันที
ในระหว่างการล้อมเมืองอิสราวดีนั้น ชายหนุ่มสั่งมิให้โจมตีเพียงแค่ล้อมตัดเสบียงอาหารจากราษฎร์ที่ทำมา
หากินนอกเมืองเสียสิ้นแล้วนำตัวพวกราษฎร์ทั้งหมดให้มาอยู่ยังด้านหลังแห่งกองทัพแต่ห้ามทหารทั้งปวง
ทำอันตรายแก่ชาวเมืองอิสราวดีและให้ปลอบขวัญว่าเป็นทหารของเจ้าแม่ อิสรวชิรบดินทร์เดชา เพื่อกอบ
กู้ราชบัลลังก์คืน   เหล่าราษฎร์ทั้งหลายครั้นทราบเช่นนั้นก็พากันยินดีต่างเชื่อฟังแม่ทัพที่แจ้งให้ทราบรวบ
รวมสิ่งของตลอดจนมอบเสบียงอาหารที่เก็บเกี่ยวให้แก่ทหารของชายหนุ่มเป็นจำนวนมาก
      ชายหนุ่มเพียงรอเจ้าหญิงและมหาอำมาตย์ที่เคยเลี้ยงดูตนเองก่อน  ภายในเมืองอิสราวดีผู้รักษาการณ์เมือง
อิสราวดีตอนนี้ เมื่อได้รับอาจารย์ทั้งห้ามาช่วยงานก็จัดงานเถลิงขึ้นครองราชย์ทันที  บรรดาทหารเมืองอิสราวดี
ต่างไม่พอใจแต่ก็ไม่รู้จะทำประการใดไม่   ด้วยอำนาจนั้นเป็นของมันแต่ผู้เดียว ครั้นเมื่อทราบว่าเหล่าข้าศึกที่มา
รายล้อมเมืองทั่วทุกทิศเป็นของเจ้าแม่แห่งเมืองอิสราวดี  แม่ทัพนายกองบางคนก็ลอบหนีออกมาเข้าสมทบกับ
ทหารของชายหนุ่มทันที   ชายหนุ่มก็จัดมอบกำลังส่วนหนึ่งให้ควบคุมปกครองเพื่อจะได้เข้าตีเมืองอิสราวดี
        เวลาได้ผ่านไปเกือบหนึ่งเดือนเจ้ามังสุระบดีที่เถลิงขึ้นเป็นกษัตริย์ในนามว่ามังมหาสุระบดีราชันย์ก็ให้แปลก
ใจยิ่งนัก  เวลาผ่านมาเนิ่นนานทำไมทัพต่างๆที่รายล้อมมืดฟ้ามัวดินหาได้ยกพลเข้าโจมตีไม่  มันจึงรีบปรึกษากับ
อาจารย์ทั้งห้าทันที   อาจารย์ทั้งห้ามันมีนามว่า  สุรสีห์เป็นนักพรตแห่งขุนเขาอูกะระ อิกาวะ ฤาษีแห่งป่า
พฤกษ์มาระ   นิรุเวคินนักบวชแห่ง ขุนเขาบุระกะ  ชีวะกะนักพรตแห่งขุนเขา จิระเวคิน
และ ปัญจะนรา ฤาษีแห่งเทือกเขา พิวะเวนศรี    ต่างล้วนแล้วไม่อยู่ในศีลมีนิสัยเหี้ยมโหดมักมากในกามคุณ
 ครั้นมาอยู่เมืองอิสราวดีล้วนประกอบด้วยหญิงสาวที่สวยงาม  พวกมันต่างลุ่มหลงในอิสตรียิ่งนัก
      เจ้าเมืองคนใหม่แห่งอิสราวดี เจ้ามังมหาสุระบดีราชันย์ก็รู้ใจบรรดาอาจารย์มันถึงกับเสนอสนองกามารมณ์ให้
แก่บรรดาอาจารย์มันมิขาด  ทำให้เหล่าบรรดาอาจารย์มันสุขสำราญทั้งสุราอาหารเหล่านารีทั้งหลาย 
จนเพลิดเพลินบันเทิงใจ  หาได้ถือปฏิบัติธรรมดังแต่เก่าก่อน ด้วยทุกๆคนเชื่อมั่นวิชาที่ร่ำเรียนมานั้นสำเร็จแล้ว
ล้วนแต่มีอาวุธวิเศษจึงไม่เป็นที่ห่วงใดๆทั้งสิ้น  ต่างกล่าวพร้อมกันว่าไม่ต้องห่วงหากถึงที่สุดพวกข้าจะไปเอง
     เจ้ามังมหาสุระบดีราชันย์เชื่อมั่นในอาจารย์มันยิ่งนัก  ครั้นทราบว่ามีข้าศึกมารายล้อมมากเช่นนั้นก็หาได้หวั่น
เกรงใดๆไม่   แต่มันก็คิดจะหยั่งเชิงทหารทั้งหลายที่มาเรียงรายล้อมเมือง  จึงได้สั่งให้ประชุมเหล่าบรรดาอำมาตย์
แม่ทัพนายกองทั้งหลาย     แม่ทัพใหญ่จึงกล่าวว่า บัดนี้มีนายทัพนายกองบางนายเล็ดลอบหนึ่งออกไปสมทบกับ
ฝ่ายตรงกันข้ามมากมาย ข้าพระองค์ได้จัดการให้ทหารสอดแนมหากพบพิรุธแก่ทหารผู้ใดก็ให้จับกุมตัวไว้แล้ว
แต่ยังอยู่ในช่วงศึกสงครามจึงมิได้ฆ่าทิ้งเสีย  เพียงแต่ค่อยๆสอบไปพระเจ้าข้า มังละสุทีกล่าวรายงาน
   ครั้นมังมหาสุระบดีทราบดังนั้น ก็สั่งว่า
       “ไม่ต้องสอบสวนมันหรอก ให้นำพวกมันไปประหารชีวิตได้เลย ตลอดจนยึดทรัพย์สมบัติมาให้หมดสิ้น”
       “พระเจ้าข้า  หากเสร็จประชุมก็จะไปดำเนินการตามพระประสงค์พระเจ้าข้า”
       “เออๆ...ดีแล้วท่านแม่ทัพใหญ่    แต่ว่าข้าเองอยากจะรู้กำลังข้าศึกว่ามีความแข็งแกร่งเพียงใดถึงกล้ามาล้อม
เมืองเรา    ให้ท่านจัดทัพออกไปหยั่งเชิงมันก่อนเถอะนะ”
        “พระเจ้าข้า   มังละสุทีแม่ทัพใหญ่กล่าว”
        “ท่านมหาอำมาตย์ท่านมีความคิดเห็นอย่างไรเล่า ให้เสนอขึ้นมาได้”
     เหมี่ยวอรินทราจึงนำแผนที่ออกมากางยังบนโต๊ะแล้วเชิญพระเจ้ามังมหาสุระบดีราชันย์ตรวจสอบการปกป้อง
เมือง  ครั้นเจ้าเมืองแลเห็นบนแผนที่ได้จัดวางธงเรียงรายและสอบถามจากมหาอำมาตย์ใหญ่ก็ให้พอใจยิ่งนัก 
พลางกล่าวชมเชยว่า ช่างละเอียดรอบคอบนัก  ให้แม่ทัพใหญ่จัดการตามนี้ก็แล้วกัน
     มังสีหะมะทาเสนาบดีใหญ่ก็รายงานว่า 
   “บัดนี้เสบียงภายในเมืองอาจะใช้ได้ไม่เกินสามเดือนพระเจ้าข้า
   “ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ให้จัดการริบทรัพย์สินบรรดาพ่อค้าที่ใช้ในการอาหารมาให้หมดสิ้นก็แล้วกันเพื่อจะได้ใช้เลี้ยง
กองทัพของเราให้เข้มแข็ง เป็นเสบียงต่อไป”
     “แล้วเหล่าประชาชนเล่าพระเจ้า”
      “ช่างหัวมัน  อย่าไปคำนึงถึงมันหรอก ให้นึกถึงพวกเราไว้ก่อน  ให้ทำตามคำสั่งของข้าก็แล้วกัน “
แล้วหันไปสั่งยังแม่ทัพใหญ่ทันที
       “ให้ท่านนำทหารไปยึดเหล่าอาหารทั้งหลายของประชาขน  เหลือไว้ให้มันเพียงเล็กน้อยนอกนั้นนำมาเข้าเป็น
เสบียงทั้งหมด”
        “พระเจ้าข้า”        มังละสุทีรับสนองพระราชโองการ
       ประชาชนในเมืองก็เกิดความวุ่นวายทันทีเมื่อทราบและกระจายข่าวออกไปจากประชาชนที่เห็น
บรรดาทหารต่างเข้ายึดเสบียงอาหาร  ต่างก็รีบปิดร้านและนำไปซุกซ่อนไว้เพื่อพวกตัว   แต่เหล่าทหารของเมืองก็
ไม่ละเว้นรีบพังทลายประตูร้าน  หากขัดขืนก็จะถูกสังหาร  สร้างความปั่นป่วนไปทั่วเมืองอิสราวดีทันที
      ด้านเหมี่ยวนรธาที่แอบแฝงปลอมตัวเป็นมังมะค่าพ่อค้าพานิชก็แจ้งให้มังสุระยะข่าหาทางแจ้งข่าวนี้ออกไป
ทางชายหนุ่มทันที   
      ด้านมังสุระยะข่าไม่สามารถจะออกจากตัวเมืองได้ก็ลอบยิงธนูออกจากนอกเมืองและแจ้งว่าบัดนี้ทางเมือง
อิสราวดีจะจัดส่งกำลังออกไปสู้รบ  พร้อมแจ้งว่าในป่าเบื้องหลังหุบเขามีหน่วยกำลังพิเศษที่ท่านนายกองได้
ฝึกสร้างไว้มากให้ไปส่งข่าวและมอบหนังสือนี้   เหล่าทหารพิเศษก็จะออกมาช่วยศึกด้วย
     เมื่อทหารเก็บลูกธนูก็รีบส่งให้แม่ทัพใหญ่ทันที    แม่ทัพใหญ่ก็นำไปให้ท่านมหาอำมาตย์ที่ปรึกษาแจ้งแต่
ชายหน่มให้ทราบ   ครั้นชายหนุ่มทราบเรื่องดังกล่าวก็หัวร่อ  จึงกล่าวว่า
      “ท่านอย่าเป็นห่วงไปใยเลยข้าทราบจากทหารแม่ทัพนายกองที่มามอบตัวแล้วถึงเหตุการณ์ต่างๆที่ไม่เข้า
จู่โจมนั้นก็ด้วยคอยแม่นางให้มานำทัพหากบรรดาเหล่าพลทหารครั้นเห็นองค์เหนือหัวเก่าก็จะอาจจะเปลี่ยน
ใจทำให้เกิดการต่อสู้กันเอง  หากเรานำทัพไปเองนั้นเหล่าพลทหารของเมืองอิสราวดีที่มีความแกร่งกล้านัก
ก็จะหาอ่อนน้อมเกรงกลัวใดไม่ยินยอมสู้ตาย  ข้าเองถึงให้รอและให้ทางไอ้อำมาตย์มันเกิดความระแวงและ
ได้ผลด้วยบัดนี้ฝ่ายประชาชนชาวเมืองอิสราวดีเกิดการปั่นป่วนอาจจะเป็นผลดีแก่เราได้”  ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น
     “นั่นซิท่านมหาอุปราชช่างมีความละเอียดการศึกยิ่งนัก ข้าเองก็ให้สงสัยเหมือนกันว่ากำลังพลเรานี้
ก็มีมากมายกว่าในเมืองมากมายนักใยท่านถึงมิได้สั่งให้ยึดเมืองทันที”
     “ที่เป็นเช่นนี้ไม่อยากให้ทหารเมืองอิสราวดีเสียมากไป ด้วยรู้นิสัยของบรรดาเหล่าทหารเมืองอิสราวดี
ว่ายอมตายดีกว่ายอมเสียเมือง   ขอท่านที่ปรึกษาใหญ่รอระยะเวลาไม่นานนักหรอก  ด้วยข้าเองนั้นได้รับ
หนังสือจากลิงขาวแล้วว่าท่านมังมหาสุรเดชาธิบดีใกล้จะมาถึงแล้ว  ส่วนเจ้าลิงขาวก็นำพรรคพวกที่เป็น
ลิงตลอดจนบรรดาฝูงลิงอื่นๆมาอีกจำนวนมาก   การครั้งนี้จะสร้างความปั่นป่วนแก่เจ้ากบฏยิ่งนักด้วย
มันคิดคาดมิถึงนั่นเอง   ที่ข้าเองกังวลใจมากที่สุดคือบรรดาอาจารย์มัน นั้นล้วนแต่เก่งกล้าสามารถทาง
เวทย์มนต์ตลอดอาวุธของมันคงจะเป็นอาวุธวิเศษ   ด้วยข้าเองเคยผจญมาแล้ว ส่วนเวทย์มนต์ของข้านั้น
อาจจะไม่สามารถต้านรับมันได้จึงต้อง พึ่งพา มังมหาสุรเดชาธิบดีซึ่งท่านผู้เฒ่าที่ว่าเคยเลี้ยงข้ามาแต่เยาว์วัย
ล้วนเก่งกล้าทางวิทยาคมอาจจะกำราบอาจารย์มันได้บ้าง  หากมาดแม้นมิอาจจะรับได้เห็นทีข้าจะต้องพึ่งพา
ท่านพญาธนาธิบดีนาคราชเสียแล้ว”   ชายหนุ่มกล่าว
        “ด้วยเหตุดังนี้ข้าเองคิดว่า เหล่าทหารของเราแม้จะมากมายนับแสนๆก็หาจะต่อสู้กับอำนาจเวทมนต์และ
ของวิเศษมันได้ ก็ย่อมจะเสียไพร่พลโดยใช่เหตุ   แต่มาบัดนี้มันจะส่งกำลังมาหยั่งเชิงเรา  ข้าให้ท่านแม่ทัพใหญ่
ส่งแม่ทัพนายกองเข้าไปหยั่งเชิงมันแต่อย่าได้รุกล้ำเข้าเมืองอิสราวดีเด็ดขาด หากชัยชนะได้กลับมาให้รีบกลับค่าย
ทันที    หากมันจัดกำลังอีกก็ให้เปลี่ยนแม่ทัพนายกองทหารเข้าสู้ก็แล้วกัน สลับสับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ   จนเมื่อความ
คิดอ่านข้าพเจ้าเมื่อองค์หญิงและท่านมังมหาสุรเดชาธิบดีมาพร้อมนั้นแหละข้าถึงจะจัดการขั้นเด็ดขาดทันที”
        ครั้นที่ปรึกษาใหญ่และแม่ทัพใหญ่ตลอดจนแม่ทัพนายกองทั้งหลายได้ฟังเช่นนั้น  ต่างคิดว่ามหาอุปราชนั้น
ช่างรอบคอบละเอียดยิ่งนัก  ล้วนรักไพร่พลทหารยิ่งนัก   หากมาดแม้นเป็นการโจมตีของเมืองที่ได้เปรียบเช่นนี้
บัดนี้ก็คงจะเข้าโจมตีเมืองอิสราวดีแล้วโดยไม่คำนึงสิ่งใดๆ  ทำให้บังเกิดความห้าวหาญยิ่งนัก   เมื่อทางฝ่ายเมือง
อิสราวดีจัดทหารออกมาจำนวนมากลั่นกลองรับ    ท่านมหาอำมาตย์ใหญ่ก็ให้แม่ทัพเมืองซิตเวเข้าต่อต้านก่อน
เสียงกลองศึกระงมไปทั้งสองฝ่าย   ทหารทั้งสองต่างยิงธนูนำทางก่อนแต่บรรดาทหารของเมืองอิสราวดีต้องอาวุธ
ธนูของทางเมืองซิตเวถึงแม้ไม่หนักหนานักแต่ก็ล้มตายเสียมากมายด้วย  อาวุธธนูของเมืองซิตเวนั้นล้วนแล้วอาบ
ยาพิษทั้งสิ้น  เมื่อต้องเนื้อเป็นแค่แผลเล็กน้อยพิษยาก็จะซึมซาบสู่หัวใจสิ้นชีวิตทันที
       ด้วยดังนี้แม่ทัพเมืองอิสราวดีก็สั่งให้ถอยกลับเข้าเมืองทันทีแล้วเข้าไปรายงานแก่แม่ทัพใหญ่ทันใด ว่าอาวุธ
มันล้วนแล้วแต่มีพิษ   ครั้นแม่ทัพใหญ่ทราบดังนี้ก็ให้โกรธยิ่งนักว่าไฉนไม่ตระลุยเข้าไปจัดการกับเหล่าพลธนูถึง
แม้ว่าจะเสียทหารไปหากถึงพัวพันกันมันย่อมใช้ธนูมิได้   จึงสั่งให้แม่ทัพนายกองคนเดิมยกกำลังออกไปอีก
ครั้นแม่ทัพนายกองทราบดั่งนี้ต่างก็มองหน้ากัน  แล้วก็จัดทหารขึ้นใหม่ยกกำลังออกไปอีก  คราวนี้ให้จัดโล่
กำบังธนูทางอากาศไว้แล้วเคลื่อนพลเข้าปะทะทันที   ทางฝ่ายชายหนุ่มก็เปลี่ยนกลยุทธ์สลับไปยังเมืองอื่นๆบ้าง
         เมื่อทัพทั้งสองปะทะกันก็เกิดการสู้รบกันชุลมุน  แต่ด้วยการวางกลยุทธ์ของทหารเมืองมะละแหม่งซึ่ง
ใกล้แคว้นอิสราวดีย่อมเรียนรู้ไว้แล้ว  การปะทะผ่านไปไม่นานฝ่ายทหารเมืองมะละแหม่งก็ประสบชัยชนะ
แต่ก็ไม่กล้าเข้าใกล้กำแพงเมือง  ยกกำลังกลับมาไปรายงานผลให้ทราบทันที   ครั้นแม่ทัพใหญ่ของเมืองอิสราวดี
ทราบว่าเกิดการพ่ายแพ้อีกครั้งหนึ่งแม่ทัพและนายกองต่างสิ้นชีวิตไปคงเหลือกลับมาเพียงนายกองบางนาย
เท่านั้นก็ให้โกรธยิ่งขึ้น  แต่เวลาใกล้ค่ำแล้วก็รีบไปรายงานที่ปรึกษาใหญ่เพื่อทูลแก่เจ้าเมืองต่อไป  และว่าพรุ่งนี้
จะยกกำลังออกไปอีก
        ครั้นเจ้าเมืองอิสราวดีทราบดังนี้ก็ให้ตกใจยิ่งนัก  มันจึงรีบไปเรียนอาจารย์ท่านนักพรตสุรสีห์ทันทีว่าการศึก
ครั้งนี้มิง่ายดายนักเสียแล้ว  ฝ่ายนักพรตสุราสีห์แห่งจุนเขาอูกะระ  ท่านพลันหัวร่อลั่นว่า
       “พรุ่งนี้ข้าเองจะนำทัพออกไปเองให้เจ้าอย่าได้เป็นห่วงใยนัก  มันจะต้านทานเราได้ก็ให้มันรู้ไป”
 กล่าวแล้วก็หันไปกอดสาวสนมทั้งหลายที่คอยปรนนิบัติอยู่เคียงข้างพร้อมยกจอกสุราส่งให้มังสุระบดีทันที
มังสุระบดียกมาดื่มแล้วเอ่ยขึ้นว่า
        “หากอาจารย์กล่าวเช่นนี้ศิษย์เองก็สบายใจยิ่งนัก  แล้วอาจารย์จะนำกำลังไปเท่าไหร่ล่ะอาจารย์”
      นักพรตพลันหัวร่อบอกว่า 
         “เจ้าไม่ต้องนำทหารไปมากนักหรอก   ข้าเองจะนำทหารเพียงห้าร้อยนายเท่านั้น” กล่าวแล้วก็ยกจอกสุรา
ขึ้นดื่มพร้อมหยอกเย้าสตรีต่อไป
          “พรุ่งนี้ศิษย์จะจัดทหารให้อาจารย์เท่าที่อาจารย์แจ้งก็แล้วกัน ข้าขอลากลับก่อนนะอาจารย์”
           “ไปเถิดศิษย์รัก   ข้าจะเผาทหารมันให้วอดวายตกตายในกองเพลิงสิ้น”  แล้วมันก็หัวร่อลั่นเสียงดังสนั่น  
      เจ้ามังมหาสุระบดีราชันย์ก็เดินออกจากที่พักอาจารย์มัน  พร้อมสั่งให้อำมาตย์ที่ปรึกษาไปแจ้งแก่แม่ทัพใหญ่
ว่าให้ตระเตรียมทหารห้าร้อยนาย  ด้วยอาจารย์มันจะนำทัพไปเอง
           พรุ่งตอนสายของวันใหม่ย่างกรายมาถึง ประตูเมืองเปิดออก เหล่าทหารม้าห้าร้อยนาย  นำหน้าด้วยนักพรต
แต่งคลุมกายสีขาวด้านเสื้อผ้าสีเขียวขี่นำหน้าเหยาะย่างเข้ามายังค่ายทหารของชายหนุ่มทันที
         แม่ทัพ ทหารก็เข้าไปรายงานชายหนุ่มว่าเมืองอิสราวดีคราวนี้มาแปลกยกกำลังพลออกมาเพียงห้าร้อยนาย
แต่มีนักพรตแต่งกายสีขาวเหยาะย่างม้าเดินทางมาเรื่อยๆ   ชายหนุ่มจึงรีบสั่งให้ไปเรียกแม่ทัพใหญ่เข้ามาหาทันที
      เมื่อแม่ทัพใหญ่มาถึง  ชายหนุ่มก็สั่งว่าไม่ต้องให้แม่ทัพทหารเมืองตองยีออกรบ  เพียงจัดกำลังพลให้เราสัก
สามร้อยนายเท่านั้นเองก็พอเราจะออกไปเอง  ครั้นแม่ทัพใหญ่ทราบคำสั่งแล้วก็ให้นึกแปลกใจว่าเหตุไฉน
ชายหนุ่มถึงไม่ให้จัดเป็นกองทัพใหญ่เข้าโจมตีทหารเมืองอิสราวดีเหมือนแต่ก่อน  แต่ก็ไม่กล้าคัดค้านประการใด
จึงไปแจ้งทางแม่ทัพฝ่ายเมืองตองยีว่าให้จัดกำลังพลตามคำสั่ง  ครั้นแม่ทัพเมืองตองยีทราบก็ตกใจว่าเหตุไฉนองค์
ชายถึงจะเสด็จเอง  ด้วยความสงสัยจึงนำทหารเพียงแค่สามร้อยนายมายืนรอท่านมหาอุปราชทันที
   ครั้นเมื่อแม่นางทั้งห้าทราบข่าวรีบมาหาชายหนุ่มทันทีเพื่อจะขอติดตามไปด้วย   แต่ถูกชายหนุ่มห้ามปรามไว้
  พลางเอ่ยขึ้นว่า
      “ศึกครั้งนี้หาได้เหมือนกับศึกทั่วๆไป ด้วยไอ้อาจารย์พวกกบฏมันออกมาเอง ด้วยมันประมาทนำทหารมาเพียง
ห้าร้อยนายเท่านั้น   มันต้องใช้ของวิเศษและเวทย์มนต์คาถาเพื่อจะทำลาย หากเรานำคนไปมากๆก็ย่อมเข้าทางมัน
ฉะนั้นพี่เองถึงต้องออกไปเอง ด้วยร่ำเรียนเวทย์มนต์และมีของพอที่จะต้านมันได้  ถึงอย่างไรพี่ก็เอาตัวรอดกลับ
มาได้น้องพี่อย่าเป็นห่วงใยไปเลย หากน้องพี่ไปพี่เองจะเกิดเสียสมาธิไม่แน่วแน่ด้วยเกิดความเป็นห่วงลังเลใจ ศึก
ครั้งนี้หาธรรมดาไม่น้องรักของพี่”   ชายหนุ่มกล่าว
      “งั้นน้องเข้าใจแล้วล่ะ  ขอให้ท่านพี่ระมัดระวังตัวด้วยนะ หากมาดแม้นพี่เป็นอะไรไปพวกน้องก็จะไม่อยู่มี
ชีวิตอีกต่อไป ต่างตกลงกันแล้วว่าหากขาดท่านพี่เมื่อใดต่างจะขอตายตามท่านพี่ไปด้วย” 
       “พี่ได้ยินคำนี้ก็ชื่นใจแล้ว แต่น้องอย่าลืมซิพี่ยังมีแม่นางพรายสองนางคอยช่วยเหลือพี่อยู่ด้วยนะ หากติดขัด
อย่างไร  แม่นางพรายย่อมจะบอกแก่พี่เองแหละ  ตลอดยังมีเจ้าขนทองขนขาวไปด้วยอีก ขอน้องมิต้องห่วงหรอก”
ชายหนุ่มกล่าวกับแม่นางทั้งห้า  ทำให้แม่นางทั้งห้าพลอยหายความห่วงใยไปบ้าง
    ครั้นชายหนุ่มเห็นดังนี้ก็ควบเจ้าสีเทาพร้อมเจ้าขนทองขนขาวออกนำหน้าเหล่าทหารเมืองตองยี
ออกสู่สนามรบหน้าเมืองอิสราวดีแล้วสั่ง
ให้หยุดกองกำลังไว้พลางมองไปบนฟ้าแต่ไม่กล่าวประการใด  แลไปเห็นนักพรตคลุมร่างสีขาวภายในเป็นสีเขียว
เหยาะย่างมาอย่างช้าๆ   ก็รู้ด้วยปัญญาว่าเห็นทีคราวนี้มันจะใช้เวทย์มนต์และของวิเศษแน่นอน  จึงควบเจ้าสีเทา
ออกไปข้างหน้าคนเดียว   เพื่อเผชิญหน้ากับนักพรตทันที..........
               * แก้วประเสริฐ. *

Cartoon_Animation_08.gifn016.gif				
comments powered by Disqus

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน