ลุ่มลึกอิสราวดี 46 ครั้นประตูเมืองหงสาถูกกระบองนาคราชทำลายล้มลงแล้ว ชายหนุ่มและหญิงสาวทั้งสาม ที่กระหนาบข้างก็ขี่ม้านำหน้าหน่วยทหารม้า ตีฝ่าเหล่าทหารหงสาที่เรียงรายอยู่ภายในเมือง การต่อสู้พัวพันชุลมุนไป หญิงสาวทั้งสามก็แยกย้ายกันเข้าต่อสู้กับทหาร แต่เหล่านางทั้งสาม มุ่งแต่เข้าหาแม่ทัพนายกองที่ฆ่าฟันทหารภาคพื้นดินล้มตาย นางจันทิราก็รีบยิงธนูไปยังร่าง ของนายกองทันที ลูกธนูก็เสียบยังร่างของนายกองหงสาตกจากหลังม้าสิ้นชีวิตไป แล้วนางก็ตีฝ่าหน่วยทหาร ส่วนพระธิดาเรวดีอรทัยกับพระธิดากัลยาเทวีต่างแยกย้ายยิงธนู เข้าไปยังบรรดาแม่ทัพนายกองหงสาและเหล่าทหารหงสาดุจห่าฝน เมื่อหมดลูกธนู พระนางก็ชักดาบออกฟาดฟันต่อสู้กับเหล่าทหารหงสาเป็นพัลวัน บรรดาทหารหงสาซึ่งมาจำนวนมากมายนัก ก็มิอาจจะต้านทานฝีมือแม่นางทั้งสามได้ ต่างล้มตายไม่ก็พิการไป การรบพุ่งผ่านไปไม่เท่าไหร่ทหารหงสาก็เหลือน้อย รีบหนีไปรวมกับพวกทหารองครักษ์ทันทีเพื่อรวมกำลังต่อต้านหน่วยทหารม้าที่ ครั้นประตูเมืองถูกทำลายบรรดาทหารเมืองฮะคาและตองอูต่างก็ทะลักกันเข้าไปในเมือง เพื่อควบคุมสถานการณ์ เกิดการต่อสู้กับทหารเมืองหงสาเป็นพัลวันและถูกทำลายไปเกือบสิ้น ด้วยกำลังใจทหารเมืองหงสานั้นเปรียบแล้วก็เสียขวัญกำลังใจยิ่งนัก ทหารของฮะคาและตองอู ซึ่งเชี่ยวชาญด้านศึกที่ถูกคัดเลือกทหารฝีมือดีมาทั้งสิ้น ทหารฝ่ายหงสาจึงมิอาจจะต้านทานได้ ต้องแตกกระเจิง ด้วยบรรดาผู้ควบคุมต่างเสียชีวิตไป เมื่อขาดผู้นำสั่งการเช่นนี้ต่างก็หนีกัน อลหม่านหาได้เป็นกองทหารได้ บรรดาพ่อค้าชาวเมืองต่างปิดประตูหลบภัยหมดทั้งเมือง ชายหนุ่มควบเจ้าสีเทาเข้าประจัญบานแต่ก็ไม่อาจต้านทานอาวุธดาบของชายหนุ่มได้ ล้วนแต่ล้มตายดาบก็หักสิ้นไปหมดเหล่าหน่วยทหารหงสาซึ่งบนหอคอยต่างก็ยิงธนูเข้าใส่ แต่ บรรดาเหล่าทหารม้าของชายหนุ่มซึ่งต่างก็ได้รับการฝึกฝนเป็นอย่างดีล้วนต่างก็หลบ ลูกธนูยังใต้ท้องม้าแล้วยิงธนูโต้ตอบไป บ้างก็ขว้างก้อนหินเข้าใส่ทำให้เหล่าทหารบนหอคอย ต่างล่วงตกลงมาตายสิ้น เมื่อพ้นจากเหล่าทหารบนหอคอยแล้วเหล่าทหารม้าก็กลับนั่งบนหลังม้า ตามเดิมแล้วควบฟันฝ่าทหารหงสา ติดตามชายหนุ่มจนเข้าไปในเขตพระราชฐาน ต่างก็ฆ่าบรรดา เหล่าทหารองครักษ์ที่ปกป้องพระราชวังทั้งหลายต่างก็พากันล้มตาย เสียงร้องหวีดว้ายก้องระงมของบรรดาเหล่าสนมนางกำนัลทั้งหลาย เหล่าทหารม้าก็เข้าไปยัง ที่พำนักของพระมเหสีและเหล่าประยูรญาติเข้าตีฝ่าทหารที่เรียงรายปกป้องพระนางมเหสีจนสิ้น ชีวิตไปหมดแล้วก็เข้าควบคุมองค์พระมเหสีและเหล่าราชวงศ์จนหมดสิ้น ส่วนด้านชายหนุ่มก็นำ ทหารเข้าไปยังท้องพระโรง เห็นพระเจ้าเมืองหงสายืนถืออาวุธรอบล้อมด้วยเหล่าทหารนายทัพ นายกองจำนวนมาก เหล่าทหารของชายหนุ่มก็เข้าปะทะรบกันอย่างชุลมุน ชายหนุ่มได้ตีฝ่า เหล่าทหารของพระเจ้าหงสาจนถึงตัวพระเจ้าหงสาซึ่งบัญชาการอยู่ ครั้นมาถึงพระองค์ พระเจ้านะระสีหะราชาซึ่งยกดาบเข้าปะทะกับดาบของชายหนุ่มทันที ต่างฝ่ายมีอาวุธที่คมกล้า พอๆกัน การสู้รบผ่านไปเนิ่นนานแต่ด้วยวิชาที่ชายหนุ่มร่ำเรียนประยุกต์กับดาบของเมืองไทย ท่าดาบจึงผิดเพี้ยนไม่เหมือนชาวเมืองในแว่นแคว้นนี้ด้วยท่าร่างอันพิสดารทำให้ ชัยชนะเริ่ม ส่อเค้าบังเกิดขึ้น และแล้วดาบของชายหนุ่มก็สามารถตัดพระเศียรของเจ้านะระสีหะราชาแห่ง เมืองหงสาขาดออกจากกันทันที แล้วนำพระเศียรของพระเจ้านะระสีหะราชาชูขึ้นพลางประกาศ ให้หน่วยทหารเมืองหงสารทราบ ทำให้เหล่าทหารแม่ทัพนายกองครั้นแลเห็นพระเศียรของ เจ้าแห่งตน ต่างก็ยอมแพ้วางอาวุธลงทั้งสิ้น ทหารของชายหนุ่มก็เข้าเก็บอาวุธควบคุมตัวไว้จนหมด ข่าวคราวนี้ได้ แพร่สะพัดไปยังบรรดาทหารที่กำลังต่อสู่อยู่ภายในเมือง ต่างก็ยินยอมวางอาวุธ และให้เหล่าทหารของชายหนุ่มควบคุมตัวไว้ยังหน้าลานพระมหาราชวังทันทีเพื่อรอคำสั่งของชายหนุ่ม เมื่อทหารของชายหนุ่มเข้าควบคุมเมืองได้หมดแล้ว ต่างวางกำลังไว้ตามเชิงเทินเมืองแล้วชักธงของ แคว้นศิระสุริยันต์เหนือกำแพงเมืองทุกทิศ ตลอดจนมหาราชวัง ธงศิระสุริยันต์โบกสะบัดพลิ้วตามลม บัดนี้ศึกในเมืองหงสาก็สิ้นสุดลง ส่วนภายในท้องพระโรงชายหนุ่มได้ออกคำสั่งให้เก็บบรรดาศพ ทหารออกไป ส่วนศพของฝ่ายตนก็ให้คลุมด้วยธงเมืองศิระสุริยันต์ทุกๆนาย นำออกไปประกอบพิธีด้วย เกียรติยศ ส่วนศพของเหล่าทหารเมืองหงสาก็จัดการฝังเสียแล้วให้บรรดาเหล่าทหารวังล้างชำระเลือด ให้สะอาด ก่อนครั้นภายในท้องพระโรงสะอาดหมดจดแล้ว ก็ให้ทหารนำเหล่าพระประยูรญาติและ พระมเหสีเข้ามา แต่ชายหนุ่มให้เกียรติแก่พระมเหสีเสมือนหนึ่งกับเมืองตองอูจนทำให้พระมเหสีและ เหล่าประยูรวงศานุวงศ์ต่างคลายความหวาดกลัวลงได้ ครั้นเมื่อทราบว่าชายหนุ่มผู้ที่เข้าโจมตีเมืองหงสา นั้นคือพระมหาอุปราชแห่งแว่นแคว้นศิระสุริยันต์ที่ล่มสลายไป ซึ่งก่อนที่เมืองหงสาจะจัดตั้งขึ้นเสียอีก เหล่าชาวเมืองนี้ก่อนเก่าก็เคยขึ้นตรงกับศิระสุริยันต์มาทั้งสิ้น หลังการล่มสลายไปของเมืองศิระสุริยันต์ จึงทำให้เกิดการแบ่งแยกต่างสร้างตนขึ้นเป็นใหญ่ไม่ขึ้นต่อเมืองอิสราวดีที่เป็นเครือญาติของเมืองศิระสุริยันต์ อีกต่อไป พระมเหสีครั้นทราบว่าเป็นองค์รัชทายาทแห่งแคว้นศิระสุริยันต์ก็ให้สิ้นสงสัยที่คลางแคลงใจ ว่าผู้ที่สามารถรวบรวมตีแว่นแคว้นต่างๆรวมทั้งตองอูซึ่งก็คิดแยกตัวออกจากรัฐมอญเหมือนกับเมืองหงสา ที่คิดแยกตัวเองจากรัฐยะไข่เช่นกัน บรรดาทหารทั้งหลายต่างถูกฝึกฝนเชี่ยวชาญกล้าหาญนักถึงกับไม่สามารถ ต้านทานการสู้รบของเหล่าทหารของท่านมหาอุปราชไปได้ ครั้นทราบดั่งนี้แล้วพระมเหสีก็ทรงทรุดตัวลงนั่ง ถวายบังคมแด่องค์มหาอุปราชทันที พลางกล่าวว่า “ข้า สิริสาอลงกรณ์พระมเหสีแห่งเมืองหงสา ขอน้อมถวายพระพร ด้วยไม่ทราบว่าเป็นท่านมหาอุปราชแห่ง แว่นแคว้นศิระสุริยันต์ ที่ร่ำลือกันว่าหายสาบสูญไปเนิ่นนานแล้ว ครั้นชายหนุ่มเห็นดังนี้ก็ทรงน้อมกายลง “พลางดำรัสว่าขอพระแม่นางแห่งหงสาอย่ายึดถือขนบธรรมเนียมมากมายนัก ข้าเองนั้นอายุยังเยาว์วัยนัก จะทำให้อายุข้าสั้นลงไป จึงขออัญเชิญนั่งยังพระเก้าอี้ของพระแม่เจ้าด้วยเถิด” “หากเป็นพระประสงค์ของพระองค์ มิได้รังเกียจว่าหม่อมฉันเองเป็นแค่เชลยศึก ก็ให้รู้สึกซาบซึ้ง หฤทัยยิ่งนักตอนนี้พระองค์เป็นผู้ชนะศึกในครั้งนี้ครอบครองเมืองหงสาไว้ถือได้ว่าเปรียบเสมือนกษัตริย์ แห่งหงสาแล้วเพค่ะ” พระนางพลางมิกล้าที่จะเข้าไปนั่งยังเก้าอี้ประจำตำแหน่งพระมเหสียังเพียงแค่ยืนขึ้นเท่านั้น ครั้นชายหนุ่ม ครั้นได้ยินแม่เมืองหงสากล่าวเช่นนี้ ก็กล่าวขึ้นว่า “ถ้าเป็นอย่างนั้นข้าก็จำเป็นอาศัยอำนาจดังที่พระแม่เจ้ากล่าว ขอให้ไปนั่งยังพระเก้าอี้พระแม่เจ้าด้วยเถิด” ครั้นพระนางสิริสาอลงกรณ์ได้ฟังเช่นนั้น ว่าอันท่านมหาอุปราชนี้ทรงให้เกียรติแก่พระนางก็ให้ซาบซึ้งใจยิ่งนัก ถึงกับหลั่งน้ำพระเนตรไหลเป็นทาง ดังนั้นชายหนุ่มทรงเข้าไปเอาสไบของแม่เจ้าแห่งหงสาเช็ดน้ำพระเนตร ให้ทันที ยิ่งทำให้พระนางถึงก็หลั่งน้ำพระเนตรมากยิ่งขึ้น ถือโอกาสสวมกอดชายหนุ่มทันทีพร้อมกล่าวว่า “ข้าเองขอฝากชีวิตและชาวเมืองหงสาไว้แก่พระองค์ขอทรงโปรดพระเมตตาแก่ชาวประชาราษฎร์ด้วย เถิดเพค่ะ” ชายหนุ่มถึงกับอึ้งไปทันทีจวบบัดนี้พระนางเจ้ามิได้ห่วงตัวเองและครอบครัวกับห่วงใจแก่ ชาวประชามากกว่าส่วนตัวเสียอีก ก็ให้นึกบูชาน้ำใจในพระนางยิ่ง จึงได้กล่าวถามไปว่า “ข้าแด่พระแม่เจ้าหงสา พระองค์มีพระราชบุตรธิดาเท่าไหร่พระเจ้าข้า” “ข้าเองหาได้มีโอรสธิดาประการใดไม่เพค่ะ แม้แต่เจ้าจอมทั้งหลายสนมกำนัลก็หาได้มีพระโอรสธิดา แต่ประการใดเพค่ะ” เจ้าแม่แห่งหงสาทูลถวาย ครั้นชายหนุ่มได้ยินดังนี้แล้วก็หัวร่อเบาๆ พอดีแม่นางทั้งสามก็นำทหารเข้ามารายงานผลงานทั้งหมด แก่ชายหนุ่มทันที หัวหนุ่มหัวร่อชมเชยในความเก่งกล้าสามารถต่อหน้าเหล่าทหารทั้งปวง แล้วให้มายืนข้าง พร้อมทั้งให้แม่นางทั้งสาม ถวายบังคมแม่นางเจ้าแห่งหงสาทันที ครั้นแม่นางทั้งสามถวายบังคมตามคำสั่ง ของชายหนุ่มแล้ว ก็ถอยออกมายืนแนบข้างชายหนุ่ม แม่เจ้าแห่งเมืองหงสาไม่คิดเลยว่าทหารทั้งสามที่ยืนเคียงข้างชายหนุ่มนั้นจะเป็นถึงอิสตรีและยังมียศสูงส่งยิ่ง ก็ให้บังเกิดความสงสัย ถึงความสามารถของชายหนุ่มคนนี้อายุยังน้อยนักแต่ทำไมถึงผูกใจเหล่าเมืองต่างๆ ได้อย่างแน่นแฟ้นยิ่งนักตลอดมองไปยังบรรดาทหารทั้งหลายก็ล้วนแต่ห้าวหาญทั้งสิ้นก็สิ้นสงสัยว่าเหตุใด เมืองหงสาที่ผ่านการคัดเลือกทหารฝีมือดีๆจึงได้พ่ายแพ้แก่กองทัพซึ่งมีไม่มากนัก หากเปรียบไปแล้วยัง น้อยกว่าทหารเมืองหงสาเสียอีก ก็ยังสามารถตีเมืองหงสาซึ่งมีจำนวนพลมากมายนักได้ ก็ยิ่งบังเกิดความ รักใคร่เอ็นดูตลอดจนซาบซึ้งความไม่หยิ่งยโสเช่นบรรดาเมืองอื่นๆ ซ้ำยังนอบน้อมถ่อมตนยิ่งนักและให้ เกียรติแก่ศัตรู ความคิดแค้นอาฆาตในใจก็สูญสิ้นมลายหายไป บังเกิดความรักเอ็นดูแก่ชายหนุ่มมาก ซ้ำชายหนุ่มคนนี้ยังจัดพระศพพระสวามีให้เกียรติเป็นไปตามราชประเพณีชาวเมืองหงสาอีกด้วยเพียง แต่รอการถวายพระเพลิงศพเท่านั้นเอง โดยจัดอย่างถูกต้องดั่งกับว่าเคยเข้าใจเรื่องภายในหงสามากมายนัก ภายในใจจึงมิได้คิดอาฆาตแต่ประการใดก็หาไม่ จึงไม่ได้กล่าวอะไรอีก เมื่อชายหนุ่มเห็นพร้อมเพรียงกันเรียบร้อยแล้วต่างก็ให้แก้มัดเหล่าบรรดาอำมาตย์ทหารแม่ทัพนายกอง ออกให้เป็นอิสระทุกๆคนทั้งหมด ครั้นเมื่อเหตุการณ์เข้าที่เข้ารอยแล้วก็พลันประกาศขึ้นทันที “ข้าเองมาเมืองหงสานั้นเพียงใคร่คิดเป็นทางผ่านหาได้ประสงค์จะเป็นจ้าวครองนครนี้ก็หาไม่ ครั้นขอ เชื่อมสัมพันธ์ไมตรีไว้แล้วก็ไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าเหนือหัวของหงสา จึงต้องทำการเช่นนี้ บัดนี้เจ้า เหนือหัวหงสาได้สวรรคตไปแล้วในการศึกสงครามสมเป็นวีรบุรุษแห่งเมืองหงสายิ่งนัก ข้าเองยังนึกใคร่ ชื่นชมในฝีมือและพระบารมีของพระองค์ หากเราทั้งสองสามารถทำความเข้าใจกันได้เหตุการณ์ก็คงจะไม่ เป็นดังนี้ แต่พระองค์ถือในทิฐิมานะว่ากองกำลังของข้าน้อยนิดเท่านี้มีหรือจะสามารถยึดเมืองหงสาได้ ข้าเองจึงจำเป็นอย่างยิ่งต้องรุกรานเมืองหงสา แต่หาได้หวังในสิ่งของใดๆในเมืองหงสาทั้งสิ้น มาบัดนี้เมือง หงสาจะขาดเจ้าเมืองไปมิได้ เพื่อให้เมืองหงสาอยู่เย็นเป็นสุขข้าเองได้คำนึงถึงประชาราษฎร์เป็นหลักรวม ทั้งเหล่าทหารทั้งหลายด้วย จึงคิดใคร่แต่งตั้งกษัตริย์ขึ้นใหม่ให้แก่เมืองหงสา ท่านเหล่าอำมาตย์และเหล่า แม่ทัพนายกองจะเห็นเป็นประการใดให้แจ้งให้ข้าว่าสมควรจะให้ผู้ใดขึ้นครองราชย์สมบัตินี้” อันชายชายหนุ่มกล่าวนี้เป็นนัยอย่างหนึ่งคิดทดสอบเหล่าอำมาตย์ขุนนางทหารทั้งสิ้น บรรดาอำมาตย์ และแม่ทัพนายกองหงสา ได้ยินเช่นนี้ต่างก็ให้บังเกิดความปลาบปลื้มยินดีปราศจากอคติต่อชายหนุ่มทันที ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เนื่องจากองค์เจ้าเหนือหัวถือทิฐิมากเกินไปนั่นเอง และแม้แต่ทหารเราตลอด ที่ปรึกษาต่างก็เก่งเชี่ยวชาญยังมิอาจต้านท่านมหาอุปราชได้ แสดงถึงบุญญาธิการขององค์มหาอุปราช มีมากมายกว่าเจ้าเหนือหัวของเรานักจึงเป็นไปถึงเพียงนี้ อีกแผนการต่างๆการจัดส่งกำลังและทหารของท่านมหาอุปราชนั้นต่างมีความสามารถเฉพาะตัว เกือบทั้งสิ้น หนึ่งคนสามารถต่อสู้กับทหารเราได้นับสิบ ดังที่เห็นแจ้งในการรบพุ่งครั้งนี้ก็ให้บังเกิดความเคารพนับถือภายในใจของเหล่าทหารๆทั้งปวงยิ่งนัก จึงพากันกล่าวขึ้นว่า “พวกข้าเองใคร่ขออัญเชิญท่านมหาอุปราชขึ้นครอบครองราชย์สมบัติสืบไปพระเจ้าข้า ด้วยอาณาเขต ของเมืองหงสาตลอดตัวเมืองกว้างขวางใหญ่โต และล้วนอุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหารอันมาก เสบียงตลอดอาวุธสงครามมากมาย และพระองค์ก็ทรงมีพระเมตตาตลอดบุญญาธิการยิ่งนักพระเจ้าข้า” ครั้นชายหนุ่มได้ฟังเหล่าอำมาตย์แม่ทัพนายกองทหารกล่าวเช่นนั้น ก็หัวเราะลั่น พลางกล่าวว่า “ข้าเองขอขอบใจพวกท่านทั้งหลายยิ่งนักที่ให้เกียรติแก่ข้า แต่ข้าขอฝากเมืองหงสานี้ไว้ก่อนแก่พวกท่าน แต่ข้าหาคนได้แล้วที่จะครอบครองราชย์สมบัติเมืองหงสาต่อไป” เหล่าทหารและอำมาตย์ทั้งปวงต่างมองหน้ากันแล้วพร้อมทูลขึ้นว่า “ข้าแด่ท่านมหาอุปราชผู้ยิ่งใหญ่และประกอบด้วยพระบารมีมากยิ่งนัก ฉะนั้นสายพระเนตร ย่อมกว้างไกลและมองกาลอนาคตได้ หากได้พระองค์ก็ย่อมจะทำให้เมืองหงสารุ่งโรจน์ต่อไปในอนาคต แน่นอน พวกข้าทั้งหลายต่อนี้ไปขอให้สัตย์ว่าจะซื่อสัตย์และเชื่อฟังพระองค์ตราบชั่วชีวิตจะหาไม่ แต่พระองค์ทรงพระดำรัสเช่นนี้ พวกข้าทั้งปวงก็บังเกิดความสงสัยยิ่งนักว่าพระองค์ทรง คิดจะให้ใครรักษาการณ์แทน ส่วนพวกข้าทั้งหลายตอนนี้ต่างยินยอมพร้อมใจทั้งกายแล้วพระเจ้าข้า” ครั้นชายหนุ่มแลเห็นเหล่าอำมาตย์เสนาบดีแม่ทัพนายกองเห็นพร้องกันและให้สัตย์ปฏิญาณตน แล้ว ก็ให้ปลื้มปิติยินดียิ่งนัก จึงกล่าวว่า “ข้าเองยังมีหน้าที่ต้องไปยึดเมืองซิตเวอีก ด้วยกองทัพของข้านั้นตลอดจนที่ปรึกษาใหญ่ยังคอย ตัวข้าอยู่จะปล่อยไปก็ไม่ได้ จึงอยากจะใคร่ขอกำลังพวกท่านให้ช่วยเหลือการครั้งนี้ด้วยท่านอำมาตย์ แม่ทัพนายกองจะเห็นเป็นประการใด” บรรดาอำมาตย์แม่ทัพนายกองครั้นได้ฟังเช่นนั้น แม่ทัพนายกองก็เสนอตัวทันที “ข้า อลองพญา เป็นแม่ทัพใหญ่แห่งเมืองหงสาได้ยินพระดำรัสเช่นนี้ ก็ใคร่คิดที่จะนำเหล่าทหารหาญ ทั้งหลายหาประสบการณ์และจะเข้าร่วมรบกับพระองค์ด้วยพระเจ้าข้า” “อีกประการหนึ่งเมืองซิตเวนั้น ข้าพระพุทธเจ้ามีแผนที่ทั้งนอกเมืองในเมืองไว้ ด้วยคิดจะยึดครองอยู่ แล้ว เมื่อการครั้งนี้สมใจยิ่งนักจึงใคร่จะขอถวายชีวิตแด่พระองค์พร้อมด้วยเหล่าทหารแห่งหงสา หากให้พวกข้าเข้าโจมตีตามแผนที่นี้ก็ย่อมเป็นประโยชน์ยิ่งแก่พระองค์พระเจ้าข้า” “ข้าขอขอบใจท่านอลองพญายิ่งนัก เอาล่ะให้ท่านจัดเตรียมไพร่พลและตัวท่านก็ร่วมนำทัพไปด้วยจะได้ หรือไม่ล่ะท่าน” “เป็นพระมหากรุณาธิคุณแก่ข้ายิ่งนัก ขอน้อมถวายชีวิตและรับคำพระบัญชาพระเจ้าข้า และจะออกเดินทางเมื่อใดหรือพระเจ้าข้า” “อันการณ์นี้จะล่าช้าไม่ได้เห็นว่าอีกสองวันเพื่อคอยท่านรวบรวมทหารก่อนแล้วค่อยออกเดินทางไป แต่ ก่อนไป ข้าขอประกาศในที่นี้เลยว่าตอนนี้ราชบัลลังก์หงสานี้จะขาดคนดูแลไม่ได้ ยังไม่รู้ว่าข้าเองนั้นอาจจะ ได้กลับมาอีกหรือไม่ก็เป็นสิ่งในอนาคตกาล ดังนั้นข้าจึงประกาศแก่เหล่าอำมาตย์แม่ทัพนายกองทั้งหลายว่า ข้าเองคิดใคร่จะแต่งตั้งพระแม่เจ้า “สิริสาอลงกรณ์” ขึ้นเถลิงราชสมบัติต่อไป พวกท่านจะเห็นเป็นประการใด” เมื่อบรรดาเหล่าอำมาตย์แม่ทัพนายกองได้ยินเช่นนี้ ก็ต่างปลื้มปิติยินดียิ่งนัก ด้วยเนื่องคิดว่าจะเป็นคนของ ท่านมหาอุปราช แต่พระองค์หาได้มุ่งในสมบัติในเมืองหงสาก็หาไม่ยิ่งทำให้บังเกิดความนับถือมากเป็นล้นพ้น ครั้นชายหนุ่มกล่าวเสร็จ ก็หันไปอัญเชิญพระแม่นาง สิริสาอลงกรณ์จากพระที่เก้าอี้ให้มานั่งลงยังบัลลังก์ของ กษัตริย์แห่งเมืองหงสา พร้อมนำมงกุฎซึ่งเตรียมพร้อมอยู่แล้ว พลางยกมือไหว้ขออภัยแล้วก็สวมบนพระเศียร ของพระแม่นางเมืองหงสาทันที ก็บังเกิดเสียงถวายพระพรแด่แม่นางเจ้าซึ่งเสวยราชสมบัติสืบต่อไป........ * แก้วประเสริฐ. *
11 มีนาคม 2553 22:51 น. - comment id 115746
แวะมาก่อนค่ะครู..ตอนนี้อ้อยอ่านไม่ทัน คงต้องย้อนไปอีกหลายตอนเลยค่ะ..
12 มีนาคม 2553 11:41 น. - comment id 115751
^ ^ ^ เป็นกำลังใจให้นะ อ้อย จากแควนคลับ แก้วประเสริฐ ปล.รูปพี่ราชิกา พิศกี่ทีก็สวยนะคะ
12 มีนาคม 2553 12:17 น. - comment id 115752
คุณ เที่ยนหยด ศิษย์รักเอ๋ย หากไม่อ่านตั้งแต่ต้นแล้วจะ ติดตามได้ยาก เพราะครูจะเว้นวรรคเสมอๆจ๊ะ รักเสมอ แก้วประเสริฐ.
12 มีนาคม 2553 12:21 น. - comment id 115753
คุณ โคลอน จ้าแฟนฝนคลับ แฝดเพื่อนผมสวยจริงๆ คนหนึ่งสวยอีกคนหนึ่งอัปลักษณ์ยิ่ง อิอิ รักเสมอ แก้วประเสริฐ.