ลุ่มลึกอิสราวดี 49
แก้วประเสริฐ
ลุ่มลึกอิสราวดี 49
ฝ่ายด้านเมืองซิตเว มังตเวสีหะครั้นตรวจสอบข้าศึกยังเชิงเทินกำแพงเมืองแลเห็นไพร่พล
ข้าศึกจำนวนมาก ตั้งค่ายรายล้อมรอบเมืองทั้งสามด้านเป็นจำนวนมากมายก็ให้ตกใจยิ่ง
จึงสั่งการให้ป้องกันเมืองให้เข้มแข็งทั้งกลางวันกลางคืน พร้อมจัดเรียกประชุมเหล่าอำมาตย์
แม่ทัพนายกองทั้งปวงถึงเหตุการณ์ในครั้งนี้ ได้รับรายงานว่าเกิดการขาดแคลนเสบียงอาหาร
ยิ่งนัก ชาวเมืองปั่นป่วนไปตามๆกันจะทำประการใดดี
ด้านมหาอำมาตย์ มังกะเวสี ก็เสนอความคิดว่าควรจะนำกำลังไปทางด้านหลังซึ่งเป็นหน้าผา
สูงชันยากแก่การปีนป่ายเพื่อไปล่าสัตว์ซึ่งอุดมสมบูรณ์ทางภูเขาอีกหลายๆลูกลำเลียงเข้ามาก็พอ
จะประทังความขาดแคลนนี้ได้ ดังนั้นมังตเวสีหะหันไปถามทางแม่ทัพใหญ่ทันทีว่าทางด้านหลัง
นั้นมีทหารของข้าศึกล้อมรอบภูเขาอื่นๆไว้หรือไม่
แม่ทัพใหญ่ตเวกุลารายงานแก่เจ้าเมืองซิตเวว่า
“ได้ให้ทหารไปตรวจสอบแล้วไม่พบทหารของข้าศึกแต่อย่างไร
อาจด้วยฝ่ายข้าศึกเห็นว่าเป็นหน้าผาสูงชันยากแก่การปีนป่าย แต่ได้วางกำลังป้องกันไว้แล้ว หากมัน
มาจริงก็ยากจะเข้ามาได้ ด้วยสะพานใช้สำหรับเชื่อมต่อภูเขาอื่นๆนั้นมิอาจยกมาเป็นพวกได้ จะมาก็
เพียงคนเดียวหรือขี่ม้าก็ได้แค่ม้าตัวเดียว ดังนั้นจึงได้จัดเหล่าทหารพลธนูและหน้าไม้คอยรับศึกอยู่
หากมันมาจริงก็คงจะต้องตกตายด้วยธนูอาบยาพิษและเหล่าหน้าไม้ต่างๆตกเหวตายหมดสิ้นพระเจ้าข้า”
“แต่ถ้าหากมันทำลายสะพานไม้ที่จัดสร้างเมืองเรามิเห็นจะตกอยู่ในวงล้อมยากแก่การหนีหรือ”
เจ้าเมืองซิตเวถาม”
อำมาตย์ใหญ่มังกเวสีกล่าวขึ้นว่า
“หากมันตีฝ่าเข้ามายังเมืองเราได้ ทางเราก็มีทางหนีแล้วด้วยร่วมมือกับท่านแม่ทัพใหญหาทางคิดไว้
เรียบร้อยก่อนแล้ว ด้วยข้าพุทธเจ้าได้แจ้งกับท่านแม่ทัพใหญ่ได้จัดเตรียมขุดอุโมงค์ลงไปในพื้นดิน
เพื่อลงไปยังที่ราบด้านหลังเขาไว้แล้วซึ่งพึ่งจะเสร็จไม่นานแล้วจะกราบทูลพระเจ้าข้า”
“เอ๊ะ????....ใยท่านถึงไม่บอกกล่าวแก่เราให้รู้ล่วงหน้าก่อนล่ะ” เจ้าเมืองถาม
“การเช่นนี้ข้าพุทธเจ้ากับท่านแม่ทัพใหญ่ไปพบโดยบังเอิญพระย่ะค่ะ ระหว่างขบคิดปัญหาว่าเมืองเรา
ถ้าหากข้าศึกมาโจมตีแล้วเกิดทำลายสะพาน เมืองเราก็เสมือนหนึ่งโดดเดียวเดียวดายจะหนีไปก็ไม่ได้จะทำ
ให้พระองค์ต้องกลัดกลุ้มพระหฤทัย ด้วยหน้าผานั้นต่ำลงไปเป็นถ้ำไม่สูงไปกว่าตัวเมืองนัก ข้าพระองค์และ
แม่ทัพใหญ่จึงให้ทหารสร้างบันไดพาดไปชะง่อนหน้าผาเข้าไปตรวจสอบยังถ้ำนั้นพบว่ามีทางลงไปยังทาง
ภาคพื้นดินได้แต่เป็นทางตันระหว่างทางออก ครั้นจะกราบทูลพระองค์ก็ทรงเห็นว่ามีธุรกิจมากมายนัก
ทั้งสองจึงปรึกษากันว่าหากสำเร็จแล้วจะกราบทูลพระเจ้าข้า”
“ข้าเองจะหาตำหนิท่านได้อย่างไรด้วยเป็นความประสงค์ดีแก่ตัวข้า จริงซินะข้าเองก็เชื่อมั่นชัยภูมิเมืองเรา
แต่ไม่ได้คิดถึงทางหนีไว้สำรอง เมื่อท่านทั้งสองสร้างไว้ก็ดีแล้ว และสำเร็จหรือยังล่ะ”
“งานนั้นพึ่งจะลุล่วงได้ประมาณอาทิตย์ที่แล้วพระเจ้าข้า ว่าหากมีโอกาสเมื่อได้ก็จะกราบทูล
ให้พระองค์ทราบพระเจ้าข้า ท่านมหาอำมาตย์กล่าว
ถ้าอย่างงั้นในเมื่อบัดนี้ข้าศึกมาล้อมเมืองเราทั้งสามด้านและเกิดการปั่นป่วนด้วยขาดเสบียงอาหารหากใช้
เส้นทางนี้ไปหาอาหารจะไม่ได้หรือท่านมหาอำมาตย์
“อันทางนี้เป็นทางแคบมากทางไปลำบากมากบางช่วงต้องคลานไป หากหาอาหารมาได้ก็ยากจะลำเลียงมาได้
การใช้ก็มีทางเดียวคือสะพานนั่นแหละ เพราะทางที่กล่าวนี้เพียงไว้ใช้สำหรับหนีภัยเท่านั้นพระเจ้าข้า”
“เป็นเช่นนั้นหรือ ไหนลองนำเราไปดูหน่อยซิว่าทางหนีนี้หากเกิดการผิดพลาดปกป้องเมืองไม่ได้ก็
จะได้รู้” เจ้าเมืองกล่าว
“ได้พระเจ้าข้า ข้าพระองค์และแม่ทัพใหญ่จะนำเสด็จไปดูพระเจ้าข้า”
ดังนั้นมหาอำมาตย์และแม่ทัพใหญ่จึงนำเจ้าเมืองซิตเวไปตรวจทางหนีไว้ เมื่อเจ้าเมืองเข้าไปยังทางลับก็ให้
ปลาบปลื้มใจ ด้วยเมื่อพ้นจากถ้ำก็เป็นทางไปสู้ยังพื้นล่างของเขาแห่งเมืองซิตเว ซึ่งอุดมไปด้วยพันธุ์ไม้นานาชนิด
ครั้นขึ้นมายังเมืองเรียบร้อยแล้ว ก็ได้รับรายงานว่าฝ่ายข้าศึกย่ำกลองรบเพื่อจะเข้าตีเมืองแล้วจึงสั่งให้แม่ทัพ
นายกองเข้าประจำหน้าที่ทันที
ทางด้านแม่นางจันทิราครั้นนำไพร่พลจำนวนหนึ่งด้วยความชำนาญพื้นที่ภูเขาอยู่แล้วก็สามารถทำลาย
สะพานได้เรียบร้อยทั้งสองทาง แต่นางพลันสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติหากเป็นคนไม่เคยอยู่ภูเขามาก่อนย่อมไม่รู้
เนื่องจากหน้าผาของเมืองซิตเวนั้นมีบันไดทอดแล้วหายไปเนื่องจากต้นไม้ได้ปิดบังสายตาเสียก็ให้นึกสังหรณ์
แก่ใจยิ่งนัก พอดีแม่นางตองอูทั้งสองกลับมาและแจ้งว่าได้ทำลายสะพานได้หมดสิ้นแล้ว แม่นางจันทิราจึง
ชี้ให้แม่นางเรวดีอรทัยและแม่นางกัลยาเทวีดูความผิดแผกของธรรมชาติ ครั้นนางเรวดีอรทัยเห็นดังนั้นจึงได้
กล่าวขึ้นว่าในตำราพิชัยสงครามของเมืองตองอูนั้นเคยกล่าวไว้ว่า หากเมืองใดประกอบด้วยสามด้านแล้ว
อีกด้านหนึ่งย่อมแฝงเลศนัยไว้เสมอ ดังนั้นข้าพเจ้าคิดว่าสิ่งผิดสังเกตนั้นอาจเป็นทางลับของฝ่ายศัตรูที่เตรียม
หาหนทางหนีไว้
ครั้นแม่นางจันทิราได้ยินเช่นนั้นก็ให้นึกถึงตอนเด็กๆชอบท่องเที่ยวตามเขาและถ้ำต่างๆก็ให้นึกได้จึง
หันไปทางแม่นางทั้งสองว่า เห็นทีน้องเราจะกล่าวถูกต้องแล้วล่ะ เรารีบไปแจ้งแก่ท่านพี่เราเถอะก่อนที่
จะสายไป เมื่อนางเสร็จธุระก็รีบออกเดินทางไปหายังชายหนุ่มทันทีพร้อมแจ้งให้ทราบ
ฝ่ายมหาอำมาตย์ได้ยินเช่นนั้นก็กล่าว่า
“เห็นว่าจะเป็นทางหลบหนีแน่นอน ให้พระองค์ย่ำกลองศึกไว้ว่าทางเราจะเข้าโจมตีและสั่งเหล่าแม่ทัพทั้งหลายให้ทำเป็นยกกำลังแต่ไม่ให้เข้าตีเมืองแต่อย่างไรเพื่อลวงฝ่ายข้าศึกไว้ เราจะไปทำลายทางหนีด้วยกระบอกไฟและทางลงก่อน ด้วยทางเมืองซิตะเวนึกว่าเราจะรุกตอนนี้ก็จะระดมกำลัง ไม่คิดจะหนีด้วยยัง
ไม่ถึงเวลาจะเป็นจะหนีภัยพะย่ะค่ะ”
“นับเป็นความคิดที่ดี ดังนั้นจึงหันไปสั่งทหารให้นำกระบอกไฟมาสักห้ากระบอกพร้อมด้วยทหารที่
เคยใช้อาวุธนี้มาโดยด่วน”
ครั้นทหารได้รับบัญชาเช่นนั้นก็รีบไปจัดการและจัดทหารที่ชำนาญมาทันที
ชายหนุ่มและอำมาตย์พร้อมหญิงสาวทั้งสามออกเดินทางไปตรวจสอบ ครั้นท่านมหาอำมาตย์เห็นและ
พิจารณาพื้นที่แล้วด้วยเป็นชาวเขาเช่นกันก็แน่แก่ใจทันที จึงกราบทูลว่า
“ใช่แล้วพระเจ้าข้า นี่เป็นทางหนีเพราะมีบันไดทอดลงมาจากหน้าผา แต่ถูกกิ่งไม้บดบังยากจะมอง
และยิงกระบอกไฟได้พระเจ้าข้า”
“ไม่เป็นไรหรอกท่านมหาอำมาตย์เรื่องกำบังต้นไม้ไม่ต้องกังวล เดี๋ยวเราจะจัดการให้ พลางเรียก
เจ้าขนทองขนขาวพลางส่งมีดดาบและมีดเล็กให้แก่ลิงทั้งสองสั่งให้ไปตัดยอดกิ่งไม้ที่กำบังสายตาทันที
ครั้นเจ้าลิงขนทองขนขาวได้รับแจ้งจากชายหนุ่มแล้วก็รีบไต่แล้วกระโดดไปตามต้นไม้ ชายหนุ่มก้มลง
หยิบก้อนหินแล้วขว้างไปยังกิ่งไม้ต่างๆที่บดบังเพื่อแจ้งให้เจ้าลิงทั้งสองทราบ
เจ้าลิงขนทองและขนขาวก็ตัดกิ่งไม้เหล่านั้นจนสิ้น เมื่อพ้นจากสายตาและระยะของกระบอกไฟแล้ว
ชายหนุ่มก็ส่งสัญญาณให้ลิงทั้งสองกลับมาทันที เมื่อทุกสิ่งเรียบร้อยแล้วชายหนุ่มจึงให้ทหารตั้งกระบอก
ไฟเล็งไปยังหน้าถ้ำและบันไดที่ทอดลงมาทันใด เสียงหวีดหวิวดังขึ้นกระบอกไฟทั้งสองก็พุ่งโค้งทะยาน
เข้าไปยังปากถ้ำและบันได เมื่อกระบอกไฟเข้าไปยังในถ้ำแล้วก็เกิดการระเบิดกึกก้อง บันได้ที่ทอดยาวมา
ยังชะง่อนผาก็เกิดการระเบิด เสียงครืนดังสนั่นเลื่อนลั่นดังสะท้านไปทั่ว ทำให้ทหารเมืองซิตเวครั้นแลเห็น
บันไดที่ตนเองเฝ้าไว้ตลอดจนถ้ำถูกก้อนหินหล่นทะลายมาปิดปากถ้ำไปหมดสิ้น ก็ให้ตกใจรีบกลับไป
รายงานแก่มหาอำมาตย์และแม่ทัพใหญ่แห่งเมืองซิตเวทันที
ครั้นอำมาตย์ใหญ่และแม่ทัพใหญ่ทราบดังนั้นก็ให้ตกใจถึงกับตลึงคิดไม่ถึงว่าจะมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น
รีบเข้าไปรายงานเจ้าเมืองซิตเวทันที ครั้นเจ้าเมืองทราบก็รีบพาเหล่าแม่ทัพอำมาตย์มาตรวจดูสภาพแต่ไม่
สามารถลงไปได้ด้วยบันไดที่สร้างไว้ได้พังพินาศไปสิ้นไม่เท่านั้นยังทำให้กำแพงเมืองด้านนี้ถึงกับทรุดตัวลง
ไปอีกแทบพังทลายไป ก็ให้ตกใจยิ่งนักหันไปกล่าวกลับมหาอำมาตย์ว่าแล้วสะพานอื่นๆล่ะ หากทางลับนี้
พวกมันรู้สะพานมันก็คงจะถูกทำลายเช่นกัน
พอดีทหารรีบมารายงานว่าบรรดาสะพานน้อยใหญ่ต่างถูกข้าศึกทำลายไปเสียหมดสิ้นแล้ว ยิ่งทำให้เจ้าเมือง
ถึงกับท้อแท้ใจยิ่งนัก ถามมหาอำมาตย์ใหญ่และแม่ทัพใหญ่ว่าจะทำประการใดดี
“ฝ่ายแม่ทัพใหญ่แจ้งว่าทหารเรายังมีสุขภาพสมบูรณ์พร้อมสู้เสมอแต่หากนานเข้าเมื่อขาดเสบียงไปเห็นทีจะ
ต้องฆ่าม้าเพื่อเป็นอาหารแล้วพระเจ้าข้า”
ด้านมหาอำมาตย์นั้นตลึงพลางครุ่นคิดหาทางปกป้องเมือง จึงกล่าวว่า
“หากพวกเรายอมแพ้แก่ข้าศึกก็จะเป็นที่นินทาแก่เหล่าแว่นแคว้นอื่นๆได้ ด้วยแว่นแคว้นอื่นๆต่างต่อสู้ด้วยกัน
ทั้งสิ้นเว้นแต่เมืองในแว่นแคว้นเราที่ปราศจากทหารมากเท่านั้นซึ่งก็มีไม่กี่เมือง นอกนั้นยอมสู้ตายทั้งสิ้น หากเรา
มายอมแพ้ทั้งๆยังไม่รักษาเมืองไว้จะเป็นการดีหรือพระเจ้าข้า”
เจ้าเมืองซิตเวถึงกับอึ้งไปทันที ในใจคิดจะยอมแพ้แก่ข้าศึกแต่มาด้วยมหาอำมาตย์กับแม่ทัพใหญ่หายินยอม
ไม่ก็จนพระหฤทัย จึงสั่งให้ทุกๆคนต่อสุ้ปกป้องเมืองจนกว่าเมืองเราจะถูกโจมตี
“ เราก็ชายชาติทหารจะกลัวไปใยเล่า ให้เลืองลือไปทั่วว่าเมืองซิตเวหาใช่ขี้ขลาดตาขาวก็หาไม่ “
จึงประกาศให้แจ้งแก่ทหารทุกๆคนต่อสู้จนกว่าจะรักษาเมืองไม่ได้นั่นแหละ ดังนั้นมหาอำมาตย์และแม่ทัพใหญ่จึง
จัดการตามพระบัญชาทันที
ครั้นเวลาผ่านไปหนึ่งเดือนทหารฝ่ายชายหนุ่มก็ยังไม่รุกบุกเข้าโจมตีเมืองซิตเว เพียงแต่ลวงล่อทำทีว่าจะเข้า
โจมตีเท่านั้น ยิ่งเวลาผ่านไปทำให้เสบียงภายในเมืองขาดลง บรรดาเหล่าชาวเมืองต่างร้องขอให้ยอมแพ้แก่ข้าศึก
แม้แต่ทหารทั้งหลายด้วยไม่ได้อาหาร ถึงทานก็น้อยอ่อนล้าไปเกือบทุกๆคน หาได้มีกำลังใจที่จะต่อสุ้อีกไม่
ฝ่ายประชาชนก็พากันเข้าทลายประตูเมืองแม้จะได้รับการขัดขวางจากทหารบางคนก็ตามที แต่ทหารทั้งหลาย
เนื่องจากไม่ได้ทานอาหารมาหลายวันก็ไม่สามารถต้านทานเหล่าประชาชนได้ ดังนั้งประตูเมืองก็ถูพลังของ
ประชาชนเปิดออกได้ ฝ่ายประชาชนก็พากันหนีออกจากเมืองมาเกือบหมดสิ้น
ทางด้านชายหนุ่มเห็นเช่นนั้นก็ให้ทหารของตนนำเหล่าประชาชนที่หนีออกมาพร้อมด้วยทหารเมืองซิตเว
บางหน่วยด้วย มาควบคุมไว้แล้วมอบอาหารให้กินอย่างอิ่มหน่ำสำราญ บรรดาทหารเมืองซิตเวครั้นเห็นฝ่าย
ชายหนุ่มมีน้ำใจเมตตายิ่งนัก ก็พากันเข้ามาสวามิภักดิ์ทั้งสิ้น บรรดาเหล่าทหารที่ได้รับแจ้งจากทหารที่หนีไป
ว่าฝ่ายตรงข้ามหาได้โหดร้ายกลับมีน้ำใจไมตรีเลี้ยงดูให้อิ่มหน่ำสำราญต่างก็พากันเปิดประตูเมืองหนีออกมา
มากมาย เข้าไปพึ่งพาชายหนุ่ม ทางชายหนุ่มก็ให้การต้อนรับเป็นอย่างดีมิได้ถือสาโทษแต่ประการใดทำให้
เหล่าทหารที่หนีมาต่างพากันยินยอมพร้อมใจสวามิภักดิ์ไปเสียสิ้น
ทำให้เมืองซิตเวกลายเป็นเมืองร้างไปทันใด เหล่าบรรดาแม่ทัพนายกองที่ยังไม่ยินยอมต่างก็ไปรายงานแก่
แม่ทัพใหญ่ แม่ทัพใหญ่เมืองซิตเวก็รีบแจ้งให้มหาอำมาตย์ทราบเพื่อแจ้งแก่เจ้าเมืองซิตเวทันที ครั้นประตูเมือง
ทั้งสามด้านถูกเปิดไปแล้วแต่ ทหารฝ่ายชายหนุ่มก็หาได้เข้าโจมตีไม่ทำให้เกิดความประหลาดใจยิ่งนักแก่
เจ้าเมืองและเหล่าทหารที่หลงเหลืออยู่ ตอนนี้ภายในเมืองเกิดการแบ่งแยกเป็นหลายฝ่ายต่างก็พากับหลบหนี
ออกมาเข้ากับฝ่ายชายหนุ่มเกือบหมดสิ้น เหลือแต่บรรดาแม่ทัพนายกองบางนายและเหล่าทหารองครักษ์เท่านั้น
ครั้นชายหนุ่มเห็นว่าเจ้าเมืองซิตเวไม่ยินยอมพร้อมใจเช่นนั้น จึงให้ทหารที่มาสวามิภักดิ์อยู่ด้านหลังในที่
ที่หนึ่งไม่ให้ออกร่วมรบด้วยสร้างความปิติยินดีแก่ทหารแม่ทัพนายกองที่หนีมาเข้าใจซาบซึ้งแก่ชายหนุ่มว่าที่
เป็นเช่นนี้ด้วยไม่ต้องการให้พวกเขาฆ่าพวกกันเองก็ยิ่งนับถือน้ำใจเป็นทวีคูณ ต่างพากันปลดอาวุธนำไปส่ง
มอบตลอดจนยาแก้พิษต่างๆให้แก่ชายหนุ่มทันที ชายหนุ่มก็ให้ทหารเก็บบรรดาอาวุธไว้ใช้ในการต่อสู้ต่อไป
แล้วสั่งให้ลั่นกลองรบ เคลื่อนกำลังพลมหาศาลตีฝ่าเข้าเมืองซิตเวทันทีแต่ปราศจากการต่อต้านแต่อย่างไร
จากทหารของเมืองซิตเว ชายหนุ่มควบเจ้าสีเทานำหน้าพร้อมหญิงสาวทั้งสาวผ่านเข้าประตูเมืองไปยังราชวัง
ของเจ้าเมืองมังตเวสีหะ ซึ่งถือดาบพร้อมด้วยแม่ทัพใหญ่และอำมาตย์ใหญ่และเหล่าทหารองครักษ์คอยปกป้อง
คุ้มครองอยู่
ครั้นมาถึงเบื้องหน้าของเจ้าเมืองซิตเว พลันน้อมกายลงคาราวะแล้วกว่าขึ้นว่า
“การศึกครั้งนี้ข้าเองได้ควบคุมสถานการณ์ในเมืองไว้ได้หมดสิ้นแล้วพระองค์จะยินยอมหรือไม่พระเจ้าข้า”
เจ้าเมืองซิตเวมังตเวสีหะเห็นชายหนุ่มนอบน้อมเช่นนั้นก็ให้ซาบซึ้งแต่ด้วยขัติยะมานะของกษัตริย์ไหนเลยจะ
กล่าวคำว่าพ่ายแพ้ออกมาได้ พร้อมก้มน้อมคาราวะตอบว่า
“เมื่อเจ้าสามารถยึดเมืองซิตเวได้แล้วเราขอฝากพระมเหสีและราชบุตรีทั้งสองที่ไม่รู้ความการเมืองใดๆแก่เจ้า
หากเจ้ารับปากข้าได้ นั่นแหละข้าถึงจะยินยอมพร้อมใจและกาย”
“พระเจ้าข้า ขอรับปากว่าบรรดาราชวงศ์แห่งเมืองซิตเวนั้นข้าเองจะไม่คิดร้ายแต่อย่างไรทั้งสิ้นตลอดจน
ชาวเมืองก็จะกำชับมิให้รังแกเบียดเบียนเป็นอันขาดพระเจ้าข้า”......................
* แก้วประเสริฐ. *