ลุ่มลึกอิสราวดี 50
แก้วประเสริฐ
ลุ่มลึกอิสราวดี 50
“ข้าขอขอบใจและเชื่อน้ำใจเจ้าในคำพูดเช่นนี้ ด้วยข้าเองก็ได้ยินคำร่ำลือมาเหมือนกัน เมื่อเจ้ารับปากข้า
เช่นนี้แล้วข้าเองก็สบายใจยิ่งนัก งั้นขอฝากเมืองซิตเวให้เจ้าปกครองดูแลไพร่ฟ้าประชาราษฎร์ให้อุดมสมบูรณ์เหมือนเก่าข้าก็สบายใจแล้ว ดังนั้นข้ามิอาจจะดูหน้าชาวเมืองได้ขอขอบใจพ่อหนุ่มมหาอุปราชมากนัก ข้าขอลา
เจ้าก่อน”
ทันใดนั้นเจ้าเมืองซิตเวมังตเวสีหะก็ยกดาบในมือขึ้นเชือดพระศอจนขาดลงล้มหงายบนบัลลังก์ทันที
ส่วนฝ่ายมหาอำมาตย์และแม่ทัพใหญ่แม่ทัพนายกองบางคน เมื่อเห็นเช่นนั้นก็ฆ่าตัวเองตกตายตามกันไป ส่วน
เหล่าบรรดาทหารองค์รักษ์ต่างก็ทิ้งอาวุธยอมจำนนทั้งสิ้น พระมเหสีและพระราชธิดาเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด
ต่างก็พากันร่ำไห้วิ่งมาสวมกอดพระศพเจ้าเมืองทันที
ชายหนุ่มถึงกับตกตลึงด้วยคาดคิดมิถึงว่าจะเป็นเหตุการณ์เช่นนี้ ก็ให้นึกชมเชยน้ำใจเจ้าเมืองและเหล่า
มหาอำมาตย์แม่ทัพใหญ่และแม่ทัพนายกองที่ยอมตายสนองพระเดชพระคุณแก่เจ้าเมืองยอมตายด้วย ดังนั้น
จึงเข้าไปปลอบโยนพระมเหสีและราชบุตรีให้คลายเศร้าโศก พลางกล่าวว่า
“อันข้ามหาอุปราชแห่งศิระสุริยันต์นั้นซึ่งคิดที่รวบรวมแว่นแคว้นเป็นอาณาจักรเดียวกัน แต่ท่านเจ้าเมือง
เป็นผู้ที่กล้าหาญยิ่งนักรักเกียรติยิ่งกว่าชีวิต มิให้อับอายแก่เหล่าแว่นแคว้นทั่วไปสมกับเป็นกษัตริย์ที่กล้าหาญ
เสียสละยิ่งนัก ข้าเองก็ให้ซาบซึ้งใจยิ่งขอพระมเหสีและพระราชบุตรีอย่างทรงพระเศร้าหมองพระหฤทัยไป
สมควรจะเชิดชูเจ้าเมืองมังตเวสีหะว่าสมเป็นชายชาติทหารที่ยอมเสียสละชีวิตเพื่อปกป้องผืนแผ่นดินไพร่ฟ้า
มิให้ต้องเดือดร้อน ข้าเองก็จะทำการถวายเพลิงพระศพจัดงานให้ยิ่งใหญ่และแต่งตั้งเจ้าเมืองใหม่แทน
ก่อนที่จะไปจากเมืองซิตเวนี้ ขอพระองค์ทรงไว้วางพระราชหฤทัยเถิด จะไม่มีผู้ใดกล้าลบหลู่พระเกียรติ
ของพระแม่เจ้าไปได้ ขอทรงสร่างโศกร่วมจัดงานถวายแก่เจ้าเมืองให้สมพระเกียรติข้าจะให้สร้างปูชนียสถาน
เพื่อเป็นเกียรติยศแก่ชาวเมืองซิตเวสืบต่อไปชั่วลูกชั่วหลาน”
ชายหนุ่มกล่าวแล้วพลางเข้าไปพยุงร่างพระมเหสีและพระราชบุตรีทั้งสองพระองค์ดึงร่างให้ออกมา แล้ว
หันไปสั่งยังมหาอำมาตย์ให้รีบจัดงานเฉลิมฉลองพระเกียรติยศสูงส่งแก่เจ้าเมืองซิตเวทันที มหาอำมาตย์ใหญ่
ซึ่งก็ซึมเซาคาดคิดมีถึง ส่วนแม่นางทั้งสามก็พากันเข้าไปปลอบโยนแก่พระมเหสีและพระราชบุตรีด้วย
ด้วยผู้หญิงย่อมเข้าใจกันและกันอยู่แล้วเมื่อได้รับการปลอบโยนจากแม่นางทั้งสามถึงเรื่องแต่หนหลังของตนเอง
ประกอบด้วย ก็ทำให้พระมเหสีและพระราชบุตรีเมืองซิตเวคลายความโศกเศร้าเมื่อรับรู้เบื้องหลังของนางทั้งสาม
ด้วยที่มีหัวอกเช่นเดียวกัน แต่ยังมาเข้าช่วยศึกแก่ชายหนุ่ม
ดังนั้นจึงทรงเยื้องพระบาทมาหาชายหนุ่มทันทีแล้วย่อถวายความเคารพแล้วกล่าวว่า
“ข้าเองเป็นผู้พ่ายแพ้ศึกดั่งเชลย ขอให้พระมหาอุปราชจะกระทำการแก่ข้าทั้งสามอย่างใดก็ได้ เพียงแต่ให้งาน
พระศพผ่านไปตามที่พระองค์รับปากไว้ ก็ถือเป็นคุณอันสูงยิ่งแล้วเพค่ะ”
ชายหนุ่มรีบนั่งลงทันทีพร้อมนำสไบของพระมเหสีเช็ดน้ำพระเนตรแล้วกล่าวว่า
“ขอพระแม่เจ้าอย่าทรงกังวลใดๆเลย ข้าเองที่บังอาจเช่นนี้ก็ด้วยเพื่อการใหญ่ในอนาคตเมื่อสามารถ
รวบรวมได้แล้วทุกๆคนก็จะเสมอภาคท่ากันหมด ขอพระแม่เจ้าอย่าทรงห่วงใยไปเลยพระเจ้าข้า”
ครั้นพระมเหสีเห็นความอ่อนน้อมมิได้หยิ่งยโสโอหังว่าเป็นผู้ชัยชนะเช่นนี้ก็ให้บังเกิดความเอ็นดู อันที่จริง
ชายคนนี้ใช่จะเป็นผู้สังหารพระสวามีก็หาไม่ แต่พระสวามีทรงปลงพระชนม์ชีพตนเองแต่ชายหนุ่มนี้กลับมิได้
ล่วงเกินกับให้เกียรติแก่พระศพยิ่งนัก ก็บังเกิดความซาบซึ้งความโศกเศร้าก็พลอยหายไปจึงตรัสขึ้นว่า
“จะว่าไปแล้วก็ใช่ความผิดของท่านมหาอุปราชก็หาไม่ แต่ข้าเป็นห่วงยิ่งอยากจะใคร่ขอสิ่งหนึ่งจากพระองค์
ขอพระองค์จงทรงโปรดพระเมตตาแก่หม่อมฉันด้วยเถิดเพค่ะ” แล้วพระมเหสีก็ย่อกายลงถวายคาราวะทันที
ชายหนุ่มเห็นเช่นนี้ก็สงสารก้มลงพยุงให้ยืนขึ้นอีกครั้งแล้วกล่าวว่า
“หากไม่เหลือบ่ากว่าแรงพอที่จะช่วยได้ข้าเองก็จะขอรับปากพระเจ้าข้า”
“ไม่ทำให้พระองค์ต้องกังวลสิ่งที่ข้าขอนั้นก็คือ ขอให้พระองค์ทรงรับพระราชบุตรีของหม่อมฉันเป็นข้าใต้
เบื้องพระยุคลบาทก็จะหาคุณที่สุดมิได้ เพค่ะ” พระมเหสีกล่าว
ทำให้ชายหนุ่มตกตลึงหันไปมองแม่นางทั้งสามทันที แต่เห็นเหล่าแม่นางทั้งสามต่างยิ้มให้หมายถึงการ
ยอมรับเข้าร่วมด้วย ดังนั้นใจจึงชื้นขึ้นมา พลางกล่าวว่า
“หากเพียงเท่านี้แต่ทว่าจะล่วงเกินต่อพระราชบุตรีไปหรือไม่พระเจ้าข้า หากมาดแม้นสร้างความลำบากใจ
แก่พระราชบุตรีเป็นการฝ่าฝืนน้ำพระหทัยพระราชบุตรีข้าเองก็มิอาจจะรับไว้ได้พระเจ้าข้า”
ครั้นพระมเหสีได้ฟังเหตุผลที่มิได้มักมากในกามคุณเช่นนั้นยิ่งทรงแน่พระหทัยทันทีว่าชายหนุ่มเบื้องหน้านี้
หากราชบุตรีเราได้ฉลองเบื้องยุคลบาทแล้วย่อมเสวยสุขแน่นอน จึงดำรัสขึ้นว่า
“ขอพระองค์ทรงไว้วางพระราชหฤทัยได้เพค่ะ ด้วยหม่อมฉันเข้มงวดนักเกี่ยวกับเรื่องนี้ หากมิเชื่อหม่อมฉัน
ทรงไต่ถามเองเถิดเพค่ะ”
“บุตรีหม่อมฉันองค์ใหญ่นามว่า สิริกัลยา องค์เล็กสิรินภาวดี ส่วนราชบุตรหามีไม่เพค่ะ”
ชายหนุ่มได้รับฟังเช่นนั้น เพื่อมิล่วงน้ำใจซึ่งกันและกันจึงถามไปตรงๆทีเดียว
“อันแม่นาง สิริกัลยา และแม่นาง สิรินภาวดี โปรดแถลงด้วยความจริงต่อข้าด้วย หากพบขึ้นภายหลังอย่าหา
ว่าข้าใจร้ายต่อแม่นางเสียนะ ว่ามีคนรักแล้วหรือยัง”
ทำให้ราชบุตรีทั้งสองถึงกับเอียงอายไปทันที เหลือบมองพิจารณาเห็นชายหนุ่มนี้ช่างสง่างามยิ่งนักประกอบ
ด้วยพระพักตร์งดงามยิ่ง ก็ให้บังเกิดพิสมัย ต่างเอ่ยพร้อมกันว่า
“ข้าเองหาได้มีสิ่งปรารถนาต่อสิ่งนี้เพค่ะ” แม่นางสิริกัลยาทูล
“ข้าพระองค์ก็เช่นกันเพค่ะ” แม่สางสิรินภาวดีเอ่ยทูล
ชายหนุ่มได้ยินดังนั้นก็สะดุ้งในใจไม่วายหันไปมองยังหญิงสาวทั้งสามอีกครั้งหนึ่ง เห็นแต่ละคนล้วนอมยิ้มทั้ง
สิ้นแต่มิได้เอื้อนเอ่ยประการใดไม่
“ครั้นเมื่อองค์ชายได้ยินเช่นนี้ด้วยพระองค์เองแล้ว ขอจงได้ช่วยสั่งสอนแก่บุตรีของข้าด้วยหากผิดพลาด
สิ่งใดก็โปรดพระราชทานอภัยด้วยเถิดเพค่ะ” พระมเหสีกล่าว
“แต่ว่าข้าเองนั้นต้องกรำศึกอีกนาน แม่หญิงทั้งสองจะทนต่อดินฟ้าการสู้รบได้หรือ” ชายหนุ่มกล่าวลอยๆ
“เรื่องข้อนั้นอย่าทรงเป็นห่วงเถอะเพค่ะ ด้วยบุตรีข้าทั้งสองหาได้ไร้ซึ่งฝีมือก็หาไม่ล้วนเจนจบมาแล้วเนื่อง
จากพระสวามีได้หาอาจารย์มาอบรมสั่งสอนอาวุธต่างๆ และเชี่ยวชาญยิ่งนักเกี่ยวกับยาพิษทั้งหลายอาจจะเป็น
ประโยชน์แก่กองทัพพระองค์ได้นะเพค่ะ” พระมเหสีทรงดำรัสตัดบทด้วยทรงพอพระราชหฤทัยในชายหนุ่มนี้
นักที่ไม่ลุแก่อำนาจและตัณหาราคะแต่ประการใด
สุดที่จะหลีกเลี่ยงด้วยรับปากไว้แก่พระมเหสีแล้วจึงทรงดำรัสขึ้นว่า
“ในเมื่อเป็นเจตนาขององค์พระแม่เจ้า ข้าเองก็มิอาจจะทำให้ระคายเคืองพระหฤทัยแก่พระแม่เจ้าได้ ขอให้หลัง
ถวายพระเพลิงงานพระศพผ่านไปก่อนเถิด จะให้ทหารสร้างปูชนียสถานเพื่อเก็บอัฐิโดยเร็ววัน ด้วยต้องออกศึก
ในครั้งต่อไปพระเจ้าข้า” ชายหนุ่มกล่าว
“เมื่อข้าได้ยินเช่นนี้ก็ให้สบายใจยิ่งนัก ด้วยคิดว่ามองคนมิผิดหรอก ถือได้ว่าเป็นบุญของบุตรีเรายิ่งนัก”
“ข้าเองเมื่อรับปากแล้วย่อมจะกระทำตามทุกประการยกเว้นมิอาจจะทำได้พระเจ้าข้า” ชายหนุ่มกล่าว
ดังนั้นเมื่อจัดการถวายพระเพลิงพระศพผ่านไปแล้วถูกบรรจุยังปูชนียสถานยังกลางใจเมืองแล้วชายหนุ่ม
ก็ปรึกษากับมหาอำมาตย์ใหญ่ทันทีในเรื่องแว่นแคว้นมอญ มิให้เสียเวลาล่าช้าไป เหล่าบรรดาอิสตรีทั้ง
ห้าก็ต่างพากันกลมเกลียวแลกเปลี่ยนความรู้กันและกัน ในเรื่องรักษาและการใช้ยาพิษต่างปฏิบัติได้เท่าเทียม
กันด้วยมิได้ปิดบัง ซ้ำบุตรีแห่งแคว้นซิตเวทราบว่ายังมีนางพรายอีกสองคนก็ให้สงสัยยิ่งนัก ครั้นทราบแล้ว
บรรดาเจ็ดนางก็ต่างสมานสามัคคีกันยิ่ง มิทำให้ชายหนุ่มต้องกลัดกลุ้มใจแต่ประการใด
ส่วนเมืองซิตเวนั้นชายหนุ่มก็ประกาศแต่งตั้งพระมเหสีขึ้นครองราชย์สมบัติสืบต่อไป พร้อมทั้งคัดเลือก
เหล่าอำมาตย์ที่ผ่านการทดสอบจากชายหนุ่มขึ้นดำรงที่ปรึกษาใหญ่ ส่วนทหารชายหนุ่มให้ทดสอบฝีมือกันเอง
หาผู้ชนะระหว่างแม่ทัพนายกองเมืองซิตเว จนได้ผู้ชนะเลิศจึงแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพใหญ่ ครั้นเวลาผ่านไปไม่นาน
ก็ทรงไปลาพระมเหสีเจ้าแม่เมืองซิตเวเพื่อออกเดินทางต่อไปปราบยังแว่นแคว้นรัฐมอญทันที
ครั้นเจ้าแม่แห่งเมืองซิตเวทราบดังนี้จึงมอบอาวุธที่ล้วนอาบยาพิษและยาแก้พิษตลอดทหารเพื่อใช้ในการปราบปรามแคว้นมอญและอำนวยอวยพรชายหนุ่มในฐานะราชบุตรเขยไว้มากมาย
ก่อนจากไปชายหนุ่มเขียนหนังสือทิ้งไว้ให้สามฉบับหากจำเป็นค่อยเปิดทีละฉบับ แก่เจ้าแม่เมืองซิตเว
ไว้ว่าหากเกิดปัญหาใดๆถึงจะเปิดอ่านได้ แม่นางเจ้าแม่เมืองก็เข้ามาสวมกอดชายหนุ่มที่ยังห่วงใยแก่พระองค์ แล้วออกไปส่งชายหนุ่มยังนอกเมืองระยะหนึ่งจึงกลับสู่เมือง
ครั้นเดินทัพมาใกล้แคว้นเมืองมอญซึ่งมีแว่นแคว้นเมืองไม่มากนักตกราวห้าหกเมืองรวมทั้งเมืองมะละแหม่ง
ชายหนุ่มก็ให้พักทัพ แล้วเรียกประชุมใหญ่ทันที เมื่อบรรดาแม่ทัพนายกองเข้ามาพร้อมกันแล้วชายหนุ่มจึงกล่าว
การศึกครั้งนี้จงอย่าได้ประมาทเป็นอันขาด ด้วยรัฐมอญนั้นยังมีเมืองอิสราวดีช่วยหนุนหลังอยู่ หากการที่เราคิดไว้
สำเร็จให้ทุกทัพมุ่งหน้าเข้าไปยังเมืองอิสราวดีทันทีทั้งทางน้ำทางบก เราจะแจ้งไปยังเมืองตองอู และเมืองฮะคาให้
จัดเตรียมกำลังไว้ ซึ่งเมืองฮะคานั้นเราได้สอนวิธีการสร้างกระบอกไฟให้แล้วให้นำมาประดับบนเรือยิงใส่ยังเมือง
อืสราวดีหากได้รับสัญญาณจากเรา เราจะเข้าตีรัฐมอญนั้นพร้อมๆกันทั้งสี่ด้าน
ให้แม่ทัพเมืองหงสาเข้าตีเมือง สินธุนคร ซึ่งมีเจ้าสมิงสุกะเป็นเจ้าเมือง นำโดยท่านอุปราชแห่งหงสา
เมือง สิงหะนคร เจ้าสมิงสุระการเป็นเจ้าเมืองให้แม่ทัพ สีหะตเวคุมทัพยะไข่เข้าโจมตี
เมือง สุระนคร เจ้าเมืองคือสมิงบุรินเดช ให้แม่ทัพมังสุระเข้าโจมตี เมืองมิถิลาเจ้าเมืองคือสมิงพราย ให้แม่ทัพ
สีหะเข้าโจมตี เมืองอรินทรา เจ้าเมืองคือสมิงมุนินทร์ให้แม่ทัพนิละกะเข้าโจมตี เมืองศิลานครให้แม่ทัพ
มังสุระเดชะเข้าโจมตี ส่วนแม่ทัพที่เหลือทั้งหลายทุกๆแว่นแคว้นยะไข่นั้นไปพร้อมกับเรา
เข้าโอบล้อมเมืองมะละแหม่ง หากแม่ทัพคนใดตีเมืองใดได้ที่ไม่ยอมอ่อนน้อมให้ฆ่าทิ้งเสีย
การแต่งตั้งเจ้าเมืองให้จัดคนของเราเข้าควบคุมไว้ด้วยชาวมอญนั้นหาคนที่ไว้ใจได้ยากมักจะทรยศภายหลัง
ส่วนที่ยอมอ่อนน้อมแต่โดยดีให้ปลดออกจากเจ้าเมืองเอาคนของเราเข้าควบคุมไว้ เมื่อรวบรวมไพร่พลทหารที่สวามิภักดิ์แล้วให้จัดกำลังไปรวมกับท่านแม่ทัพใหญ่มังสุรเดชเดชารองมังเหมี่ยวสุรการและรองมังนายะเดชะ
ที่รวบรวมทหารแว่นแคว้นต่างๆที่ประสานงานกับเมืองฮะคาอยู่ หาได้เข้าร่วมโจมตีใดไม่เพื่อรอกำลังจากเรา
ส่วนแม่ทัพนายกองที่เรามิได้เอ่ยนามนี้ให้รวบรวมทหารเข้ามุ่งหน้าไปทางเมืองมะละแหม่งล้อมรอบเมืองไว้
ส่วนทางด้านทางน้ำนั้นทางเมืองตองอูจะจัดกำลังโอบล้อมตีฝ่าเข้าเมืองมะละแหม่งต่อไป พรุ่งนี้เช้ามืดก่อน
ตะวันขึ้นให้ออกเดินทางได้ทุกหน่วยเหล่าแล้วหากเกิดปัญหาใดๆให้ขอความช่วยเหลือไปยังท่านแม่ทัพใหญ่
ที่คอยทัพรออยู่ ท่านมังสุรเดชเดชาก็จะจัดส่งกำลังเข้าช่วยเหลือเอง การศึกครั้งนี้อย่าได้ล่วงลุแก่โทสะเป็นอัน
ขาด และระวังเล่ห์กลศึกหากไม่แน่ใจก็อย่าล่วงล้ำเข้าไปด้วยเรานั้น
ได้จัดส่งกองกำลังแฝงตัวไปในเมืองต่างๆไว้เรียบร้อยแล้ว กองทัพใดเข้าเมืองใดก็จะได้
รีบประสานทันทีเพียงแสดงสัญลักษณ์ที่เราจัดทำขึ้นไว้แสดงโดยให้เขียนไว้ในที่ชุมนุมชนหรือ
แลเห็นได้ง่าย หน่วยรบพิเศษที่เราจัดวางไว้ในเมืองนั้นๆก็จะเข้าช่วยเหลืและเผาผลาญเมือง
แล้วจัดการหาทางเปิดประตูเมืองให้พวกเรา หรือหากผิดสังเกตให้ใช้กระบอกไฟยิงใส่ประตูเมือง
ทำลายเสียแล้วยกพลเข้าทำลายทันทีห้ามเบียดเบียนประชาชนโดยเฉพาะพวกผู้หญิง
ซึ่งข้าเองเข้าใจว่าเรารบมานมนานย่อมจะมีเรื่องราคะบ้าง แต่เพื่อการใหญ่และเมื่อศึกสมบูรณ์
สำเร็จสมประสงค์เราจะบำเหน็จรางวัลให้อย่างงดงาม จงจำไว้ให้ดีอย่าตั้งอยู่ในความประมาทเป็นที่ตั้ง
ชายหนุ่มได้มอบแผนทีซึ่งจัดทำโดยที่ปรึกษาใหญ่แจกแก่บรรดาแม่ทัพนายกองทั้งปวงให้อ่านให้ละเอียด
สงสัยอย่างไรให้รีบถามมาทันทีอย่าเก็บความสงสัยไว้ท่านที่ปรึกษาใหญ่จะอธิบายให้ฟัง เมื่อเหล่าบรรดา
แม่ทัพนายกองที่ได้รับหนังสือแผนที่แล้วต่างก็เข้าใจและมิได้เอ่ยสอบถามแต่ประการใด
แล้วชายหนุ่มก็สั่งเลิกประชุมเพื่อให้ไปเตรียมพร้อมเดินทางในวันรุ่งขึ้นทันที เจ้าหญิงแห่งเมืองซิตเวที่ยืน
ฟังการสั่งงานของชายหนุ่มก็บังเกิดความรักนับถือถึงความเด็ดขาดเพียบพร้อมด้วยความละเอียดรอบคอบถึงกับ
คิดว่าที่เมือง ซิตเวเสียเมืองก็ด้วยเหตุนี้เอง ด้วยชายหนุ่มไม่คิดว่ากำลังจะมากกว่ามากมายนักแต่เขารักทหารยิ่งกว่า
การใช้กำลังตีเมือง แต่เขาใช้สติปัญญาในการตีเมืองถึงได้เมืองมาโดยแทบไม่ต้องเสียเลือดเนื้อแต่ประการใดซ้ำยัง
ได้หัวใจเหล่าทหารไปด้วยอีก พวกเราเป็นข้าบาทของพระองค์ถือได้ว่าเป็นโชคอันมหาศาลยิ่งนัก แม่นางทั้งสอง
หันมาสบตากันพลางยิ้มระรื่นเป็นยิ่งนัก...............
* แก้วประเสริฐ. *