ลุ่มลึกอิสราวดี 43

แก้วประเสริฐ


            ลุ่มลึกอิสราวดี  43
   แม่นางพรายทั้งสองหันมามองหน้ากัน   แล้วพลางหัวร่อกันเบาๆพรายประกายเขียวก็พลันตอบ
    “โอ้!!!!....แม่นางจันทิรานั้นหาใช่คนขี้เหร่ก็หาไม่นี่เจ้าค่ะ สวยออกอย่างนี้  ท่านพี่ก็หล่อเหลา
นักมีหรือจะไม่ใหลหลง”   แล้วนางก็ส่งเสียงหัวร่อดังๆอีก
     “ใช่แล้วเจ้าค่ะท่านพี่  น้องประกายเขียวตอบถูกต้อง  น้องเองก็คิดเหมือนกันว่าท่านพี่คงจะไหล
หลงและหลงใหลแม่นางไปแล้วกระมัง”   นางพรายประกายแดงก็หัวร่อต่อกระซิกกัน  ทำให้ชายหนุ่ม
ถึงกับอ้ำอึ้งๆไปทีเดียว
      “หากเปรียบความสวยแล้วพี่เองว่าสู้น้องพี่ทั้งสองไม่ได้หรอกจ้า ทั้งสวยทั้งเก่งกาจอะไรปานนั้นหาก
พี่จะหลงใหลก็คงจะเป็นน้องทั้งสองนี่แหละจ้า”  ชายหนุ่มย้อนกลับ
       คราวนี้เล่นเอาเสียงหัวร่อหยุดชะงักไปทันที  ทั้งสองต่างหน้าแดง
       “เป็นความจริงหรือเจ้าค่ะท่านพี่”      ทั้งสองกล่าวเสียงเกือบพร้อมๆกันแต่ใบหน้ากับแดงด้วยความอาย
ตามวิสัยของสตรีที่ถูกชายหนุ่มที่สนใจมาชมต่อหน้าเช่นนี้
        “แต่น้องหามีตัวตนไม่ปราศจากเนื้อหนังมังสา ใยเล่าท่านพี่จะสนใจเจ้าค่ะ”   นางพรายเลี่ยงตอบ
        “อันคนเรานั้นหากชอบพอกันแล้วถึงปราศจากร่างกายที่ประกอบด้วยเนื้อหนังมังสาก็หาไม่หรอกน้อง
สิ่งที่ชอบเช่นพี่นี้หากแม้นไม่มีสิ่งดังกล่าว ลองชอบแล้วก็คือชอบจ๊ะ เช่นน้องทั้งสองของพี่เป็นต้น”
ชายหนุ่มย้อนกลับคืนทันใด
     คราวนี้ทำเอาแม่นางพรายทั้งสองกลับหน้าแดงกล่ำไปกว่าเดิมเสียอีก ครั้นได้ยินชายหนุ่มที่นางพึงต้องใจ
กล่าวขึ้นอีกก็ยิ่งทำให้นางคิดพลางหาทางหลีกเลี่ยงทันที
      “จริงๆนะหากมาดแม้นว่าให้พี่เลือกได้แล้วล่ะ  พี่คงจะเลือกน้องทั้งสองนี่แหละจ้าที่คอยปรนนิบัติดูแลพี่
ตลอดมาด้วยความทุกข์ยากแสนเข็ญที่ผ่านมาจ๊ะ”   ชายหนุ่มเอ่ยเย้าขึ้นอีก
      “เอาล่ะจ๊ะท่านพี่  แล้วพรุ่งนี้เรื่องศึกสงครามจะออกเดินทางจะเริ่มกันเมื่อไหร่จ้า”   นางได้โอกาสนอกเรื่อง
ทันที  เพื่อหลีกเลี่ยงคารมอันคมคายของชายหนุ่ม       ครั้นชายหนุ่มเห็นดังนั้นก็ทราบทันทีถึงความในใจนางกำลัง
จะเอ่ยตอบ   พอดีทหารมาบอกว่าแม่นางจันทิราขอเข้าพบ   เล่นเอาแม่นางพรายถึงกับใบหน้าง้ำทันทีแล้วก็ใช้
อิทธิฤทธิ์มิให้แม่นางจันทิราเห็นร่างกายแห่งตนยืนเคียงข้างชายหนุ่มทันที
       “เชิญแม่นางเข้ามาได้”  ชายหนุ่มกล่าวกับทหารที่มารายงาน   ครั้นทหารได้รับฟังคำสั่งเช่นนั้นก็ออกไปเชื้อ
เชิญแม่นางให้เข้ามาได้   ร่างแม่นางจันทิราเข้ามาครานี้มาในร่างของอิสตรีหาได้แต่งเครื่องแบบทหารแต่อย่างไร
กับส่งประกายระยิบของเสื้อผ้ายามกระทบแสงไฟร่างขาวเหลืองนวลผ่องใบหน้ากลมแต่ผ่องใสยิ่งนักนับได้ว่า
เป็นนางงามที่สวยยิ่งนางหนึ่งตามชนเผ่าที่อยู่ตามขุนเขา ร่างที่อวบอัดของวัยสาวเต่งตึงตลอดจนปทุมถันที่ล้นจน
ล้ำทำให้เสื้อผ้าเด่นนูนออกมา    ทำให้ชายหนุ่มถึงกับตาค้างไปในทันใด  เมื่อนางนวยนาดเดินเข้ามาแล้วชายหนุ่ม
ก็เชิญให้นั่งยังเก้าอีก    พลาวขึ้นทันที
      “โอ้????.....แม่นางน้องเราให้เกียรติมาค่ำคืนนี้มีอะไรหรือ”
      “หามิได้ท่านพี่  น้องเองก็คิดสงสัยว่าหากพี่นำทหารไปเพียงเล็กน้อยอาศัยทหารของชาวเมืองฮะคานั้นที่
คงจะมีจำนวนไม่มากนัก จะสามารถตีเมืองตองอูที่น้องคิดว่ามีกำลังมากกว่าเรา  จึงใคร่จะมาเตือนเรื่องนี้แก่
พี่ท่านเจ้าค่ะ”   นางกล่าวพลางหันไปมองรอบๆข้าง  ด้วยนางยืนรอทหารยามที่เฝ้าหน้าห้องนั้นได้ยินเสียงของ
สตรีสองนางที่พากันหัวร่อเสียงดังเล็ดรอดออกมา   ว่าท่านมหาอุปราชแห่งเมืองศิระสุริยันต์ใยจึงมีสตรีทั้งๆที
ตลอดเวลานางหาพบสตรีแต่อย่างไรไม่    ครั้นมองไปรอบๆเต็นท์ที่พักก็หาได้พบอิสตรีหรือสถานที่พอจะ
ซุกซ่อนร่างได้  ก็ยิ่งทำให้แปลกใจยิ่งนัก  พลางอุทานออกมาทำให้ชายหนุ่มได้ยินแต่ก็เงียบไว้ไม่กล่าวแต่
อย่างใด
        “เอ๊ะๆๆ....แปลกเหลือเกินก่อนที่จะเข้ามาน้องได้ยินท่านพี่คุยกับอิสตรีสองนาง  แต่ใยเล่าบัดนี้หาได้มีไม่
หรือว่าน้องเองจะหูฝาดไปกระมัง  เห็นหัวร่อต่อกระซิกกันและได้ยินคำพูดของท่านพี่เจรจาด้วยเจ้าค่ะ”
ชายหนุ่มหัวร่อเบาๆ  พลางกล่าวว่า
        “พี่เองนั้นลืมบอกแม่นางไปว่ามีน้องอยู่สองคนบัดนี้ก็ยังยืนอยู่เคียงข้างพี่นี่แหละ” 
โอ้ยๆๆ?????....  ชายหนุ่มร้องเสียงดัง  เมื่อพรายสาวทั้งสองต่างหยิกไปที่ท่อนแขนของเขาค่อนข้างแรง
        “จริงหรือท่านพี่ที่กล่าวมาเมื่อกี้นี้นะ  แต่น้องใยมิเป็นเล่าล่ะเจ้าค่ะ”  นางขมวดคิ้วตอบ
        “จริงซิพี่เองนั้นหาใช่เป็นคนที่โป้ปดมดเท็จใดเล่า  เอาล่ะเดี๋ยวจะให้น้องพี่เห็น หากนับแล้วก็สมควรเป็นพี่ของ
แม่นางได้แล้วล่ะ”   ชายหนุ่มกล่าว
       แล้วพลางหันไปกล่าวแก่แม่นางพรายทั้งสองให้ปรากฏตัวได้เพื่อจะได้ทำความรู้จักกันไว้  ครั้นแม่นางพราย
ได้รับฟังชายหนุ่มกล่าวเช่นนั้น  ด้วยความจำเป็นจึงต้องปรากฏร่างให้แม่นางจันทิราเห็น  ด้วยเกรงชายหนุ่มจะ
โกรธเอา เนื่องจากนางก็มีความรักชอบต่อชายหนุ่มอยู่แล้ว
        ครั้นเมื่อนางพรายทั้งสองปรากฏร่างให้แม่นางจันทิราเห็น  ทำให้แม่นางถึงกับตกตลึงด้วยคาดคิดมิถึงว่า
ชายหนุ่มที่หล่อนเองหมายปองจะมีหญิงที่ช่างงดงามสดสวยกว่านางไปเสียอีกยืนเคียงข้างกระหนาบร่างคนที่
หล่อนเองหมายปองคิดว่า ในกองทัพนี้มีเพียงแต่นางผู้เดียวหามีหญิงอื่นใดไม่   ครั้นประสบดังนั้นแม่นาง
จันทิราก็ย่อกายลงทำความเคารพแก่แม่นางพรายทั้งสองทันที  พลางกล่าวขึ้นว่า
       “น้องจันทิราขอฝากเนื้อฝากตัวแด่ท่านพี่ทั้งสองด้วย หากน้องผิดพลาดประการใดขอท่านพี่จงเอ็นดูอย่าถือสา
ในความผิดของน้องเลยนะท่านพี่”
        ครั้นนางพรายทั้งสองเห็นแม่นางจันทิราให้เกียรติพวกตนเช่นนี้ก็ให้นึกบังเกิดความเอ็นดู พลางกล่าวขึ้นว่า
      “น้องพี่ไม่ต้องมากความไปใยเล่า  ในเมื่อเราเองทั้งหมดก็อยู่ร่วมกันมาเนิ่นนานแล้วให้คิดว่าเราเสมือนหนึ่งดัง
ครอบครัวเดียวกันก็แล้วกัน  นี่แน๊ะ “   พลันนางประกายเขียวก็ชี้ไปยังนางประกายแดงทันทีบอกนามออกมา
      “นี่คือประกายแดงพี่สาวของข้าเอง ส่วนข้าชื่อประกายเขียว  ส่วนชื่อท่านนั้นข้าทราบมานานแล้วด้วย
คอยติดตามท่านพี่ตลอดเวลา”  นางพรายเอ่ยขึ้น
       “นั่นซิน้องถึงไม่เคยเห็นท่านพี่ทั้งสองเลย  ยังคิดว่าในกองทัพนี้จะมีแค่น้องเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นหากเป็น
เช่นนี้ก็นับได้ว่าน้องช่างมีบุญวาสนาที่มีพี่สาวทั้งสองเป็นเพื่อนสนทนา  ต่อเบื้องหน้าขออัญเชิญท่านพี่ทั้งสอง
ไปเยี่ยมยังเต็นท์น้องบ้างนะจ๊ะท่านพี่”   นางจันทิรากล่าวพลางยกมือไหว้    ทำให้นางพรายทั้งสองเอ็นดูยิ่ง
ขึ้นและทราบมาแล้วว่านางนี้มีฝีมือยิ่งนักเห็นจะเป็นกำลังสำคัญช่วยชายที่ตนหมายปองในกลางวันได้ ซึ่งนาง
เองช่วยได้ก็ไม่เต็มที่นัก  ก็ให้บังเกิดความยินดีความอิจฉาริษยาหายไปหมดสิ้น
      หาใช่ว่าเรามีแค่สามเท่านั้นยังมีนางหนึ่งซึ่งเป็นคู่หมั้นหมายของท่านมหาอุปราชหรือท่านพี่เราอีกนางหนึ่ง
แต่แม่นางเคยเป็นกษัตริย์แห่งเมืองอิสราวดีที่ถูกอำมาตย์คิดคดทรยศยึดอำนาจมาปกครองเสียเอง ชื่อคู่หมั้นของ
ท่านพี่   มีนามว่า “แม่นางอิสวดีนารี”  หรืออีกนัยหนึ่งคือ “ อิสรวชิรบดินเดชา “ จ๊ะ”  นางพรายกล่าวระหว่าง
เดินเข้าไปโอบร่างของนางจันทิรามาสวมกอดไว้    ทำให้ชายหนุ่มถึงกับโล่งในใจไปกลัวว่านางทั้งสามจะเข้ากัน
มิได้อันอาจเป็นรอยร้าวขึ้นในกาลข้างหน้า   มาบัดนี้นางต่างเข้าใจกันและกันแล้วก็ทำให้ชายหนุ่มแสนจะยินดี
ปรี่เปรมยิ่งนัก  จึง เชิญแม่นางทั้งสาม นั่งร่วมรับทานอาหารร่วมกันซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นผลไม้   นางพรายทั้งสอง
จึงแนะนำเจ้าประกายทองกับเจ้าประกายเงินแก่แม่นางจันทิรา
       พลางชี้ไปยังร่างเจ้าลิงขนทองว่า มีชื่อว่า “ประกายทอง”  และลิงขนขาวมีชื่อว่า “ประกายเงิน”แก่แม่นางทำ
ให้บังเกิดความสนเท่ห์แก่นางจันทิรายิ่งนักอยากทราบความเป็นไปเป็นมาของทั้งห้าทันที    ชายหนุ่มก็เล่าความ
เบื้องหลังให้แม่นางฟัง  และบอกชื่อเหล่านี้เขาเองเป็นคนตั้งชื่อให้ทั้งหมด   พลันนางจันทิราก็กล่าวเสริมขึ้นว่า
ในเมื่อพี่น้องเราต่างมีชื่อนำหน้าว่าประกายทั้งสิ้น  ข้าเองก็อยากจะขอร่วมมีส่วนร่วมด้วย  จึงขอตั้งชื่อข้าเองว่า
ประกายจันทิราก็แล้วกันแล้วจะแจ้งให้ท่านพ่อทราบภายหลัง    ทั้งหมดก็ต่างพากันหัวร่อต่างรับทานอาหาร
สนทนาเรื่องต่างๆไป ตลอดจนกลยุทธ์ในการศึกด้วย เจ้าขนทองเจ้าขนขาวเหมือนจะรู้เข้าใจยิ่งจึงคลอเคลีย
กับแม่นางจันทิราทันที   แสดงอาการกระโดดโลดเต้นตามวิสัยลิงทั่วๆไปทั้งๆที่ร่างกายมันไล่เลี่ยกันเกือบจะ
เท่าร่างของคนก็ว่าได้  แต่ความคล่องแคล่วหาได้ล่าช้าไปไม่
        ครั้นได้เวลานางจันทิราก็เชิญพี่ประกายแดงประกายเขียวและเจ้าลิงทั้งสองไปเยี่ยมเต็นท์นางบ้าง  ครั้นเมื่อ
ถึงก็สั่งทหารที่เฝ้าหน้าเต็นท์ว่าหากทั้งสี่นี้เข้ามาไม่ต้องขัดขวางแต่ประการใดให้สั่งหน่วยยามให้ทราบทั่วๆกัน
ยิ่งทำความสนิทสนมแก่ทั้งหมดมากยิ่งๆขึ้น
       จวบจนพระอาทิตย์ส่องแสงในยามวันใหม่สูงทอดแสงสว่างไสวไปทั่วบริเวณ  บรรดาทหารทั้งหลายทั้ง
แม่ทัพนายกองก็เก็บค่ายต่างๆเสร็จสิ้นรอคำสั่งของชายหนุ่มที่จะสั่งการต่อไปด้วยความกระตือรือร้นยิ่งนัก
       พอได้เวลาฤกษ์งามยามดีแล้วชายหนุ่มเดินออกมาพร้อมด้วยที่ปรึกษาใหญ่พลางกล่าวขึ้นว่าให้ทุกๆคน
จงร่วมใจเพื่อจะรวบรวมผืนแผ่นดินอาณาเขตต่างๆเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันประดุจดั่งพี่น้องทุกๆแคว้นเหมือนดั่ง
ก่อนเก่า   บัดนี้ข้าจะให้ท่านที่ปรึกษาเป็นทัพหลวงคอยส่งกำลังหนุนไว้ การเดินทางคอยติดตามพวกเราไปเพื่อ
จะได้เสริมกำลังที่ยังขาดตกบกพร่อง  ส่วนท่านแม่ทัพใหญ่ทั้งสองฝ่ายให้ดำเนินตามแผนที่เราวางไว้  เราเองก็
จะไปร่วมกับทหารแห่งฮะคาพร้อมกำลังทหารม้าและทหารราบเพียงแค่ห้าร้อยนายเท่านั้น  
      หากบรรลุตามเป้าหมายที่วางไว้ให้รวบรวมทหารแบ่งแยกไปเป็นสองฝ่ายดังเดิมเข้าโอบล้อมเมืองซิตเวทันที
อย่างพึ่งเข้าโจมตีเมือง รอจนกว่าจะได้รับคำสั่งจากท่านที่ปรึกษาใหญ่ท่านเหมี่ยวมังกะยอชวา  ในการนี้เราคิดว่า
จะใช้ทหารภูเขาของเมืองหล่อยก่อและปะอานเป็นหลักแนวหน้าด้วยความเจนจบ  ในภูมิประเทศที่เป็นเขาติดตาม
ด้วยทหารของแว่นแคว้นเมืองยะไข่ที่อาจจะเข้ามาร่วมรบเป็นพวกเดียวกับเราเป็นหน่วยเสริม ส่วนทหารที่ท่าน
แม่ทัพคุมอยู่ให้คอยเป็นกองกำลังหนุนหลัง  ให้ท่านแม่ทัพนายกองทั้งหลายจัดกำลังพลดังที่ข้าสั่งไว้   คิดว่าหาก
ทหารภูเขาทั้งสองเจอกันย่อมก้ำกึ่งซึ่งกันและกันครั้นได้จังหวะให้หน่วยหนุนนำเหล่าทหารเขาร่วมเสริมทันที
        หวังว่าทุกๆท่านคงจะเข้าใจตามแผนที่ที่เรามอบไว้ให้ท่านแล้ว  ถึงแม้นตายในสนามรบถือได้ว่ามีเกียรติ
อันสูงส่งยิ่งนัก ทุกๆคนที่เก็บศพได้ให้ต่างคลุมร่างด้วยธงแห่งศิระสุริยันต์ทุกนายก่อนจะเผา หรือฝังตามสภาพ
ภูมิประเทศ อย่าให้บังเกิดอุจาดว่าพวกเราไม่กลมเกลียวกันรักใคร่ซึ่งกันและกันจงให้เกียรติแก่เหล่าทหารที่
เสียชีวิตประดุจหนึ่งดังญาติเราทั้งสิ้น  แม่ทัพนายกองทั้งหลายจงจำคำของเราไว้ให้ดีอย่าได้เกิดผิดพลาดจาก
คำสั่งเราเกี่ยวกับทหารทั้งสิ้น
    เสียงขานรับของแม่ทัพนายกองพร้อมเหล่าทั้งปวงกระหึ่มไปทั่วบริเวณขยายกว้างออกไปไกลๆ เหล่าพลทหาร
เมื่อได้ยินคำกล่าวของท่านแม่ทัพใหญ่เช่นนี้ก็ให้บังเกิดกำลังใจยิ่งขึ้นว่าถึงแม้ว่าตัวจะตายแต่ก็ได้รับเกียรติ
สูงส่งยิ่งนัก   เพิ่มขวัญกำลังใจกระเหี้ยนกระหรือใคร่จะเข้าสู่สงครามปราศจากความเกรงกลัวใดๆทั้งสิ้น
     ครั้นเสียงโห่ร้องจบลง ชายหนุ่มก็กล่าวขึ้นว่า  ส่วนเราเองก็จะไปร่วมสมทบหลังจากปราบเมืองตองอู
และเมืองหงสาได้เรียบร้อยแล้วจะรีบนำทัพเข้าเมืองซิตเวทันที  หากมาดแม้นมิทันการก็ให้ท่านที่ปรึกษา
ใหญ่ท่านเหมี่ยวมังกะยอชวาสั่งการแทนเราได้เมื่อโอกาสอำนวย  ไม่จำเป็นต้องรอคอยเราหรอก พลางหัน
ไปทางท่านเหมี่ยวมังกะยอชวาแล้วเอื้อนเอ่ยว่า
       “ศึกใหญ่ครั้งนี้เห็นว่าจะทำความลำบากใจแก่ท่านผู้เฒ่ายิ่งนักแล้ว”
       “หามิได้พระเจ้าข้า  หากแม้นว่าข้าจะสิ้นชีพก็ตามก็หาได้เสียดายไม่ด้วยได้รับใช้เบื้องยุคลธุลีพระบาทของ
พระองค์เช่นนี้  นับได้ว่าให้เกียรติแก่ข้าอย่างสูงส่งหาที่ใดเปรียบปานเสมอเหมือนมิได้พระเจ้าข้า”
พลางก็น้อมกายลงแสดงความคาราวะบนหลังม้าศึกทันที
      เอาล่ะท่านทั้งหลายบัดนี้ถึงเวลาเริ่มแล้วให้พวกเราออกเดินทางร่วมกัน ครั้นถึงสถานที่ตามแผนที่ที่ข้ามอบ
แก่นายทัพนายกองให้แยกทางกันขอให้ประสบความโชคดีมีชัยแก่การในครั้งนี้ด้วยเถิด หากมาดแม้นฟ้าดินเอ็นดู
ต่อข้านักที่คิดจะรวบความผืนแผ่นดินเข้าเป็นหนึ่งเดียว  การครั้งนี้ก็คงจะสำเร็จ  
        ทันใดนั้นนั่นเองเสียงคำรามลมพัดอ่อนๆจากฟากฟ้าก็ดังสะเทือนแล้วก็หายไปเสมือนหนึ่งดังอวยพร
แก่เหล่าทัพทั้งปวง    ครั้นเมื่อชายหนุ่มได้ยินร่วมกับทหารทั้งปวงก็บังเกิดความยินดียิ่ง  ที่ฟ้าดินยังอวยพร
ให้แก่เหล่าทหารทั้งปวงในการศึกเช่นนี้ยิ่งสร้างขวัญกำลังใจมากเป็นเท่าทวีคูณ    เสียงเคลื่อนพละกำลังหลายแสน
ก็เริ่มขึ้นก้องกังวานออกไปไกล  สร้างความตื่นตระหนกตะใจแก่เหล่าหน่วยสอดแนมของรัฐยะไข่ยิ่งนัก  แม้แต่
เมืองซิตเวก็รีบกลับไปรายงานเจ้าเมืองทันทีว่า   เหล่าทหารของเมืองศิระสุริยันต์ต่างถอยทัพไปหมดสิ้นแล้วทำให้
เจ้าเมืองซิตเว “มังตเวสีหะถึงกับส่งเสียงหัวร่อลั่นไปทั่ว  พลางกล่าวเหล่ามหาอำมาตย์และแม่ทัพนายกอง
เมืองซิตเวว่า   พวกมันคงเกรงกลัวในอำนาจของเรายิ่งนัก 
 พวกมันเป็นทหารราบไหนเลยจะเข้าตีเมืองเราซึ่งเต็มไปด้วยภูเขาและเหล่าต้นไม้ใหญ่เป็นเกราะกำบังเมือง
เป็นอย่างดี  คงจะหนีหัวหดกลับยังแว่นแคว้นต่างๆที่มันตีได้
เพื่อหาหนทางมารุกรานพวกเราอีก ................
              * แก้วประเสริฐ. *

Cartoon_Animation_08.gifn016.gif				
comments powered by Disqus
  • โคลอน

    11 มีนาคม 2553 13:21 น. - comment id 115735

    46.gif46.gif46.gif
    
    ลุ้นตามอย่างเงียบๆ46.gif
  • แก้วประเสริฐ

    11 มีนาคม 2553 15:58 น. - comment id 115743

    36.gif16.gif36.gif
    คุณ โคลอน
    
       คุณฝนครับตอนนี้ผมกำลังเร่งๆอยู่ครับ คงอีก
    ไม่นานหรอกครับก็จะจบเมื่อวานนี้ส่งที่เดียว
    สามตอนเลยครับ วันนี้ยังไม่รู้เหมือนกันเน๊อะ อิอิ
    รักเสมอ
    
             16.gifแก้วประเสริฐ.16.gif

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน