ลุ่มลึกอิสราวดี 48
แก้วประเสริฐ
ลุ่มลึกอิสราวดี 48
ครั้นชายหนุ่มเดินไปยังกองบัญชาการใหญ่ ท่านมหาอำมาตย์ที่ปรึกษาใหญ่คอยต้อนรับ
อยู่ก่อนแล้วพร้อมน้อมกายถวายคาราวะ แล้วรายงานว่าสิ่งต่างๆให้ชายหนุ่มทราบ ชายหนุ่มได้
จึงแนะนำท่านอลองพญาว่านี่คืออุปราชแห่งเมืองหงสาชื่อท่านอลองพญาและแจ้งสิ่งต่างๆ
ให้แก่ผู้เฒ่าทราบ ตลอดจนการวางแผนต่างๆให้แก่เมืองหงสาไว้พร้อมทั้งแจ้งว่าได้ท่านอลองพญา
สร้างแผนที่ภายในและภายนอกของเมืองซิตเวไว้ก่อนเรียบร้อยแล้วอย่างละเอียดเราไปร่วมปรึกษา
หารือกันก่อน จึงจะแนะนำให้เหล่าแม่ทัพนายกองเมืองต่างๆทราบด้วยกันนะ
ครั้นที่ปรึกษาใหญ่ทราบ พลางก็น้อมกายคาราวะอุปราชแห่งหงสา
“ข้าเหมี่ยวมังกะยอชวาขอถวายพระพรพระเจ้าข้า”
ครั้นอุปราชแห่งหงสาเห็นดังนั้นก็รีบน้อมคาราวะพลันกล่าวว่า
“ท่านผู้เฒ่าที่ปรึกษาใหญ่ให้เกียรติแก่ข้ายิ่งนัก ข้าเองสมควรจะคาราวะท่านถึงจะถูกต้องด้วย
การที่ข้าเองได้ตำแหน่งนี้ก็ด้วยพระบารมีของท่านมหาอุปราชที่แต่งตั้งข้าซึ่งเดิมเป็นแม่ทัพใหญ่
แห่งเมืองหงสาให้ดำรงตำแหน่งนี้ ท่านมหาอุปราชพระองค์ทรงเอ่ยถึงท่านผู้เฒ่าเสมอมาหาก
มีสิ่งใดที่จะแนะนำสั่งสอนข้า จะถือเป็นพระคุณหามิได้” พร้อมทั้งทรุดกายลงคาราวะท่านที่
ปรึกษาใหญ่ทันที
ชายชราทรงหัวร่อเบาๆพร้อมทั้งพยุงร่างมหาอุปราชแห่งหงสาขึ้นมา กล่าวว่า
“ตามธรรมเนียมประเพณีไม่ว่าใครก็ตามที่เข้าดำรงตำแหน่งนี้ถือได้ว่าคืออนาคตของการเป็น
พระมหากษัตริย์ในโอกาสต่อไป ฉะนั้นจะเป็นการล่วงเกินแก่ท่านอุปราช ข้าเองมิอาจจะรับ
ได้พระเจ้าข้า”
“หามิได้ท่านผู้เฒ่า ด้วยวัยวุฒิคุณวุฒติตลอดยังเป็นที่ปรึกษาใหญ่แห่งท่านมหาอำมาตย์ด้วยแล้ว
หากคิดถึงการปัจจุบันนับได้ว่าท่านเป็นที่สูงสุดเป็นอย่างยิ่ง การทำความคาราวะหาได้เกินความจริง
ไปแต่ประการใดไม่ อนึ่งข้าเองก็มาจากสามัญชนธรรมดาหาได้ถือแก่ยศถาบรรดาศักดิ์ใดไม่ การ
เข้ารับราชการครั้งนี้เพื่อหมายจะทดแทนแผ่นดิน แต่บัดนี้สิ่งที่ข้าคิดไว้กลับเปลี่ยนแปลงไปจนหมด
สิ้นด้วยพระบารมีของท่านมหาอุปราชผู้ยิ่งใหญ่นี้ ฉะนั้นขอท่านผู้เฒ่าจงเอ็นดูแก่ข้าเสมือนหนึ่งเป็น
ลูกเป็นหลานด้วยเถิดนะ” ท่านอลองพญาอุปราชแห่งหงสากล่าว
ด้วยเหตุนี้ยิ่งทำให้ท่านที่ปรึกษาใหญ่ถึงกับเอ็นดูท่านอุปราชแห่งหงสายิ่งนักจึงกล่าวว่า
“ในเมื่อเป็นพระประสงค์ของท่านอุปราชเช่นนี้ ข้าเองก็ยินดีเป็นอย่างยิ่งจะนับท่านเสมือนหนึ่ง
ดังลูกหลานก็แล้วกัน ฉะนั้นการเรียกชื่อซึ่งพระมหาอุปราชท่านเองก็ยังให้ความรักไว้เนื้อเชื่อใจแก่ข้า
ให้เปรียบเสมือนลูกหลานดั่งที่ท่านกล่าวมานี้ จะเรียกท่านว่าหลานชายก็แล้วกันจะสมควรหรือไม่ล่ะ”
“นับว่าท่านผู้เฒ่าให้เกียรติแก่ข้ายิ่งนัก ต่อไปหลานคนนี้จะคอยเชื่อฟังท่านหากผิดพลาดก็ขอได้
อโหสิแก่ข้าผู้น้อยด้วยนะ พ่อลุง”
ชายหนุ่มตัดบททันที เอาล่ะพวกเราเข้าไปยังภายในก่อนแล้วมาร่วมกันปรึกษาเพื่อจะตีเมืองซิตเว
กันดีกว่านะ แล้วทั้งหมดชายหนุ่มท่านที่ปรึกษาใหญ่ท่านมหาอุปราชหงสาและแม่นางทั้งสามก็เดิน
เข้าไปภายในค่าย ทหารที่เฝ้าต่างน้อมคาราวะแล้วเปิดประตูให้ทั้งหมดทันที
เมื่อชายหนุ่มนั่งยังหัวโต๊ะที่ขนาดยาวพลางให้ท่านที่ปรึกษาใหญ่นำแผนที่ออกมากางบนโต๊ะนั้น
พร้อมทั้งส่งแผนที่ของท่านอุปราชหงสาให้อ่านดู ครั้นที่ปรึกษาใหญ่อ่านดูแล้วก็นำไปวางบนแผนที่
ที่เขาทำขึ้นไว้ พลางกล่าวว่า
“อันแผนที่ของหลานชายแห่งหงสานั้นมีความละเอียดมากกว่าของเรา ควรยึดถือเป็นการยึดเมืองซิตเว
เป็นหลักในการเข้าโจมตี อันเมืองซิตะเวนี้ด้านหลังเป็นหน้าผาชันยากแก่การเข้าโจมตี ข้าเองได้ให้คนไป
สำรวจแล้วเป็นทางออกที่ทำด้วยสะพานทอดข้ามไปยังอีกภูเขาหนึ่ง การเข้าโจมตีเมืองซิตเวนี้ควรเป็นหน้าที่
ของชาวเมืองหล่อยก่อกับเมืองปะอานเป็นกองหน้าด้วยชำนาญพื้นที่ด้านภูเขายิ่งนัก ส่วนด้านหนีด้านหลังนี้
เราควรจะทำลายสะพานไม้ให้ขาดจากกันเพื่อการหลบหนี ทั้งนี้ภายในเมืองซิตเวกำลังขาดแคลนเสบียงยิ่ง
นัก จนทหารเมืองต้องเข้าไปนำอาหารของชาวบ้านตลอดจนบรรดาสัตว์เลี้ยงมาใช้บำรุงทหาร ทำความแค้น
เดือดร้อนแก่ชาวเมืองยิ่งนัก เพราะพระองค์ไปศึกในครั้งนี้ก็ล่วงเข้าเดือนกว่าๆแล้ว พวกเราซึ่งตัดขาดเสบียง
จากแคว้นที่นำเสบียงส่งเมืองหลวงนั้นขาดออกจากกันเรียบร้อยแล้ว ตลอดจนยึดพื้นที่ของชาวเมืองที่ใช้
ในการเพาะปลูกได้หมดสิ้น คงเหลือเสบียงที่เหลือของเมืองซิตเวเท่านั้นพระย่ะค่ะ”
ชายหนุ่มได้รับรายงานเช่นนี้พลางขมวดคิ้วแล้วกล่าวขึ้นว่า
“หากเป็นเช่นนี้เราเห็นว่าทางเจ้ามังตเวสีหะคงจะใช้ทหารออกไปล่าสัตว์ยังภูเขาอีกด้านหนึ่งทางลับเบื้องหลัง
เมืองมาเป็นเสบียงต่อไปเป็นแน่แท้ ฉะนั้นใครล่ะจะอาสาไปทำลายสะพานซึ่งต้องมีหน่วยทหารคอยปกป้อง
ระวังอยู่ก่อนแล้วด้วย พวกมันไม่สามารถจะออกจากเมืองด้วยทหารเราได้รายล้อมไว้หมดแล้ว และมันส่งกำลัง
ออกมาต่อสู้กับฝ่ายเราหรือไม่ท่านผู้เฒ่า”
“มันส่งทหารออกมาต่อสู้ทางทางเราหลายต่อหลายครั้งพระเจ้าข้า แต่ถูกฝ่ายเราเข้าโจมตีพ่ายกลับไปทุกๆครั้ง
จนมันไม่กล้าจะนำทหารเราขึ้นมาอีก ส่วนข้าพระองค์จะนำทหารตีฝ่าเข้าเมืองไปก็กริ่งเกรงจะขัดคำสั่ง
ของพระองค์จึงได้จัดการเตรียมทหารคอยปกป้องมิให้ใครเล็ดรอดออกจากเมืองได้สักคนเดียวทั้งกลางวันและ
กลางคืนพระเจ้าข้า” มหาอำมาตย์ที่ปรึกษารายงาน
“แล้วเบื้องหลังที่เป็นหน้าผาสูงชันล่ะที่มีหน่วยทหารป้องกันนั้นท่านได้ส่งไปแล้วหรือยัง”
“อันทหารที่ปกป้องสะพานนั้นอยู่ฝั่งทางมันพระเจ้าข้า หากเรานำทหารไปก็จะเสียเปรียบด้วยแม้แต่ม้าก็
เพียงแค่ตัวเดียวเท่านั้นเอง หากเราเข้าไปก็ต้องเป็นเป้าหมายแก่ข้าศึก ข้าเองจึงเพียงจัดทหารจำนวนมากคอย
สกัดและรายงานให้แก่ข้าทราบเท่านั้นเองพระเจ้าข้า”
“งั้นหรือ....แล้วสะพานนี้สำรวจแล้วหรือยังว่ามีกี่สะพานที่จะข้ามไปยังเขาต่างๆได้ล่ะ” ชายหนุ่มถาม
จากการตรวจสอบแล้ว มีสะพานเชื่อมไปยังเขาต่างๆเพียงห้าสะพาน ส่วนสะพานที่เป็นหน้าผานั้นมีแค่สอง
สะพานเท่านั้น อีกสามสะพานนั้นเชื่อมต่อไปยังเขาสามลูก อันสองสะพานนั้นทางหนึ่งเป็นทางไป อีกทาง
หนึ่งเป็นทางกลับพระเจ้าข้า” ที่ปรึกษาใหญ่รายงาน
“ดีแล้วท่านผู้เฒ่าที่จัดทหารไปเฝ้าระวังรักษาไว้ ข้าเองคิดว่าอีกสามสะพานนั้นอาจจะส่องสุมขุมกำลังของ
เมืองซิตเวหรือเป็นทางลำเลียงเสบียงอาหารก็อาจจะเป็นไปได้ ฉะนั้นจึงให้ท่านจัดการทำลายสะพานทั้งหมด
แล้วมารายงานต่อเราด้วยนะ”
“พระเจ้าข้า เดี๋ยวจะให้ทหารไปรีบดำเนินการทันที” ที่ปรึกษากล่าวขึ้น
ฝ่ายท่านอลองพญาครั้นได้ยินการปรึกษาสนทนาของทั้งสองก็สร้างความนับถือขึ้นในใจถึงความรอบคอบของ
ท่านมหาอุปราชและที่ปรึกษาใหญ่ หากมาดแม้นเมืองหงสานั้นมีคนเช่นนี้เมืองหงสาคงจะขยายอาณาเขตไปได้
อีกมากมายนัก การมาครั้งนี้ได้รับผลประโยชน์มากมายมหาศาลยิ่งนักจึงจดจำกระบวนการต่างๆไว้เพื่อหงสา
ในอนาคตกาลข้างหน้า แต่ไม่กล้าเอ่ยคำใดๆทั้งสิ้น ทันใดแม่นางจันทิราก็ขอรับอาสาเข้าทำลายสะพานทันที
“ข้าแต่พี่ท่าน เรื่องสะพานนี้ขอให้เป็นหน้าที่ของน้องเถอะ ด้วยเกี่ยวกับด้านภูเขาแล้วน้องสมัยเด็กๆชอบ
ท่องเที่ยวไปตามเขาต่างๆจึงรอบรู้ทางหนีทีไล่หนทางลัดเลาะได้ดียิ่งนัก” หญิงสาวกล่าว
“ตกลงพี่เองก็คิดเช่นนั้นหาคนที่จะเหมาะสมได้ดังน้องยากเสียแล้วให้นำกำลังของเมืองหล่อยก่อและปะอาน
ล้วนแล้วแต่เชี่ยวชายเรื่องนี้ดีกว่าทหารอื่นๆ แบ่งกำลังกันออกเป็นห้าหน่วย ใครถึงก่อนก็ทำลายก่อน ส่วนน้องพี่
นั้นให้ทำลายสะพานสองสะพานทางเมืองซิตเว และออกเดินทางได้แล้วก่อนตะวันจะตกดินเสียจะยากแก่การ
ทำลายให้น้องนำอาวุธไฟไปด้วยและจัดคัดคนที่สามารถขว้างได้ไกลๆโดยนำเจ้าขนทองซึ่งชำนาญเกี่ยวกับการ
ขว้างแม่นยำนักไปด้วย ส่วนอีกสามสะพานเล่าใครจะไปดีน้องเราจงแจ้งแก่เราซิ”
“ ข้าทั้งสองเองแม่นางแห่งตองอูรับอาสาต่างจะเข้าทำลายสะพานทั้งสามด้วยเห็นแผนที่ของท่านอุปราชหงสา
แล้วเข้าใจทุกประการ จึงขอรับอาสาจ๊ะท่านพี่”
“หากเป็นเช่นนี้ก็ตกลงตามนี้ก็แล้วกันนะ ให้แม่นางทั้งสองนำเจ้าขนขาวไปด้วยนะจะได้ช่วยและทำให้พี่ไม่
ต้องเป็นห่วงมากนัก คิดว่าด้านทางนี้คงเพียงแค่ทำลายปลายสะพานเท่านั้นสะพานก็จะขาดตกไปยังฝั่งภูเขา
นั้นทันที” ชายหนุ่มกล่าวคิดในใจว่าหากแม้นปฏิเสธก็จะทำให้แม่นางเสียใจหาว่าไม่เชื่อในฝีมือ แต่เท่าที่เขา
ได้เห็นการต่อสู้รบพุ่งแล้วจึงทราบว่านางทั้งสองนั้นเชี่ยวชาญอาวุธยิ่งนักเป็นที่ประจักษ์มาแล้วจึงคลายใจไป
ฝ่ายอุปราชแห่งหงสาพึ่งทราบว่าอันแม่นางที่แต่งกายเป็นนักรบเป็นหญิงก็ให้สะท้านใจยิ่งนักนี่ขนาดหญิง
ยังมีฝีมือสติปัญญาเยี่ยงนี้หรือ หากแม่นางทั้งสามไม่เก่งจริงท่านมหาอุปราชก็ไม่ไว้วางใจเช่นนี้ยิ่งคิดยิ่ง
งงงันยิ่งขึ้น ดูกิริยาท่าทางก็คงจะพิสมัยต่อท่านมหาอุปราชยิ่งนัก ก็ยิ่งสะท้อนใจนัก หากแม่นางไม่กล่าวคำพูด
เขาเองก็ไม่ทราบว่าเป็นหญิงสาว
พลันกราบทูลพระมหาอุปราชว่า
“แล้วพระองค์จะให้ข้ากระหม่อมช่วยอะไรได้บ้างพระเจ้าข้า”
“อ้อท่านอลองพญา ให้ท่านนำกำลังแยกกระจายรายล้อมพร้อมด้วยทหารแคว้นต่างๆทั้งปวง คอยเวลาเข้า
โจมตีเมืองซิตเวทางด้านตะวันตกก็แล้วกัน หากได้รับสัญญาณจากข้านะ”
“พระเจ้าข้า กระหม่อมจะจัดส่งทหารเรียงรายทางด้านทิศตะวันตกเมื่อได้รับสัญญาณจากพระองค์ก็จะนำ
ทหารทั้งหมดเข้าตีเมืองซิตเวทันทีพระเจ้าข้า”
“อ้อๆๆ...ท่านอุปราชให้กำชับทหารทั้งหมดด้วยหากยึดเมืองซิตเวห้ามทหารรังแกประชาชนเป็นอันขาดและ
อย่าได้เบียดเบียนตลอดจนสาวชาวซิตเวอย่างเคร่งครัดด้วยนะ” ชายหนุ่มสั่งทันที
“พระเจ้าข้า กระหม่อมจะกำชับทหารทุกๆนาย หากแม้นมีใครคิดทำร้ายก็จะถูกลงโทษตามกฎอัยการศึกทันที
พระเจ้าข้า”
“ดีแล้วล่ะ งั้นท่านไปพักผ่อนได้แล้วโดยจัดสร้างค่ายต่างๆทางด้านทิศตะวันตก ซึ่งข้าจะสั่งย้ายทหารที่เฝ้า
รักษาให้กลับออกมา ให้เป็นหน้าที่ของทหารหงสาก็แล้วกัน “ พลางชายหนุ่มหันไปสั่งการให้ย้ายกำลังพล
ด้านทิศตะวันตกออกทันที
“พระเจ้าข้า กระหม่อมจะจัดการให้เป็นที่เรียบร้อยด้วยทหารทางแว่นแคว้นต่างๆแบ่งกันรับผิดชอบ
สลับกันอยู่พระเจ้าข้า
“อีกประการหนึ่ง กองทัพหน้านั้นให้เป็นหน้าที่ของทหารเมืองหล่อยก่อกับปะอานและแว่นแคว้นยะไข่
ที่อ่อนน้อมต่อเราเข้าโจมตีเมืองซิตเว ส่วนท่านอุปราชแห่งหงสาก็คอยจัดกำลังเสริมด้วยหากเมื่อได้รับสัญญาณ
จากข้าแล้วหน่วยทหารที่เชี่ยวชาญด้านภูเขาจะเข้านำหน้าท่านอุปราชก็คอยเสริม ไว้มะรืนนี้จะเรียกประชุมใหญ่
อีกครั้งหนึ่ง ตอนนี้เอาแค่นี้ก่อน อ้อ ท่านแม่นางทั้งสามออกปฏิบัติคัดเลือกคนทำงานได้แล้ว หากสำเร็จได้ผล
ประการใดให้รีบแจ้งแก่ข้าโดยด่วนด้วยนะ”
“พระเจ้าข้าท่านพี่” แม่นางทั้งสามกล่าวพร้อมเดินออกไปคัดเลือกทหารทันที
ครั้นแล้วทุกๆคนก็แยกย้ายกันออกไป ชายหนุ่มก็กลับไปยังที่พักเพื่อพักผ่อนเรียกพลังวังชากลับคืนมาแต่ก็ยัง
อดนึกคิดการศึกครั้งนี้ด้วยเมืองซิตเวนั้นเพียงคอยเวลาสักระยะหนึ่ง ก็จะเกิดความปั่นป่วนภายในเมืองเองบางที
อาจจะไม่ต้องเสียกำลังพลมากนัก ส่วนแว่นแคว้นมอญซิคิดว่าคงไม่ยากนักด้วยทราบมาว่าบรรดาแว่นแคว้น
นี้เมื่อปราศจากกากรศึกใดๆมักจะมัวเมาราคะเป็นที่ตั้งหาความเพลิดเพลินทำให้เกิดจุดอ่อนในเรื่องการศึกเหตุ
ดังนี้ด้วยนึกว่ายังมีทหารฝ่ายอิสราวดีคอยช่วยเหลืออยู่นั่นเอง แล้วชายหนุ่มก็หลับไป
เมื่อพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว อากาศเริ่มหนาวเย็นด้วยแวดล้อมไปด้วยขุนเขาต้นไม้สูงใหญ่มากมายแต่
ชายหนุ่มชินชาเสียแล้ว นางพรายทั้งสองก็ปรากฏร่าง เขาปรนนิบัตินวดร่างกายให้ชายหนุ่มทันที ทำให้ชายหนุ่ม
ถึงกับดึงรางนางทั้งสองมาจุมพิต ยิ่งทำให้นางพรายทั้งสองขวยเขินตีฝ่ามือไปยังท่อนแขนชายหนุ่มทันที แต่ก็
โน้มร่างเข้ากอดชายหนุ่มทั้งสองนาง ชายหนุ่มก็หยอกเย้าทำให้อารมณ์เครียดต่างๆหายไปสิ้นเชิงพลางแจ้งว่าคง
อีกไม่นานนักแล้ว เขาตรวจดูดวงดาวตามตำราว่าแม่นางทั้งสองจะได้คืนกลับสภาพเป็นมนุษย์ดังเดิม แต่ใจพี่เอง
นั้นยังไม่อยากให้น้องคืนสภาพเป็นมนุษย์ซึ่งการคบหาสมาคมก็จะยากยิ่งขึ้นไปอีก แล้วพลางหัวร่อ นางพราย
ครั้นได้ยินเช่นนี้ก็พลางหลับตาสักพัก ก็พลันหัวร่อบอกว่าหาได้เป็นอย่างที่ท่านพี่คิดถึงแม้ว่าข้าทั้งสองนั้นจะ
คืนร่างได้ก็จริงอยู่แต่ก็คงจะรับใช้พี่ท่านได้ตามปกติได้เอง ทำให้ชายหนุ่มถึงกลับอึ้งไปสักพักแล้วค่อยหยอก
เย้านางพรายแสนสวยทั้งสองต่อไป..........
* แก้วประเสริฐ. *