ลุ่มลึกอิสราวดี 44
แก้วประเสริฐ
ลุ่มลึกอิสราวดี 44
“ เราอย่าได้ประมาทจงฝึกทหารและพวกยาพิษทั้งหลายไว้ให้มากๆเพื่อป้องกันมันย้อนหวนกลับมาอีก
หากเป็นกลศึกของมัน”
มังตเวสีหะกล่าวขึ้นแล้วก็ให้จัดทำอาหารต่างๆมาฉลองแก่อำมาตย์และแม่ทัพนายกอง
ทั้งหลายทันที ตลอดการฟ้อนรำต่างๆ บรรดาชาวเมืองครั้นทราบว่าทหารที่มาเรียงรายด้านล่างเขานั้นได้ถอยทัพ
ไปหมดสิ้นแล้ว ต่างก็โห่ร้องร่าเริงพากันฉลองเป็นที่ครึกครื้นกันยิ่ง
ฝ่ายแม่ทัพใหญ่ของศิระสุริยันต์อันมังสุรเดชเดชาและเหมี่ยวสุรการก็ยกทหารทั้งหมดแยกตัวตามทางที่
แผนที่กำหนดยกเข้าโอบล้อมตีเมือง กังสีขะอันเป็นเมืองติดกับเมืองซิตะเวเป็นเมืองไม่ใหญ่นักก็สั่งทหารเข้า
โจมตีทันทีโดยไม่ให้ตั้งตัว ด้วยเจ้าเมืองคิดว่าทหารของศิระสุริยันต์คงจะเกรงกลัวเจ้าเมืองซิตเวไม่กล้ามา
รุกรานแว่นแคว้นของเมืองยะไข่เป็นแน่จึงตกอยู่ในความประมาท เพียงแค่ชั่วเวลาไม่เกินวัน มังสุรเดชเดชา
กับเหมี่ยวสุรการก็สามารถเข้าเมืองได้แต่สังหารเจ้าเมืองกับอำมาตย์แม่ทัพบางนายเสีย แล้วแต่งตั้งผู้ที่ยินยอม
ตกอยุ่ภายใต้อำนาจของตน ให้ขึ้นครองแถมยังได้ทหารของเมืองกังสีขะอีกประมาณหมื่นคนร่วมทัพด้วยก็รีบ
ออกเดินทางเข้าดินแดนกุละอันเป็นแหล่งเพาะปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหารส่งให้เมืองกังสีขะนำส่งแต่เป็นเมือง
เล็กๆก็ไม่อาจต้านทานทัพได้ จึงเสียเมืองภายในครึ่งวัน มังสุระเดชเดชาก็ทำตามคำสั่งของท่านมหาอุปราช
ทันทีครั้นจัดการเมืองเรียบร้อยแล้วนำกำลังของเมืองนี้น้อยนิดไปด้วยกลายเป็นกองกำลังใหญ่ขึ้นตามลำดับ
ยกพลเดินหน้า ตีเมือง ยะมุกา กะหะ ยุกะวะ กังกิงอไว้อยู่ภายใต้อำนาจจึงสั่งทหารให้หยุดพักทัพไว้เพื่อให้
เหล่าทหารได้พักผ่อนแต่กำชับห้ามเหล่าทหารแม้แต่ทหารเมืองต่างๆห้ามยุ่งเกี่ยวกับราษฎร์เกี่ยวกับหญิงโดย
เด็ดขาด และพยายามให้เข้ากับราษฎร์ให้ได้มากขึ้น ซึ่งเหล่าทหารซึ่งรักใคร่เป็นหนึ่งเดียวก็หาได้ขัดคำสั่งใดไม่
ทางด้านแม่ทัพใหญ่ มังนายะเดชะกับมุสะกะยะ ครั้นล้อมเมืองมะละแหม่งแล้ว
ครั้นได้เวลาสมควรก็ถอนทัพนำกำลังทัพทั้งหมดเข้าตีเมืองเล็กเมืองน้อย โดยยกกองทัพตีเมือง กะเวตะ ยินมะ
กังสุการ ยะกังวะ ได้ทหารเมืองต่างๆเข้าร่วมรบและปฏิบัติตามคำสั่งท่านมหาอุปราชทันที บางเมือง
ก็ยินยอมอ่อนน้อมต่อกองทัพของมังนายะเดชะ ส่วนเมืองได้ขัดขืนก็ถูกฆ่าตายหมดสิ้น เมื่อได้กำลังพลของ
เมืองต่างๆอันมากมายนัก
ก็รีบเดินทัพเข้ารวมกับทัพของท่านแม่ทัพมังสุรเดชเดชะทันที เมื่อทั้งสองกองทัพพบกันก็ต่างหัวร่อยินดี
และต่างแจ้งว่าได้ทหารจากแว่นแคว้นยะไข่ไว้ในการศึกอีกจำนวนมากต่างเลี้ยงฉลองชัยชนะร่วมกันว่าตอน
นี้เหล่าทหารเรานั้นมีขวัญกำลังใจดีเยี่ยม อย่าเสียเวลาเลยให้รีบยกทัพไปประชิดเมืองยะไข่พร้อมทั้งเข้าพบ
ท่านที่ปรึกษาใหญ่ขอความคิดเห็นซึ่งต่างก็ตรงกัน ดังนั้นทัพใหญ่ทั้งหมดก็เคลื่อนพลเข้ารายล้อมเมืองยะไข่
ทางด้านเมืองยะไข่นั้นครั้นทราบว่าแว่นแคว้นที่ส่งเสบียงอาหารมาให้เมืองตนที่อยู่บนเขานั้นกำลังถูกโจมตี
ก็รีบส่งทหารหลายหมื่นเข้าไปเพื่อช่วยเหลือแว่นแคว้นต่างๆทันที แต่ในระหว่างทางนั้นกลับถูกทหารของฝ่าย
ศิระสุริยันต์ซึ่งซุ่มรอคอยอยู่ก่อนแล้วก็เข้าโจมตีขาดกลาง แล้วถูกแบ่งออกเป็นสองถูกทหารของศิระสุริยันต์อัน
เป็นทหารของเมืองหล่อยก่อเมืองปะอานเป็นหลักก็สามารถทำลายกองทัพเมืองยะไข่ไปหมดสิ้นแม้จะมีอาวุธ
ที่เป็นพิษแต่ทางเมืองหล่อยก่อและเมืองปะอานซึ่งก็ชำนาญเรื่องยาพิษอยู่แล้วแก้ไขได้ ทำให้ทหารเล็ดรอดไป
ได้เพียงเล็กน้อยเข้ารายงานแก่เจ้าเมืองซิตเวทันที
ฝ่ายเจ้าเมืองซิตเว มังตะเวสีหะก็ให้ตกใจยิ่งนักระดมทหารเข้าปกป้องเมืองทันทีสั่งแม่ทัพนายกองให้ระดม
ชาวเมืองซิตเวมาทำการฝึกใหม่ทดแทนทหารเก่าที่เสียชีวิตไปในศึกครั้งนี้ ลาดตะเวนตลอดเวลามิได้ขาด แต่
ปรากฏว่ามื่อได้รับรายงานจากทหารหน่วยสอดแนมแจ้งว่า บัดนี้มีทัพใหญ่ไพร่พลมากมายมารายล้อมเมืองไว้
ทั้งทางด้านบนภูเขาและทางด้านท้องทุ่งไว้ทุกๆด้านแล้วแต่หาได้ทำการโจมตีแต่อย่างใดไม่
ทำให้มังตะเวสีหะหักลัดกลุ้มยิ่งนัก หากเป็นเช่นนี้นานๆเข้าทางเมืองเราซึ่งไม่สามารถเพาะปลูกพืชพันธุ์ได้
ถึงมีก็เพียงเล็กน้อยตามไหล่เขาเท่านั้น บัดนี้ได้ถูกฝ่ายข้าศึกยึดไปหมดสิ้นแล้วหากนานๆเข้าบรรดาเสบียงอาหาร
ที่ใช้เลี้ยงดูทหารและราษฎร์ก็จะขาดแคลนลง บ้านเมืองเกิดการปั่นป่วนภายในขึ้น จึงประชุมฝ่ายอำมาตย์และ
แม่ทัพนายกองทั้งปวง หากทางที่จะช่วยเหลือราษฎร์และทำประการใดดี
แต่บรรดาอำมาตย์และทหารนั้นก็จนปัญญาต่างมองหน้ากันไปมาทั้งสิ้นหาคำตอบมิได้ ยิ่งทำให้
เจ้าเมืองซิตเวถึงกับท้อแท้ใจ ครั้นจะยอมสยบแก่ข้าศึกเพื่อขจัดปัญหาเหล่านี้ แต่ก็ได้รับการต้านทานจาก
เหล่าอำมาตย์และแม่ทัพใหญ่ของเมืองซิตเวไปเสียสิ้นว่า ถึงแม้ว่าเราจะถูกล้อมแต่ชัยภูมิมั่นคงนักฝ่ายข้าศึก
ยากที่จะเข้าโจมตีเราได้ ด้วยระยะนี้กำลังใกล้หน้าฝนหากฝนตกลงมาไข้ป่าและสัตว์พิษต่างๆก็จะเข้าไปหา
พวกกองทัพยากจะแก้ไขพวกสัตว์พิษทั้งหลายได้ ควรรอไปสักพักก่อนหากจวนตัวจริงๆถึงจะยอมอ่อนน้อม
เจ้าเมืองซิตเวครั้นได้รับฟังมีเหตุผลเช่นนี้ก็ตามใจเหล่ามหาอำมาตย์แม่ทัพนายกองแต่กำชับให้ระวังไว้ด้วย
ด้านชายหนุ่มหลังจากแยกทางกับกองทัพทั้งหลายแล้วก็นำทหารต่อแพข้ามไปยังฝั่งด้านเมืองตองอูซึ่ง
อยู่ห่างไกลจากตัวเมือง ลัดเลาะไปตามทางแผนที่ที่ท่านปรึกษามอบไว้ให้ทันที ครั้นพบเหล่าทหารของเมือง
ฮะคาที่แยกย้ายกันอยู่ แม่ทัพที่ควบคุมทหารเมืองฮะคาจำชายหนุ่มได้ดีก็รีบเข้ามาคาราวะพร้อมทูลขึ้นว่า
“ข้าพุทธเจ้า มังกะยอสินธู เป็นแม่ทัพนำเหล่าทหารจำนวนหมื่นกว่าคนแยกย้ายกันอาศัยอยู่ตามที่ต่างๆบัดนี้
หม่อมฉันได้ส่งสัญาณแจ้งให้มารวมพลกันแล้วพระเจ้าข้า”
“ข้าเองก็นำเหล่าทหารชาญศึกมาประมาณห้าร้อยคนแต่คิดว่าสามารถโจมตีเมืองตองอูได้ ด้วยความชะล่าใจ
ว่าทางเราไม่ได้มุ่งหมายจะยึดเมืองนี้ไว้ด้วยต้องข้ามน้ำมาซึ่งกว้างย่อมไม่คิดว่าเราจะอ้อมหลีกเลี่ยงมาด้านเขา
ฉะนั้นขอให้เจ้าสั่งหน่วยทหารอย่าได้ส่งเสียงอึกกระทึกมากมายนักยิ่งเงียบได้เท่าไหร่ก็ยิ่งดี ด้วยภายในเมือง
ข้าเองได้จัดส่งทหารปลอมตัวเป็นพวกพ่อค้าสุ่มกำลังพลไว้มากแล้ว” ชายหนุ่มกล่าว
“พระยะค่ะ เกล้ากระหม่อมจะปฏิบัติโดยเคร่งครัดแก่เหล่าทหารทั้งปวงพระเจ้าข้า”
“ดีแล้วท่านแม่ทัพ ใช้เวลากลางคืนเป็นช่วงการเดินทางส่วนกลางวันให้เหล่าทหารพักผ่อนจนกว่าจะถึง
เมืองตองอูด้วยล่ะ”
“พระเจ้าข้า ถ้าอย่างนั้นจะมีอะไรรับสั่งอีกไหมพระเจ้าข้า หากไม่มีกระหม่อมจะไปตระเตรียมการไว้”
“ไม่มีแล้วท่านแม่ทัพ ไปกำชับทหารให้เตรียมพร้อม ทั้งจัดหน่วยสอดแนมตระเวนรอบที่พักไว้ด้วยหาก
มีสิ่งใดผิดปกติให้รีบมารายงานด่วน”
“พระเจ้าข้า”
ครั้นแม่ทัพมังกะยอสินธูกลับไปแล้ว ชายหนุ่มจึงหันไปทางแม่นางจันทิราซึ่งแต่งเครื่องแบบทหารยืนม้าเคียง
ข้างอยู่สั่งนางทันที
“กลางคืนนี้ให้แม่นางพร้อมกับแม่นางพรายทั้งสองช่วยตระเวนไพร่พลพวกเราด้วยเราอยู่ท่ามกลางอันตราย
ไว้วางสิ่งใดมิได้หรอก”
ทันใดนั้นเสียงกระซิบแม่นางพรายแจ้งว่าไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนี้ ให้เป็นหน้าที่ของน้องเองเถอะ ส่วนแม่นาง
จันทิราให้พักผ่อนให้เต็มที่ได้
“ไม่ต้องแล้วน้องจันทิรา เมื่อกี้นี้พี่เจ้าแจ้งมาให้พี่ทราบแล้วว่าให้น้องไปพักผ่อนได้ เป็นหน้าที่ของพี่เจ้า
ทั้งสองจะรับผิดชอบเอง แต่อย่าให้ทหารทั้งหลายจับพิรุธว่าน้องเป็นหญิงนะ” ชายหนุ่มกล่าว
“เจ้าข้าแต่ว่า???....น้องจะขออาศัยนอนในเต็นท์ร่วมกับท่านพี่จะได้หรือไม่เล่าท่านพี่”
“หากเป็นความประสงค์ของน้อง พี่เองก็ไม่ขัดข้อง แต่ทว่าสร้างความลำบากแก่น้องหน่อยนะ”
“ไม่เป็นไรหรอกท่านพี่ น้องมีขนทองขนขาวเป็นเพื่อนแล้ว จะได้ช่วยเหลือในยามกะทันหัน อย่าคิดว่า
น้องเป็นหญิง แต่ผ่านการรบศึกมานับไม่ถ้วนกับพวกผู้ชายมาแล้วนะ” นางอดอวดแก่ชายหนุ่มเสียมิได้
“หรือถ้าอย่างนั้นยิ่งทำให้พี่หมดความกังวลไปจ๊ะ” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น
“เรารีบนำทหารออกเดินทางไปเถอะ ครั้นใกล้ค่ำจะได้หาทำเลที่พักหน่วยทหารได้ อ้อ???...เมื่อกี้นี้พี่
ลืมแจ้งแก่แม่ทัพว่าการเคลื่อนพลของพวกเรานั้นอย่าได้รวมตัวให้แยกออกเป็นกลุ่มๆ หากกลุ่มใดได้รับภัย
ก็รีบส่งสัญญาณแจ้งเพื่อจะได้มาช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ขอน้องเราจงไปรายงานให้ท่านแม่ทัพทราบด้วยนะ”
“จ๊ะท่านพี่น้องจะไปเดี๋ยวนี้แหละ”
ดังนั้นหญิงสาวก็รีบไปแจ้งแก่แม่ทัพมังกะยะสินธูทันที ดังนั้นบรรดาทัพของฮะคาก็แบ่งกำลังออกเป็นหน่วยๆ
ทิ้งระยะห่างกันไม่มากนัก กลางวันพักผ่อนกลางคืนออกเดินทางอาศัยแสงแห่งไข่มุกของชายหนุ่มที่แบ่งให้
หน่วยต่างๆใช้เป็นแสงสว่างนำทางแทนคบไฟ ซึ่งอาจเป็นที่สงสัยแก่ทหารตองอูที่ลาดตระเวนอยู่ได้ ในไม่ช้านัก
ทหารทั้งหมดก็เข้ารายล้อมเมืองตองอู ส่วนบรรดาพ่อค้าที่นำอาวุธมาส่งนั้นบรรดาลูกเรือต่างก็เป็นทหารฮะคา
ทั้งหมดรวมกับลูกเรือด้วย เมื่อส่งอาวุธเสร็จพวกพ่อค้าก็แกล้งทำเป็นซื้อสิ่งของล่าช้าคอยเวลาอยู่
ครั้นเที่ยงคืนเมื่อพร้อมเสร็จเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มก็ให้นำอาวุธใหญ่ออกมาแล้วสั่งยิงที่ประตูเมืองทันที
เสียงดังหวีดหวิวลอยเหนือท้องฟ้าพุ่งมายังเมืองตองอู เหล่าหน่วยทหารที่รักษาการณ์เชิงเมืองต่างจ้องมองดูด้วย
ความประหลาดใจ ด้วยปลายของอาวุธนั้นเป็นลำแสงสวยงามยิ่งนักนึกว่าดาวตกมายังเมืองต่างชี้ชวนกันมุงดูกัน
ส่งเสียงเฮฮากันลั่น มิคิดว่าเป็นอาวุธร้ายด้วยไม่เคยเห็นมาก่อน ครั้นลำแสงนั้นพุ่งลอยลงมายังประตูเมืองก็พลัน
เกิดระเบิดขึ้นสนั่นหวั่นไหวทำให้ประตูเมืองทะลายลงทันที อีกหลายลูกก็พุ่งเข้าไปภายในเมืองและระเบิด
ตามบ้านช่องร้านค้า บางลูกล่วงเข้าใส่ยังราชวังของเจ้าเมืองแล้วระเบิดสร้างความตื่นตระหนกตกใจไปตามๆกัน
แต่เจ้าเมืองมังสุรินทราหาได้คิดว่าถูกข้าศึกโจมตีไม่ กลับคิดว่าเป็นดาวตกลงมานั่นเอง ฉับพลันก็ได้ยินเสียงกลองศึกตีขึ้น บรรดาเหล่าทหารม้าของชายหนุ่มสามร้อยกว่านายก็ฝ่าทะยานเข้ามาในเมืองตรงไปยังวังทันที
ด้วยทหารฝ่ายทางตองอูไม่ทันตั้งตัวด้วยไม่คิดว่าจะมีข้าศึกโจมตี
ชายหนุ่มที่ควบเจ้าสีเทานำหน้าทหารม้าก็เข้าสู้ตีฝ่าทหารองครักษ์ที่ต่างชุลมุนกันไปทั่วต่างถูกฆ่าเสียเป็น
ส่วนมาก ส่วนบรรดาแม่ทัพนายกองทหารเมืองตองอูกว่าจะรู้ตัวเพราะเป็นเวลาเที่ยงคืนและไม่มีวี่แววว่าจะมี
ข้าศึกโจมตี บางคนยังแต่งตัวไม่เสร็จก็รีบออกมา บ้างแต่งตัวได้เพียงครึ่งท่อนเท่านั้นต่างก็ถูกทหารฝ่ายฮะคา
ทั้งทางบกทางน้ำเข้าควบคุมตัวไว้หมดสิ้น รวมถึงบรรดาอำมาตย์ข้าราชบริพารทั้งหลาย
ส่วนเจ้าเมืองตองอูครั้นเห็นชายหนุ่มเข้ามาถึงก็เข้าต่อต่อสู้กับชายหนุ่มทันทีต่างฝ่ายต่างปะดาบกันเพียง
แค่สองสามครั้งดาบของเจ้าเมืองตองอูก็ขาดสะบั้นหาได้สู้คมดาบของชายหนุ่มได้ไม่คมดาบได้ฟันไปยังร่าง
ของเจ้าเมืองขาดออกเป็นสองท่อนทันที ครั้นบรรดาเหล่าทหารองครักษ์เห็นดังนั้นต่างก็ร้องบอกออกไปทั่วๆ
ว่าเจ้าเมืองตองอูสิ้นพระชนม์ชีพแล้ว พากันวางอาวุธลงยอมพ่ายแพ้โดยดี
ที่ภายนอกราชวังการต่อสู้ระหว่างแม่ทัพใหญ่เมืองตองอูกับแม่ทัพแห่งเมืองฮะคาต่างต่อสู้กันเป็นพัลวันใน
ที่สุด มังกะยอสินธูก็สามารถตัดหัวแม่ทัพใหญ่ได้สงครามก็สิ้นสุดลง เหล่าทหารตองอูที่ใช้อาวุธของเมืองฮะคา
บรรดาดาบก็หักสะบั้นด้วยแผนการเจ้าเมืองฮะคาวางเล่ห์การสร้างดาบไว้ จึงถูกฆ่าตายเป็นจำนวนมาก ครั้นได้
ยินทหารร้องบอกว่าแม่ทัพใหญ่ และรองแม่ทัพนายกองทั้งหลายตกตายหมดสิ้นแล้ว ก็ต่างวางอาวุธยอมแพ้ทันที
เมืองตองอูก็ตกอยู่ในอำนาจของชายหนุ่มไปหมดสิ้น ครั้นรุ่งเช้าการรบพุ่งได้สิ้นสุดลงชายหนุ่มก็ให้ทหาร
ทั้งหลายเพื่อไปจับกุมเหล่าอำมาตย์มา แต่ไม่ทันสั่งการทหารก็ควบคุมเหล่าอำมาตย์เดินเข้ามาแล้วซึ่งยังแต่ง
ตัวไม่เรียบร้อยก็มี แต่ท่านมหาอำมาตย์ของเมืองตองอูได้ฆ่าตัวตายไปเสียก่อนที่จะถูกจับกุม แล้วชายหนุ่มสั่ง
ทหารทั้งหลายได้พากันไปปลอบขวัญกำลังใจแก่ราษฎร์ชาวเมืองตองอู ตลอดจนบรรดาสานุวงศ์ทั้งหลายไม่
ต้องหวั่นเกรงภัยทั้งสิ้น ด้วยพระมหาอุปราชสั่งการนี้ไว้ ทำให้เหล่ามเหสีองค์หญิงองค์ชายต่างๆ
และเหล่าสนมที่ขวัญเสียต่างสงบลง และพร้อมใจกันเข้าเฝ้าท่านมหาอุปราช
ครั้นแลเห็นเป็นชายหนุ่มมิได้แก่เฒ่าแต่ประการใดก็ให้บังเกิดความสนใจแปลกใจ
เหตุไฉนใยจึงเก่งกล้าสามารถยิ่งนัก พลางเข้าถวายพระพรแก่ชายหนุ่มทันที
เมื่อชายหนุ่มทราบก็หาได้รังเกียจใดไม่ ก็ให้นั่งยังที่เคยนั่งอันเหมาะสมตามตำแหน่งดั่งเดิม
การครั้งนี้ชายหนุ่มให้นึกชมเชยแม่นางจันทิรายิ่งนัก แม้นหล่อนจะเป็นหญิงก็จริงแต่ยามเข้ารบกับแม่ทัพ
นายกองต่างๆกับเชี่ยวชาญกล้าหาญยิ่งนัก สามารถฆ่าแม่ทัพนายกองลงเสีย ไม่มีผู้ใดต้านทานได้สักแม้คนเดียว
ทำให้ชายหนุ่มถึงกับทึ่งในความสามารถไม่คิดว่า ร่างอรชรอ้อนแอ้นเช่นนี้แต่พละกำลังกับมากมาย ส่วนเจ้า
ลิงทั้งสองมันฆ่าเหล่าทหารด้วยอาวุธคู่กายกระบองแก้วกระบองมหากาฬ จากม้านี้ไปม้าโน้นทำลายไปมากมาย
จนข้าศึกบางคนถึงกับวิ่งหนีมัน
ครั้นเมื่อบรรดาอำมาตย์นายกองบางคนมาถึงที่เบื้องหน้าชายหนุ่มแล้ว ชายหนุ่มพลันหวนคิดถึงสงคราม
ที่จะต้องใช้กำลังรบของพวกตองอูในการรบพุ่งกับแคว้นมอญในคราวต่อไป จึงเข้าไปแก้มัดบรรดาอำมาตย์
และนายกองส่วนคนอื่นๆก็ให้ทหารต่างช่วยแก้มัดหมด บางกล่าวกลับชายชราที่เป็นอำมาตย์ด้วยความนอบ
น้อมหาได้ล่วงก้าวร้าวแต่อย่างใดไม่..................
* แก้วประเสริฐ.