ลุ่มลึกอิสราวดี 43
แก้วประเสริฐ
ลุ่มลึกอิสราวดี 43
แม่นางพรายทั้งสองหันมามองหน้ากัน แล้วพลางหัวร่อกันเบาๆพรายประกายเขียวก็พลันตอบ
“โอ้!!!!....แม่นางจันทิรานั้นหาใช่คนขี้เหร่ก็หาไม่นี่เจ้าค่ะ สวยออกอย่างนี้ ท่านพี่ก็หล่อเหลา
นักมีหรือจะไม่ใหลหลง” แล้วนางก็ส่งเสียงหัวร่อดังๆอีก
“ใช่แล้วเจ้าค่ะท่านพี่ น้องประกายเขียวตอบถูกต้อง น้องเองก็คิดเหมือนกันว่าท่านพี่คงจะไหล
หลงและหลงใหลแม่นางไปแล้วกระมัง” นางพรายประกายแดงก็หัวร่อต่อกระซิกกัน ทำให้ชายหนุ่ม
ถึงกับอ้ำอึ้งๆไปทีเดียว
“หากเปรียบความสวยแล้วพี่เองว่าสู้น้องพี่ทั้งสองไม่ได้หรอกจ้า ทั้งสวยทั้งเก่งกาจอะไรปานนั้นหาก
พี่จะหลงใหลก็คงจะเป็นน้องทั้งสองนี่แหละจ้า” ชายหนุ่มย้อนกลับ
คราวนี้เล่นเอาเสียงหัวร่อหยุดชะงักไปทันที ทั้งสองต่างหน้าแดง
“เป็นความจริงหรือเจ้าค่ะท่านพี่” ทั้งสองกล่าวเสียงเกือบพร้อมๆกันแต่ใบหน้ากับแดงด้วยความอาย
ตามวิสัยของสตรีที่ถูกชายหนุ่มที่สนใจมาชมต่อหน้าเช่นนี้
“แต่น้องหามีตัวตนไม่ปราศจากเนื้อหนังมังสา ใยเล่าท่านพี่จะสนใจเจ้าค่ะ” นางพรายเลี่ยงตอบ
“อันคนเรานั้นหากชอบพอกันแล้วถึงปราศจากร่างกายที่ประกอบด้วยเนื้อหนังมังสาก็หาไม่หรอกน้อง
สิ่งที่ชอบเช่นพี่นี้หากแม้นไม่มีสิ่งดังกล่าว ลองชอบแล้วก็คือชอบจ๊ะ เช่นน้องทั้งสองของพี่เป็นต้น”
ชายหนุ่มย้อนกลับคืนทันใด
คราวนี้ทำเอาแม่นางพรายทั้งสองกลับหน้าแดงกล่ำไปกว่าเดิมเสียอีก ครั้นได้ยินชายหนุ่มที่นางพึงต้องใจ
กล่าวขึ้นอีกก็ยิ่งทำให้นางคิดพลางหาทางหลีกเลี่ยงทันที
“จริงๆนะหากมาดแม้นว่าให้พี่เลือกได้แล้วล่ะ พี่คงจะเลือกน้องทั้งสองนี่แหละจ้าที่คอยปรนนิบัติดูแลพี่
ตลอดมาด้วยความทุกข์ยากแสนเข็ญที่ผ่านมาจ๊ะ” ชายหนุ่มเอ่ยเย้าขึ้นอีก
“เอาล่ะจ๊ะท่านพี่ แล้วพรุ่งนี้เรื่องศึกสงครามจะออกเดินทางจะเริ่มกันเมื่อไหร่จ้า” นางได้โอกาสนอกเรื่อง
ทันที เพื่อหลีกเลี่ยงคารมอันคมคายของชายหนุ่ม ครั้นชายหนุ่มเห็นดังนั้นก็ทราบทันทีถึงความในใจนางกำลัง
จะเอ่ยตอบ พอดีทหารมาบอกว่าแม่นางจันทิราขอเข้าพบ เล่นเอาแม่นางพรายถึงกับใบหน้าง้ำทันทีแล้วก็ใช้
อิทธิฤทธิ์มิให้แม่นางจันทิราเห็นร่างกายแห่งตนยืนเคียงข้างชายหนุ่มทันที
“เชิญแม่นางเข้ามาได้” ชายหนุ่มกล่าวกับทหารที่มารายงาน ครั้นทหารได้รับฟังคำสั่งเช่นนั้นก็ออกไปเชื้อ
เชิญแม่นางให้เข้ามาได้ ร่างแม่นางจันทิราเข้ามาครานี้มาในร่างของอิสตรีหาได้แต่งเครื่องแบบทหารแต่อย่างไร
กับส่งประกายระยิบของเสื้อผ้ายามกระทบแสงไฟร่างขาวเหลืองนวลผ่องใบหน้ากลมแต่ผ่องใสยิ่งนักนับได้ว่า
เป็นนางงามที่สวยยิ่งนางหนึ่งตามชนเผ่าที่อยู่ตามขุนเขา ร่างที่อวบอัดของวัยสาวเต่งตึงตลอดจนปทุมถันที่ล้นจน
ล้ำทำให้เสื้อผ้าเด่นนูนออกมา ทำให้ชายหนุ่มถึงกับตาค้างไปในทันใด เมื่อนางนวยนาดเดินเข้ามาแล้วชายหนุ่ม
ก็เชิญให้นั่งยังเก้าอีก พลาวขึ้นทันที
“โอ้????.....แม่นางน้องเราให้เกียรติมาค่ำคืนนี้มีอะไรหรือ”
“หามิได้ท่านพี่ น้องเองก็คิดสงสัยว่าหากพี่นำทหารไปเพียงเล็กน้อยอาศัยทหารของชาวเมืองฮะคานั้นที่
คงจะมีจำนวนไม่มากนัก จะสามารถตีเมืองตองอูที่น้องคิดว่ามีกำลังมากกว่าเรา จึงใคร่จะมาเตือนเรื่องนี้แก่
พี่ท่านเจ้าค่ะ” นางกล่าวพลางหันไปมองรอบๆข้าง ด้วยนางยืนรอทหารยามที่เฝ้าหน้าห้องนั้นได้ยินเสียงของ
สตรีสองนางที่พากันหัวร่อเสียงดังเล็ดรอดออกมา ว่าท่านมหาอุปราชแห่งเมืองศิระสุริยันต์ใยจึงมีสตรีทั้งๆที
ตลอดเวลานางหาพบสตรีแต่อย่างไรไม่ ครั้นมองไปรอบๆเต็นท์ที่พักก็หาได้พบอิสตรีหรือสถานที่พอจะ
ซุกซ่อนร่างได้ ก็ยิ่งทำให้แปลกใจยิ่งนัก พลางอุทานออกมาทำให้ชายหนุ่มได้ยินแต่ก็เงียบไว้ไม่กล่าวแต่
อย่างใด
“เอ๊ะๆๆ....แปลกเหลือเกินก่อนที่จะเข้ามาน้องได้ยินท่านพี่คุยกับอิสตรีสองนาง แต่ใยเล่าบัดนี้หาได้มีไม่
หรือว่าน้องเองจะหูฝาดไปกระมัง เห็นหัวร่อต่อกระซิกกันและได้ยินคำพูดของท่านพี่เจรจาด้วยเจ้าค่ะ”
ชายหนุ่มหัวร่อเบาๆ พลางกล่าวว่า
“พี่เองนั้นลืมบอกแม่นางไปว่ามีน้องอยู่สองคนบัดนี้ก็ยังยืนอยู่เคียงข้างพี่นี่แหละ”
โอ้ยๆๆ?????.... ชายหนุ่มร้องเสียงดัง เมื่อพรายสาวทั้งสองต่างหยิกไปที่ท่อนแขนของเขาค่อนข้างแรง
“จริงหรือท่านพี่ที่กล่าวมาเมื่อกี้นี้นะ แต่น้องใยมิเป็นเล่าล่ะเจ้าค่ะ” นางขมวดคิ้วตอบ
“จริงซิพี่เองนั้นหาใช่เป็นคนที่โป้ปดมดเท็จใดเล่า เอาล่ะเดี๋ยวจะให้น้องพี่เห็น หากนับแล้วก็สมควรเป็นพี่ของ
แม่นางได้แล้วล่ะ” ชายหนุ่มกล่าว
แล้วพลางหันไปกล่าวแก่แม่นางพรายทั้งสองให้ปรากฏตัวได้เพื่อจะได้ทำความรู้จักกันไว้ ครั้นแม่นางพราย
ได้รับฟังชายหนุ่มกล่าวเช่นนั้น ด้วยความจำเป็นจึงต้องปรากฏร่างให้แม่นางจันทิราเห็น ด้วยเกรงชายหนุ่มจะ
โกรธเอา เนื่องจากนางก็มีความรักชอบต่อชายหนุ่มอยู่แล้ว
ครั้นเมื่อนางพรายทั้งสองปรากฏร่างให้แม่นางจันทิราเห็น ทำให้แม่นางถึงกับตกตลึงด้วยคาดคิดมิถึงว่า
ชายหนุ่มที่หล่อนเองหมายปองจะมีหญิงที่ช่างงดงามสดสวยกว่านางไปเสียอีกยืนเคียงข้างกระหนาบร่างคนที่
หล่อนเองหมายปองคิดว่า ในกองทัพนี้มีเพียงแต่นางผู้เดียวหามีหญิงอื่นใดไม่ ครั้นประสบดังนั้นแม่นาง
จันทิราก็ย่อกายลงทำความเคารพแก่แม่นางพรายทั้งสองทันที พลางกล่าวขึ้นว่า
“น้องจันทิราขอฝากเนื้อฝากตัวแด่ท่านพี่ทั้งสองด้วย หากน้องผิดพลาดประการใดขอท่านพี่จงเอ็นดูอย่าถือสา
ในความผิดของน้องเลยนะท่านพี่”
ครั้นนางพรายทั้งสองเห็นแม่นางจันทิราให้เกียรติพวกตนเช่นนี้ก็ให้นึกบังเกิดความเอ็นดู พลางกล่าวขึ้นว่า
“น้องพี่ไม่ต้องมากความไปใยเล่า ในเมื่อเราเองทั้งหมดก็อยู่ร่วมกันมาเนิ่นนานแล้วให้คิดว่าเราเสมือนหนึ่งดัง
ครอบครัวเดียวกันก็แล้วกัน นี่แน๊ะ “ พลันนางประกายเขียวก็ชี้ไปยังนางประกายแดงทันทีบอกนามออกมา
“นี่คือประกายแดงพี่สาวของข้าเอง ส่วนข้าชื่อประกายเขียว ส่วนชื่อท่านนั้นข้าทราบมานานแล้วด้วย
คอยติดตามท่านพี่ตลอดเวลา” นางพรายเอ่ยขึ้น
“นั่นซิน้องถึงไม่เคยเห็นท่านพี่ทั้งสองเลย ยังคิดว่าในกองทัพนี้จะมีแค่น้องเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นหากเป็น
เช่นนี้ก็นับได้ว่าน้องช่างมีบุญวาสนาที่มีพี่สาวทั้งสองเป็นเพื่อนสนทนา ต่อเบื้องหน้าขออัญเชิญท่านพี่ทั้งสอง
ไปเยี่ยมยังเต็นท์น้องบ้างนะจ๊ะท่านพี่” นางจันทิรากล่าวพลางยกมือไหว้ ทำให้นางพรายทั้งสองเอ็นดูยิ่ง
ขึ้นและทราบมาแล้วว่านางนี้มีฝีมือยิ่งนักเห็นจะเป็นกำลังสำคัญช่วยชายที่ตนหมายปองในกลางวันได้ ซึ่งนาง
เองช่วยได้ก็ไม่เต็มที่นัก ก็ให้บังเกิดความยินดีความอิจฉาริษยาหายไปหมดสิ้น
หาใช่ว่าเรามีแค่สามเท่านั้นยังมีนางหนึ่งซึ่งเป็นคู่หมั้นหมายของท่านมหาอุปราชหรือท่านพี่เราอีกนางหนึ่ง
แต่แม่นางเคยเป็นกษัตริย์แห่งเมืองอิสราวดีที่ถูกอำมาตย์คิดคดทรยศยึดอำนาจมาปกครองเสียเอง ชื่อคู่หมั้นของ
ท่านพี่ มีนามว่า “แม่นางอิสวดีนารี” หรืออีกนัยหนึ่งคือ “ อิสรวชิรบดินเดชา “ จ๊ะ” นางพรายกล่าวระหว่าง
เดินเข้าไปโอบร่างของนางจันทิรามาสวมกอดไว้ ทำให้ชายหนุ่มถึงกับโล่งในใจไปกลัวว่านางทั้งสามจะเข้ากัน
มิได้อันอาจเป็นรอยร้าวขึ้นในกาลข้างหน้า มาบัดนี้นางต่างเข้าใจกันและกันแล้วก็ทำให้ชายหนุ่มแสนจะยินดี
ปรี่เปรมยิ่งนัก จึง เชิญแม่นางทั้งสาม นั่งร่วมรับทานอาหารร่วมกันซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นผลไม้ นางพรายทั้งสอง
จึงแนะนำเจ้าประกายทองกับเจ้าประกายเงินแก่แม่นางจันทิรา
พลางชี้ไปยังร่างเจ้าลิงขนทองว่า มีชื่อว่า “ประกายทอง” และลิงขนขาวมีชื่อว่า “ประกายเงิน”แก่แม่นางทำ
ให้บังเกิดความสนเท่ห์แก่นางจันทิรายิ่งนักอยากทราบความเป็นไปเป็นมาของทั้งห้าทันที ชายหนุ่มก็เล่าความ
เบื้องหลังให้แม่นางฟัง และบอกชื่อเหล่านี้เขาเองเป็นคนตั้งชื่อให้ทั้งหมด พลันนางจันทิราก็กล่าวเสริมขึ้นว่า
ในเมื่อพี่น้องเราต่างมีชื่อนำหน้าว่าประกายทั้งสิ้น ข้าเองก็อยากจะขอร่วมมีส่วนร่วมด้วย จึงขอตั้งชื่อข้าเองว่า
ประกายจันทิราก็แล้วกันแล้วจะแจ้งให้ท่านพ่อทราบภายหลัง ทั้งหมดก็ต่างพากันหัวร่อต่างรับทานอาหาร
สนทนาเรื่องต่างๆไป ตลอดจนกลยุทธ์ในการศึกด้วย เจ้าขนทองเจ้าขนขาวเหมือนจะรู้เข้าใจยิ่งจึงคลอเคลีย
กับแม่นางจันทิราทันที แสดงอาการกระโดดโลดเต้นตามวิสัยลิงทั่วๆไปทั้งๆที่ร่างกายมันไล่เลี่ยกันเกือบจะ
เท่าร่างของคนก็ว่าได้ แต่ความคล่องแคล่วหาได้ล่าช้าไปไม่
ครั้นได้เวลานางจันทิราก็เชิญพี่ประกายแดงประกายเขียวและเจ้าลิงทั้งสองไปเยี่ยมเต็นท์นางบ้าง ครั้นเมื่อ
ถึงก็สั่งทหารที่เฝ้าหน้าเต็นท์ว่าหากทั้งสี่นี้เข้ามาไม่ต้องขัดขวางแต่ประการใดให้สั่งหน่วยยามให้ทราบทั่วๆกัน
ยิ่งทำความสนิทสนมแก่ทั้งหมดมากยิ่งๆขึ้น
จวบจนพระอาทิตย์ส่องแสงในยามวันใหม่สูงทอดแสงสว่างไสวไปทั่วบริเวณ บรรดาทหารทั้งหลายทั้ง
แม่ทัพนายกองก็เก็บค่ายต่างๆเสร็จสิ้นรอคำสั่งของชายหนุ่มที่จะสั่งการต่อไปด้วยความกระตือรือร้นยิ่งนัก
พอได้เวลาฤกษ์งามยามดีแล้วชายหนุ่มเดินออกมาพร้อมด้วยที่ปรึกษาใหญ่พลางกล่าวขึ้นว่าให้ทุกๆคน
จงร่วมใจเพื่อจะรวบรวมผืนแผ่นดินอาณาเขตต่างๆเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันประดุจดั่งพี่น้องทุกๆแคว้นเหมือนดั่ง
ก่อนเก่า บัดนี้ข้าจะให้ท่านที่ปรึกษาเป็นทัพหลวงคอยส่งกำลังหนุนไว้ การเดินทางคอยติดตามพวกเราไปเพื่อ
จะได้เสริมกำลังที่ยังขาดตกบกพร่อง ส่วนท่านแม่ทัพใหญ่ทั้งสองฝ่ายให้ดำเนินตามแผนที่เราวางไว้ เราเองก็
จะไปร่วมกับทหารแห่งฮะคาพร้อมกำลังทหารม้าและทหารราบเพียงแค่ห้าร้อยนายเท่านั้น
หากบรรลุตามเป้าหมายที่วางไว้ให้รวบรวมทหารแบ่งแยกไปเป็นสองฝ่ายดังเดิมเข้าโอบล้อมเมืองซิตเวทันที
อย่างพึ่งเข้าโจมตีเมือง รอจนกว่าจะได้รับคำสั่งจากท่านที่ปรึกษาใหญ่ท่านเหมี่ยวมังกะยอชวา ในการนี้เราคิดว่า
จะใช้ทหารภูเขาของเมืองหล่อยก่อและปะอานเป็นหลักแนวหน้าด้วยความเจนจบ ในภูมิประเทศที่เป็นเขาติดตาม
ด้วยทหารของแว่นแคว้นเมืองยะไข่ที่อาจจะเข้ามาร่วมรบเป็นพวกเดียวกับเราเป็นหน่วยเสริม ส่วนทหารที่ท่าน
แม่ทัพคุมอยู่ให้คอยเป็นกองกำลังหนุนหลัง ให้ท่านแม่ทัพนายกองทั้งหลายจัดกำลังพลดังที่ข้าสั่งไว้ คิดว่าหาก
ทหารภูเขาทั้งสองเจอกันย่อมก้ำกึ่งซึ่งกันและกันครั้นได้จังหวะให้หน่วยหนุนนำเหล่าทหารเขาร่วมเสริมทันที
หวังว่าทุกๆท่านคงจะเข้าใจตามแผนที่ที่เรามอบไว้ให้ท่านแล้ว ถึงแม้นตายในสนามรบถือได้ว่ามีเกียรติ
อันสูงส่งยิ่งนัก ทุกๆคนที่เก็บศพได้ให้ต่างคลุมร่างด้วยธงแห่งศิระสุริยันต์ทุกนายก่อนจะเผา หรือฝังตามสภาพ
ภูมิประเทศ อย่าให้บังเกิดอุจาดว่าพวกเราไม่กลมเกลียวกันรักใคร่ซึ่งกันและกันจงให้เกียรติแก่เหล่าทหารที่
เสียชีวิตประดุจหนึ่งดังญาติเราทั้งสิ้น แม่ทัพนายกองทั้งหลายจงจำคำของเราไว้ให้ดีอย่าได้เกิดผิดพลาดจาก
คำสั่งเราเกี่ยวกับทหารทั้งสิ้น
เสียงขานรับของแม่ทัพนายกองพร้อมเหล่าทั้งปวงกระหึ่มไปทั่วบริเวณขยายกว้างออกไปไกลๆ เหล่าพลทหาร
เมื่อได้ยินคำกล่าวของท่านแม่ทัพใหญ่เช่นนี้ก็ให้บังเกิดกำลังใจยิ่งขึ้นว่าถึงแม้ว่าตัวจะตายแต่ก็ได้รับเกียรติ
สูงส่งยิ่งนัก เพิ่มขวัญกำลังใจกระเหี้ยนกระหรือใคร่จะเข้าสู่สงครามปราศจากความเกรงกลัวใดๆทั้งสิ้น
ครั้นเสียงโห่ร้องจบลง ชายหนุ่มก็กล่าวขึ้นว่า ส่วนเราเองก็จะไปร่วมสมทบหลังจากปราบเมืองตองอู
และเมืองหงสาได้เรียบร้อยแล้วจะรีบนำทัพเข้าเมืองซิตเวทันที หากมาดแม้นมิทันการก็ให้ท่านที่ปรึกษา
ใหญ่ท่านเหมี่ยวมังกะยอชวาสั่งการแทนเราได้เมื่อโอกาสอำนวย ไม่จำเป็นต้องรอคอยเราหรอก พลางหัน
ไปทางท่านเหมี่ยวมังกะยอชวาแล้วเอื้อนเอ่ยว่า
“ศึกใหญ่ครั้งนี้เห็นว่าจะทำความลำบากใจแก่ท่านผู้เฒ่ายิ่งนักแล้ว”
“หามิได้พระเจ้าข้า หากแม้นว่าข้าจะสิ้นชีพก็ตามก็หาได้เสียดายไม่ด้วยได้รับใช้เบื้องยุคลธุลีพระบาทของ
พระองค์เช่นนี้ นับได้ว่าให้เกียรติแก่ข้าอย่างสูงส่งหาที่ใดเปรียบปานเสมอเหมือนมิได้พระเจ้าข้า”
พลางก็น้อมกายลงแสดงความคาราวะบนหลังม้าศึกทันที
เอาล่ะท่านทั้งหลายบัดนี้ถึงเวลาเริ่มแล้วให้พวกเราออกเดินทางร่วมกัน ครั้นถึงสถานที่ตามแผนที่ที่ข้ามอบ
แก่นายทัพนายกองให้แยกทางกันขอให้ประสบความโชคดีมีชัยแก่การในครั้งนี้ด้วยเถิด หากมาดแม้นฟ้าดินเอ็นดู
ต่อข้านักที่คิดจะรวบความผืนแผ่นดินเข้าเป็นหนึ่งเดียว การครั้งนี้ก็คงจะสำเร็จ
ทันใดนั้นนั่นเองเสียงคำรามลมพัดอ่อนๆจากฟากฟ้าก็ดังสะเทือนแล้วก็หายไปเสมือนหนึ่งดังอวยพร
แก่เหล่าทัพทั้งปวง ครั้นเมื่อชายหนุ่มได้ยินร่วมกับทหารทั้งปวงก็บังเกิดความยินดียิ่ง ที่ฟ้าดินยังอวยพร
ให้แก่เหล่าทหารทั้งปวงในการศึกเช่นนี้ยิ่งสร้างขวัญกำลังใจมากเป็นเท่าทวีคูณ เสียงเคลื่อนพละกำลังหลายแสน
ก็เริ่มขึ้นก้องกังวานออกไปไกล สร้างความตื่นตระหนกตะใจแก่เหล่าหน่วยสอดแนมของรัฐยะไข่ยิ่งนัก แม้แต่
เมืองซิตเวก็รีบกลับไปรายงานเจ้าเมืองทันทีว่า เหล่าทหารของเมืองศิระสุริยันต์ต่างถอยทัพไปหมดสิ้นแล้วทำให้
เจ้าเมืองซิตเว “มังตเวสีหะถึงกับส่งเสียงหัวร่อลั่นไปทั่ว พลางกล่าวเหล่ามหาอำมาตย์และแม่ทัพนายกอง
เมืองซิตเวว่า พวกมันคงเกรงกลัวในอำนาจของเรายิ่งนัก
พวกมันเป็นทหารราบไหนเลยจะเข้าตีเมืองเราซึ่งเต็มไปด้วยภูเขาและเหล่าต้นไม้ใหญ่เป็นเกราะกำบังเมือง
เป็นอย่างดี คงจะหนีหัวหดกลับยังแว่นแคว้นต่างๆที่มันตีได้
เพื่อหาหนทางมารุกรานพวกเราอีก ................
* แก้วประเสริฐ. *