ลุ่มลึกอิสราวดี 45
แก้วประเสริฐ
ลุ่มลึกอิสราวดี 45
บรรดาอำมาตย์และนายกองทั้งหลายต่างหันมามองหน้ากันต่างมิคาดคิดว่า ชายหนุ่มคนนี้อายุน้อยสามารถ
คิดการใหญ่ได้สำเร็จ และบรรดาแว่นแคว้นต่างๆของรัฐยะไข่เล่าก็ต่างตกอยู่ในอำนาจชายหนุ่มคนนี้ไปแล้ว
ยิ่งบังเกิดความรู้สึกต่างๆกันไป ต่างก็บังเกิดความคิดว่าชายหนุ่มผู้นี้ยังมีอัธยาสัยไม่ถือว่าข้าคือผู้ชนะศึกครั้งนี้
กับมีกิริยาท่าทางนอบน้อมนัก ล้วนแล้วแต่บังเกิดความชื่นชมภายในใจแทบทุกตัวนาย แม้แต่เมืองตองอูนับแต่
ก่อนมา จะหาความเข้มแข็งเท่ายุคนี้ได้ยากแล้วพร้อมมูลด้วยทหารที่เชี่ยวชาญการรบมากนักยังถึงกับพ่ายแพ้แก่
ทหารของชายหนุ่มในชั่วไม่ทันข้ามคืน ยิ่งคิดก็ยิ่งบังเกิดความชื่นชมมากยิ่งขึ้นด้วยชาวตองอูชอบคนเก่งกล้า
ครั้นชายหนุ่มหลังจากแก้มัดอำมาตย์ผู้หนึ่งแล้วก็จูงมือเดินพามายังเบื้องหน้าบรรดาเหล่าเชลยทั้งปวง
ด้วยเขาเห็นว่าอำมาตย์นี้มีบุคลิกที่สง่างามผิดกับพวกอำมาตย์ทั้งปวงจึงถามว่า
“ท่านผู้เฒ่าเป็นอำมาตย์เมืองตองอูนี้ดำรงตำแหน่งใดหรือ???...”
“เรียนท่านผู้ชนะศึก ข้าเองนั้นเป็นแค่อำมาตย์ต่ำต้อยน้อยนิดเป็นแค่ที่ปรึกษาดูแลงานด้านการคลังเท่านั้น
ตลอดการเก็บส่วยต่างๆเข้าท้องพระคลังขอรับ” ชายชรากล่าวขึ้นแล้วย้อนถามว่าท่านเองนั้นเล่าอายุเพียง
เท่านี้ทำหน้าที่แม่ทัพคุมทหารเชียวหรือ”
ทหารที่ยืนเรียงรายรวมทั้งแม่ทัพมังกะยะสินธูแห่งเมืองฮะคาพลันตวาดว่า
“ท่านมิรู้หรือว่าที่ท่านกำลังเจรจาอยู่นี่ คือท่านมหาอุปราชแห่งเมืองศิระสุริยันต์บัดนี้เป็นแม่ทัพใหญ่แห่ง
ผู้กำราบแว่นแคว้นต่างๆเพื่อคิดจะรวบรวมแผ่นดินเป็นหนึ่งเดียว ยังไม่ถวายคาราวะพระองค์อีก”
ชายชราอำมาตย์นั้นถึงกลับตกตลึงทรุดเข่าลงทันทีพลางกล่าวว่า
“ขอเดชะข้าสมควรตายพระเจ้าข้า ด้วยมิรู้ความความผิดนี้กระหม่อมยินยอมจะให้พระองค์ลงโทษทุกๆ
ประการ ควรมิควรแล้วแต่พระองค์จะทรงโปรดพระเจ้าข้า” พลางก้มหน้าลง
แต่ชายหนุ่มมิได้ถือสาประการใดบอกให้นั่งลงเบื้องหน้าได้ พลางหันไปทางด้านสานุวงศ์พลางน้อมกาย
คาราวะมเหสีของเจ้าเมืองตองอูพลางกล่าวว่า
“ข้ามหาอุปราชแห่งเมืองศิระสุริยันต์ขอถวายพระพรพระมเหสีพระเจ้าข้า”
ทำให้มเหสีตกตลึง ด้วยนึกไม่ถึงว่าท่านมหาอุปราชผู้มีชัยครั้งนี้จะนอบน้อมถ่อมตนยิ่งนัก ก็ให้บังเกิดความรัก
ใคร่ปราศจากอาฆาตแค้นที่สู้รบกับพระสวามีและสิ้นชีพไป รวมทั้งราชบุตรและราชธิดาด้วยต่างพากันงงงันไป
ตามๆกัน เมื่อเหล่าทหารมารายงานว่าบัดนี้เมืองตองอูได้สู่สภาวการณ์ปกติแล้ว จึงหันไปทางพระมเหสีทรง
เอ่ยขึ้นว่า
“ข้าน้อยขอโทษที่ต้องถามพระมเหสีว่าพระองค์มีพระราชบุตรธิดาเท่าใดพระเจ้าข้า”
ฝ่ายมเหสีที่เห็นลักษณะกิริยาของชายหนุ่มเช่นนี้ ก็ให้ทรงหายกริ้วในพระหฤทัยใดๆ พลางเอ่ยว่า
“ข้าแด่ท่านมหาอุปราช ข้าพระองค์มีราชบุตรเพียงหนึ่งเดียวชื่อ มังสุริโย มีราชธิดาสองพระองค์
องค์โตนามว่า เรวดีอรทัย องค์เล็กนามว่า กัลยาเทวี เพค่ะ” พร้อมทั้งน้อมกายถวายบังคมทูล
“อันหม่อมฉันนั้นหาใช่ที่ต้องการรุกรานเมืองตองอูก็หาไม่ หากผิดพลาดประการใดขอทรงโปรด
พระราชทานอภัยแก่หม่อมฉันด้วย แต่การศึกก็คือการศึกจะละเว้นเสียมิได้มิฉะนั้นงานใหญ่ของหม่อมฉัน
คือการรวมเป็นแผ่นดินเดียวกัน จึงจำเป็นต้องลุอำนาจของฝ่ายตองอู หวังว่าทรงจะเห็นใจหม่อมฉันด้วย
พระเจ้าข้า” แล้วชายหนุ่มก็ยกมือไหว้คาราวะมเหสีทันที ทำให้พระมเหสีถึงกลับหลั่งน้ำตามิคิดว่าผู้ชนะ
ศึกในครั้งนี้จะมิลุล่วงแก่อำนาจกลับให้เกียรติแก่เชื้อวงศ์ ตลอดจนยิ่งบังเกิดความรักมากยิ่งขึ้นเมื่อแลเห็น
ชายหนุ่มก้าวเดินเข้าไปหา องค์ชายมังสุริโยลูกชายของนางเอง แล้วทรงสวมกอดแล้วเชิญออกมายืนยังเบื้อง
หน้าเหล่าทหารหาญและอำมาตย์ของเมืองตองอู
ครั้นมังสุริโยเห็นองค์มหาอุปราชให้เกียรติเช่นนี้ความในใจก็หายสิ้น ด้วยท่านมหาอุปราช
หาได้ถือยศถือตัวในฐานะผู้ชนะศึกก็หาไม่ และการสิ้นพระชนม์ของพระบิดาก็สมศักดิ์ศรีลูกผู้ชายด้วยกัน
การรบย่อมมีแพ้มีชนะ แต่ผู้ชนะกลับมิได้หลงในอำนาจดุจชายหนุ่มเบื้องหน้านี้ซึ่งอายุก็คงจะ
รุ่นราวคราวเดียวกันอีกด้วย ดังนั้นความแค้นที่ต้องสูญเสียพระบิดาไปก็มลายหายสิ้นเมื่อยิ่งได้ยินคำขอโทษ
จากปากของชายหนุ่มอีกครั้งหนึ่ง
“องค์ชายในศึกสงครามนี้ย่อมต้องมีการสูญเสียกันทั้งสองฝ่าย พระบิดาก็สมศักดิ์ศรีชายชาติทหารยิ่งนัก
แต่ก็ไม่อาจจะต้านรับมือกับหม่อมฉันได้เป็นธรรมดาพระเจ้าข้า”
“ แต่ข้าพระองค์ดีใจที่ท่านพระมหาอุปราชให้เกียรติแก่พระบิดาที่สิ้นพระชนม์ทำตามราชประเพณี
ทุกประการแล้วพระเจ้าข้า ฉะนั้นสิ่งฝังแน่นในพระหทัยของหม่อมฉันบัดนี้มิมีเหลือแล้วพระเจ้าข้า ส่วนพระองค์จะทรงโปรดพิจารณาอย่างไรหม่อมฉันตลอดจน
หม่อมแม่ยอมรับผลทุกๆประการจะไม่คิดอาฆาตแค้นสิ่งใดเลยพระเจ้าข้า” กล่าวพลางองค์ชายทรงทรุดกายลง
ถวายคาราวะแก่ชายหนุ่มทันที
ชายหนุ่มครั้นได้ฟังเช่นนั้นก็ทรงพระสรวลแล้วรีบพยุงร่างเจ้าชายมังสุริโยขึ้นมา แล้วพลางประกาศแก่เหล่า
อำมาตย์และทหารหาญแห่งเมืองตองอูว่า ต่อไปนี้ข้าจะขอแต่งตั้งองค์ชายขึ้นครองราชย์สมบัติแห่งเมืองตองอู
แทนพระเจ้าแผ่นดินองค์เดิม แต่ด้วยข้าเองไม่มีเวลาอันมากนักจึงจะทำการสวมมงกุฎขึ้นก่อนให้เสวยราชสมบัติ
แล้วพวกท่านก็หาฤกษ์งามยามดีฉลองขึ้นภายหลัง หากมาดแม้นว่าข้าคิดการสำเร็จและทันก็อาจจะมาร่วมใน
พระราชพิธีนี้ด้วย” พลางนำมงกุฎที่เขาได้นำไปวางไว้บนราชบัลลังก์ล่วงหน้าก่อนแล้ว นำมาสวมลงบนศีรษะ
ของมังสุริโยทันที พร้อมทั้งประกาศอีกว่าจะขอแต่งตั้งให้ท่านอำมาตย์ผู้เฒ่าคนนี้เป็นมหาอำมาตย์มาดแม้นจะ
ลุล่วงแก่พระเจ้ามังสุริโยก็ตาม พลางหันไปกล่าวแก่มังสุริโยว่า
“การที่หม่อมฉันลุล่วงเช่นนี้ด้วยมองเห็นว่าท่านอำมาตย์คนนี้เป็นคนซื่อสัตย์ยิ่งนักข้าเองให้ทหารของข้าไป
ตรวจยังบ้านท่านอำมาตย์ผู้นี้ ปกติผู้ที่มีหน้าที่ดูแลฝ่ายการคลังและส่วยนั้นที่ผ่านมามักจะร่ำรวยผิดปกติ แต่บ้าน
ของท่านอำมาตย์ผู้นี้กลับยากจนหาสิ่งของมิค่าใดไม่ หากไม่รีบจัดการเสียก่อนเมืองตองอูก็จะขาดคนที่มีความ
ซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินเยี่ยงอำมาตย์ผู้นี้ได้จึงเสียดายยิ่งนักพระเจ้าข้า”
กษัตริย์องค์ใหม่ครั้นได้ยินเช่นนั้นก็ถึงกับนึกในใจว่า ด้วยเหตุดังนี้ฤาถึงทำให้ท่านมหาอุปราชนี้สามารถ
ครองใจคนทั้งหลายได้มากมายเช่นนี้ เห็นเราจะต้องเรียนแบบอย่างบ้าง พลางน้อมกายลงทรงกล่าวขึ้นว่า
“หากนับด้วยศักดิ์ศรีแล้วข้าพระองค์นับเนื่องด้วยเป็นข้าแผ่นดินของศิระสุริยันต์เช่นกันเมื่อได้รับทรงโปรด
เช่นนี้ถือได้ว่าได้รับเกียรติอันสูงส่งพระเจ้าข้า”
“ส่วนด้านการทหารนั้นขอให้ท่านซึ่งเป็นกษัตริย์จัดการคัดเลือกเอาเองก็แล้วกัน อีกประการหนึ่งข้าเองก็จะ
ขอให้พระองค์ช่วยเหลือแก่ข้าบ้างพระเจ้าข้า” ชายหนุ่มกล่าว
“ทรงโปรดรับสั่งมาเถิดพระเจ้าข้า ว่าจะให้กระหม่อมทำประการใดบ้าง กระหม่อมก็พร้อมเสมอด้วยใจ
และกายแก่พระองค์จนหมดสิ้นแล้วพระเจ้าข้า” พระเจ้า มังสุริโยเอ่ยขึ้น
“ข้าเองเพียงต้องการทหารเข้าร่วมรบแก่พระองค์จำนวนหนึ่งเท่านั้นแหละพระเจ้าข้า” ชายหนุ่มกล่าว
“กระหม่อมจะจัดการรวบรวมไพร่พลฝีมือดีมอบให้ แต่ขอเวลาสักพักหนึ่งพระเจ้าข้า”
“ข้าเองว่าเมื่อทางนี้เรียบร้อยแล้วก็จะอยู่ไม่เกินสองสามวันแหละพระเจ้าข้า”
“หากเช่นนั้นข้าพระองค์ขอร่วมไปหาประสบการณ์กับพระองค์ด้วยได้ไหมพระเจ้าข้า”
“อย่าเลยท่านซึ่งเป็นกษัตริย์ก็จริงแต่ยังใหม่อยู่ขอให้ดำรงปกครองโดยทศพิธราชธรรมทำนุบำรุงเหล่า
ทหารและราษฎร์ให้ร่มเย็นเป็นสุขจัดเตรียมไพร่พลไว้ให้พร้อม ด้วยเราอาจจะต้องขออาศัยพึ่งพาท่านอีกใน
วันข้างหน้านะ” ชายหนุ่มกล่าว
“หากเป็นพระประสงค์ของพระองค์ข้าน้อยอยู่ทางนี้ก็จะถือปฏิบัตินับท่านเป็นเยี่ยงอย่างต่อไปพระเจ้าข้า”
พลางชายหนุ่มก็หันไปทางพระมเหสีพลางน้อมกายถวายความเคารพ พลางดำรัสว่า
“ ข้าพระพุทธเจ้าขอลากลับไปยังกองทัพ ส่วนทางด้านนี้ให้กษัตริย์สุริโยจัดการ ด้วยเวลามีไม่มากนัก
วันมะรืนนี้ก็ต้องออกเดินทางไปยังกรุงหงสาเพื่อทำงานบางประการ ฉะนั้นจึงขอทรงอภัยแก่หม่อมฉันด้วย
พระเจ้าข้า”
ครั้นมเหสีได้ฟังดังนั้นก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้พร้อมด้วยราชบุตรีเดินเข้ามาหา พระมเหสีทรงสวมกอดชายหนุ่ม
แล้วกล่าวว่า
“อย่าหาว่าข้าละลาบละล้วงเลยนะพระองค์ ข้าถือเสมือนหนึ่งพระองค์ทรงเป็นราชบุตรของข้าการครั้งนี้
ทำให้ข้ารู้สึกปลาบปลื้มยิ่งนัก ถึงแม้จะเสียพระสวามีไปในสงครามก็นับเป็นเรื่องของลูกผู้ชาย จึงใคร่จะขอมอบ
เจ้าหญิงสององค์ให้เป็นข้ารับใช้เบื้องพระยุคลบาทแก่พระมหาอุปราช ขออย่าได้ปฏิเสธโปรดเห็นใจข้าด้วยนะ
อนึ่งอย่าคิดว่าราชธิดาสององค์นี้ล้วนแล้วมีฝีมือในการสู้รบไม่แตกต่างจากชายนักหรอกนะ” พระมเหสีทรงเอ่ย
ครั้นชายหนุ่มได้ยินก็ถึงกับสะดุ้งตกใจ แต่ได้ยินกษัตริย์มังสุริโยเอ่ยว่า
“ขอพระองค์ทรงรับไว้เถิดเพื่อภายภาคหน้าเราได้เป็นทองแผ่นเดียวกันต่อไปในอนาคตกาล เสด็จแม่
ยากนักและรักพระธิดาทั้งสองมาก มีเมืองอื่นๆมาขอก็ยังไม่ยินยอมต้องเถียงกับเสด็จพ่อเนืองๆ ข้าเองก็ยัง
นึกแปลกใจเหตุใดเสด็จแม่ถึงทรงดำรัสเช่นนี้ น้อยครั้งนักจะทรงดำรัสพระเจ้าข้า”
ดังนั้นชายหนุ่มมิอาจจะปฏิเสธด้วยมองไปทางไกลว่าการเข้าตีเมืองมะละแหม่งรัฐมอญนั้นหากได้เมือง
ตองอูช่วยด้วยถือเป็นวงศานุวงศ์ด้วยแล้วก็จะง่ายยิ่งขึ้นเพราะทางเมืองตองอูก็เชี่ยวชาญทางน้ำก็สามารถตี
กระหนาบข้างเมืองมะละแหม่งก็อาจจะได้มาโดยง่าย ระหว่างทางเมืองหงสาและเมืองซิตเวนั้นก็ระยะทาง
ไกลนัก หากได้แคว้นตองอูร่วมการรวมแผ่นดินครั้งนี้ก็จะบรรลุสมความปรารถนา เหลือแต่เมืองอิสราวดี
ก็ยากจะพ้นเงื้อมมือเราไปได้ เมื่อคิดเช่นนั้นก็ทรงทรงร่างเข้าไปน้อมกราบที่พระมเหสีเมืองตองอูทันที
“ข้าพระองค์มิอาจล่วงเกินต่อพระหฤทัยของพระแม่เจ้าได้หรอก หากการใดผิดพลาดไปขอให้พระแม่
เจ้าจงอภัยแก่ข้าน้อยด้วยเถิดพระเจ้าข้า” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น
สร้างความดีใจแก่องค์พระมเหสีและพระราชธิดาทั้งสองยิ่งนัก ด้วยความองอาจท่าทางใบหน้าล้วน
แล้วสง่างามยากหาบุรุษใดเทียมเทียบได้ ก็ทรงเขินเอียงอายตามวิสัยหญิง ครั้นมเหสีเห็นท่านมหาอุปราช
ไม่ทรงปฏิเสธยินยอมเป็นทองแผ่นเดียวกันก็ทรงพระเกษมพระหฤทัยยิ่งนัก เรียกพระธิดาทั้งสองให้ไปน้อม
ถวายฝากตัวแก่พระมหาอุปราชทันที เจ้าหญิงเรวดีอรทัยและเจ้าหญิงกัลยาเทวี ก็น้อมพระวรกายถวายความ
เคารพแก่ท่านมหาอุปราชทันที พระมเหสีก็ทรงกำชับพระธิดาให้ไปเตรียมตัวออกเดินทางร่วมกับท่านมหา
อุปราชทันที
ครั้นเมื่อจัดการทางนี้เรียบร้อยแล้วชายหนุ่มพร้อมทหารทั้งปวงก็ออกจากเมือง กษัตริย์สุริโยมาส่งถึงประตู
เมืองพร้อมมอบทหารส่วนหนึ่งให้แก่ท่านมาอุปราชทันทีราวสองหมื่นกว่าคนพร้อมม้าอาวุธเสบียงเพียบพร้อม
ส่วนพระธิดาทั้งสองก็แต่งกายเป็นทหารมือถืออาวุธดาบคู่กายสพายด้วยคันธนูและลูกธนูท่าทางทะมัดทะแมง
ยิ่งนัก นางจันทิราถึงกับอึ้งเมื่อขณะที่ยืนเคียงข้างอยู่กับชายหนุ่มแต่ก็มิได้กล่าวประการใดด้วยเชื่อมันในความ
คิดอ่านของชายหนุ่มยิ่งนัก ดังนั้นในค่ายทหารจึงมีหญิงถึงสามคนหากรวมแม่นางพรายก็รวมเป็นห้าคน แต่วิสัย
อิสตรีย่อมมีความหึงหวงแต่พอได้สนทนาปราศรัยกันก็สามารถเข้าใจกันได้ จึงไม่สร้างความหนักใจแก่ชายหนุ่ม
มากนัก
เมื่อเดินทางมาได้ระยะหนึ่ง ชายหนุ่มจึงเรียกแม่ทัพนายกองทั้งหมดนำแผนที่มาชี้แจง โดยแบ่งกำลังออกเป็น
สองทางแยกกันเข้าโจมตีเมืองหงสาต่อไป อันเมืองหงสานี้อาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลนักถึงแม้ว่าจะพึ่งก่อตั้ง
ก็ตาม ดังนั้นชายหนุ่มจึงต้องคำนวณเวลาและเป้าหมายการโจมตีครั้งเดียวให้ได้เมืองหงสาทันที เมื่อใช้เวลาเดิน
ทางผ่านไปสองอาทิตย์กว่าๆก็ถึงเมืองหงสา ทางเมืองหงสาก็รู้ตัวจัดเตรียมไพร่พล ออกมาสู้รบแต่ก็พ่ายแพ้แก่
เหล่าทหารของมหาอุปราช
ในการสู้รบครั้งนี้แม่นางทั้งสามต่างแสดงฝีมือการรบพุ่งสามารถเข่นฆ่าบรรดานายกองทั้งหลายล้มตายไป
จนถึงกำแพงเมือง พวกทหารหงสาหนีกลับเมืองไปแล้วจึงถอยทัพกลับคืนมายังหน่วยทหารเล่าความทั้งหลาย
ให้ชายหนุ่มฟัง ทหารเมืองหงสาก็หาความท้อถอยส่งเหล่าทหารฝีมือดีเข้ามาตีอีกหลายๆครั้งเสียไพร่พลไปเป็น
จำนวนมากต่างพ่ายแพ้ทุกๆครั้ง เจ้าเมืองหงสาคือหม่องโดยอพญาก็ให้ทหารทั้งหมดป้องกันเมืองอย่างเข้มงวด
กวดขัน สร้างสิ่งกีดขวางตลอดแนวทางรอบล้อมเมืองป้องกันไว้ในเวลากลางคืน
เมื่อชายหนุ่มยกทัพมาถึงก็พบสิ่งกีดขวางดังนั้นจึงให้บรรดาแม่ทัพนายกองนำแท่งไฟออกมาปาใส่ไปยัง
สิ่งกีดขวางเหล่านั้นทันที เสียงระเบิดดังสนั่นลั่นไปถึงในเมือง สิ่งกีดขวางก็ถูกทำลายเสียสิ้นจึงนำทหารบุกเข้า
โจมตีเมืองหงสาทันที แต่ไม่สามารถตีฝ่ากำแพงเมืองเข้าไปได้ต้องสั่งให้ถอยทัพมา อาวุธใหญ่ที่ใช้ทำลายกำแพง
ก็เหลือน้อยลง หากใช้แล้วไม่สามารถทำลายประตูเมืองได้เห็นทีจะตีหงสาไม่แตกแน่นอน จึงกลับเข้าค่ายมาพักผ่อน คิดหาหนทางรำพึงว่าจะทำอย่างไรในการศึกครั้งนี้
นางพรายทั้งสองก็ออกมาบอกว่าท่านจะร้อนรนประการใดเล่าในเมื่อของวิเศษกระบองนาคราชนั้นท่านยัง
ไม่ได้เคยนำมาใช้เลย หากจนปัญญาเช่นนี้เห็นต้องนำมาใช้แล้ว ให้นำออกมาใช้การณ์ครั้งนี้คงสำเร็จเป็นแน่แท้
ครั้นชายหนุ่มได้รับฟังแม่นางพรายทั้งสองก็ให้นึกได้ด้วยบัดนี้เขาลืมไปว่ายังมีอาวุธวิเศษอยู่ จึงกล่าวคำ
ขอบใจแก่แม่นางพรายทั้งสอง วันรุ่งขึ้นจึงให้ทหารยิงอาวุธใหญ่ใส่ประตูเมืองทันที แต่ประตูเมืองหงสานั้น
แข็งแกร่งนัก ยิงไปถึงสามลูกก็ไม่สามารถทำให้ประตูทลายลงไปได้ ชายหนุ่มจึงเปลี่ยนแผนใหม่ให้ยิงเข้าไป
ในเมืองเพื่อสร้างความโกลาหลแก่ชาวเมือง อันเมืองหงสากว้างใหญ่มากนัก เกินกว่าอาวุธจะทำลายได้หมด
ด้วยหากตีเมืองหงสาไม่ได้ก็ไม่สามารถยึดครองเมืองซิตเวได้แน่แล้วด้วยต้องใช้เวลานาน อันอาจะทำให้
ทหารที่รอคอยเสียขวัญได้ ดังนั้นจึงนำกระบองนาคราชออกมาแล้วร่ายพระเวทย์ของท่านพญานาคมอบไว้
ให้พลางโยนกระบองนาคราชไปในอากาศทันที บัดดลกระบองนาคราชก็ขยายใหญ่พุ่งทะยานเข้าใส่ยังประตู
เมืองหงสา พลันประตูเมืองหงสาก็ล้มทลายลง กระบองนาคราชก็แยกร่างเป็นชิ้นเล็กๆเข้าทำลายทหารบน
เชิงเทินกำแพงเมืองตายเสียมากมาย บ้างหนีได้ก็รอดแต่ส่วนใหญ่แล้วสิ้นชีพไป.............
* แก้วประเสริฐ. *