ลุ่มลึกอิสราวดี 52
แก้วประเสริฐ
ลุ่มลึกอิสราวดี 52
ข่าวการสวรรคตของสมิงนราบดินทร์ทราบไปยังฝ่ายในพระมเหสีและเหล่าสนมกำนัลทั้งหลายต่างตกใจ
เป็นยิ่งนักมิอาจจะล่วงรู้ชะตากรรมของตนเองว่าจะเป็นอย่างไร ครั้นชายหนุ่มเข้าเมืองก็พบท่านมหาอำมาตย์ของ
เมืองมะละแหม่งน้อมถวายการต้อนรับและอัญเชิญเข้าสู่ท้องพระโรงทันที ชายหนุ่มพร้อมเหล่านายทัพนายกอง
รวมทั้งหญิงสาวทั้งห้าที่แต่งกายเป็นทหารก็พากันเข้าไปยังท้องพระโรงตามชายหนุ่มเคียงข้าง เมื่อชายหนุ่มมา
ถึงยังบัลลังก์ ก็ขึ้นนั่ง ส่วนบรรดาแม่ทัพนายกองที่ถูกคุมตัวในการศึกก็ทยอยเข้ามาฝ่ายพลทหารก็คอยอยู่ข้าง
นอก
เมื่อชายหนุ่มนั่งลงยังบัลลังก์แล้วก็ให้แก้มัดเหล่าแม่ทัพนายกองทั้งปวง พลางชมเชยสมิงนราบดินทร์
ต่างๆนานาว่าสมกับเป็นเชื้อชาติชายทหารยิ่งนัก ที่รักไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินให้อำมาตย์ท่านจงจัดการให้สมกับ
เกียรติพระยศตามประเพณีทุกๆประการ เราจะไม่ลงโทษแก่พวกอำมาตย์และเหล่าขุนนางทหารใดๆทั้งสิ้น
ครั้นบรรดาอำมาตย์และเหล่าแม่ทัพนายกองทั้งหลายครั้นได้ยินชายหนุ่มกล่าวเช่นนี้ ต่างก็พากันน้อมถวาย
บังคมทูลให้สัตย์ปฏิญาณตนว่าจะขอซื่อสัตย์รับใช้ตราบชั่วชีวิตที่พระองค์ทรงพระราชทานอภัยให้
แล้วสั่งให้มหาอำมาตย์เข้าไปเชื้อเชิญพระมเหสีตลอดเหล่าวงศานุวงศ์ให้เข้ามาหาโดยด่วน ครั้นเมื่อได้
รับคำบัญชาดังนั้น มหาอำมาตย์แห่งเมืองมะละแหม่งก็ทูลถวายบังคมแล้วเข้าไปยังฝ่ายในตามรับสั่ง
ประมาณสักครู่ใหญ่ๆ พระมเหสีและเหล่าบรรดาวงศานุวงศ์ต่างๆก็เข้ามาถวายบังคมแก่ชายหนุ่มทันที
ดังนั้นชายหนุ่มจึงลุกจากราชบัลลังก์ เข้าไปน้อมถวายบังคมทูลแล้วอัญเชิญให้นั่งยังที่ส่วนพระองค์มเหสีทันที
พร้อมทั้งชมเชยกษัตริย์แห่งเมืองมะละแหม่งให้พระมเหสีและเหล่าวงศานุวงศ์ทราบถึงความกล้าหาญชาญชัย
เป็นอันมาก
“ขอพระนางอย่าได้เป็นห่วง เราจะถวายพระเกียรติพระศพให้สมศักดิ์ศรีตามขนบธรรมเนียมประเพณีของ
เมืองทุกๆประการ เราอาจจะไม่อยู่นานเมื่อเสร็จก็จะรีบออกเดินทางทันที” ชายหนุ่มกล่าว
“ตามกฎมณเฑียรกำหนดไว้ว่าหากตกเป็นเชลยแล้วให้ข้าจงอยู่ใต้เบื้องยุคลบาทของ
พระองค์ตลอดไป เพค่ะ” พระมเหสีกล่าวทูลขึ้น
“ไม่หรอกกฎของเมืองใดๆล้วนแล้วต่างกันทั้งสิ้น แต่สำหรับข้าเองนั้นหาได้ยึดถือมั่นในขนบธรรมเนียมนี้
แต่ประการใดไม่ ขอพระแม่เจ้าจงอย่าได้ยึดติดมั่นเถิด ขอให้ทรงเสวยความสำราญตามพระราชหฤทัยเถิด”
“เหตุด้วยว่าเมื่อเมืองจะสิ้นกษัตริย์ไปมิได้ ข้าเองจำเป็นอย่างยิ่งต้องแต่งตั้งกษัตริย์องค์ใหม่แต่ว่าข้าจะให้
คนของข้าขึ้นครองราชย์สมบัติหาใช่ว่าจะไม่ไว้ใจพวกท่านก็หาไม่ ขอพระแม่เจ้าจงทรงเห็นพระหทัยหม่อมฉัน
ด้วยเถิดพระเจ้าข้า”
“แล้วแต่ท่านมหาอุปราชจะคิดทำการใดก็สุดแล้วแต่พระองค์เถิด หม่อมฉันยินดียอมรับทุกประการ เพค่ะ”
“แล้วพระองค์มีราชบุตรธิดากี่พระองค์ ข้าเองอยากรู้นัก”
“หม่อมฉันมีเพียงราชบุตรีพระองค์เดียว ส่วนนางสนมมีราชบุตรประมาณสักสามพระองค์ชายเพค่ะ”
ครั้นชายหนุ่มทราบดังนี้แล้ว จึงเรียกมังกะยอกับมังนิละกะเข้ามากระซิบสอบถามทันทีว่าผู้ใดมีครอบครัวหรือยัง
ครั้นทราบว่ามังกะยอหาได้มีครอบครัวใดไม่ก็ทรงยินดี แล้วให้กลับไปประจำหน้าที่ได้ เมื่อทั้งสองทูลเสร็จก็
กลับไปยืนคอยรับสั่งต่อไป
“หม่อมฉันขอถามพระแม่เจ้าว่าพระธิดาของพระองค์ออกเรือนหรือยังล่ะ”
“ขอเรียนแด่ท่านมหาอุปราช ยังเพค่ะ”
“แล้วมีนามใดหรือพระแม่เจ้า”
“ทรงนามว่า ยุพาวดี อายุได้ ยี่สิบสามพระเจ้าข้า”
“อ้องั้นดีแล้วล่ะ ขอบพระหทัยพระแม่เจ้า ข้าเองจะสู่ขอพระธิดาแก่พระแม่เจ้าได้หรือไม่พระเจ้าข้า”
“ในเมื่อพระองค์มีพระประสงค์เช่นนี้หม่อมฉันมิอาจขัดข้องประการใดเพค่ะ”
“เอาล่ะดีแล้ว ข้าขอขอบพระหทัยพระแม่เจ้ามากนัก”
แล้วชายหนุ่มก็หันไปทางมวลเหล่าอำมาตย์แม่ทัพนายกองของเมืองมะละแหม่งแล้วทรงตรัสในท่ามกลาง
ทันทีแล้วประกาศแก่บรรดาทั้งหลายว่า
“ บัดนี้เมืองมะละแหม่งพระเจ้าสมิงนราบดินทร์ได้ทรงสวรรคตในท่ามกลางสนามรบ สมพระเกียรติยศ
เป็นอย่างยิ่งข้าเองอดชมเชยในวีรกรรมของพระองค์เสียมิได้ หากเมืองมะละแหม่งนี้ขาดเจ้าเมืองไปก็อันอาจ
จะทำความวุ่นวายแก่บรรดาประชาราษฎร์ได้ จึงใคร่ขอใช้อำนาจประกาศแต่งตั้งเจ้าเมืองคนใหม่ขึ้นในบัดนี้
ให้ท่านมังกะยอขึ้นครองราชย์สมบัติสืบต่อไป ด้วยเหตุที่ท่านมังกะยอหาได้มีครอบครัวแต่ประการใด ขอให้
ท่านมังกะยอเดินมาหาข้าด้วย”
ครั้นพระมหาอุปราชกล่าวจบก็เกิดเสียงพรึมพรำขึ้นแต่หามีผู้ใดคัดค้านกระด้างกระเดื่องใดไม่ พระองค์
ทรงมองหน้าบรรดาอำมาตย์และเหล่าขุนทหารทั้งปวงเห็นมิแสดงอาการแต่อย่างใด จึงประกาศต่อไปว่า
“บัดนี้ท่านมังกะยอก็หาใช่สามัญชนประการใดไม่เป็นเชื้อสายของกษัตริย์มาก่อนจึงสมควรเถลิงราชสมบัติ
นี้และข้าได้สู่ขอพระราชบุตรีของพระแม่เจ้าเมืองมะละแหม่งไว้เรียบร้อยแล้วจึงขออัญเชิญเจ้าหญิงยุพาวดีออก
มาด้วย เพื่อข้าจะจัดการพระราชทานสยุมพรสมรสให้มาดแม้นว่าจะรวดเร็วก็ด้วยความจำเป็นของข้า”
เมื่อมังกะยอก้าวหน้ามาถึงเบื้องหน้าชายหนุ่ม ย่อเข่าลงชายหนุ่มก็สวมมงกุฎบนศีรษะมังกะยอทันทีส่วน
เจ้าหญิงยุพาวดีที่ก้าวเข้ามายืนเคียงข้าง ชายหนุ่มหยิบเอาก้อนแก้วสีแดงออกมาสองก้อนคัดเลือกที่สวยที่สุด
แล้วมอบให้มังกะยอและเจ้าหญิงยุพาวดี แล้วให้ทั้งสองเข้าไปถวายบังคมแก่พระมเหสีทันที ทั้งสองก็พากัน
เดินไปหาพระมเหสีแห่งเมืองมะละแหม่งแล้วน้อมกายลงกราบยังเบื้องบาทพระแม่เจ้าทันที พระนางเองก็
ทรงให้ศีลให้พรแก่ทั้งสอง พลางหันมาขอบใจแก่พระมหาอุปราชทันทีที่ยังมิได้ลืมเลือนสมิงนราบดินทร์
พระสวามีหาผู้สืบเชื้อสายโดยตรงและทราบว่าราชบุตรเขยนั้นมีเชื้อสายกษัตริย์ด้วยก็ยิ่งปลาบปลื้มพระหทัย
ยิ่งนัก ถึงกลับหลั่งน้ำพระเนตรทันทีด้วยความดีใจพระหฤทัยยิ่งนัก
ชายหนุ่มก็เรียกทั้งสองเข้ามาแล้วทรงนำน้ำในคนโทที่นางสนมกำนัลนำมาถวายตามรับสั่งรดยังฝ่ามือของ
ทั้งสอง แล้วให้พระมเหสีมารดน้ำแก่เจ้าบ่าวสาวแทนมงคล หันไปกล่าวว่าด้วยกะทันหันขอพระแม่เจ้าอย่า
ได้ยึดถือขนบธรรมเนียมมากนัก ข้าเองยังไม่ติดยึดถือใดๆ ครั้นจัดการแต่งตั้งกษัตริย์เมืองมะละแหม่งเรียงร้อย
แล้วให้มังกะยอนั่งยังบนบัลลังก์เคียงข้างพระมเหสีคนใหม่แห่งเมืองมะละแหม่ง
ส่วนพระองค์ก็ เดินก้าวออกมาเบื้องหน้าพลางประกาศว่า
“ บัดนี้ข้าได้เปลี่ยนราชวงศ์ขึ้นใหม่ ข้าขอแต่งตั้งเจ้าเมืองคนใหม่ในชื่อว่า “สมิงกะยอนราบดินทร์”
แห่งราชวงศ์ “นราบดินทร์เดชาฤทธิ์ไกร” รัฐมอญทั้งปวง ที่ชายหนุ่มทำเช่นนี้เพื่อมิให้ราชบุตรอันเกิดจาก
เหล่าสนมกำนัลได้เกิดความฮึกเหิมคิดการช่วงชิงราชสมบัติอีกต่อไปและด้วยแอบมีหนังสือถึงมังกะยอไว้
ด้วยทรงรำลึกนึกถึงองค์เจ้าเมืององค์เดิม ให้เป็นราชวงศ์ใหม่ใช้ชื่อเจ้าเมืองเก่าผสมผสานเพื่อมิให้เกิดรอย
ร้าวฉานแก่บรรดาขุนทหารทั้งปวงจะคิดการไม่ดีต่อไป จึงประกาศนับแต่นี้ ส่วนแม่ทัพใหญ่นั้น
ให้ท่านมังนิละกะเป็นแม่ทัพใหญ่เมืองนี้ส่วนท่านรองแม่ทัพใหญ่เดิมนั้นข้าแต่งตั้งให้เป็นมหาอำมาตย์ใหญ่
ส่วนท่านมหาอำมาตย์ใหญ่ให้เป็นที่ปรึกษาของท่านสมิงกะยอนราบดินทร์ด้วยตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
มีใครบ้างจะขัดคำสั่งข้าให้แจ้งมาด้วย”
แต่หาได้มีผู้ใดกล้าบังอาจกล่าวใดๆขึ้นมานอกจากมองหน้ากันก็ยังมิกล้า
เพียงส่งเสียงยอมพร้อมใจกันทั้งสิ้นทุกๆคน
“เมื่อข้าจัดการเมืองมะละแหม่งเป็นที่เรียบร้อยแล้วหากการสำเร็จสมประสงค์ของข้าก็จะคืนแว่นแคว้นต่างๆ
ให้กลับมาอยู่ภายใต้ปกครองของเมืองมะละแหม่งต่อไป มะรืนนี้ข้าก็จะออกเดินทางแล้ว” กล่าวเสร็จก็หันมาทาง
เจ้าเมืองใหม่ พลางรับสั่งว่า
“เจ้าเมืองใหม่ขอให้ปกครองไพร่ฟ้าประชาชนท่านก็เห็นข้าเคยถือปฏิบัติมาแล้วเป็นตัวอย่างให้รักและสร้าง
ความร่มเย็นเป็นสุขถือประชาราษฎร์เป็นใหญ่ทำนุบำรุงเหล่าทหารให้อย่างยุติธรรมจงเด็ดขาดอย่าเชื่อฟังคน
ประจบสอพลอเด็ดขาด จงใช้สติปัญญาไตร่ตรองให้รอบคอบโดยปรึกษากับพระมเหสีของเจ้าซึ่งข้าเองทราบว่า
เป็นคนที่เก่งกล้าสามารถในการรบพุ่งและยังเก่งทางด้านการเมืองอีกด้วยเป็นสำคัญ ส่วนที่ปรึกษาท่านก็ควรให้
เกียรติทำนุบำรุงเหล่าอำมาตย์ทหารทั้งปวงอย่าให้ต้องเดือดร้อน การเลื่อนขั้นตำแหน่งให้จัดการคัดเลือกทุกๆปี
ทดสอบทดลองเพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่เหล่าอำมาตย์และขุนทหารทั้งปวง ใครดีก็ว่าดีใครไม่ดีก็จัดการลงโทษ
อย่าไว้หน้าใครๆ ให้ใช้ความเด็ดเดี่ยวเด็ดขาดเป็นที่ตั้งตามโทษานุโทษทุกๆประการเจ้าเข้าใจที่เราสั่งหรือไม่”
“ข้าพระองค์แม้นจะเป็นเจ้าเมืองก็จริงอยู่แต่ในห้วงจิตสำนึกยังเป็นข้าเบื้องใต้ยุคลบาทพระองค์เสมอๆ
พระพุทธเจ้าข้า” เจ้ามังกะยอกล่าว ส่วนพระมเหสียุพาวดีก็ทูลขึ้นว่า
“ข้าน้อยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระมหาอุปราชยิ่งนักที่ทรงให้เกียรติแก่เสด็จพ่อโดยตั้งชื่อ
ราชวงศ์ใหม่ว่า “นราบดินทร์เดชาฤทธิ์ไกร” อันมีนามพระบิดาของหม่อมฉันหมายถึงพระองค์ทรงให้เกียรติแก่
พวกเราเป็นอย่างยิ่งแล้วเพค่ะ” กล่าวเสร็จก็ลุกจากเก้าอี้ย่อกายถวายบังคมทันที
ชายหนุ่มเห็นดังนั้นก็ทรงพระสรวลพลางดำรัสว่า
“อันการกระทำทุกอย่างของข้านี้ใช่ว่าจะลุล่วงหวังลาภยศชื่อเสียงก็หาไม่เพียงคิดรวบรวมแว่นแคว้นต่างๆ
ให้เปรียบเสมือนครอบครัวเดียวกันช่วยเหลือเจือจุนซึ่งกันและกันไม่แบ่งแยกพงศ์เผ่ากัน ส่วนข้าเองหลังจากรวบ
รวมแว่นแคว้นต่างๆได้ข้าก็จะไปสร้างเมืองใหม่ยังที่ไกลๆหาได้คิดก้าวก่ายทางแผ่นดินนี้อีก การรวมเป็นหนึ่ง
เดียวด้วยใจดวงเดียวก็เพื่อป้องกันข้าศึกต่างประเทศที่มักจะมาคุกคามกันเนืองๆนั่นเอง”
“ข้าพระองค์ได้ฟังดำรัสของพระองค์ก็ให้แปลกพระหทัยยิ่งนักว่าพระองค์จะสร้างเมืองใหม่คือศิระสุริยันต์
ยังที่ใดหรือเพค่ะ เพื่อว่าจะได้หาทางไปเยี่ยมพระองค์บ้างเพค่ะ”
ชายหนุ่มทรงพระสรวลเบาๆ ยิ้มพลางกล่าวว่า
“เอาล่ะหากสำเร็จสมความคิดอ่านแล้วเราจะแจ้งให้เจ้าเมืองต่างๆทราบเองแหละแต่ขอเก็บ
เป็นความลับก่อนก็แล้วกันขอให้เจ้าจงช่วยพระสวามีด้วยสุดความสามารถนะ”
“อันมะรืนนี้ข้าจะออกเดินทางจึงใคร่ได้ทหารฝีมือดีจากเจ้าช่วยเหลือด้วยเจ้าเมืองจะเห็นประการใด”
“พระองค์ไม่ทรงดำรัสข้าพระองค์ก็จะให้แม่ทัพใหญ่จัดทหารมอบให้แล้วพระเจ้าข้า”
“เอาล่ะขอบใจท่านยิ่งนัก เราจะกลับค่ายใหญ่แล้วส่วนเจ้าก็ให้ทหารไปเก็บของส่วนตัวมาก็แล้วกันนะ”
“พระเจ้าข้าเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันหามิได้พระเจ้าข้า”
แล้วชายหนุ่มก็หันไปทางพระมเหสีองค์เดิมพลางน้อมกายลงกล่าวอำลากลับค่ายใหญ่ทันที พระมเหสี
องค์เดิมก็ถือโอกาสขออภัยแล้วทรงสวมกอดชายหนุ่มพร้อมอวยพรนานัปการ ครั้นเวลาสมควรก็ออกจากเมือง
มะละแหม่งพร้อมด้วยเหล่าทหารและให้ทหารนำทหารที่เสียชีวิตคลุมด้วยธงประจำกองทัพเข้าฝังในป่าทันที
พร้อมทั้งส่งข่าวไปให้มหาอำมาตย์ใหญ่ทราบว่าได้จัดการเมืองมะละแหม่งและขอบใจเหล่าทหารตองอูที่เข้า
ช่วยให้เดินทางกลับได้ ฝ่ายทหารตองอูนั้นกลับทูลว่าพระเจ้ามังสุริโยว่าให้เพียงส่งข่าวให้ทราบเท่านั้นและให้ติด
ตามคอยรับใช้ไปร่วมรบด้วย ทำให้ชายหนุ่มซาบซึ้งและได้ให้ทหารนำสาสน์ไปให้แก่มังสุริโยแห่งตองอูทันที
ครั้นกลับถึงค่ายใหญ่แล้วสำรวจทหารทราบว่าเสียชีวิตไม่มากนักก็ปลาบปลื้มใจยิ่งนักครั้นพักผ่อนโดย
ได้รับการปรนนิบัติจากแม่นางทั้งเจ็ดรวมถึงแม่นางพรายซึ่งสามารถเข้ากันได้เป็นอย่างดียิ่งทำให้ชายหนุ่มถึง
กับซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง ต่างหยอกเย้าคุยกันจนหลับใหลไปตอนเที่ยงคืน เมื่อยามอรุณก็ได้รับรายงานว่า
ทางเมืองมะละแหม่งได้จัดส่งทหารนำโดยแม่ทัพใหญ่มาด้วยจำนวนมาก มังนิละกะนำมาเองแจ้งว่ามีทหาร
ที่ไว้ใจได้เพียงแค่สองหมื่นเศษเท่านั้นและจะขอร่วมเดินทางไปรบด้วย แต่ชายหนุ่มห้ามไว้ว่าในเมือง
ยังเป็นคนของอำมาตย์และแม่ทัพใหญ่เก่าอยู่อีกแล้วก็แนะนำด้านการปกครองทหารให้มังนิละกะถึงกุสโลบาย
ต่างๆเรียนรู้ไว้ให้พยายามตัดพวกที่ยังฝักใฝ่แม่ทัพใหญ่ออกแล้วให้ทำการทดสอบประลองยุทธ์จากทหารที่
มาสมัครใหม่ให้แต่งตั้งแทนและโยกย้ายทหารที่ไม่น่าไว้วางใจออกจากตำแหน่งที่ควบคุมทหารหากมากก็ปลด
ออกจากทำการแต่งตั้งทหารที่จัดสร้างขึ้นใหม่แทนแต่ หากมันยังคิดส่องสุมก็ให้จัดหน่วยพิเศษขึ้นจัดการ
ฆ่าทิ้งเสียอย่าปล่อยเอาไว้ ด้วยพวกนี้ไว้ใจไม่ค่อยจะได้ จงจำคำเราไว้
อีกประการหนึ่งให้คอยจับตาดูที่ปรึกษาและมหาอำมาตย์ไว้อย่าให้คลาดสายตา หากมีอะไรก็ให้รีบ
แจ้งให้เรารู้ทันทีและให้ไปแจ้งต่อเจ้ามังกะยอไว้ด้วยว่านี่เป็นคำสั่งของเรา พร้อมส่งหนังสือลับไว้ให้ แต่
ให้ใครเห็นเป็นอันขาดแก่มังกะยอส่วนตัวเจ้าเองก็ อย่าไว้ใจใครๆเด็ดขาดเรามิอาจ
กล่าวต่อหน้ามวลทหารของมอญได้ จึงให้เจ้าจัดการแทน มังนิละกะรับทราบแล้วก็ขอตัวกลับเพื่อรีบไปดำเนินตามแผนของท่านมหาอุปราชต่อไป แล้วชายหนุ่มก็ให้เคลื่อนทัพถอนกำลังพลออกนำกำลังของมอญ
และตองอูรวมกันได้หลายหมื่นออกเดินทางผ่านแว่นแคว้นรัฐมอญ ซึ่งต่างออกมาต้อนรับ
และมอบเสบียงอาหารให้ซึ่งเจ้าเมืองต่างๆนั้นเป็นคนของชายหนุ่มทั้งสิ้น
จวบบรรลุถึงทัพของท่านมหาอำมาตย์ใหญ่เหมี่ยวมังกระยอชวาที่ปรึกษาว่า
ทางด้านอิสราวดีส่งกองทัพมาเพียงเล็กน้อยเพื่อช่วยแว่นแคว้นรัฐมอญแต่ถูก แม่ทัพใหญ่ตีแตกยับเยินกลับเมือง
ไปแล้ว ตอนนี้แม่ทัพใหญ่ยังตั้งทัพคอยพระองค์อยู่
แล้วชายหนุ่มและท่านที่ปรึกษาใหญ่ก็นำทัพไปรวมกับทัพของแม่ทัพใหญ่ทันที เข้ารายล้อมเมืองอิสราวดี
ปิดทางการค้าขายของชาวเมืองทั้งสิ้น ทำให้เกิดระส่ำระสายแก่ชาวเมืองอิสราวดีอย่างมหาศาลจนวุ่นวาย.........
* แก้วประเสริฐ. *