ลุ่มลึกอิสราวดี 41 เมื่อมังสุริยะชัยครั้นนั่งบัลลังก์เรียบร้อยแล้ว ซ้ายขวานั่งด้วยเจ้าลิงทั้งสองเคียงข้างขาเขา พลางมองเหล่าอำมาตย์ขุนทัพนายกองของเมืองปะอาน ที่ถูกควบคุมตัวมานั่งอยู่เบื้องหน้า เรียงรายไปทั่วต่างถูกมัดมือไขว้หลังก้มหน้า ทุกๆคนล้วนแต่ใบหน้าหมองเศร้ามีแต่เพียง หนึ่งเดียวเป็นชายหนุ่มที่อาการปกติหาได้หวาดหวั่นแต่ประการใดไม่ ชายหนุ่มจึงเพ่งมอง เป็นพิเศษ เขาเป็นชายหนุ่มที่มีลักษณะราศีผ่องใสยิ่งนัก ใบหน้าคางเหลี่ยมแต่หน้าผากกว้าง สันจมูกโด่ง คิ้วหนาจรดเกือบใบหู หูยาวใหญ๋ผิดธรรมดา นั่งเงยหน้ามองมาทางเขา หาได้ก้มหน้าเหมือนพวกเหล่าเชลยอื่นก็หาไม่ ดวงตามกลมโตใหญ่จ้องแต่อ่อนโยน จึงให้บังเกิดความกังขายิ่งนัก พลางกล่าวกับทหารให้แก้มัดแก่ชายหนุ่มคนนี้แล้วให้ยืนขึ้น ก้าวเข้ามาหาเขา เมื่อชายหนุ่มดังกล่าวถูกแก้มัดแล้วพลางก็ยืนขึ้นอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว พร้อมทั้งก้มคาราวะแก่มังสุริยะชัยทันที แล้วเดินผ่านเหล่าเชลยทั้งหลายจวบจนใกล้จึงหยุด น้อมคาราวะชายหนุ่มอีกครั้ง ดังนั้นเมื่อชายหนุ่มมองดูลักษณะร่างกายช่างองอาจยิ่งนัก สง่าผ่าเผยผิดกับบรรดาอำมาตย์แม่ทัพนายกองทั้งหลาย จึงกล่าวว่า “เจ้ามีชื่อประการใดหรือ” “ข้าพระองค์มีนามว่า “กะมังกะยอ พระเจ้าข้า” ชายหนุ่มน้อมกายตอบ “ ในเมืองปะอานนี้เจ้าทำหน้าที่ใดล่ะ” มังสุริยะชัยกล่าวถามอีก “ข้ามีหน้าที่เป็นสมุห์ราชองครักษ์พระเจ้าข้า” มังสุริยะชัยก็ให้บังเกิดความชอบใจแก่ชายหนุ่มที่ตอบได้ฉะฉานนอบน้อมและมิเกรงกลัวใดๆ “แล้วเจ้าฝึกทางด้านการรบพุ่งหรือไม่ล่ะ” “ข้าขอเรียนว่า ข้าเองร่ำเรียนมาทั้งด้านหนังสือและอาวุธต่างๆพร้อมมูลพระเจ้าข้า” “เอ๊ะ???....แปลกจริงนะ ใยเจ้าถึงเป็นแค่เพียงสมุห์ราช องค์รักษ์เท่านั้นหนอ” ชายหนุ่มรำพึง “ ด้วยกระหม่อมเองมิได้คิดจะใฝ่สูงในบรรดาลาภยศใดๆ เพียงแค่เข้ามาเพื่อจะรับใช้เมือง ด้วยการแนะนำของท่านรองแม่ทัพเอง ซึ่งตอนแรกข้าพระองค์ปฏิเสธแต่ท่านรองแม่ทัพ ร้องขอจะให้อยู่ช่วยในกองทัพ แต่ข้าพระองค์เห็นว่าเมืองปะอานนั้น เจ้าเมืองเป็นคนใช้แต่อารมณ์เป็นใหญ่มิฟังผู้ใด จึงกล่าวแก่ท่านรองแม่ทัพว่า หากจะให้ข้ารับใช้ก็ได้ ขอเพียงทำงานด้านหนังสือฝ่ายทหารเท่านั้นพระเจ้าข้า” “แล้วรองแม่ทัพนั้นตอนนี้ยังอยู่หรือไม่ล่ะเจ้ากะมังกะยอ” “ยังอยู่พระเจ้าข้า แต่ถูกมัดอยู่เบื้องพระพักตร์พระองค์แล้วพระเจ้าข้า” กะมังกะยอกล่าวถวาย พลางชี้ตัวรองแม่ทัพคนนั้นทันที มังสุริยะชัยหันไปมองตามที่ชายหนุ่มชี้ตัวเห็นเป็นชายรูปร่างสูงใหญ่องอาจผ่าเผยสมเป็นชาย ชาติทหาร จึงให้ทหารแก้มัดเหล่าอำมาตย์แม่ทัพนายกองทั้งหมดทันที พลางกล่าวขึ้นว่าใครเป็นคน ที่แนะนำเจ้ากะมังกะยอมารับราชการล่ะ ให้ก้าวออกมาซิ พลันทหารร่างองอาจคนนั้นก็ก้าวหน้า ออกมาแล้วถวายความคาราวะทันที “เจ้าหรือที่แนะนำตัวชายหนุ่มกะมังกะยอ แล้วเจ้าทำหน้าที่ในกองทัพตำแหน่งใดหรือเหตุใด จึงแนะนำตัวกะมังกะยอมาทำงานด้วยล่ะ” “ขอเดชะด้วยข้าเองตรวจดูลักษณะถูกต้องตามตำราว่า บุคคลเช่นนี้หากต่อไปในอนาคตจะได้เป็น ใหญ่เป็นโต หากหมกมุ่นอยู่กับงานด้านช่างตีเหล็กก็หาสมควรไม่พระเจ้าข้า” “ อืมมๆๆๆ....นับว่าสายตาเจ้ามิเลวเลยถึงกับรู้ตำราว่าด้วยลักษณะคนและเหมือนกับข้าที่มองเจ้ากะ มังกะยอคล้ายๆกับเจ้า เจ้ามีชื่อว่าอะไรเล่า” มังสุริยะชัยถาม “ขอเดชะข้าเองมีนามว่ามุสะกะยีเป็นรองแม่ทัพเหล่าทหารหน่วยสอดแนมพระเจ้าข้า” มุสะกะยีทูลขึ้น ครั้นมังสุริยะชัยทราบเช่นนั้นก็มิได้กล่าวประการใดอีก พลางสอบถามบรรดาอำมาตย์แม่ทัพนายกอง ทุกๆนาย ครั้นไตร่ตรองเห็นว่าบางคนนั้นยังเป็นคนมักมากใช้อำนาจในทางไม่สมควรนักจึงสั่งปลด บรรดาอำมาตย์แม่ทัพนายกองบางคนออกจากตำแหน่งทันที ส่วนมหาอำมาตย์ใหญ่แม่ทัพใหญ่ให้นำไป ประหารชีวิตเสียพร้อมยึดทรัพย์สินต่างๆที่ใช้อำนาจในทางที่ผิดตลอดบรรดาแม่ทัพนายกองบางคนเสียสิ้น พร้อมทั้งแต่งตั้งแม่ทัพใหญ่ใหม่ทันทีโดยให้มุสะกะยีขึ้นดำรงตำแหน่งแทนส่วนแม่ทัพอื่นๆที่ มีความผิดตลอดจนอำมาตย์ทั้งปวงก็ให้ถอดยศเป็นไพร่ แล้วทรงแต่งตั้งรองขึ้นมาใหม่แทนตำแหน่งเดิม ทำให้บรรดาอำมาตย์แม่ทัพที่มีความผิดต่างตกใจใบหน้าซีดเผือดไปตามๆกัน ส่วนที่ได้รับการแต่งตั้งใหม่ ก็ใบหน้าแจ่มใส แล้วต่างถวายพระพรให้คำสัตย์ปฏิญาณตนเองว่าจะซื่อสัตย์ต่อพระองค์ตลอดไปหากจะ ใช้ให้ทำอะไรแม้แต่บุกน้ำลุยไฟก็หาหวาดหวั่นไม่ แล้วสั่งให้ทหารถอดเครื่องแบบพวกที่ถูกลงโทษออก เสีย ส่วนที่ถูกประหารก็ถูกนำตัวออกไปและให้ทหารไปยึดทรัพย์สินทั้งหมดของบรรดาที่ถูกยึดทรัพย์ ให้เก็บมาเข้ายังคลังของเมืองปะอานต่อไป เมื่อมังสุริยะชัยกล่าวจบ ก็พลางประกาศว่าอันเมืองปะอานนี้เป็นเมืองสำคัญนักที่ล้วนแล้วแต่ภูเขายาก แก่การโจมตี หากจะขาดเจ้าเมืองไปหรือก็จะทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในการแก่งแย่งอำนาจกันเอง ดังนั้น ข้าขอให้แม่ทัพใหญ่และมวลอำมาตย์ที่ถูกแต่งตั้งใหม่นั้นคิดว่าใครเล่าที่จะขึ้นครองเมืองต่อไป ทำให้มวล เหล่ามหาอำมาตย์และแม่ทัพนายกองต่างๆพลางมองหน้า แล้วพลางกราบทูลพร้อมๆกันว่า “ขอเดชะ ขอให้เป็นหน้าที่ของพระองค์เถิดพระเจ้าข้า พวกข้าเองนั้นจะยินยอมพร้อมใจยอมรับหาก เป็นพระประสงค์ของพระองค์พระเจ้าข้า” ครั้นมังสุริยะชัยได้ฟังเช่นนั้นก็คิดเหมือนดังที่กล่าวไปแล้วว่าเหตุการณ์ต้องออกมาในรูปนี้ หากแม้นว่า ใครกล่าวขึ้นเองก็หมายถึงความจงรักภักดีหามิไม่ด้วยเสแสร้งเป็นสำคัญแก่เรา ดังนั้นจึงประกาศขึ้นทันที “ข้าเองไตร่ตรองโดยรอบคอบแล้วว่าเพื่อประโยชน์แก่ประชาชนชาวปะอานตลอดจนแว่นแคว้นของ กระเหรี่ยงจึงประกาศขอแต่งตั้งให้เจ้า “กะมังกะยอ” ขึ้นครองราชย์บัลลังก์ต่อไป มีใครจะคัดค้านก็ให้แจ้ง แก่ข้ามามิต้องกังวลเกรงใจข้า” เหล่าอำมาตย์และแม่ทัพนายกองทั้งหมดถึงกับตกตลึงด้วยคาดคิดมิถึงว่า สมุห์ราชองครักษ์ที่มีตำแหน่ง น้อยนิดนี้จะได้ถึงกลับเป็นเจ้าเมืองครองแผ่นดินต่อไป ต่างพากันส่งเสียงงึมงำไปทั่วพลางหันมามองเจ้า กะมังกะยอทันที มังสุริยะชัยเห็นเช่นนั้นก็ทรงพระสรวลพลางดำรัสขึ้นว่า “อันเจ้าเมืองคนเก่าแห่งปะอานนั้นมีตาหามีแววไม่ พวกเจ้ารู้หรือไม่อันเจ้ากะมังกะยอนี้เพียงแวบเดียวข้า เห็นก็รู้ว่า มันเป็นคนเก่งกล้าสามารถยิ่งนักเชี่ยวชาญการปกครองตลอดจนปฏิภาณไหวพริบ เฉลียวฉลาดหาคนจับตัวได้ยากนัก ที่สำคัญมันเป็นคนที่รู้จักประมาณในตัวยิ่งนัก หาได้มีความทะเยอทะยานเหมือนคนที่ข้าสั่งให้ประหารไป ซึ่งมีแต่ความโลภโมโทสันหาคิดคุณค่าแผ่นดินหวังแต่เพียงแค่ลาภยศเพื่อ ใช้เป็นประโยชน์แก่ตัวเองและพวกพ้องของตนเป็นสำคัญ หาได้รู้คุณค่าของประชาชนก็หาไม่ คิดเพียงแต่ จะเป็นใหญ่ใครล้มก็จะข้ามเสียหวังเพื่อคิดตลอดเวลาจะครอบครองผืนแผ่นดินนี้ มิได้มีความสัตย์ซื่อต่อผืน แผ่นดินเกิดของพวกมันเอง หากมาดแม้นต่อไปยามเจ้าเมืองชราขึ้นไอ้พวกอำมาตย์และบริวารพร้อมกับ แม่ทัพใหญ่มันก็จะยึดอำนาจมาปกครองและต่อสู้กันเอง ส่วนไพร่พลที่ถูกข้าปลดไปนั้นมันก็เป็นพวกคอย สนับสนุนหยิ่งยโสโอหังมิคิดถึงคุณของพวกราษฎร์ที่อุ้มชูมันมา กินเงินเดือนที่ประชาส่งมาให้เท่านั้นหาก ต่อไปจะสร้างความยุ่งยากแก่การครองเมืองของเจ้ากะมังกะยอ ด้วยบุคคลพวกนั้นจะหาทางคิดล้มล้างเอง และจะสร้างความเดือดร้อนให้แก่พวกกะเหรี่ยงทั้งมวลในอนาคต เจ้ากะมังกะยอนั้นมันเป็นคนมีความเมตตา เป็นที่ตั้งย่อมทำให้ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินอยู่ได้อย่างสงบสุข ข้าเองเมื่อไม่มีคนคัดค้านแต่ประการใดจึงขอประกาศ ในที่นี้ว่า ให้ทุกๆคนจงช่วยเหลือเป็นภาระดูแลแก่เจ้ากะมังกะยอต่อไปด้วย” บรรดาเหล่าอำมาตย์แม่ทัพนายกองเมืองปะอานทั้งหลายครั้นได้รับฟังต่างพากันอ้าปากค้างไปตามๆกัน มันไม่คิดว่าชายหนุ่มอายุน้อยเพียงเท่านี้ใยถึงมีความคิดอ่านล้ำลึกเช่นนี้ และไม่สงสัยเลยว่าทำไมชายหนุ่มนี้ ถึงได้สามารถควบคุมบรรดาทหารทั้งหลายตลอดจนเข้าตีแว่นแคว้นต่างๆได้มาโดยง่ายดาย แม่แต่เมืองปะอาน ที่มีชัยภูมิอันยากแก่การโจมตียังต้องเสียดินแดนต่างๆตลอดจนเมืองให้แก่ชายหนุ่มน้อยคนนี้ไป แล้วได้ยิน ชายหนุ่มคนนี้ ที่หันหน้าไปทางทหารของตนที่ล้วนแต่องอาจกล้าหาญถืออาวุธครบมือพร้อมเพรียงกัน พลางหันไปสั่งให้ทหารแจ้งแก่ฝ่ายในให้นำมงกุฎผู้ครอบครองแคว้นมาเพื่อเราจะสวมให้แก่เจ้ากะมังกะยอ ครั้นทหารรับคำสั่งแล้วก็ไปแจ้งแก่ฝ่ายในทันที บัดเดี๋ยวเหล่าสนมกำนัลทั้งหลายต่างพากันเดินถือพานที่ใส่ มงกุฎเจ้าเมืองออกมา ตลอดจนนักดนตรีและเหล่านางรำเข้ามาพร้อมเพรียงกัน มังสุริยะชัยจึงเรียกชายหนุ่ม เจ้ากะมังกะยอให้มาพบทันที ฝ่ายเจ้ากะมังกะยะนึกไม่ถึงว่าตนเองจะได้รับความเอ็นดูจากมังสุริยะชัยเช่นนี้ ถึงกลับน้ำตาซึม รีบเข้าไปพลางก้มลงกราบยังเท้าของมหาอุปราชแห่งแคว้นศิระสุริยันต์ทันที มังสุริยะชัยรีบเข้าไปพยุงร่างให้ลุกขึ้นพลางกล่าวว่า เราจะเป็นคนครอบมงกุฎแก่เจ้าเพื่อครอบครองแผ่นดิน ต่อไป กะมังกะยอเมื่อได้รับฟังเช่นนั้น ก็คุกเข่าลงต่อหน้าแล้วมังสุริยะชัยก็พลันสวมมงกุฎลงบนหัวเจ้า กะมังกะยอทันที ทันใดเสียงดนตรีพร้อมนางรำก็ฟ้อนถวายเฉลิมฉลองกษัตริย์องค์ใหม่แห่งแคว้นกระเหรี่ยง มังสุริยะชัยพลางกล่าวขึ้นในท่ามกลางเหล่าอำมาตย์ทหารหลายว่า ข้าแต่งตั้งเจ้ากะมังกะยอเป็นกษัตริย์ แล้วข้าจะเปลี่ยนชื่อให้ใหม่เพื่อเป็นต้นตระกูลราชวงศ์ใหม่ว่า “อลองสิธูบดินทร์” นับแต่นี้ไป บรรดาอำมาตย์แม่ทัพนายกองเมืองปะอานต่างเข้าน้อมถวายพระพรกษัตริย์องค์ใหม่เพื่อเข้าถวายสัตย์ ปฏิญาณตนแก่กษัตริย์องค์ใหม่ด้วยเสียงสนั่นลั่นไปทั่วท้องพระโรง มังสุริยะชัยก็จูงมือกษัตริย์อลองสิธูบดินทร์ ขึ้นนั่งยังราชบัลลังก์ กษัตริย์แห่งเมืองประอานหลังจากรับคำสัตย์ปฏิญาณตนแล้ว เขาก็นำบรรดาอำมาตย์ แม่ทัพนายกองทั้งหมดเข้าให้สัตย์ปฏิญาณตนกับท่านมหาอุปราชว่าต่อไปนี้เมืองปะอานก็จะขอร่วมเป็น ร่วมตายกับพระมหาอุปราชราชแม้จะชีวิตจะหาไม่ก็ตาม ทำให้มหาอุปราชแห่งเมืองศิระสุริยันต์ซึ้งพระหทัย เมื่อพระองค์ครั้นจัดการทางนี้เรียบร้อยแล้ว ก็สั่งทหารทั้งหมดให้กลับไปยังค่ายพักทหารนอกเมืองทันที ก่อนที่มังสุริยะชัยจะหันกลับ กษัตริย์องค์ใหม่ก็เข้ามาน้อมกายลงคุกเข่าพลางกล่าวคำปฏิญาณตนเอง ว่าจะดำรงทศพิธราชธรรมตามพระองค์และจะซื่อสัตย์ต่อพระองค์ตราบชั่วชีวิต พลางกล่าวว่าพึ่งจะดำรง ตำแหน่งหากเมื่อจัดการทางนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้วก็จะจัดหน่วยทหารเข้าร่วมกับพระองค์ทันที มังสุริยะชัย ครั้นได้ยินเช่นนั้นก็หัวร่อพลางตบไหล่เบาๆ แล้วกล่าวว่า “ขอให้เจ้าจงปกครองไพร่ฟ้าประชาชนให้สงบสุข ข้าเองเมื่อเสร็จธุระแล้วก็จะคืนแว่นแคว้นต่างๆเจ้า ครอบครองแต่เดิม หากได้ทหารเจ้าเข้าร่วมกับเราก็จะดียิ่งนักด้วยทหารเจ้าเชี่ยวชาญด้านหุบผาแนวไพร ขุนเขามาก” “ข้าพระองค์ขอเพียงขอร้องพระองค์ทรงพักสักอาทิตย์หนึ่ง ข้าเองจะนำทัพไปร่วมกับพระองค์พระเจ้าข้า” “ไม่ต้องหรอกเจ้าอลองสิธูบดินทร์ ขอเพียงเจ้าส่งแม่ทัพนายกองให้แก่เราก็เพียงพอแล้ว เอาล่ะข้า เองก็จะทำตามที่เจ้าขอร้องแต่ทว่า ข้าเองไม่ชอบการต้อนรับที่เอิกเกริกนักจะขอพักที่ค่ายทหารเราเท่านั้น หากเจ้ามีขอปรึกษาใดแก่เราก็มาหาเราได้เสมอนะ” “พระเจ้าจ้า ข้าพระพุทธเจ้าจะส่งของลำเลียงไปตลอดเวลาที่พระองค์พำนักที่ค่ายทหารพระเจ้าข้า” “เอาล่ะขอบใจเจ้ามาก ข้าเองกลับก่อนนะอย่าลืมคำมั่นสัญญาเสียล่ะ” “ชั่วชีวิตนี้ข้าพระองค์หาลืมเลือนไม่พระเจ้าข้า” กะมังกะยอกล่าวด้วยความนอบน้อม เมื่อชายหนุ่มออกจากเมืองปะอานแล้วก็กลับยังที่พัก แล้วเรียกประชุมนายทัพนายกองสำรวจทหารทันที การศึกครั้งนี้ฝ่ายเราเสียทหารไปจำนวนไม่มาก ครั้นได้รับรายงานเช่นนี้ก็สร้างความดีใจยิ่งนักแก่ชายหนุ่ม พร้อมทั้งตบรางวัลแก่เหล่าทหารทั้งปวงพร้อมทั้งให้จัดงานฉลองให้สนุกสนานที่เหน็ดเหนื่อยต่องานมาแล้ว จากนั้นชายหนุ่มก็จูงมือท่านมหาอำมาตย์ใหญ่มาร่วมรับทานอาหารด้วยกันพร้อมกับแม่นางจันทิรา พลาง เอ่ยชมเชยแม่นางจันทิรามิขาดปาก ทำให้แม่นางจันทิราถึงกับเอียงอาย ระหว่างทานพลางหัวร่อขึ้นทันทีทำ ให้มหาอำมาตย์และแม่นางจันทิราสงสัยจึงถามว่า “พระองค์ทรงพระสรวลอะไรหรือพระเจ้าข้าถึงได้ทรงนานเช่นนี้” “ที่เราหัวร่อมากเช่นนี้ด้วยมองไปข้างหน้าว่าอันไอ้อำมาตย์แห่งเมืองอิสราวดีเห็นทีจะไม่พ้นความตายไป จากมือเจ้ากะมังกะยอไปได้หรอก” แล้วก็เล่าความต่างๆให้ท่านมหาอำมาตย์ทราบเรื่องราวต่างๆทั้งหมดฟังตลอดจนลักษณะต่างๆของเจ้าเมือง ใหม่ให้ฟัง มหาอำมาตย์ที่ปรึกษาครั้นได้ฟังก็หลับตาลงครุ่นคิดถึงลักษณะที่ชายหนุ่มบ่งบอกแล้วลืมตาเอ่ยขึ้น “ข้าพระองค์ตรวจดูนึกถึงตำราแล้วเห็นจะจริงดังพระองค์ตรัสมาพระเจ้าข้า ตามตำราก็บ่งบอกถึงการข่มกัน ของรังสีระหว่างเจ้าอำมาตย์กับกษัตริย์แห่งปะอานเป็นแน่แท้พระเจ้าข้า” “ นั่นซิตามตำราข้าเองก็บ่งบอกเช่นกันนะ แล้วต่อไปเราเห็นที่จะต้องอาศัยคนของชาวกระเหรี่ยงนี้แหละ ยกเข้าตีแคว้นยะไข่ต่อไป ด้วยมันต่างเป็นชาวเขาด้วยกันย่อมจะรู้ทางซึ่งกันและกัน” ชายหนุ่มกล่าว “แล้วชาวเมืองแว่นแคว้นข้าพระองค์ก็ล้วนแต่ชาวเขาเช่นกันนะเพค่ะ” หญิงสาวท้วงติง “ใช่แล้วแม่นางย่อมล้วนเชี่ยวชาญเกี่ยวกับภูเขาทั้งสิ้นแต่ทว่า อันเมืองปะอานมีสัมพันธ์ไมตรีกับแคว้นยะไข่ อันแว่นแคว้นท่านถึงแม้จะเป็นภูเขาแต่ก็หาได้มีต้นไม้ปกคลุมมากมายนัก ผิดกับแว่นแคว้นทั้งสองนี้ซึ่งล้วน แล้วอุดมด้วยพืชพันธุ์ไม้ใหญ่ๆทั้งสิ้นยากต่อการโจมตี ยิ่งเมืองหลวงมันซิตตเวแล้วไม่เพียงอยู่บนเขาแต่ก็ปกคลุม ไปด้วยไม้ใหญ่ทั้งสิ้น นอกจากคนที่ชำนาญทางเท่านั้นถึงจะเข้าไปได้ พวกเราถึงแม้มิเกรงกลัว แต่ทว่าส่วนใหญ่ จะรบทางภาคพื้นดินทางราบเท่านั้น” ชายหนุ่มกล่าวขึ้น ครั้นหญิงสาวได้ฟังเช่นนั้นก็เห็นจริงถูกต้องดังชายหนุ่มกล่าว พลางนึกในใจว่ามิน่าเล่าเขาเป็นผู้ที่ ชาญฉลาดนักถึงสามารถรวบรวมแว่นแคว้นต่างๆได้ อีกทั้งได้ฟังข่าวเล่าลือว่าผ่านป่าดงดิบที่มนุษย์ยากจะเข้า ไปได้และรอดออกมาถือได้ว่าไม่ธรรมดา ตลอดยังมีเพื่อนที่เป็นสัตว์ที่เก่งกล้าสามารถอีกด้วยต้องหมายถึงความ เป็นอิสริยะบุรุษยากจะค้นหาได้ในแผ่นดินนี้ จนบังเกิดความรักใคร่ใฝ่ปองยิ่งนัก ดังนั้นเพื่อหมายประสงค์จะ ออกรบเคียงข้างร่วมกับชายหนุ่มจึงหันไปกล่าวกับบิดาว่า “ข้าแต่ท่านพ่อข้าเองเห็นว่าภายในค่ายใหญ่นี้ก็ล้วนแต่ทหารอันเก่งกล้าสามารถยิ่งนัก ข้าเองใครจะหา ประสบการณ์กับพระองค์ อยากจะอยู่เคียงข้างเพื่อบางทีอาจจะช่วยเหลือพระองค์ช่วยศึกได้นะท่านพ่อ” ท่านมหาอำมาตย์ครั้นได้ยินเช่นนี้ก็เข้าใจในความคิดอ่านของบุตรีทันทีจึงหันไปกล่าวกับชายหนุ่มว่า “ข้าพระองค์เห็นว่าข้าเองก็แก่เฒ่าแล้ว อยากจะฝากบุตรีแก่ท่านไว้ใต้เบื้องยุคคลบาทให้คอยปรนนิบัติ รับใช้ด้วย ขอพระองค์อย่าได้รังเกียจหม่อมฉันเถิดพระพุทธเจ้าข้า” ครั้นชายหนุ่มได้รับฟังเช่นนั้นก็ถึงกับอ้ำอึ้งไปในทันที ครั้นจะปฏิเสธก็ให้เกรงใจกลัวจะผิดไมตรีกัน ครั้นจะรับไว้หรือก็จะทำให้เกิดความเป็นห่วง จะทำไฉนดีล่ะเราพลางคิดถึงแม่นางพรายทั้งสองขึ้นมาได้ว่า ขอให้ดลใจเราช่วยเราด้วย ทันใดความคิดก็สอดแทรกเข้ามาทันทีว่าให้รับไว้เถอะนางนั้นเก่งกล้าสามารถ ทั้งมีสติปัญญามากมายจะเป็นประโยชน์มากนักและอาจจะช่วยงานท่านได้ดีเสียงกระซิบบอกมาดังนั้นชาย หนุ่มแกล้งทำเป็นหัวร่อแล้วพลางกล่าวว่า “การรบครั้งต่อไปนี้จะสร้างความลำบากแก่แม่นางมากนักนะ แม่นางคิดดีแล้วใยฤา” “หากแม้แต่บุกน้ำลุยไฟข้าพระองค์ก็หาได้หวั่นเกรงใดไม่ เพียงกริ่งเกรงพระองค์เท่านั้นจะไม่เห็นข้า อยู่ในสายพระเนตรของพระองค์พระเจ้าข้า” “เอาล่ะๆๆ????....ในเมื่อแม่นางประสงค์เช่นนี้ข้าเองก็ไม่ขัดข้องหรอก แต่ว่าหากอยู่กันลำพังท่านมหา อำมาตย์และแม่นางแล้วให้เรียกข้าธรรมดาก็ได้นะไม่ต้องถือยศถาบรรดาศักดิ์อย่างไรเราก็คนเหมือนกัน” ครั้นทั้งสองพ่อลูกได้ยินเช่นนี้ก็ให้รู้สึกปลาบปลื้มใจเป็นยิ่งนักว่าการมีเจ้านายเยี่ยงนี้ช่างประเสริฐยิ่งนัก ยากจะหาเจ้านายที่เสมือนเช่นนี้ได้อีกต่อไปแล้ว............ * แก้วประเสริฐ. *
8 มีนาคม 2553 18:42 น. - comment id 115625
8 มีนาคม 2553 21:43 น. - comment id 115638
คุณ ฉางน้อย อิอิ...ยายฝนหายไปสงสัยไปเที่ยวตามหาแฟน กระมังเน้อหรือฉกไข่ที่อื่นซะแล้ว ฮ่าๆๆๆ รักเสมอ แก้วประเสริฐ.
11 มีนาคม 2553 13:06 น. - comment id 115733
โหๆมีการพาดพุง เอ๊ย พาดพิงล่วย อิอิ ถึงว่าช่วงนี้จามทั้งวันทั้งคืน แฮ่
11 มีนาคม 2553 15:52 น. - comment id 115741
คุณ โคลอน อ้าวคุณฝนก็คนรักและคิดถึงกันก็เป็นธรรมดา ต้องบ่นฝากถึงแหละจ้า รักเสมอ แก้วประเสริฐ.