ลุ่มลึกอิสราวดี 51
แก้วประเสริฐ
ลุ่มลึกอิสราวดี 51
ครั้นชายหนุ่มสั่งทหารแบ่งหน้าที่เรียบร้อยแล้วก็หันไปทาง ท่านเหมียวมังกะยอชวา หญิงสาว
ทั้งห้า แม่ทัพมังกะยอคุมด้านปีกขวา มังนิละกะคุมด้านปีกซ้าย ท่านที่ปรึกษาใหญ่คุมทัพหลวง
คอยส่งกำลังหนุน ส่วนกองหน้าเราจะไปเองพร้อมทั้งหญิงสาวทั้งห้า ตลอดจนแม่ทัพนายกองอื่นๆ
และทหารทั้งปวงให้จัดแบ่งกำลังออกให้เท่าๆกัน ครั้นแยกทางกับท่านที่จะไปรอคอยท่านแม่ทัพใหญ่
เพื่อตัดกองกำลังช่วยเหลือจากเมืองอิสราวดีไว้และแม่ทัพนายกองที่ตีเมืองต่างๆ เมื่อเราเคลื่อนพลไป
ตามแผนที่แล้วให้แยกกันเข้าสู่แว่นแคว้นรัฐมอญเข้าโจมตีทันที ใครถึงก่อนก็โจมตีหากสำเร็จให้ไป
รวมกำลังกับเมืองที่ยังไม่ได้โจมตีเพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกันจวบจนถึงกองทัพใหญ่ของท่านแม่ทัพ
มังสุระเดชเดชาคอยเราที่นั่นไม่ต้องส่งกำลังมาช่วยเหลือเราหรอก เราเองคิดว่าอันเมืองมะละแหม่ง
นั้นเราสามารถโจมตีได้ด้วยได้รับการช่วยเหลือจากเมืองตองอูเป็นกำลังช่วยอยู่แล้วขอท่านเมื่อ
เสร็จศึกให้ไปรวมกำลังยังท่านแม่ทัพใหญ่ทันที ทั้งหมดรับทราบคำสั่งแล้ว ครั้นย่ำรุ่งก็ออกเดิน
ทางทันที เมื่อถึงทางไปเมืองต่างๆก็แยกย้ายกัน ชายหนุ่มพลางหันไปยังท่านเมี่ยวมังกะยอชวา
“ข้าเองมาคิดว่าทางด้านท่านมังสุรเดชเดชานั้นถึงแม้จะมีสติปัญญาเก่งกล้าเพียงใด จึงขอให้ท่าน
ผู้เฒ่านำทัพหลวงไปสมทบเป็นที่คอยปรึกษาเห็นจะเหมาะกว่า จึงรบกวนท่านผู้เฒ่าไม่ต้องคอยส่ง
กำลังช่วยเหลือทางข้าพเจ้าหรอก ให้วางกำลังพลอยู่ห่างจากท่านมังสุรเดชเดชาไม่ไกลนักเพื่อจะได้
ประสานงานทั้งสองด้าน ท่านผู้เฒ่าจะเห็นเป็นประการใด”
“เป็นความคิดที่ดีของท่านมหาอุปราชยิ่งนัก ด้วยเราเองก็เชื่อมั่นในสติปัญญาไหวพริบและยังมีทหาร
เมืองตองอูพระเจ้ามังสุริโยคงจะส่งกำลังมาสมทบแล้วพระเจ้าข้า”
“ด้วยเหตุดังนี้ เมื่อเมืองมะละแหม่งขาดกำลังช่วยเหลือข้าเองคิดว่าคงจะไม่นานนักที่จะนำชัยกลับมา
ได้ แต่หาได้ประมาทในฝีมือศัตรูก็หาไม่ท่านผู้เฒ่า” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น
“ดังนั้นข้าพุทธเจ้าขอแยกทางจากท่านมหาอุปราชทางนี้เลยด้วยระยะทางที่จะไปเมืองอิสราวดีนั้นยัง
ไกลนักพระเจ้าข้า” เหมี่ยวมังกะยอชวาทูลลา”
“ขอให้ท่านผู้เฒ่าระมัดระวังด้วยเถิดนะข้าเองก็เป็นห่วงท่านยิ่งนัก” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น
ทำให้ท่านมหาอำมาตย์ที่ปรึกษาใหญ่ถึงกับซาบซึ้งน้ำใจ ตลอดจนแม่นางจันทิราได้ยินก็ยิ่งบังเกิดความปิติ
ยิ่งขึ้น แล้วชายหนุ่มก็แจ้งยังปีกซ้ายปีกขวาให้ออกเดินทางได้แล้ว ส่วนชายหนุ่มก็คุมกำลังทหารม้าและทหาร
ของเมืองต่างๆที่มาร่วมกัน มุ่งหน้าเข้าไปยังแคว้นเมืองมะละแหม่งทันที พร้อมทั้งส่งสาสน์แจ้งไปยังเมืองตองอู
ในการศึกคราวนี้
ฝ่ายเจ้าเมืองตองอูครั้นได้รับสาสน์จากชายหนุ่มก็รีบจัดกำลังทหารคัดเลือกฝีมือดีของตองอูจัดทัพข้าม
แม่น้ำไปตั้งทัพรอคอยคำสั่งจากชายหนุ่มซึ่งแม่เจ้าแห่งตองอูหวังจะได้ชายหนุ่มเป็นราชบุตรเขย จึงสั่งให้พระเจ้ามังสุริโยรีบจัดทัพโดยด่วนพร้อมทั้งส่ง
สาสน์แจ้งไปยังชายหนุ่มด้วยอีกทางหนึ่ง เมื่อชายหนุ่มรับสาสน์มาอ่านแล้วก็เคลื่อนทัพเข้ารายล้อมเมือง
มะละแหม่งทันที ด้านเจ้าเมืองมะละแหม่งนั้นด้วยเห็นว่าทางกองทัพที่ตีเมืองตองอูได้แล้วแต่ไม่สนใจเมือง
แว่นแคว้นรัฐมอญก็เกิดความประมาท แต่ก็เตรียมตัวไว้ด้วยเพียงแค่จัดเตรียมไพร่พลไว้พร้อม ด้วยคิดว่า
ยังมีเมืองอิสราวดีคอยช่วยเหลืออยู่ จึงได้พากันหาความเกษมสำราญกับนารี
เมื่อได้รับรายงานจากทหารองครักษ์ว่าบัดนี้เมืองมะละแหม่งได้ถูกข้าศึกรายล้อมทั่วทิศทางแล้วก็ให้ตกใจ
จึงให้เรียกประชุมเหล่ามหาอำมาตย์และแม่ทัพนายกองโดยเร็ว ถามถึงข่าวคราวศึก มหาอำมาตย์และแม่ทัพใหญ่
ก็รายงานว่า
“ บัดนี้ใช่ว่าเมืองมะละแหม่งถูกโจมตีเมืองเดียวไม่ บรรดาแว่นแคว้นมอญก็ถูกโจมตีเช่นเดียวกัน
ล่าสุดได้ข่าวว่า บรรดาแว่นแคว้นต่างๆนั้นได้เสียเมืองไปเกือบหมดแล้ว พระเจ้าข้า”
“ท่านแม่ทัพใหญ่ให้จัดกำลังพลออกไปต่อสู้หยั่งเชิงข้าศึกก่อนว่าจะมีกำลังกล้าแข็งเท่าใด”
“พะย่ะค่ะ หม่อมฉันจะจัดส่งแม่ทัพไปหยั่งเชิงศึกเดี๋ยวนี้แหละพระเจ้าข้า” แม่ทัพใหญ่ทูลถวาย
“ศึกทั้งหลายนี้เป็นทัพของใครหรือท่านมหาอำมาตย์และแม่ทัพใหญ่” สมิงนราบดินทร์ถาม
“กระหม่อมได้ยินว่าเป็นท่านมหาอุปราชแห่งเมืองศิริสุริยันต์ พระเจ้าข้า”
“อ้าวๆ???...ก็มหาอุปราชหายสาบสูญไปนานแล้วอีกเมืองศิระสุริยันต์ก็ล่มสลายไปแล้วจะก่อการใด
ได้หรือว่าเป็นการอ้างตัวของเมืองอื่นกระมัง” เจ้าเมืองสมิงนราบดินทร์ถามด้วยความสงสัย
“ด้วยเหตุใดไม่ทราบได้ข้าเองก็ส่งทหารสอดแนมไปดูเห็นว่าบรรดาแว่นแคว้นต่างๆตกอยู่ในอำนาจ
ของมหาอุปราชหมดสิ้นแล้ว และยังใช้ธงตราเมืองศิระสุริยันต์อีกด้วย เพียงแต่เปลี่ยนแปลงนิดหน่อย
พระเจ้าข้า” แม่ทัพใหญ่สมิงนครเวียงถวายรายงาน
“เจ้าชายมหาอุปราชแห่งศิระสุริยันต์นั้นเป็นผู้นำทัพมาเองพระเจ้าข้า” อำมาตย์ใหญ่สมิงอินทิชัยทูล
“เดี๋ยวเราจะแจ้งข่าวไปให้เมืองอิสราวดีส่งกำลังมาช่วยเหลือเรา ให้ท่านอำมาตย์จัดการแล้วส่งมาให้
เราพิจารณาด้วยนะ”
“พระเจ้าข้า” สมิงอินทิชัยน้อมรับคำสั่ง
“แล้วท่านแม่ทัพใหญ่หากส่งกำลังไปหยั่งเชิงแล้วรีบมารายงานให้เราทราบด้วยนะ”
“พระเจ้าข้า” แม่ทัพใหญ่ทูลถวาย
“เอาล่ะ งั้นแค่นี้พอ ได้ผลประการใดให้รีบมารายงานเราด่วน ส่วนท่านมหาอำมาตย์ครั้นร่างสาสน์
แล้วนำมาให้เราลงนามนะ”
“พระเจ้าข้า” แม่ทัพใหญ่แห่งเมืองมะละแหม่งน้อมรับพระบัญชา
แล้วไปรีบจัดทหารฝีมือดีให้แม่ทัพนายกองยกกำลังออกไปหยั่งเชิงข้าศึกทันที พอประตูเมืองเปิดทหาร
เมืองมะละแหม่งก็ทะยานเหล่าทหารม้าและทหารราบเข้าสู่สนามทันที ด้านฝ่ายชายหนุ่มครั้นเห็นทหาร
เมืองมะละแหม่งออกมาเช่นนี้ก็สั่งการให้จัดทัพเข้าต่อสู้ทันที ด้วยชายหนุ่มนำทัพไปเองครั้นสู่สนามรบ
ในระยะประชันชิดชายหนุ่มซึ่งควบม้านำหน้าบรรดาเหล่าทหารม้าและแม่นางทั้งห้าก็ทะยานเข้าสู้รบกับ
ฝ่ายทหารเมืองมะละแหม่ง
การต่อสู้ผ่านไปด้วยความกรำศึกรอบรู้การศึกมามากกว่าทหารเมืองมะละแหม่ง
ก็สังหารทหารเมืองมะละแหม่งล้มตายลงเสียเกือบหมด ถอยร่นจนถึงประตูเมืองชายหนุ่มก็ให้ถอยทัพกลับ
เพื่อมิให้ชิดกำแพงเมืองด้วยฝ่ายทางกำแพงเมืองซึ่งจัดเตรียมจัดทรายเพลิงไว้คอยอยู่แล้วพร้อมด้วยพลธนูซึ่งต่าง
ยิงออกมาเพื่อปกป้องเหล่าทหารของพวกตนที่ต่างก็หนีเข้าประตูเมืองหมดสิ้น
เมื่อแม่ทัพใหญ่แห่งเมืองมะละแหม่งสมิงนครเวียงเห็นเช่นนั้น ก็ให้จัดทัพอีกกองหนึ่งแล้วตัวเองก็นำทัพ
ออกจากเมืองไป ต่อสู้อีกด้วยตนเอง ชายทัพชายหนุ่มหลังจากได้ชัยชนะก็ถอยทัพมายืนม้าคอยอยู่ก่อนแล้ว
ครั้นเห็น ธงของแม่ทัพใหญ่จึงกล่าวแก่แม่นางทั้งห้าว่าคราวนี้อาจเป็นศึกใหญ่ให้ระวังตัวไว้ด้วย อย่าได้ปะทะ
กับแม่ทัพใหญ่ของเมืองมะละแหม่งขอให้เป็นหน้าที่ของเราเอง แม่นางทั้งห้าต่างรับทราบ เมือทัพทั้งสอง
เผชิญหน้ากัน ต่างแยกย้ายกันต่อสู้กันเป็นพัลวันต่างฝ่ายต่างล้มตายแต่ทหารฝ่ายของเมืองมะละแหม่งต่างเสีย
ชีวิตมากด้วยทหารของฝ่ายชายหนุ่มล้วนอาบยาพิษต้องเนื้อเมื่อใดต่างถูกพิษแทรกซึมตายไปสิ้น เหลือเพียง
ทหารที่แม่ทัพใหญ่สมิงนครเวียงต่อสู้อยู่กับบรรดานายกองของชายหนุ่ม
เห็นดังนั้นจึงควบเจ้าสีเทาซึ่งมีฝีเท้าจัดจ้านรวดเร็วนักตีฝ่าทหารของเมืองมะละแหม่งเข้าประทะกับแม่ทัพ
ใหญ่แหม่งเมืองมะละแหม่งทันที การต่อสู้ใช้อาวุธทวนเป็นหลักต่างเข้าต่อสู้กันเวลาผ่านไปไม่นานนักชายหนุ่ม
ได้โอกาสก็ปัดทวนของเจ้าสมิงนครเวียงออกไปพร้อมล้วงก้อนหินสีแดงขว้างใส่ยังเบื้องอกด้านซ้ายทันที ก้อน
หินสีแดงก็ทะลุเกราะที่ใช้กำลังร่างกายของแม่ทัพใหญ่ทะลุเข้าไปในเนื้อทันที ทำให้แม่ทัพใหญ่เสียชีวิตตกจาก
หลังม้า ครั้นบรรดาทหารเมื่อเห็นแม่ทัพใหญ่สิ้นชีวิตก็ต่างยินยอมวางอาวุธ บ้างก็หนีกลับเข้าสู่เมือง
ชายหนุ่มก็ให้ทหารควบคุมเหล่าทหารเมืองมะละแหม่งที่ยอมจำนนไปกักขังไว้อีกทางหนึ่ง ครั้นความทราบ
ไปถึงสมิงนราบดินทร์ว่าแม่ทัพใหญ่นำกำลังออกไปต่อสู้ในสนามรบและได้สิ้นชีวิตไป ก็ให้โกรธเป็นกำลังจึงจัด
แจงแต่งตัวเป็นจอมทัพสั่งให้แม่ทัพนายกองทั้งหลายจัดไพร่พลแล้วยกกำลังออกไปเพื่อต่อสู้กับมหาอุปราชทันที
เมื่อประตูเมืองเปิดอีกครั้งหนึ่ง เจ้าเมืองมะละแหม่งก็ควบม้าบุกเข้าไปยังค่ายของฝ่ายมหาอุปราชด้วยกำลังพล
นับหมื่นหวังจะจบศึกให้เสร็จ ทางด้านชายหนุ่มครั้นแลไปเห็นเป็นเจ้าเมืองออกมาเองดังนั้นก็คิดว่าหากเรา
สามารถกำจัดเจ้าเมืองนี้ได้ เมืองมะละแหม่งก็จะต้องตกอยู่แก่เราในคราวนี้จึงจัดไพร่พลทั้งหลายให้แม่ทัพทั้ง
ปีกซ้ายปีกขวาตีโอบล้อมกองทัพเมืองมะละแหม่งทันที
ชายหนุ่มยังไม่ทันพักเหนื่อยก็ควบม้านำเหล่าทหารม้าและทหารราบเข้าต่อสู้ทันที
ฝ่ายทางด้านทหารเมืองละแหม่งก็ยิงธนูมาเป็นห่าฝน แต่ทางฝ่ายของชายหนุ่มก็นำเกราะบังธนู
โดยให้สร้างเป็นกำแพงกล่องคือ ให้ทหารเอาโล่บังด้านหน้าและด้านบนด้านข้างเดินหน้าเข้า
หายังเหล่าทหารของเมืองมะละแหม่งทันที
บรรดาธนูที่ระดมยิงมาก็ไม่อาจจะทำอันตรายแก่ทหารของฝ่ายชายหนุ่มได้ ชายหนุ่มสั่งให้พลธนูยิงธนู
เข้าโต้ตอบ เหล่าธนูก็พุ่งเข้าไปเป็นห่าฝนพุ่งเข้าทำลายเหล่าทหารพลธนูของเมืองมะละแหม่งเสียชีวิตมากมาย
สมิงนราบดินทร์เห็นเช่นนั้น ก็ให้ทหารถือธงขาวนำสาสน์ไปส่งให้แก่ท่านมหาอุปราชทันทีเพื่อจะขอเข้าต่อสู้
ตัวต่อตัว ด้วยคิดว่าตัวเองนั้นมีอาจารย์ที่ทำให้ร่างกายอยู่ยงคงกระพันชาตรียิ่งนัก อาวุธใดๆมิอาจจะระคายผิว
หนังตนได้ หากสามารถฆ่ามหาอุปราชเสียได้บรรดาทหารทั้งหลายก็คงจะต้องแตกทัพมิฉะนั้นการศึกนี้อาจจะ
เสียเปรียบแก่เหล่าทหารของชายหนุ่มด้วยความเจนศึกมากกว่า มองไปก็เห็นทหารทั้งหลายล้วนกระเหี้ยนกระหือ
ยิ่งนักหาได้เกรงกลัวทหารเมืองมอญไม่
เมื่อทหารนำสาสน์ไปส่งมอบให้ทหารมหาอุปราชแล้วก็กลับออกมา ชายหนุ่มอ่านสาสน์แล้วก็หัวร่อหันไป
บอกแก่เหล่าทหารทั้งหลายว่า หากเราสามารถฆ่าเจ้าเมืองได้แล้ว หรือหากเราตายก็อย่าได้ยอมแพ้เด็ดขาดให้ทั้ง
หมดเข้าโจมตีเมืองมะละแหม่งทันทีให้ท่านแม่ทัพปีกขวาเป็นแม่ทัพใหญ่ควบคุมทหารทั้งสิ้นให้บรรดาแม่นาง
จันทิราเป็นคนแทนตัวเราบัญชาการรบเองพร้อมด้วยแม่นางทั้งสี่ อย่าได้วิตกกังวลขวัญเสียเป็นอันขาดแต่เรา
เชื่อในฝีมือเราว่าจะต้องเป็นผู้ชนะ หรือเจ้าเมืองนั้นจะมีดีอยู่ในตัวเองแต่เราหาได้เกรงกลัวใดไม่ยิ่งกว่านี้เราก็
ผ่านมาอย่างโชกโชนแล้ว เมื่อสั่งเสร็จ ก็ควบม้าสีเทาทะยานเข้าไปยืนรออยู่กลางระหว่างทัพทั้งสอง เมื่อเจ้า
เมืองมะละแหม่งเห็นดังนั้นก็ร่ายเวทย์มนต์กำกับตัวเองทดลองเอามีดเฉือนแขนตัวเองเห็นว่าอยู่ยงคงกระพัน
แล้วก็ควบม้าเข้าไปหาชายหนุ่มทันที
ครั้นทั้งสองเผชิญหน้ากันแล้วต่างก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงใดๆต่างก็เข้าสัปยุทธ์กันทันที ต่างฝ่ายต่างสู้รบกัน
ชุลมุน เนื่องจากชายหนุ่มใช้ดาบธรรมดาหาได้ใช้ดาบประจำตัวเองไม่เพื่อทดสอบเจ้าเมืองว่าถือดีประการใด
ถึงกล้ายิ่งนัก เมื่อได้จังหวะชายหนุ่มฟันไปยังแขนของสมิงนราบดินทร์เจ้าเมืองเมื่อเบี่ยงดาบของมันเบนออก
ไป แต่มิอาจระคายผิวหนังมันได้ ทำให้เจ้าเมืองพลันหัวร่อร้องก้องทันทีว่า
“เห็นที่เจ้าหนุ่มน้อยนี้คงจะต้องถึงกาลอวสานในครั้งนี้แล้ว ด้วยเจ้าจะมิอาจะทำอันตรายแก่เราได้”
“ท่านถือว่ามีร่างกายคงกระพันชาตรีหรือ” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น
“แน่นอนเจ้าหนุ่มน้อย หากเรามิเชื่อมั่นแล้ว ใยเราจะออกมาในสนามรบด้วยตัวเราเองไม่หรอก”
“หากท่านเชื่อเช่นนั้น คราวต่อไปคงจะไม่เหมือนเดิมเสียแล้วล่ะ ท่านสั่งลูกเมียท่านหรือยังล่ะ”
“ฮ่าๆๆๆ....ใยเจ้าถามเราเช่นนี้ แล้วเจ้าล่ะสั่งลูกเมียเจ้าหรือเปล่าล่ะ ฮ่าๆๆๆ”
“เอาล่ะในเมื่อท่านเชื่อถือเนื้อหนังตัวเองยิ่งนักหาก ข้าสามารถสังหารท่านได้อย่าได้ถือสาอาฆาตเราเลยนะ”
“หากเจ้าสามารถสังหารเราได้ เมืองมะละแหม่งก็ขอยกให้แก่เจ้าทันที” พร้อมสั่งทหารให้ไปแจ้งแก่อำมาตย์
ในเมืองว่า หากเราเสียชีวิตแล้วให้เปิดประตูเมืองห้ามทหารใดๆต่อต้านเป็นอันขาด
“แล้วเจ้าล่ะ สั่งแบบข้าหรือไม่”
“ข้าเองกำชับไว้แล้วแต่ไม่อาจจะบอกแก่ท่านได้ เอาล่ะเรามาต่อสู้กันดีกว่านะ” ชายหนุ่มกล่าวเลี่ยงไป
แล้วทั้งสองก็เข้าต่อสู้กันทันที คราวนี้ชายหนุ่มโยนดาบในมือทิ้งไปเสียสร้างความงุนงงให้แก่สมิงนราบดินทร์
เป็นยิ่งนัก ก็เห็นชายหนุ่มชักดาบเบื้องหลังเสียงกังกังวานยิ่งนัก ครั้นเหลือบไปมองดาบก็ให้สะท้านใจนักด้วยตัว
ใบมีดดาบเขียวดั่งปีกแมลงทับหาใช่ดาบธรรมดาใดไม่ ก็ให้ตกใจแต่ด้วยความมีทิฐิมานะจึงควบดาบเข้าฟาดฟันชาย
หนุ่มทันที ต่างฝ่ายปะดาบกันไม่เท่าไหร่ดาบในมือของสมิงนราบดินทร์ก็ขาดสะบั้นลงพลังดาบได้ฟาดไปยังร่าง
ของสมิงนราบดินทร์ช่วงไหล่ลงมาถึงบั้นเอวขาดออกจากกันเป็นสองท่อนตกจากหลังม้าสิ้นชีวิตทันที
ครั้นบรรดาทหารมอญเห็นดังนั้นก็ให้ตกใจแต่คำสั่งของสมิงนราบดินทร์สั่งกำชับไว้แล้วจึงต่างทิ้งอาวุธลง
ทรุดเข่าทั้งหมดยอมพ่ายจำนนแต่โดยดี ข่าวคราวถูกส่งไปยังท่านมหาอำมาตย์ใหญ่ในเมืองที่มองยังเชิงเทิน
กำแพง ก็ให้ตกใจยิ่งนัก ครั้นแล้วจะขัดคำสั่งภัยก็จะมาถึงตัวเองด้วยจะมิอาจจะปกป้องเมืองได้เพื่อเอาตัว
รอดก่อน ก็ให้ทหารไปเปิดประตูเมืองทั้งหมด แล้วยืนคอยต้อนรับท่านมหาอุปราชที่นำกำลังพลเข้าประตูเมือง
ส่วนทหารเมืองมะละแหม่งก็เดินตามมาเบื้องหลังแต่ถูกควบคุมตัว
ไว้อีกชั้นหนึ่ง.............
* แก้วประเสริฐ. *