ยามนี่ฉันอยู่ที่ใดกันหนอ ผมพลิกตัวลุกขึ้นหันมองซ้ายขวา เราอยู่ข้างริมธารเล็กๆ ท้องที่อ้วนพุ้ยกินหญ้าไปเยอะมันยังไม่ย่อยเลย "อูย " เจ็บระบมไปทั้งตัวเลย ใช่ซิ ก่อนหน้านี้ผมกำลังกินหญ้าอยู่ริมฝั่งภูเขาด้านบน ไม่นานผมก็ได้กลิ่นสาบศัตรู เสือ! ใช่ คงเพราะผมเบี่ยงตัวหลบเสือเฒ่าตัวนั้นถึงทำให้ผมผลัดตกลงมาทีนี่ "ดื่มน้ำซิจ๊ะคุณ" เสียงอ่อนหวาน ฟังรื่นหูนัก คงเป็นสวยน้อยที่ไหนซักตัวเอะหรือว่าจะแทนว่าไงดีก็เราเป็นกวางนี่ เสียงดังห่างออกไปที่โคนต้นไม้ใหญ่ใกล้ริมธาร ถัดออกไปทางน้ำไหลลงมา คงเป็นสัญชาติญาณสัตว์อย่างพวกเราที่ต้องเลือกดื่มน้ำให้เหมาะไม่เช่นนั้นกลิ่นของเราที่ไหลไปตามน้ำจะเรียกศัตรูมาได้ "ว้าวสวยจังเลย" กวางหนุ่มอย่างผมต้องตะลึงกับทรวดทรงองค์เอวของเธอ ชั่งเหมาะแท้ที่จะเป็นคู่ชีวิตของผม เธอเดินเข้ามาใกล้จนได้กลิ่นหอมพิเศษแบบเฉพาะตัวที่ผมเองไม่เคยเจอมาก่อน "ดื่มน้ำซิคุณ เดี๋ยวแรงจะไม่ฟื้นนะ" กวางน้อยตรงหน้าเตือน ผมจึงตื่นจากภวังค์ความงาม โอ โลกนี้ช่างงามเหลือเกิน "ผมกินไม่ได้คอเคร็ดมั่ง"ผมออกลายทั้งที่ลำธารก็อยู่ข้างปากผม แค่เอียงปากลงไปก็ดื่มได้พอดี "ช่วยหน่อยได้ไหม" ผมสายตาเว้าวอน "ยังไงจ๊ะ" เข้าทาง "ช่วยอมน้ำมาใส่ปากให้หน่อยได้ไหม" เธอเขินอายอย่างเห็นได้ชัด แม้ความคิดผมเวลาแบบนี้ไม่รู้ปัญญามาจากแต่ใดความพลิ้วไหวของความคิดแล่นมามากมาย ปกติแล้วหากมิใช่คู่สามีภรรยาจะไม่ทำแบบนี้หรอก คือการอมน้ำทางปาก กวางสาวในป่ามักจะทำให้เมื่อเธอพึงใจกว่าหนุ่มหรือสามีเธอเท่านั้น " แต่ในสถานการณ์นี้ผมว่าเธอมีสองทางให้เลือกคือเดินมาดันผมให้หัวลงไปในลำธารกับเธออมน้ำใส่ปากให้ "อะ ก็ได้จ๊ะ"ตอบอย่างอายๆ เพราะสงสารดอกจึงต้องทำ แต่แลอีกทีกวางหนุ่มผู้เคราะห์ร้ายผู้นี้ก็สง่างามมิใช่น้อย กวางสาวตัวใดเห็นคงมิกล้าปฏิเสธไมตรี "ชื่นใจ ผมดื่มน้ำอย่างกระหาย" มองกวางสาวตรงหน้าอย่างมีความสุข เพราะเธอเลือกวิธีที่เป็นหนทางที่จะทำให้เราเป็นคู่กัน "น้องสาวมาจากไหนครับ" ผมถาม "มาจากฝูงกวางใกล้ๆนี่แหละเราอยู่กันประมาณหนึ่งร้อยตัวได้มั่ง" ตอบน้ำเสียงอ่อนหวาน "กว่าผมจะฟื้นตัวคงอีกสองสามวันน้องสาวคงกรุณาช่วยฉันหน่อยได้ไหม" "จ๊ะ เดี๋ยวฉันขอไปบอกพ่อกับแม่ก่อนนะเดี๋ยวฉันจะกลับมานี่อาหาร เธอคาบหญ้าอวบสดๆมาวางข้างๆปากเพื่อให้ผมได้กินอย่างสะดวก "ไปนะจ๊ะ" "เอ่อเดี๋ยวซิผมชื่อสามสี แล้วน้องชื่ออะไรครับ" ผมรีบถาม "น้ำค้างจ๊ะ " กวางสาวตอบชะม้อยตาตวัดกลับแล้วเดินจากไปปล่อยให้ผมนอนฝันหวานตัวเดียว .................................................................................................................... สองวันต่อมา ผมฟื้นตัวอย่างรวดเร็วจากหญ้าที่สาวน้อยทิ้งเอาไว้ และน้ำที่ผมดื่มจากปากเธอไม่ใช่ซิเพราะหลังจากที่เธอไปแล้วผมไม่เห็นแม้แต่เงาเธอ อาจจะคงติดปัญหาบางอย่างก็เป็นได้ ผมกลัดกลุ้มตลอดเวลากระสับกระส่ายรอวันที่ตัวเองจะลุกไหวพอที่จะไปตามหาน้ำค้างซึ่งผมฝันว่าเธอจะเป็นภรรยาผมในอนาคต ผมเดินพลางนึกพลาง จนถึงป่าลึกโดยไม่รู้ตัว แต่พอได้ยินเสียงแว่วๆมาเหมือนจะอยู่ใกล้นี้ ผมแอบลัดเลาะเดินไปทางต้นเสียง เดินขึ้นบนเนินเขาเล็กที่ขวางอยู่ข้างหน้า โอ..ช่างเป็นฝูงกวางที่ใหญ่โตอะไรเช่นนี้ กลุ่มที่ผมอยู่เมื่อไม่นามานี้มีไม่ถึงยี่สิบตัว แต่นี่นับได้เป็นร้อยตัว ใจผมชื้นขึ้นมาทันที ที่นี่อาจเป็นฝูงกวางที่น้ำค้างอยู่ก็เป็นได้ ผมเดินลงเนินเขามุ่งสู่ฝูงกวางตรงหน้าทันที "มันผู้ใดว่ะ"เสียงทรงพลังและอำนาจดังขึ้น คงเป็นเสียงจ่าฝูงที่คอยระวังให้กับลูกฝูง จ่าฝูงต้องเป็นตัวที่ทรงพลังที่สุด ปัญญาเฉียบแหลม และสุดท้ายจ่าฝูงคือผู้สั่งการ กวางวัยฉกรรวิ่งรอบๆตัวผมเพื่อป้องกันภัยให้ฝูง ผมเหลือบตาไปเห็นกวางแก่แต่รูปร่างบึกบึนเดินตรงมาหา คงจะเป็นจ่าฝูงกระมั่ง ผมคิดในใจ "สวัสดีครับท่านจ่าฝูง ผมชื่อสามสีครับ ผมมาหาคนที่ผมรักครับ" ผมต้องพูดความจริงเพราะพ่อกับแม่ผมสอนให้พูดความจริงเสมอ และต้องเป็นกวางที่มีคุณธรรม มีจิตใจเมตตากรุณาต่อเพื่อนสัตว์ด้วยกัน ช่วยเหลือทุกครั้งที่มีสัตว์ตัวใดตกทุกข์ได้ยาก "ฮ่าๆๆ เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้าเป็นเพียงแต่รองจ่าฝูงอยู่โน้น" เขาขยับตัวจึงได้เห็นกวางแก่ชรารูปร่างผอมโซ ไม่มีราศีในตัวแม้แต่น้อย มีเพียงสายตาเท่านั้นที่บอกถึงการเป็นผู้มีความปราดเปรื่อง เฉียบคม และสุขุม ผมย่อขาหลังทำความเคารพ ยิ้มให้จ่าฝูง พร้อมยิ้มให้กับน้ำค้างที่ยืนอยู่ข้างๆ สายตาที่น้ำค้างส่งมาเธอตื่นเต้นเช่นเดียวกับผม "คนนี้ลูกรู้จักจ๊ะพ่อ ก็กวางหนุ่มที่ลูกเล่าให้ฟังเมื่อสามวันก่อนไงว่าตกจากเขาทำให้เดินไม่ได้" น้ำค้างออกตัวรับผมว่ารู้จักทันที ไม่อย่างนั้นต้องมีวิธีการไล่ผมให้ออกจากฝูงแน่ วิธีการเหล่านั้นยกตัวอย่างง่ายๆคือการไล่ชนเป็นต้น "งั้นเข้าไปที่พักของข้า ส่วนคนอื่นๆก็แยกย้ายกันไปได้" ผมมองตามกวางที่แยกย้ายกันไป มีเพียงกวางหนุ่มตัวหนึ่งที่ฮึดฮัดไม่อยากไปคงจะชอบน้ำค้างเช่นเดียวกับผมละมั้ง ..................................................................................................................... "เอาแม่หาน้ำหาอาหารมาให้แขกหน่อย" ผมย่อขาหลังลงทำความเคารพแม่ของน้ำค้างซึ่งเป็นเมียจ่าฝูงด้วยเช่นกัน คุยกับจ่าฝูงมากมายหลายเรื่อง คำถามสุดท้ายที่ผมถามคือ ปกติจ่าฝูงต้องเป็นผู้มีร่างกายแข็งแรง ทรงพลังเหตุใดท่านถึงรูปร่างผอมโซอย่างนี้ถึงได้เป็นจ่าฝูง "พรุ่งนี้เจ้าจะรู้เอง" วันต่อมา วันนี้ได้ข่าวว่าจะมีการเลือกจ่าฝูงแทนพ่อของนำค้างที่หมดวาระการเป็นจ่าฝูงลงแล้ว แปลกที่ฝูงกวางฝูงนี้มิเคยต้องใช้กำลังห่ำหั่นกันเพื่อเป็นจ่าฝูง บรรพบุรุษของกวางฝูงนี้วางกฎไว้ว่า หากผู้ใดจะได้เป็นจ่าฝูงต้องผ่านการทดสอบ2 ด่าน ด่านการทดสอบจ่าฝูงคนที่จะลงจากตำแหน่งจะกำหนดขึ้นให้ผู้ที่สมัครทดสอบ "ข้าขอสมัครเป็นจ่าฝูงได้หรือไม่" ผมถามดังเพื่อให้ได้ยินกันทุกตัว เสียงเซ็งแซ่คุยกันดังขึ้นไปทั่ว "หยุด" เสียงเงียบทันทีที่จ่าฝูงสั่ง "พ่อแม่เจ้าสอนให้เจ้าเป็นคนเช่นไร" "พ่อกับแม่ผมสอนให้ผมต้องเป็นกวางที่มีคุณธรรม มีจิตใจเมตตากรุณาต่อเพื่อนสัตว์ด้วยกัน ช่วยเหลือทุกครั้งที่มีสัตว์ตัวใดตกทุกข์ได้ยาก" ผมตอบตามจริง "อย่างนั้นหรือ"จ่าฝูงผงกหัว เสียงคุยกันดังขึ้นอีกครั้ง "ทุกท่านเห็นว่าอย่างไร" จ่าฝูงถามเสียงดัง ใครควรให้เขาลงไปยืนอยู่ซ้ายมือข้า ใครเห็นว่าไม่ควรให้เขาลงไปยืนอยู่ทางขวามือข้า "นับ" ปรากฏว่าเสียงเสมอกันอยู่ที่50ต่อ50 ทำให้เกิดปัญหา "เขาไม่ควรได้ลงสมัครทดสอบเพื่อเป็นหัวหน้า" เสียงศัตรูหัวใจของผมก็เปนตันเดียวกับเมื่อวานกว่าจะไปก็ฮึดฮัดอยู่หลายรอบ "เจ้าหยุดก่อน ยืนยง" จ่าฝูงปราม "ยังเหลือข้าอีกคนที่ยังไม่ได้ออกเสียง ข้าขออยู่ข้างซ้าย" เป็นอันว่าผมได้ลงสมัครทดสอบเป็นจ่าฝูง ด้วยเหตุผลที่ว่ากวางส่วนมากจะมีนิสัยเหมือนที่พ่อแม่สอน เมื่อพ่อแม่ผมสอนมาดี เป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่งที่จะเป็นผู้นำได้สมควรได้ลงทดสอบเป็นจ่าฝูงได้ ....................................................................................................................... "ทำไมพี่ถึงได้เป็นจ่าฝูงเมื่อห้าปีก่อนล่ะจ๊ะ" น้ำค้างภรรยาของผมถามผมในคืนหนึ่งหลังจากเหตุการณืนั้นผ่านมาห้าปีแล้ว นำค้างแต่งงานกับผมหลังจากที่ผมเป็นจ่าฝูง "พ่อน้ำค้างถามว่าอะไร" น้ำค้างเอียงหน้าถาม ผมจึงตอบในคืนเงียบสงัดวันนั้น ด่านที่1.ด่านความกล้าหาญช่วยคนตกทุกข์ได้ยากหากเจอเสือที่กำลังจะฆ่าลูกกวางจะทำอย่างไร "ทุกคนตอบว่าต้องเข้าไปช่วยโดยไม่กลัวตายโดยไม่นึกถึงคำว่าทำยังไงลูกวางจะรอดตายเพราะเขานึกว่าเป็นคำตอบ "แล้วพี่บอกพ่อว่าไง" "พี่บอกว่าพี่จะพูดกับเสือว่า เสือกินเราดีกว่าเนื้อมากกว่า นุ่มกว่ากวางตัวเล็กไม่อร่อยหรอก เสือมันต้องยอมแน่ อีกอย่างหากเป็นเช่นนั้นจริงๆลูกกวางก็จะมีโอกาสรอดมากกว่า จะเข้าไปช่วยอาจตายทั้งสองก็เป็นได้" ด่านที่2ด่านความสุจริต "พ่อเจ้าถามว่าหากข้าให้เจ้าได้เป็นจ่าฝูง จะให้อะไรแก่ข้า" "ทุกคนตอบว่าจะหาอาหารดีๆมาให้ จะเอาอย่างโนน้อย่างนี้มาให้ แต่ผมตอบว่า ผมไม่ให้อะไรเลยเพราะหากจะได้เป็นผู้นำหรือจ่าฝูงผมต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตต่อตนเอง ไม่ให้อามิสสินจ้างใคร แม้แต่ผู้มีอำนาจสูงสุดเช่นท่าน หากให้อามิสจ้างแล้วใยจะสมควรเป็นผู้นำเล่า" "แล้วไงต่อ" "พ่อเจ้าก็บอกว่า ผมตอบทั้งหมดเป็นคำตอบเดียวกับพ่อน้ำค้างเมื่อเข้าคัดเลือกเป็นจ่าฝูง และท่านยังบอกอีกว่าตั้งแต่บรรพบุรุษตั้งกฏมาจะถามแค่2 ข้อแล้วได้เป็นจ่าฝูง ทั้งหมดล้วนตอบคำตอบนี้ทุกตัว ซึ่งพี่แปลกใจมากเลยล่ะ นี่หลายร้อยปีแล้วยังตอบตรงกันได้ เพราะทั้ง2ข้อเป็นคุณสมบัติที่ผู้นำต้องมี คือการเสียสละแม้แต่ชีวิตเพื่อฝูงกวาง และความซื่อสัตย์สุจริตเป็นสิ่งที่ผู้นำต้องมีไม่เช่นนั้นจะเดือดร้อนไปทั่วฝูง ทั้งอาจทำให้ฝูงกวางแตกกระจายเป็นฝูงเล็กได้ ผมตอบน้ำค้างภรรยาสุดที่รักที่นอนหนุนตักอยู่ ตอบด้วยคำพูดที่เข้าใจง่ายที่สุด นี่ล่ะวิถีของผู้นำ หรือของจ่าฝูง "น้ำค้างดีใจที่ได้เป็นภรรยาพี่ คนที่มีพร้อมคุณสมบัติของกวางที่ดี" น้ำค้างหอมผมทีหนึ่ง เรานั่งมองดาวด้วยกันอย่างมีความสุข หมายเหตุ งานเขียนนี้เขียนเพื่อการส่งเสริมความดีงามให้กับเด็กๆที่อายุไม่เกิน13 ปี ผู้ใหญ่อ่านอาจจะแปลกๆว่านี่น้ำเน่าจัง มีสิ่งใดบกพร่องช่วยชี้แนะด้วยนะครับ เพราะงานชิ้นนี้จะส่งไปเที่ยวแล้ว
6 มีนาคม 2553 15:35 น. - comment id 115550
ชื่อเรื่องยาวไหมไปค่ะ เนื้อเรื่องดีค่ะ แต่น่าจะกระชับกว่านี้และสอดแทรกอารมณ์ที่ให้เห็นภาพ กระต่ายก็อ่านรู้สึกอย่างนี้น่ะค่ะ มีภาพด้วยยิ่งดี..หุๆๆ.. แบบว่าชอบอ่านนิทานเด็กน่ะ
6 มีนาคม 2553 15:40 น. - comment id 115551
ขอบคุณครับ คุณกระต่ายใต้เงาจันทร์ จะปรัปรุงอย่างเร่งด่วน อารมณืไม่ค่อยมีสงสัยเพราะเพือ่นหายต๋อมลงน้ำไปแล้ว
6 มีนาคม 2553 20:04 น. - comment id 115553
อะแฮ่มๆ มาลงเรื่องสั้นเงียบๆนะเนี่ย ชัย ว่าแต่เปลี่ยนแนวการเขียนแล้วเหรอ ...อิอิ ปล.ว่าแต่จะส่งไปเที่ยวที่ไหนอ่ะ ชัย
6 มีนาคม 2553 20:08 น. - comment id 115554
...... ตามสหายโคลอนมาติดๆ ...... แปะโป้งก่อง เดี๋ยวมาอ่านใหม่นะชัย...
6 มีนาคม 2553 20:39 น. - comment id 115559
ฝน โด่สหายฝนส่งเมลล์ไปหาแล้วลบทิ้งหรือเปล่า อุต-สา-หะ ขอความเห็น จริงๆในหัวมีนิทานเยอะนะอยากจะเขียนให้เด็กๆอ่าน รู้สึกว่าพอโตขึ้นจะเริ่มไม่ฟังคนอื่นไง เพราะที่ผมเป็นคนที่ไม่ทำให้สังคมวุ่นวาย ก็เพราะนิทานนี่แหละ คือนิทานนี่มักจะพูดแต่สิ่งดีๆไง เราเป็นเด็กไม่รู้นี่ก็อ่านดะเลย ตอนแรกก็กลัวคนแปลกใจเหมือนฝนนี่แหละ คือเขาอาจจะหัวเราะ แต่เปลี่ยนใจดีกว่า ทำแล้วมีความจุกก็ถือว่าโอเคแล้ว ขนาดรูปยังไปแปะไว้เลยแล้วแต่ใครจะตามฟ้องเอาแล้วกัน จริงๆปฏิเสธการเขียนนิทานตลอดเลย ทั้งที่น่าจะเขียนได้ แต่ว่าเอาเถอะวันนี้ก็เขียนมันทุกแนวเลยแล้วกันยกเว้นบทกวีกับกลอน เพราะไม่ไหว(คือเขียนไม่เป็น) ฉางน้อยสหายรัก วนเวียนอยู่แถวนี้เนาะไม่เห็นไปเยี่ยมบ้านokมั่ง หมายถึงไม่ไปทักเผื่อเห็นหน้าโจรไง ดีใจหลายๆที่สหาย2 คนไม่ตกน้ำหายไป
7 มีนาคม 2553 15:47 น. - comment id 115571
ได้การเลยทีเดียวนิทานเรื่องนี้ จริงๆผู้ใหญ่อ่านแล้วก็น่าจะคิดได้มั่งนะ เช่น เป็นผู้นำไม่ใช่ยั่วยุให้ลูกน้องมาเสี่ยงเพื่อตัวเอง อะนะ มายืนยันว่าไม่ตกน้ำอีกคน สบายดีนะคะ เห็นหายไปนาน ก่อนส่งนิทานไปเที่ยวเช็คคำผิดอีกทีนะคะ ค่อยๆปล่อยอารมณ์การบรรยายให้เห็นภาพ ชัดๆ เผื่อเด็กๆอยากเอาไปวาดเป็นสมุดนิทานซักเล่ม และ...กวางนอนหนุนตักกัน วาดไงดี หุหุ คิดถึงจ้า
8 มีนาคม 2553 07:18 น. - comment id 115600
คุณแจ้นเอง สมัยก่อนมาทักกันบ่อยๆ ดีใจที่มาช่วยแนะนำครับ เราก็วาดกวางเป็นการ์ตูนซิครับ การ์ตูนกวางยืนยังได้เลย แค่นั่งบนตักบ่เห็นยากแม่นบ่