ลุ่มลึกอิสราวดี 44

แก้วประเสริฐ


               ลุ่มลึกอิสราวดี  44
             “ เราอย่าได้ประมาทจงฝึกทหารและพวกยาพิษทั้งหลายไว้ให้มากๆเพื่อป้องกันมันย้อนหวนกลับมาอีก
หากเป็นกลศึกของมัน”
      มังตเวสีหะกล่าวขึ้นแล้วก็ให้จัดทำอาหารต่างๆมาฉลองแก่อำมาตย์และแม่ทัพนายกอง
ทั้งหลายทันที ตลอดการฟ้อนรำต่างๆ   บรรดาชาวเมืองครั้นทราบว่าทหารที่มาเรียงรายด้านล่างเขานั้นได้ถอยทัพ
ไปหมดสิ้นแล้ว ต่างก็โห่ร้องร่าเริงพากันฉลองเป็นที่ครึกครื้นกันยิ่ง
     ฝ่ายแม่ทัพใหญ่ของศิระสุริยันต์อันมังสุรเดชเดชาและเหมี่ยวสุรการก็ยกทหารทั้งหมดแยกตัวตามทางที่
แผนที่กำหนดยกเข้าโอบล้อมตีเมือง กังสีขะอันเป็นเมืองติดกับเมืองซิตะเวเป็นเมืองไม่ใหญ่นักก็สั่งทหารเข้า
โจมตีทันทีโดยไม่ให้ตั้งตัว ด้วยเจ้าเมืองคิดว่าทหารของศิระสุริยันต์คงจะเกรงกลัวเจ้าเมืองซิตเวไม่กล้ามา
รุกรานแว่นแคว้นของเมืองยะไข่เป็นแน่จึงตกอยู่ในความประมาท  เพียงแค่ชั่วเวลาไม่เกินวัน  มังสุรเดชเดชา
กับเหมี่ยวสุรการก็สามารถเข้าเมืองได้แต่สังหารเจ้าเมืองกับอำมาตย์แม่ทัพบางนายเสีย แล้วแต่งตั้งผู้ที่ยินยอม
ตกอยุ่ภายใต้อำนาจของตน ให้ขึ้นครองแถมยังได้ทหารของเมืองกังสีขะอีกประมาณหมื่นคนร่วมทัพด้วยก็รีบ
       ออกเดินทางเข้าดินแดนกุละอันเป็นแหล่งเพาะปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหารส่งให้เมืองกังสีขะนำส่งแต่เป็นเมือง
เล็กๆก็ไม่อาจต้านทานทัพได้ จึงเสียเมืองภายในครึ่งวัน  มังสุระเดชเดชาก็ทำตามคำสั่งของท่านมหาอุปราช
ทันทีครั้นจัดการเมืองเรียบร้อยแล้วนำกำลังของเมืองนี้น้อยนิดไปด้วยกลายเป็นกองกำลังใหญ่ขึ้นตามลำดับ
ยกพลเดินหน้า ตีเมือง ยะมุกา  กะหะ ยุกะวะ กังกิงอไว้อยู่ภายใต้อำนาจจึงสั่งทหารให้หยุดพักทัพไว้เพื่อให้
เหล่าทหารได้พักผ่อนแต่กำชับห้ามเหล่าทหารแม้แต่ทหารเมืองต่างๆห้ามยุ่งเกี่ยวกับราษฎร์เกี่ยวกับหญิงโดย
เด็ดขาด  และพยายามให้เข้ากับราษฎร์ให้ได้มากขึ้น ซึ่งเหล่าทหารซึ่งรักใคร่เป็นหนึ่งเดียวก็หาได้ขัดคำสั่งใดไม่
       ทางด้านแม่ทัพใหญ่ มังนายะเดชะกับมุสะกะยะ  ครั้นล้อมเมืองมะละแหม่งแล้ว
ครั้นได้เวลาสมควรก็ถอนทัพนำกำลังทัพทั้งหมดเข้าตีเมืองเล็กเมืองน้อย  โดยยกกองทัพตีเมือง กะเวตะ ยินมะ
กังสุการ ยะกังวะ  ได้ทหารเมืองต่างๆเข้าร่วมรบและปฏิบัติตามคำสั่งท่านมหาอุปราชทันที  บางเมือง
ก็ยินยอมอ่อนน้อมต่อกองทัพของมังนายะเดชะ ส่วนเมืองได้ขัดขืนก็ถูกฆ่าตายหมดสิ้น  เมื่อได้กำลังพลของ
เมืองต่างๆอันมากมายนัก
      ก็รีบเดินทัพเข้ารวมกับทัพของท่านแม่ทัพมังสุรเดชเดชะทันที  เมื่อทั้งสองกองทัพพบกันก็ต่างหัวร่อยินดี
และต่างแจ้งว่าได้ทหารจากแว่นแคว้นยะไข่ไว้ในการศึกอีกจำนวนมากต่างเลี้ยงฉลองชัยชนะร่วมกันว่าตอน
นี้เหล่าทหารเรานั้นมีขวัญกำลังใจดีเยี่ยม อย่าเสียเวลาเลยให้รีบยกทัพไปประชิดเมืองยะไข่พร้อมทั้งเข้าพบ
ท่านที่ปรึกษาใหญ่ขอความคิดเห็นซึ่งต่างก็ตรงกัน   ดังนั้นทัพใหญ่ทั้งหมดก็เคลื่อนพลเข้ารายล้อมเมืองยะไข่
       ทางด้านเมืองยะไข่นั้นครั้นทราบว่าแว่นแคว้นที่ส่งเสบียงอาหารมาให้เมืองตนที่อยู่บนเขานั้นกำลังถูกโจมตี
ก็รีบส่งทหารหลายหมื่นเข้าไปเพื่อช่วยเหลือแว่นแคว้นต่างๆทันที   แต่ในระหว่างทางนั้นกลับถูกทหารของฝ่าย
ศิระสุริยันต์ซึ่งซุ่มรอคอยอยู่ก่อนแล้วก็เข้าโจมตีขาดกลาง แล้วถูกแบ่งออกเป็นสองถูกทหารของศิระสุริยันต์อัน
เป็นทหารของเมืองหล่อยก่อเมืองปะอานเป็นหลักก็สามารถทำลายกองทัพเมืองยะไข่ไปหมดสิ้นแม้จะมีอาวุธ
ที่เป็นพิษแต่ทางเมืองหล่อยก่อและเมืองปะอานซึ่งก็ชำนาญเรื่องยาพิษอยู่แล้วแก้ไขได้  ทำให้ทหารเล็ดรอดไป
ได้เพียงเล็กน้อยเข้ารายงานแก่เจ้าเมืองซิตเวทันที
       ฝ่ายเจ้าเมืองซิตเว มังตะเวสีหะก็ให้ตกใจยิ่งนักระดมทหารเข้าปกป้องเมืองทันทีสั่งแม่ทัพนายกองให้ระดม
ชาวเมืองซิตเวมาทำการฝึกใหม่ทดแทนทหารเก่าที่เสียชีวิตไปในศึกครั้งนี้   ลาดตะเวนตลอดเวลามิได้ขาด แต่
ปรากฏว่ามื่อได้รับรายงานจากทหารหน่วยสอดแนมแจ้งว่า   บัดนี้มีทัพใหญ่ไพร่พลมากมายมารายล้อมเมืองไว้
ทั้งทางด้านบนภูเขาและทางด้านท้องทุ่งไว้ทุกๆด้านแล้วแต่หาได้ทำการโจมตีแต่อย่างใดไม่
      ทำให้มังตะเวสีหะหักลัดกลุ้มยิ่งนัก   หากเป็นเช่นนี้นานๆเข้าทางเมืองเราซึ่งไม่สามารถเพาะปลูกพืชพันธุ์ได้
ถึงมีก็เพียงเล็กน้อยตามไหล่เขาเท่านั้น  บัดนี้ได้ถูกฝ่ายข้าศึกยึดไปหมดสิ้นแล้วหากนานๆเข้าบรรดาเสบียงอาหาร
ที่ใช้เลี้ยงดูทหารและราษฎร์ก็จะขาดแคลนลง  บ้านเมืองเกิดการปั่นป่วนภายในขึ้น จึงประชุมฝ่ายอำมาตย์และ
แม่ทัพนายกองทั้งปวง  หากทางที่จะช่วยเหลือราษฎร์และทำประการใดดี
        แต่บรรดาอำมาตย์และทหารนั้นก็จนปัญญาต่างมองหน้ากันไปมาทั้งสิ้นหาคำตอบมิได้ ยิ่งทำให้
เจ้าเมืองซิตเวถึงกับท้อแท้ใจ  ครั้นจะยอมสยบแก่ข้าศึกเพื่อขจัดปัญหาเหล่านี้  แต่ก็ได้รับการต้านทานจาก
เหล่าอำมาตย์และแม่ทัพใหญ่ของเมืองซิตเวไปเสียสิ้นว่า  ถึงแม้ว่าเราจะถูกล้อมแต่ชัยภูมิมั่นคงนักฝ่ายข้าศึก
ยากที่จะเข้าโจมตีเราได้   ด้วยระยะนี้กำลังใกล้หน้าฝนหากฝนตกลงมาไข้ป่าและสัตว์พิษต่างๆก็จะเข้าไปหา
พวกกองทัพยากจะแก้ไขพวกสัตว์พิษทั้งหลายได้   ควรรอไปสักพักก่อนหากจวนตัวจริงๆถึงจะยอมอ่อนน้อม
เจ้าเมืองซิตเวครั้นได้รับฟังมีเหตุผลเช่นนี้ก็ตามใจเหล่ามหาอำมาตย์แม่ทัพนายกองแต่กำชับให้ระวังไว้ด้วย
       ด้านชายหนุ่มหลังจากแยกทางกับกองทัพทั้งหลายแล้วก็นำทหารต่อแพข้ามไปยังฝั่งด้านเมืองตองอูซึ่ง
อยู่ห่างไกลจากตัวเมือง  ลัดเลาะไปตามทางแผนที่ที่ท่านปรึกษามอบไว้ให้ทันที  ครั้นพบเหล่าทหารของเมือง
ฮะคาที่แยกย้ายกันอยู่   แม่ทัพที่ควบคุมทหารเมืองฮะคาจำชายหนุ่มได้ดีก็รีบเข้ามาคาราวะพร้อมทูลขึ้นว่า
     “ข้าพุทธเจ้า  มังกะยอสินธู เป็นแม่ทัพนำเหล่าทหารจำนวนหมื่นกว่าคนแยกย้ายกันอาศัยอยู่ตามที่ต่างๆบัดนี้
หม่อมฉันได้ส่งสัญาณแจ้งให้มารวมพลกันแล้วพระเจ้าข้า”
      “ข้าเองก็นำเหล่าทหารชาญศึกมาประมาณห้าร้อยคนแต่คิดว่าสามารถโจมตีเมืองตองอูได้  ด้วยความชะล่าใจ
ว่าทางเราไม่ได้มุ่งหมายจะยึดเมืองนี้ไว้ด้วยต้องข้ามน้ำมาซึ่งกว้างย่อมไม่คิดว่าเราจะอ้อมหลีกเลี่ยงมาด้านเขา
ฉะนั้นขอให้เจ้าสั่งหน่วยทหารอย่าได้ส่งเสียงอึกกระทึกมากมายนักยิ่งเงียบได้เท่าไหร่ก็ยิ่งดี  ด้วยภายในเมือง
ข้าเองได้จัดส่งทหารปลอมตัวเป็นพวกพ่อค้าสุ่มกำลังพลไว้มากแล้ว”  ชายหนุ่มกล่าว
       “พระยะค่ะ   เกล้ากระหม่อมจะปฏิบัติโดยเคร่งครัดแก่เหล่าทหารทั้งปวงพระเจ้าข้า”
       “ดีแล้วท่านแม่ทัพ ใช้เวลากลางคืนเป็นช่วงการเดินทางส่วนกลางวันให้เหล่าทหารพักผ่อนจนกว่าจะถึง
เมืองตองอูด้วยล่ะ”
        “พระเจ้าข้า   ถ้าอย่างนั้นจะมีอะไรรับสั่งอีกไหมพระเจ้าข้า  หากไม่มีกระหม่อมจะไปตระเตรียมการไว้”
       “ไม่มีแล้วท่านแม่ทัพ  ไปกำชับทหารให้เตรียมพร้อม ทั้งจัดหน่วยสอดแนมตระเวนรอบที่พักไว้ด้วยหาก
มีสิ่งใดผิดปกติให้รีบมารายงานด่วน”
         “พระเจ้าข้า”
        
ครั้นแม่ทัพมังกะยอสินธูกลับไปแล้ว   ชายหนุ่มจึงหันไปทางแม่นางจันทิราซึ่งแต่งเครื่องแบบทหารยืนม้าเคียง
ข้างอยู่สั่งนางทันที
      “กลางคืนนี้ให้แม่นางพร้อมกับแม่นางพรายทั้งสองช่วยตระเวนไพร่พลพวกเราด้วยเราอยู่ท่ามกลางอันตราย
ไว้วางสิ่งใดมิได้หรอก”
      ทันใดนั้นเสียงกระซิบแม่นางพรายแจ้งว่าไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนี้  ให้เป็นหน้าที่ของน้องเองเถอะ  ส่วนแม่นาง
จันทิราให้พักผ่อนให้เต็มที่ได้
       “ไม่ต้องแล้วน้องจันทิรา เมื่อกี้นี้พี่เจ้าแจ้งมาให้พี่ทราบแล้วว่าให้น้องไปพักผ่อนได้  เป็นหน้าที่ของพี่เจ้า
ทั้งสองจะรับผิดชอบเอง  แต่อย่าให้ทหารทั้งหลายจับพิรุธว่าน้องเป็นหญิงนะ”  ชายหนุ่มกล่าว
        “เจ้าข้าแต่ว่า???....น้องจะขออาศัยนอนในเต็นท์ร่วมกับท่านพี่จะได้หรือไม่เล่าท่านพี่”
        “หากเป็นความประสงค์ของน้อง พี่เองก็ไม่ขัดข้อง แต่ทว่าสร้างความลำบากแก่น้องหน่อยนะ”
        “ไม่เป็นไรหรอกท่านพี่  น้องมีขนทองขนขาวเป็นเพื่อนแล้ว จะได้ช่วยเหลือในยามกะทันหัน  อย่าคิดว่า
น้องเป็นหญิง  แต่ผ่านการรบศึกมานับไม่ถ้วนกับพวกผู้ชายมาแล้วนะ”  นางอดอวดแก่ชายหนุ่มเสียมิได้
        “หรือถ้าอย่างนั้นยิ่งทำให้พี่หมดความกังวลไปจ๊ะ”   ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น
         “เรารีบนำทหารออกเดินทางไปเถอะ  ครั้นใกล้ค่ำจะได้หาทำเลที่พักหน่วยทหารได้  อ้อ???...เมื่อกี้นี้พี่
ลืมแจ้งแก่แม่ทัพว่าการเคลื่อนพลของพวกเรานั้นอย่าได้รวมตัวให้แยกออกเป็นกลุ่มๆ  หากกลุ่มใดได้รับภัย
ก็รีบส่งสัญญาณแจ้งเพื่อจะได้มาช่วยเหลือซึ่งกันและกัน  ขอน้องเราจงไปรายงานให้ท่านแม่ทัพทราบด้วยนะ”
        “จ๊ะท่านพี่น้องจะไปเดี๋ยวนี้แหละ”
   ดังนั้นหญิงสาวก็รีบไปแจ้งแก่แม่ทัพมังกะยะสินธูทันที   ดังนั้นบรรดาทัพของฮะคาก็แบ่งกำลังออกเป็นหน่วยๆ
ทิ้งระยะห่างกันไม่มากนัก  กลางวันพักผ่อนกลางคืนออกเดินทางอาศัยแสงแห่งไข่มุกของชายหนุ่มที่แบ่งให้
หน่วยต่างๆใช้เป็นแสงสว่างนำทางแทนคบไฟ ซึ่งอาจเป็นที่สงสัยแก่ทหารตองอูที่ลาดตระเวนอยู่ได้  ในไม่ช้านัก
ทหารทั้งหมดก็เข้ารายล้อมเมืองตองอู   ส่วนบรรดาพ่อค้าที่นำอาวุธมาส่งนั้นบรรดาลูกเรือต่างก็เป็นทหารฮะคา
ทั้งหมดรวมกับลูกเรือด้วย   เมื่อส่งอาวุธเสร็จพวกพ่อค้าก็แกล้งทำเป็นซื้อสิ่งของล่าช้าคอยเวลาอยู่
         ครั้นเที่ยงคืนเมื่อพร้อมเสร็จเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มก็ให้นำอาวุธใหญ่ออกมาแล้วสั่งยิงที่ประตูเมืองทันที
เสียงดังหวีดหวิวลอยเหนือท้องฟ้าพุ่งมายังเมืองตองอู เหล่าหน่วยทหารที่รักษาการณ์เชิงเมืองต่างจ้องมองดูด้วย
ความประหลาดใจ  ด้วยปลายของอาวุธนั้นเป็นลำแสงสวยงามยิ่งนักนึกว่าดาวตกมายังเมืองต่างชี้ชวนกันมุงดูกัน
ส่งเสียงเฮฮากันลั่น  มิคิดว่าเป็นอาวุธร้ายด้วยไม่เคยเห็นมาก่อน    ครั้นลำแสงนั้นพุ่งลอยลงมายังประตูเมืองก็พลัน
        เกิดระเบิดขึ้นสนั่นหวั่นไหวทำให้ประตูเมืองทะลายลงทันที  อีกหลายลูกก็พุ่งเข้าไปภายในเมืองและระเบิด
ตามบ้านช่องร้านค้า  บางลูกล่วงเข้าใส่ยังราชวังของเจ้าเมืองแล้วระเบิดสร้างความตื่นตระหนกตกใจไปตามๆกัน
แต่เจ้าเมืองมังสุรินทราหาได้คิดว่าถูกข้าศึกโจมตีไม่  กลับคิดว่าเป็นดาวตกลงมานั่นเอง  ฉับพลันก็ได้ยินเสียงกลองศึกตีขึ้น  บรรดาเหล่าทหารม้าของชายหนุ่มสามร้อยกว่านายก็ฝ่าทะยานเข้ามาในเมืองตรงไปยังวังทันที
ด้วยทหารฝ่ายทางตองอูไม่ทันตั้งตัวด้วยไม่คิดว่าจะมีข้าศึกโจมตี 
         ชายหนุ่มที่ควบเจ้าสีเทานำหน้าทหารม้าก็เข้าสู้ตีฝ่าทหารองครักษ์ที่ต่างชุลมุนกันไปทั่วต่างถูกฆ่าเสียเป็น
ส่วนมาก  ส่วนบรรดาแม่ทัพนายกองทหารเมืองตองอูกว่าจะรู้ตัวเพราะเป็นเวลาเที่ยงคืนและไม่มีวี่แววว่าจะมี
ข้าศึกโจมตี  บางคนยังแต่งตัวไม่เสร็จก็รีบออกมา  บ้างแต่งตัวได้เพียงครึ่งท่อนเท่านั้นต่างก็ถูกทหารฝ่ายฮะคา
ทั้งทางบกทางน้ำเข้าควบคุมตัวไว้หมดสิ้น รวมถึงบรรดาอำมาตย์ข้าราชบริพารทั้งหลาย
        ส่วนเจ้าเมืองตองอูครั้นเห็นชายหนุ่มเข้ามาถึงก็เข้าต่อต่อสู้กับชายหนุ่มทันทีต่างฝ่ายต่างปะดาบกันเพียง
แค่สองสามครั้งดาบของเจ้าเมืองตองอูก็ขาดสะบั้นหาได้สู้คมดาบของชายหนุ่มได้ไม่คมดาบได้ฟันไปยังร่าง
ของเจ้าเมืองขาดออกเป็นสองท่อนทันที   ครั้นบรรดาเหล่าทหารองครักษ์เห็นดังนั้นต่างก็ร้องบอกออกไปทั่วๆ
ว่าเจ้าเมืองตองอูสิ้นพระชนม์ชีพแล้ว   พากันวางอาวุธลงยอมพ่ายแพ้โดยดี 
      ที่ภายนอกราชวังการต่อสู้ระหว่างแม่ทัพใหญ่เมืองตองอูกับแม่ทัพแห่งเมืองฮะคาต่างต่อสู้กันเป็นพัลวันใน
ที่สุด  มังกะยอสินธูก็สามารถตัดหัวแม่ทัพใหญ่ได้สงครามก็สิ้นสุดลง  เหล่าทหารตองอูที่ใช้อาวุธของเมืองฮะคา
บรรดาดาบก็หักสะบั้นด้วยแผนการเจ้าเมืองฮะคาวางเล่ห์การสร้างดาบไว้  จึงถูกฆ่าตายเป็นจำนวนมาก  ครั้นได้
ยินทหารร้องบอกว่าแม่ทัพใหญ่  และรองแม่ทัพนายกองทั้งหลายตกตายหมดสิ้นแล้ว ก็ต่างวางอาวุธยอมแพ้ทันที
       เมืองตองอูก็ตกอยู่ในอำนาจของชายหนุ่มไปหมดสิ้น   ครั้นรุ่งเช้าการรบพุ่งได้สิ้นสุดลงชายหนุ่มก็ให้ทหาร
ทั้งหลายเพื่อไปจับกุมเหล่าอำมาตย์มา  แต่ไม่ทันสั่งการทหารก็ควบคุมเหล่าอำมาตย์เดินเข้ามาแล้วซึ่งยังแต่ง
ตัวไม่เรียบร้อยก็มี   แต่ท่านมหาอำมาตย์ของเมืองตองอูได้ฆ่าตัวตายไปเสียก่อนที่จะถูกจับกุม  แล้วชายหนุ่มสั่ง
ทหารทั้งหลายได้พากันไปปลอบขวัญกำลังใจแก่ราษฎร์ชาวเมืองตองอู ตลอดจนบรรดาสานุวงศ์ทั้งหลายไม่
ต้องหวั่นเกรงภัยทั้งสิ้น ด้วยพระมหาอุปราชสั่งการนี้ไว้   ทำให้เหล่ามเหสีองค์หญิงองค์ชายต่างๆ
และเหล่าสนมที่ขวัญเสียต่างสงบลง   และพร้อมใจกันเข้าเฝ้าท่านมหาอุปราช
ครั้นแลเห็นเป็นชายหนุ่มมิได้แก่เฒ่าแต่ประการใดก็ให้บังเกิดความสนใจแปลกใจ
  เหตุไฉนใยจึงเก่งกล้าสามารถยิ่งนัก พลางเข้าถวายพระพรแก่ชายหนุ่มทันที
เมื่อชายหนุ่มทราบก็หาได้รังเกียจใดไม่  ก็ให้นั่งยังที่เคยนั่งอันเหมาะสมตามตำแหน่งดั่งเดิม
       การครั้งนี้ชายหนุ่มให้นึกชมเชยแม่นางจันทิรายิ่งนัก  แม้นหล่อนจะเป็นหญิงก็จริงแต่ยามเข้ารบกับแม่ทัพ
นายกองต่างๆกับเชี่ยวชาญกล้าหาญยิ่งนัก  สามารถฆ่าแม่ทัพนายกองลงเสีย  ไม่มีผู้ใดต้านทานได้สักแม้คนเดียว
ทำให้ชายหนุ่มถึงกับทึ่งในความสามารถไม่คิดว่า ร่างอรชรอ้อนแอ้นเช่นนี้แต่พละกำลังกับมากมาย ส่วนเจ้า
ลิงทั้งสองมันฆ่าเหล่าทหารด้วยอาวุธคู่กายกระบองแก้วกระบองมหากาฬ จากม้านี้ไปม้าโน้นทำลายไปมากมาย
จนข้าศึกบางคนถึงกับวิ่งหนีมัน
        ครั้นเมื่อบรรดาอำมาตย์นายกองบางคนมาถึงที่เบื้องหน้าชายหนุ่มแล้ว  ชายหนุ่มพลันหวนคิดถึงสงคราม
ที่จะต้องใช้กำลังรบของพวกตองอูในการรบพุ่งกับแคว้นมอญในคราวต่อไป   จึงเข้าไปแก้มัดบรรดาอำมาตย์
และนายกองส่วนคนอื่นๆก็ให้ทหารต่างช่วยแก้มัดหมด  บางกล่าวกลับชายชราที่เป็นอำมาตย์ด้วยความนอบ
น้อมหาได้ล่วงก้าวร้าวแต่อย่างใดไม่..................
             * แก้วประเสริฐ.

Cartoon_Animation_08.gifn016.gif				
comments powered by Disqus
  • โคลอน

    11 มีนาคม 2553 13:25 น. - comment id 115736

    11.gif11.gif11.gif36.gif
    
    ย่องตาม 46.gif
  • แก้วประเสริฐ

    11 มีนาคม 2553 16:00 น. - comment id 115744

    36.gif16.gif36.gif
    คุณ โคลอน
    
       เรื่อยๆมาเรียงๆ นกบินเฉียงตายทั้งหมู่
    ฮัดเช่ย   รักเสมอขอรับ
    
         16.gifแก้วประเสริฐ.16.gif

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน