ลุ่มลึกอิสราวดี 46

แก้วประเสริฐ


          ลุ่มลึกอิสราวดี  46
  ครั้นประตูเมืองหงสาถูกกระบองนาคราชทำลายล้มลงแล้ว  ชายหนุ่มและหญิงสาวทั้งสาม
ที่กระหนาบข้างก็ขี่ม้านำหน้าหน่วยทหารม้า  ตีฝ่าเหล่าทหารหงสาที่เรียงรายอยู่ภายในเมือง
การต่อสู้พัวพันชุลมุนไป  หญิงสาวทั้งสามก็แยกย้ายกันเข้าต่อสู้กับทหาร  แต่เหล่านางทั้งสาม
มุ่งแต่เข้าหาแม่ทัพนายกองที่ฆ่าฟันทหารภาคพื้นดินล้มตาย  นางจันทิราก็รีบยิงธนูไปยังร่าง
ของนายกองทันที ลูกธนูก็เสียบยังร่างของนายกองหงสาตกจากหลังม้าสิ้นชีวิตไป 
    แล้วนางก็ตีฝ่าหน่วยทหาร  ส่วนพระธิดาเรวดีอรทัยกับพระธิดากัลยาเทวีต่างแยกย้ายยิงธนู
เข้าไปยังบรรดาแม่ทัพนายกองหงสาและเหล่าทหารหงสาดุจห่าฝน เมื่อหมดลูกธนู
พระนางก็ชักดาบออกฟาดฟันต่อสู้กับเหล่าทหารหงสาเป็นพัลวัน   
บรรดาทหารหงสาซึ่งมาจำนวนมากมายนัก    ก็มิอาจจะต้านทานฝีมือแม่นางทั้งสามได้
ต่างล้มตายไม่ก็พิการไป   การรบพุ่งผ่านไปไม่เท่าไหร่ทหารหงสาก็เหลือน้อย
รีบหนีไปรวมกับพวกทหารองครักษ์ทันทีเพื่อรวมกำลังต่อต้านหน่วยทหารม้าที่
     ครั้นประตูเมืองถูกทำลายบรรดาทหารเมืองฮะคาและตองอูต่างก็ทะลักกันเข้าไปในเมือง
เพื่อควบคุมสถานการณ์ เกิดการต่อสู้กับทหารเมืองหงสาเป็นพัลวันและถูกทำลายไปเกือบสิ้น
ด้วยกำลังใจทหารเมืองหงสานั้นเปรียบแล้วก็เสียขวัญกำลังใจยิ่งนัก  ทหารของฮะคาและตองอู
ซึ่งเชี่ยวชาญด้านศึกที่ถูกคัดเลือกทหารฝีมือดีมาทั้งสิ้น  ทหารฝ่ายหงสาจึงมิอาจจะต้านทานได้
ต้องแตกกระเจิง  ด้วยบรรดาผู้ควบคุมต่างเสียชีวิตไป เมื่อขาดผู้นำสั่งการเช่นนี้ต่างก็หนีกัน
อลหม่านหาได้เป็นกองทหารได้  บรรดาพ่อค้าชาวเมืองต่างปิดประตูหลบภัยหมดทั้งเมือง
     ชายหนุ่มควบเจ้าสีเทาเข้าประจัญบานแต่ก็ไม่อาจต้านทานอาวุธดาบของชายหนุ่มได้  
ล้วนแต่ล้มตายดาบก็หักสิ้นไปหมดเหล่าหน่วยทหารหงสาซึ่งบนหอคอยต่างก็ยิงธนูเข้าใส่
แต่ บรรดาเหล่าทหารม้าของชายหนุ่มซึ่งต่างก็ได้รับการฝึกฝนเป็นอย่างดีล้วนต่างก็หลบ
ลูกธนูยังใต้ท้องม้าแล้วยิงธนูโต้ตอบไป   บ้างก็ขว้างก้อนหินเข้าใส่ทำให้เหล่าทหารบนหอคอย
ต่างล่วงตกลงมาตายสิ้น   เมื่อพ้นจากเหล่าทหารบนหอคอยแล้วเหล่าทหารม้าก็กลับนั่งบนหลังม้า
ตามเดิมแล้วควบฟันฝ่าทหารหงสา  ติดตามชายหนุ่มจนเข้าไปในเขตพระราชฐาน  ต่างก็ฆ่าบรรดา
เหล่าทหารองครักษ์ที่ปกป้องพระราชวังทั้งหลายต่างก็พากันล้มตาย 
 
      เสียงร้องหวีดว้ายก้องระงมของบรรดาเหล่าสนมนางกำนัลทั้งหลาย   เหล่าทหารม้าก็เข้าไปยัง
ที่พำนักของพระมเหสีและเหล่าประยูรญาติเข้าตีฝ่าทหารที่เรียงรายปกป้องพระนางมเหสีจนสิ้น
ชีวิตไปหมดแล้วก็เข้าควบคุมองค์พระมเหสีและเหล่าราชวงศ์จนหมดสิ้น   ส่วนด้านชายหนุ่มก็นำ
ทหารเข้าไปยังท้องพระโรง  เห็นพระเจ้าเมืองหงสายืนถืออาวุธรอบล้อมด้วยเหล่าทหารนายทัพ
นายกองจำนวนมาก    เหล่าทหารของชายหนุ่มก็เข้าปะทะรบกันอย่างชุลมุน  ชายหนุ่มได้ตีฝ่า
      เหล่าทหารของพระเจ้าหงสาจนถึงตัวพระเจ้าหงสาซึ่งบัญชาการอยู่    ครั้นมาถึงพระองค์
พระเจ้านะระสีหะราชาซึ่งยกดาบเข้าปะทะกับดาบของชายหนุ่มทันที  ต่างฝ่ายมีอาวุธที่คมกล้า
พอๆกัน  การสู้รบผ่านไปเนิ่นนานแต่ด้วยวิชาที่ชายหนุ่มร่ำเรียนประยุกต์กับดาบของเมืองไทย
ท่าดาบจึงผิดเพี้ยนไม่เหมือนชาวเมืองในแว่นแคว้นนี้ด้วยท่าร่างอันพิสดารทำให้  ชัยชนะเริ่ม
ส่อเค้าบังเกิดขึ้น  และแล้วดาบของชายหนุ่มก็สามารถตัดพระเศียรของเจ้านะระสีหะราชาแห่ง
เมืองหงสาขาดออกจากกันทันที   แล้วนำพระเศียรของพระเจ้านะระสีหะราชาชูขึ้นพลางประกาศ
        ให้หน่วยทหารเมืองหงสารทราบ   ทำให้เหล่าทหารแม่ทัพนายกองครั้นแลเห็นพระเศียรของ
เจ้าแห่งตน  ต่างก็ยอมแพ้วางอาวุธลงทั้งสิ้น  ทหารของชายหนุ่มก็เข้าเก็บอาวุธควบคุมตัวไว้จนหมด
ข่าวคราวนี้ได้   แพร่สะพัดไปยังบรรดาทหารที่กำลังต่อสู่อยู่ภายในเมือง  ต่างก็ยินยอมวางอาวุธ
และให้เหล่าทหารของชายหนุ่มควบคุมตัวไว้ยังหน้าลานพระมหาราชวังทันทีเพื่อรอคำสั่งของชายหนุ่ม
เมื่อทหารของชายหนุ่มเข้าควบคุมเมืองได้หมดแล้ว ต่างวางกำลังไว้ตามเชิงเทินเมืองแล้วชักธงของ
แคว้นศิระสุริยันต์เหนือกำแพงเมืองทุกทิศ ตลอดจนมหาราชวัง  ธงศิระสุริยันต์โบกสะบัดพลิ้วตามลม
       บัดนี้ศึกในเมืองหงสาก็สิ้นสุดลง  ส่วนภายในท้องพระโรงชายหนุ่มได้ออกคำสั่งให้เก็บบรรดาศพ
ทหารออกไป ส่วนศพของฝ่ายตนก็ให้คลุมด้วยธงเมืองศิระสุริยันต์ทุกๆนาย นำออกไปประกอบพิธีด้วย
เกียรติยศ  ส่วนศพของเหล่าทหารเมืองหงสาก็จัดการฝังเสียแล้วให้บรรดาเหล่าทหารวังล้างชำระเลือด
ให้สะอาด  ก่อนครั้นภายในท้องพระโรงสะอาดหมดจดแล้ว   ก็ให้ทหารนำเหล่าพระประยูรญาติและ
พระมเหสีเข้ามา   แต่ชายหนุ่มให้เกียรติแก่พระมเหสีเสมือนหนึ่งกับเมืองตองอูจนทำให้พระมเหสีและ
เหล่าประยูรวงศานุวงศ์ต่างคลายความหวาดกลัวลงได้  ครั้นเมื่อทราบว่าชายหนุ่มผู้ที่เข้าโจมตีเมืองหงสา
นั้นคือพระมหาอุปราชแห่งแว่นแคว้นศิระสุริยันต์ที่ล่มสลายไป  ซึ่งก่อนที่เมืองหงสาจะจัดตั้งขึ้นเสียอีก
เหล่าชาวเมืองนี้ก่อนเก่าก็เคยขึ้นตรงกับศิระสุริยันต์มาทั้งสิ้น  หลังการล่มสลายไปของเมืองศิระสุริยันต์
จึงทำให้เกิดการแบ่งแยกต่างสร้างตนขึ้นเป็นใหญ่ไม่ขึ้นต่อเมืองอิสราวดีที่เป็นเครือญาติของเมืองศิระสุริยันต์
อีกต่อไป   พระมเหสีครั้นทราบว่าเป็นองค์รัชทายาทแห่งแคว้นศิระสุริยันต์ก็ให้สิ้นสงสัยที่คลางแคลงใจ
      ว่าผู้ที่สามารถรวบรวมตีแว่นแคว้นต่างๆรวมทั้งตองอูซึ่งก็คิดแยกตัวออกจากรัฐมอญเหมือนกับเมืองหงสา
ที่คิดแยกตัวเองจากรัฐยะไข่เช่นกัน   บรรดาทหารทั้งหลายต่างถูกฝึกฝนเชี่ยวชาญกล้าหาญนักถึงกับไม่สามารถ
ต้านทานการสู้รบของเหล่าทหารของท่านมหาอุปราชไปได้   ครั้นทราบดั่งนี้แล้วพระมเหสีก็ทรงทรุดตัวลงนั่ง
ถวายบังคมแด่องค์มหาอุปราชทันที พลางกล่าวว่า
      “ข้า สิริสาอลงกรณ์พระมเหสีแห่งเมืองหงสา ขอน้อมถวายพระพร  ด้วยไม่ทราบว่าเป็นท่านมหาอุปราชแห่ง
แว่นแคว้นศิระสุริยันต์  ที่ร่ำลือกันว่าหายสาบสูญไปเนิ่นนานแล้ว     ครั้นชายหนุ่มเห็นดังนี้ก็ทรงน้อมกายลง
   “พลางดำรัสว่าขอพระแม่นางแห่งหงสาอย่ายึดถือขนบธรรมเนียมมากมายนัก  ข้าเองนั้นอายุยังเยาว์วัยนัก
จะทำให้อายุข้าสั้นลงไป  จึงขออัญเชิญนั่งยังพระเก้าอี้ของพระแม่เจ้าด้วยเถิด”
    “หากเป็นพระประสงค์ของพระองค์ มิได้รังเกียจว่าหม่อมฉันเองเป็นแค่เชลยศึก  ก็ให้รู้สึกซาบซึ้ง
หฤทัยยิ่งนักตอนนี้พระองค์เป็นผู้ชนะศึกในครั้งนี้ครอบครองเมืองหงสาไว้ถือได้ว่าเปรียบเสมือนกษัตริย์
แห่งหงสาแล้วเพค่ะ”  
 พระนางพลางมิกล้าที่จะเข้าไปนั่งยังเก้าอี้ประจำตำแหน่งพระมเหสียังเพียงแค่ยืนขึ้นเท่านั้น  ครั้นชายหนุ่ม
ครั้นได้ยินแม่เมืองหงสากล่าวเช่นนี้   ก็กล่าวขึ้นว่า 
       “ถ้าเป็นอย่างนั้นข้าก็จำเป็นอาศัยอำนาจดังที่พระแม่เจ้ากล่าว ขอให้ไปนั่งยังพระเก้าอี้พระแม่เจ้าด้วยเถิด”
ครั้นพระนางสิริสาอลงกรณ์ได้ฟังเช่นนั้น  ว่าอันท่านมหาอุปราชนี้ทรงให้เกียรติแก่พระนางก็ให้ซาบซึ้งใจยิ่งนัก
ถึงกับหลั่งน้ำพระเนตรไหลเป็นทาง    ดังนั้นชายหนุ่มทรงเข้าไปเอาสไบของแม่เจ้าแห่งหงสาเช็ดน้ำพระเนตร
ให้ทันที   ยิ่งทำให้พระนางถึงก็หลั่งน้ำพระเนตรมากยิ่งขึ้น ถือโอกาสสวมกอดชายหนุ่มทันทีพร้อมกล่าวว่า
        “ข้าเองขอฝากชีวิตและชาวเมืองหงสาไว้แก่พระองค์ขอทรงโปรดพระเมตตาแก่ชาวประชาราษฎร์ด้วย
เถิดเพค่ะ”       ชายหนุ่มถึงกับอึ้งไปทันทีจวบบัดนี้พระนางเจ้ามิได้ห่วงตัวเองและครอบครัวกับห่วงใจแก่
ชาวประชามากกว่าส่วนตัวเสียอีก  ก็ให้นึกบูชาน้ำใจในพระนางยิ่ง   จึงได้กล่าวถามไปว่า
        “ข้าแด่พระแม่เจ้าหงสา  พระองค์มีพระราชบุตรธิดาเท่าไหร่พระเจ้าข้า”
        “ข้าเองหาได้มีโอรสธิดาประการใดไม่เพค่ะ  แม้แต่เจ้าจอมทั้งหลายสนมกำนัลก็หาได้มีพระโอรสธิดา
แต่ประการใดเพค่ะ”     เจ้าแม่แห่งหงสาทูลถวาย
      ครั้นชายหนุ่มได้ยินดังนี้แล้วก็หัวร่อเบาๆ   พอดีแม่นางทั้งสามก็นำทหารเข้ามารายงานผลงานทั้งหมด
แก่ชายหนุ่มทันที  หัวหนุ่มหัวร่อชมเชยในความเก่งกล้าสามารถต่อหน้าเหล่าทหารทั้งปวง แล้วให้มายืนข้าง
พร้อมทั้งให้แม่นางทั้งสาม  ถวายบังคมแม่นางเจ้าแห่งหงสาทันที   ครั้นแม่นางทั้งสามถวายบังคมตามคำสั่ง
ของชายหนุ่มแล้ว   ก็ถอยออกมายืนแนบข้างชายหนุ่ม
     แม่เจ้าแห่งเมืองหงสาไม่คิดเลยว่าทหารทั้งสามที่ยืนเคียงข้างชายหนุ่มนั้นจะเป็นถึงอิสตรีและยังมียศสูงส่งยิ่ง
ก็ให้บังเกิดความสงสัย  ถึงความสามารถของชายหนุ่มคนนี้อายุยังน้อยนักแต่ทำไมถึงผูกใจเหล่าเมืองต่างๆ
ได้อย่างแน่นแฟ้นยิ่งนักตลอดมองไปยังบรรดาทหารทั้งหลายก็ล้วนแต่ห้าวหาญทั้งสิ้นก็สิ้นสงสัยว่าเหตุใด
เมืองหงสาที่ผ่านการคัดเลือกทหารฝีมือดีๆจึงได้พ่ายแพ้แก่กองทัพซึ่งมีไม่มากนัก  หากเปรียบไปแล้วยัง
น้อยกว่าทหารเมืองหงสาเสียอีก  ก็ยังสามารถตีเมืองหงสาซึ่งมีจำนวนพลมากมายนักได้  ก็ยิ่งบังเกิดความ
รักใคร่เอ็นดูตลอดจนซาบซึ้งความไม่หยิ่งยโสเช่นบรรดาเมืองอื่นๆ ซ้ำยังนอบน้อมถ่อมตนยิ่งนักและให้
เกียรติแก่ศัตรู  ความคิดแค้นอาฆาตในใจก็สูญสิ้นมลายหายไป บังเกิดความรักเอ็นดูแก่ชายหนุ่มมาก
        ซ้ำชายหนุ่มคนนี้ยังจัดพระศพพระสวามีให้เกียรติเป็นไปตามราชประเพณีชาวเมืองหงสาอีกด้วยเพียง
แต่รอการถวายพระเพลิงศพเท่านั้นเอง   โดยจัดอย่างถูกต้องดั่งกับว่าเคยเข้าใจเรื่องภายในหงสามากมายนัก
ภายในใจจึงมิได้คิดอาฆาตแต่ประการใดก็หาไม่   จึงไม่ได้กล่าวอะไรอีก
       เมื่อชายหนุ่มเห็นพร้อมเพรียงกันเรียบร้อยแล้วต่างก็ให้แก้มัดเหล่าบรรดาอำมาตย์ทหารแม่ทัพนายกอง
ออกให้เป็นอิสระทุกๆคนทั้งหมด   ครั้นเมื่อเหตุการณ์เข้าที่เข้ารอยแล้วก็พลันประกาศขึ้นทันที
       “ข้าเองมาเมืองหงสานั้นเพียงใคร่คิดเป็นทางผ่านหาได้ประสงค์จะเป็นจ้าวครองนครนี้ก็หาไม่ ครั้นขอ
เชื่อมสัมพันธ์ไมตรีไว้แล้วก็ไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าเหนือหัวของหงสา จึงต้องทำการเช่นนี้  บัดนี้เจ้า
เหนือหัวหงสาได้สวรรคตไปแล้วในการศึกสงครามสมเป็นวีรบุรุษแห่งเมืองหงสายิ่งนัก   ข้าเองยังนึกใคร่
ชื่นชมในฝีมือและพระบารมีของพระองค์  หากเราทั้งสองสามารถทำความเข้าใจกันได้เหตุการณ์ก็คงจะไม่
เป็นดังนี้  แต่พระองค์ถือในทิฐิมานะว่ากองกำลังของข้าน้อยนิดเท่านี้มีหรือจะสามารถยึดเมืองหงสาได้
ข้าเองจึงจำเป็นอย่างยิ่งต้องรุกรานเมืองหงสา  แต่หาได้หวังในสิ่งของใดๆในเมืองหงสาทั้งสิ้น   มาบัดนี้เมือง
หงสาจะขาดเจ้าเมืองไปมิได้  เพื่อให้เมืองหงสาอยู่เย็นเป็นสุขข้าเองได้คำนึงถึงประชาราษฎร์เป็นหลักรวม
ทั้งเหล่าทหารทั้งหลายด้วย   จึงคิดใคร่แต่งตั้งกษัตริย์ขึ้นใหม่ให้แก่เมืองหงสา  ท่านเหล่าอำมาตย์และเหล่า
แม่ทัพนายกองจะเห็นเป็นประการใดให้แจ้งให้ข้าว่าสมควรจะให้ผู้ใดขึ้นครองราชย์สมบัตินี้”
       อันชายชายหนุ่มกล่าวนี้เป็นนัยอย่างหนึ่งคิดทดสอบเหล่าอำมาตย์ขุนนางทหารทั้งสิ้น   บรรดาอำมาตย์
และแม่ทัพนายกองหงสา  ได้ยินเช่นนี้ต่างก็ให้บังเกิดความปลาบปลื้มยินดีปราศจากอคติต่อชายหนุ่มทันที
  ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เนื่องจากองค์เจ้าเหนือหัวถือทิฐิมากเกินไปนั่นเอง   และแม้แต่ทหารเราตลอด
ที่ปรึกษาต่างก็เก่งเชี่ยวชาญยังมิอาจต้านท่านมหาอุปราชได้  แสดงถึงบุญญาธิการขององค์มหาอุปราช
มีมากมายกว่าเจ้าเหนือหัวของเรานักจึงเป็นไปถึงเพียงนี้ 
       อีกแผนการต่างๆการจัดส่งกำลังและทหารของท่านมหาอุปราชนั้นต่างมีความสามารถเฉพาะตัว
เกือบทั้งสิ้น  หนึ่งคนสามารถต่อสู้กับทหารเราได้นับสิบ
ดังที่เห็นแจ้งในการรบพุ่งครั้งนี้ก็ให้บังเกิดความเคารพนับถือภายในใจของเหล่าทหารๆทั้งปวงยิ่งนัก
จึงพากันกล่าวขึ้นว่า
      “พวกข้าเองใคร่ขออัญเชิญท่านมหาอุปราชขึ้นครอบครองราชย์สมบัติสืบไปพระเจ้าข้า  ด้วยอาณาเขต
ของเมืองหงสาตลอดตัวเมืองกว้างขวางใหญ่โต  และล้วนอุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหารอันมาก
เสบียงตลอดอาวุธสงครามมากมาย  และพระองค์ก็ทรงมีพระเมตตาตลอดบุญญาธิการยิ่งนักพระเจ้าข้า”
    ครั้นชายหนุ่มได้ฟังเหล่าอำมาตย์แม่ทัพนายกองทหารกล่าวเช่นนั้น ก็หัวเราะลั่น พลางกล่าวว่า
      “ข้าเองขอขอบใจพวกท่านทั้งหลายยิ่งนักที่ให้เกียรติแก่ข้า แต่ข้าขอฝากเมืองหงสานี้ไว้ก่อนแก่พวกท่าน
แต่ข้าหาคนได้แล้วที่จะครอบครองราชย์สมบัติเมืองหงสาต่อไป”  
       เหล่าทหารและอำมาตย์ทั้งปวงต่างมองหน้ากันแล้วพร้อมทูลขึ้นว่า
      “ข้าแด่ท่านมหาอุปราชผู้ยิ่งใหญ่และประกอบด้วยพระบารมีมากยิ่งนัก ฉะนั้นสายพระเนตร
ย่อมกว้างไกลและมองกาลอนาคตได้   หากได้พระองค์ก็ย่อมจะทำให้เมืองหงสารุ่งโรจน์ต่อไปในอนาคต
แน่นอน        พวกข้าทั้งหลายต่อนี้ไปขอให้สัตย์ว่าจะซื่อสัตย์และเชื่อฟังพระองค์ตราบชั่วชีวิตจะหาไม่
 แต่พระองค์ทรงพระดำรัสเช่นนี้   พวกข้าทั้งปวงก็บังเกิดความสงสัยยิ่งนักว่าพระองค์ทรง
คิดจะให้ใครรักษาการณ์แทน  ส่วนพวกข้าทั้งหลายตอนนี้ต่างยินยอมพร้อมใจทั้งกายแล้วพระเจ้าข้า”
        ครั้นชายหนุ่มแลเห็นเหล่าอำมาตย์เสนาบดีแม่ทัพนายกองเห็นพร้องกันและให้สัตย์ปฏิญาณตน
แล้ว   ก็ให้ปลื้มปิติยินดียิ่งนัก   จึงกล่าวว่า
       “ข้าเองยังมีหน้าที่ต้องไปยึดเมืองซิตเวอีก  ด้วยกองทัพของข้านั้นตลอดจนที่ปรึกษาใหญ่ยังคอย
ตัวข้าอยู่จะปล่อยไปก็ไม่ได้  จึงอยากจะใคร่ขอกำลังพวกท่านให้ช่วยเหลือการครั้งนี้ด้วยท่านอำมาตย์
แม่ทัพนายกองจะเห็นเป็นประการใด”
        บรรดาอำมาตย์แม่ทัพนายกองครั้นได้ฟังเช่นนั้น   แม่ทัพนายกองก็เสนอตัวทันที
      “ข้า อลองพญา เป็นแม่ทัพใหญ่แห่งเมืองหงสาได้ยินพระดำรัสเช่นนี้ ก็ใคร่คิดที่จะนำเหล่าทหารหาญ
ทั้งหลายหาประสบการณ์และจะเข้าร่วมรบกับพระองค์ด้วยพระเจ้าข้า”
      “อีกประการหนึ่งเมืองซิตเวนั้น ข้าพระพุทธเจ้ามีแผนที่ทั้งนอกเมืองในเมืองไว้  ด้วยคิดจะยึดครองอยู่
แล้ว  เมื่อการครั้งนี้สมใจยิ่งนักจึงใคร่จะขอถวายชีวิตแด่พระองค์พร้อมด้วยเหล่าทหารแห่งหงสา
หากให้พวกข้าเข้าโจมตีตามแผนที่นี้ก็ย่อมเป็นประโยชน์ยิ่งแก่พระองค์พระเจ้าข้า”
        “ข้าขอขอบใจท่านอลองพญายิ่งนัก เอาล่ะให้ท่านจัดเตรียมไพร่พลและตัวท่านก็ร่วมนำทัพไปด้วยจะได้
หรือไม่ล่ะท่าน”
        “เป็นพระมหากรุณาธิคุณแก่ข้ายิ่งนัก  ขอน้อมถวายชีวิตและรับคำพระบัญชาพระเจ้าข้า 
 และจะออกเดินทางเมื่อใดหรือพระเจ้าข้า”
        “อันการณ์นี้จะล่าช้าไม่ได้เห็นว่าอีกสองวันเพื่อคอยท่านรวบรวมทหารก่อนแล้วค่อยออกเดินทางไป แต่
ก่อนไป  ข้าขอประกาศในที่นี้เลยว่าตอนนี้ราชบัลลังก์หงสานี้จะขาดคนดูแลไม่ได้  ยังไม่รู้ว่าข้าเองนั้นอาจจะ
ได้กลับมาอีกหรือไม่ก็เป็นสิ่งในอนาคตกาล  ดังนั้นข้าจึงประกาศแก่เหล่าอำมาตย์แม่ทัพนายกองทั้งหลายว่า
ข้าเองคิดใคร่จะแต่งตั้งพระแม่เจ้า “สิริสาอลงกรณ์” ขึ้นเถลิงราชสมบัติต่อไป  พวกท่านจะเห็นเป็นประการใด”
        เมื่อบรรดาเหล่าอำมาตย์แม่ทัพนายกองได้ยินเช่นนี้  ก็ต่างปลื้มปิติยินดียิ่งนัก ด้วยเนื่องคิดว่าจะเป็นคนของ
ท่านมหาอุปราช  แต่พระองค์หาได้มุ่งในสมบัติในเมืองหงสาก็หาไม่ยิ่งทำให้บังเกิดความนับถือมากเป็นล้นพ้น
ครั้นชายหนุ่มกล่าวเสร็จ  ก็หันไปอัญเชิญพระแม่นาง สิริสาอลงกรณ์จากพระที่เก้าอี้ให้มานั่งลงยังบัลลังก์ของ
กษัตริย์แห่งเมืองหงสา พร้อมนำมงกุฎซึ่งเตรียมพร้อมอยู่แล้ว   พลางยกมือไหว้ขออภัยแล้วก็สวมบนพระเศียร
ของพระแม่นางเมืองหงสาทันที    ก็บังเกิดเสียงถวายพระพรแด่แม่นางเจ้าซึ่งเสวยราชสมบัติสืบต่อไป........
            * แก้วประเสริฐ. *

Cartoon_Animation_08.gifn016.gif				
comments powered by Disqus
  • เทียนหยด

    11 มีนาคม 2553 22:51 น. - comment id 115746

    แวะมาก่อนค่ะครู..ตอนนี้อ้อยอ่านไม่ทัน
    คงต้องย้อนไปอีกหลายตอนเลยค่ะ..
    46.gif
  • โคลอน

    12 มีนาคม 2553 11:41 น. - comment id 115751

    ^
    ^
    ^
    เป็นกำลังใจให้นะ อ้อย 44.gif21.gif
    
    จากแควนคลับ แก้วประเสริฐ 46.gif
    
    ปล.รูปพี่ราชิกา พิศกี่ทีก็สวยนะคะ4.gif
  • แก้วประเสริฐ

    12 มีนาคม 2553 12:17 น. - comment id 115752

    36.gif16.gif36.gif
    คุณ เที่ยนหยด
    
         ศิษย์รักเอ๋ย  หากไม่อ่านตั้งแต่ต้นแล้วจะ
    ติดตามได้ยาก  เพราะครูจะเว้นวรรคเสมอๆจ๊ะ
    รักเสมอ
           
            16.gifแก้วประเสริฐ.16.gif
  • แก้วประเสริฐ

    12 มีนาคม 2553 12:21 น. - comment id 115753

    36.gif16.gif36.gif
    คุณ โคลอน
    
          จ้าแฟนฝนคลับ  แฝดเพื่อนผมสวยจริงๆ
    คนหนึ่งสวยอีกคนหนึ่งอัปลักษณ์ยิ่ง อิอิ รักเสมอ
    
           16.gifแก้วประเสริฐ.16.gif

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน