ลุ่มลึกอิสราวดี 39

แก้วประเสริฐ


              ลุ่มลึกอิสราวดี  39
     เมื่อได้เวลาอันสมควรแล้ว  มังสุริยะชัยก็เรียก มังสุรเดชเดชาทหารเอกคู่ใจมาแล้วกล่าวว่า
      “ต่อไปนี้ในเมื่อเรารวบรวมแคว้นต่างได้มากมายเช่นนี้  ยังไม่มีธงประจำกองทัพเราเลยจึง
คิดว่าใคร่ที่จะจัดสร้างประจำหน่วยรบของเราขึ้น  ขอให้ท่านแจ้งแก่เจ้าเมืองฮะคาให้ช่วยจัด
สร้างธงประจำหน่วยเราขึ้น ดังแบบที่ข้าเองสร้างขึ้นไว้”
       เมื่อมังสุรเดชเดชามองยังแบบแปลนเป็นเป็นพื้นสีขาวประกอบด้วยดวงอาทิตย์ส่องประกาย
รัศมีสีแดงไปรอบกลางพื้นธงสีขาวภายในเป็นสีน้ำเงินเข้มด้วยประกายดาวหกแฉกภายในเป็นวงกลม
สีแดงอยู่ในรูปดาวหกแฉก  พื้นธงเป็นรูปสามเหลี่ยมชายธงปลายแหลมยาว  จึงกล่าวว่า
     “พระเจ้าข้าแต่เห็นภายในพื้นธงแล้วไม่ทราบความหมายว่าหมายถึงอะไรพระพุทธเจ้าข้า”
      “อ้อ...มังสุรเดชเดชานั่นคือเครื่องหมายของเมือง “ศิระสุริยันต์”เก่าส่วนดาวหกแฉกนั้นคือตรา
แผ่นดินประจำตัวข้าเอง “ เมื่อกล่าวเสร็จก็นำสายสร้อยที่ร้อยรัดด้วยดวงตราประจำเมืองศิระสุริยันต์
ส่งให้ทหารคู่ใจดูทันที
         เมื่อทหารเอกซึ่งบัดนี้เป็นแม่ทัพใหญ่ครั้นเห็นก็นึกชมความงามของดวงตรานักจึงเข้าใจอัน
พระอาทิตย์ส่องแสงเจิดจ้ารัศมีประกายรอบด้านนั้นหมายถึงเมืองศิระสุริยันต์นั่นเองส่วนดวงดาว
นั้นคือตราประจำตัวท่านมหาอุปราช     เมื่อส่งคืนสร้อยแล้วก็ถามว่าจะให้จัดทำเท่าใด
        มังสุริยะชัยกล่าวว่า
    “ให้ทำให้เพียงพอกับกองทัพของเราก็แล้วกัน  หากไปตีแว่นแคว้นใดเขาจะได้
รู้ว่าเป็นกองทัพของศิระสุริยันต์ “   ครั้นแม่ทัพใหญ่ทราบดังนั้นก็รีบออกไปแจ้งแก่เจ้าเมืองตามคำสั่งต่อไป
        ครั้นได้เวลาอันสมควรแล้วกองทัพที่ประกอบด้วยริ้วธงต่างๆตามลักษณะของเหล่าหน่วยทหารนั้น
ก็เคลื่อนกำลังพลทั้งหมดมุ่งหน้าเข้าสู่ยังแคว้นรัฐฉานซึ่งอยู่ไม่ห่างไกลนักกับลุ่มแม่น้ำอิรวดีซึ่งมีแม่น้ำ
แยกออกมาเกิดจากต้นน้ำภูเขาไหลลงสู่แม่น้ำอิรวดี     ระหว่างการเดินทัพจนถึงเมืองหน้าด่านของ
รัฐฉาน   เมืองซึ่งเต็มไปด้วยทหารเรียงรายตามเชิงกำแพง  ก็ให้ทูตนำสาสน์ไปส่งยังเจ้าเมืองทันที
เมื่อทหารแห่งเมืองหน้าด่านทราบดังนั้น  จึงตอบว่าขอพักรบไว้ก่อนรอจนกว่าจะได้รับคำสั่งจากท่าน
อินทิราชัยซึ่งอยู่ในเมืองหลวงตองยีก่อน   
         เมื่อมังสุริยะชัยทราบเช่นนั้นก็ให้เหล่าทหารทั้งหลายล้อมเมืองหน้าด่านไว้ก่อน  ด้วยทราบว่ารัฐฉาน
นั้นปกครองด้วยพวกไทใหญ่ซึ่งนับเนื่องแล้วก็เป็นไทเหมือนกันกับเขาก่อนจะมาเป็นมหาอุปราชทางนี้
ฉะนั้นสายเลือดยังเข้มข้นจึงมิคิดจะหักโหมแต่ประการใดไม่   หากเจรจาเป็นผลก็จะได้ไม่ต้องเสียเลือด
เนื้อในสาสน์นั้นก็แจ้งเหมือนกันว่าเขาเองก็มีเลือดเนื้อเชื้อไขจากไทเช่นกัน    
       เวลาผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ก็ได้รับคำตอบว่า   ทางเมืองตองยียินดีสมานเป็นหนึ่งเดียวกัน
กับทางกองทัพของศิระสุริยันต์โดยแจ้งไปยังแปดเมืองรอบด้านให้ต้อนรับเหล่าทหารทั้งหลาย 
  ขอเชิญเข้าเมืองพักผ่อนก่อนเถิดมังสุริยะชัยก็มีสาสน์ไปยังเจ้าเมืองหน้าด่านว่าเราจะมุ่งไปยัง
เมืองตองยีเพื่อปรึกษาราชการเจ้าเมืองตองยีก่อน
         เจ้าเมืองหน้าด่านเมื่อทราบเช่นนั้นก็ออกมาด้วยตัวเองพร้อมเหล่าทหารออกจาก
ประตูเมืองมาต้อนรับแล้วเจ้าเมืองแจ้งว่า     จะขอร่วมติดตามพร้อมเหล่าทหารของตนร่วมทัพไปด้วย
เพื่อสะดวกในการผ่านทางไปยังเมืองหลวง   มังสุริยะชัยครั้นทราบเช่นนั้นก็บังเกิดความยินดี
กล่าวขอบใจเจ้าเมืองหน้าด่านทันทีว่านับต่อไปนี้พวกเราเสมือนเครือญาติกันเอง ในเมื่อท่านยินยอม
ร่วมไปด้วยก็จะเป็นประโยชน์ยิ่งนัก
       ดังนั้นทัพของท่านมหาอุปราชก็สามารถผ่านบรรดาแว่นแคว้นต่างๆพร้อมกับการต้อนรับที่ดียิ่ง
จนลุล่วงเข้าสู่อาณาเขตเมืองตองยี   เจ้าเมืองตองยีอินทิราชัยก็ออกมาต้อนรับชายหนุ่มยังหน้าประตู
เมืองทันที     ครั้นทั้งสองพบกันแล้ว ชายหนุ่มมังสุริยะชัยก็ลงจากหลังม้าพร้อมกับเข้าทำความเคารพ
ท่านอินทิราชัยพลางกล่าวว่า
        “ข้าหลานชายมังสุริยะชัยแห่งศิระสุริยันต์ของคาราวะท่านลุง  หากสิ่งใดที่ข้าเองทำความลำบากใจ
แก่พ่อลุงขออภัยให้แก่หลานคนนี้ด้วยเถิด”
      ครั้นเจ้าเมืองตองยีได้รับฟังเช่นนั้นแลไปเห็นเหล่าทหารอันมากมายยิ่งนักก็คิดในใจว่าเราคิดได้ถูกต้อง
แล้วหากเกิดการต่อสู้ยากนักที่จะต้านไพร่พลของชายหนุ่มได้ พลันกล่าวว่า
       “หลานเราหากนับเนื่องแล้วพ่อท่านเองก็นับว่าเป็นนายของข้า ข้าได้ทราบมาว่าท่านคือมหาอุปราชแห่ง
เมืองศิระสุริยันต์ย่อมมีศักดิ์เหนือกว่าข้ามากมายนี้ใยถึงกระทำเช่นนี้เล่า”  ชายชรากล่าว   แต่ภายในใจให้นึก
ชมเชยถึงความอ่อนน้อมหาได้ลุล่วงในอำนาจไม่
       “ที่พ่อลุงกล่าวเช่นนี้ก็สมควรอยู่หรอก  แต่บัดนี้ข้าเองก็มีสายเลือดคนไทอยู่จึงมิคิดที่จะล่วงเกินต่อคนไท
ด้วยกัน  ตามประเพณีเราต้องรู้จักเล็กจักโตสิ่งใดควรไม่ควรพระเจ้าข้า”  
        เมื่อชายหนุ่มกล่าวถึงเลือดเนื้อเชื้อสายก็ยิ่งทำให้เจ้าเมืองตองยีซาบซึ้งแก่ใจยิ่งนักถึงกับลุกเดินไปโอบไหล่
แล้วชักชวนให้เข้าไปในเมือง  ชายหนุ่มจึงหันไปกล่าวกับแม่ทัพนายกองให้พักทัพไว้นอกเมือง ส่วนตัวเองก็จะ
เพียงนำกำลังคนไปไม่มากนักพร้อมด้วยเจ้าลิงทั้งสองก็ติดตามเจ้าเมืองเข้าเมืองไป     เจ้าเมืองอินทิราชัยก็ให้การ
ต้อนรับและกล่าวว่า
        “แล้วพ่อหลานชายคิดจะไปรวบรวมแคว้นใดอีกเล่า หากลุงช่วยได้ก็จะช่วยเหลือตามกำลังความสามารถไม่
ต้องเกรงใจลุงหรอก”  ชายชรากล่าว
        “พ่อลุงข้าเองคิดว่าจะออกเดินทางต่อไปยังแว่นแคว้นกระเหรี่ยงก่อนซึ่งอยู่บนเขา ด้วยแว่นแคว้นรัฐมอญนั้น
ตอนนี้กำลังมีปัญหากับเมืองตองอูอยู่  หากจะเกิดการรบพุ่งก็ต้องใช้กำลังมากมาย   หากจะไปแคว้นยะไข่ก็ไกล
และล้วนภูเขามากมายเช่นกันแต่เมืองนั้นอยู่ใกล้กับจีนไม่อยากจะกระทบกระเทือนต่างประเทศและยังมีความ
สัมพันธ์กับเมืองหงสาที่มีทหารล้วนกล้าแข็งนักแต่หากใช่จะเกรงกลัวก็หาไม่เพียงแต่หากได้แว่นแคว้นกะเหรี่ยง
ไว้แล้วตีเมืองชิตตเวแห่งแคว้นยะไข่เข้าโอบล้อมแว่นแคว้นมอญก็จะง่ายกว่า   มิฉะนั้นเมืองปะอานและเมือง
มะละแหม่งก็จะไหวตัวก่อนท่านพ่อลุง”
       “อีกประการหนึ่งเมืองปะอานนั้นล้วนแล้วแต่ภูเขา  ก็จะทำให้ไพร่พลทหารเราเกิดความชำนาญภูมิประเทศ
ยิ่งขึ้นด้วยเคยตีเมืองหล่อยก่อมาแล้ว   หากเข้าตีเมืองยะไข่ก็คงจะไม่ยากนัก”  ชายหนุ่มกล่าว
        “หากความคิดพ่อหลานชายคิดนั้นคือง่ายไปหายาก  ยากมาหาง่าย  หากสำเร็จการรวบรวมแคว้นก็อยู่ใน
กำมือของพวกเรา  แต่นี่หลานชายคิดคนเดียวหรือ”  ชายชราถามด้วยความสงสัย
        “หามิได้พ่อลุง  เป็นความคิดอ่านร่วมกันแต่ส่วนใหญ่เกิดจากท่านที่ปรึกษาใหญ่ของข้าเองแหละ”
         “นั่นซิมันเป็นกลยุทธ์ตามพิชัยสงครามที่เกิดจากลับลวง ลวงรับ นั่นเอง ข้าอยากใคร่พบเขานัก”
ชายชราเอ่ยขึ้น   
         “แต่ตอนนี้เขาอยู่ดูแลกองทัพอยู่แต่คิดว่าท่านลุงคงจะทราบดีเขาชื่อ  “เหมี่ยวมังกะยอชวา”
แห่งเมืองหล่อยก่อนั่นเองท่านลุง”
         “โอ้ๆ????.... หากเป็นบุคคลนั้นหากมาดแม้นว่าเจ้าเมืองมันไม่ถือตัวตนเองเชื่อฟังท่านมหาอำมาตย์
นี้แล้ว ใยเมืองหล่อยก่อก็คงจะไม่เสียโดยง่ายดายหรอก”
          “ในเมื่อหลานเราได้บุคคลนี้มารับใช้แล้วเสมือนได้ดวงแก้วมาเคียงคู่กายไม่ผิด  ข้าคิดว่างานครั้งนี้
สำเร็จไปเสียแล้วครึ่งหนึ่งนะ”  ชายชราอดที่จะแสดงความยินดีเสียมิได้
          “ หากแม้นหลานชายจะเคลื่อนทัพไปเมื่อใดเล่า”
         “หลานเองคิดว่าคงจะเป็นพรุ่งนี้  ด้วยท่านที่ปรึกษาใหญ่กล่าวว่าหากล่าช้าไปข้าศึกก็จะรู้ตัวเสียก่อน
ยากแก่การเข้าโจมตี   ข้าเองก็ขอลาพ่อลุงในตอนนี้เลยนะ”
        “แล้วหลานชายมีไพร่พลประมาณเท่าไหร่ล่ะ  ภูเขานั้นยากต่อการใช้ม้ายิ่งนัก”  ชายชราเอ่ยเตือน
        “หากตอนนี้เห็นจะประมาณสี่แสนกว่าๆกระมังพ่อลุง”
         “งั้นข้าก็จะมอบทหารให้อีกสามหมื่นนายพร้อมเสบียง  แต่ก็ต้องใช้เวลา แต่จะให้ติดตามไป
คงไม่ล่าช้าหรอก  ส่วนทหารนั้นให้หลานชายนำไปได้เลย”   เมื่อกล่าวเสร็จก็เรียกที่ปรึกษาให้ไปสั่งให้
นายทัพนายกองระดมกำลังสามหมื่นนายจะออกเดินทางไปร่วมรบกับชายหนุ่มพรุ่งนี้ทันที  ที่ปรึกษาครั้น
รับคำสั่งแล้วก็รีบไปแจ้งแก่แม่ทัพใหญ่ทันที
          แล้วชายหนุ่มก็ขอลาเจ้าเมืองตองยีอินทิราชัยกลับยังกองทัพโดยไม่พักในเมืองตองยี   ครั้นเดินทาง
ถึงกองทัพแล้วก็ให้เรียกประชุมบรรดาแม่ทัพนายกองพร้อมท่านเหมี่ยวมังกะยอชวามาร่วมปรึกษากันว่าใน
กาลข้างหน้าคงจะไม่เหมือนเดี๋ยวนี้หรอก ด้วยนิสัยพวกกะเหรี่ยงนั้นเป็นคนดื้อรั้นเอาแต่ใจตัวเป็นใหญ่แบ่ง
แยกเป็นเหล่าๆอยู่ตามขุนเขายากแก่การโจมตี  ท่านพ่อลุงเหมี่ยวมังกะยะชวาเห็นเป็นประการใด
     “หม่อมฉันคิดว่า  หากองค์ชายเมื่อไปถึงแคว้นกะเหรี่ยงแล้วให้แบ่งกองทัพออกเป็นหลายๆทาง  ให้แม่ทัพ
คุมกำลังพลเข้าไปยึดแว่นแคว้นที่อยู่ในที่ราบก่อนซึ่งมีทั้งหมดแปดเมือง  หากได้เมืองเหล่านี้ไว้ แล้วค่อยยก
พลแต่ให้กระจายกำลังออกไปซุ่มไว้ตามเขาต่างๆโดยปลอมตัวคลุกคลีกับชาวบ้าน   
หากได้สัญญาณแล้วถึงจะเข้ารวมตัวกัน  หากไปเป็นกองทัพก็ยากจะยึดเมืองปะอานได้หรอกพระเข้าข้า”
  มหาอำมาตย์กล่าว   
       “อ้าวแล้วใครล่ะที่ยืนข้างหลังท่านพ่อลุงนะ” ชายหนุ่มถามเมื่อแลเห็นทหารรูปร่างเล็กๆยืนอยู่เบื้องหลัง”
        “อ้อ...บุตรีข้าพระองค์เองแหละพระเจ้าจ้า”  พลางหันไปเรียกทหารดังกล่าวให้มาถวายบังคมชายหนุ่ม
         “หรือท่านพ่อลุง  แล้วเขามีนามว่าอะไรล่ะ”  ชายหนุ่มถามพลางมองไปยังทหารร่างเล็กทันที  พลางนึก
ในใจว่ารูปร่างเช่นนี้จะไปสู้รบอะไรใครได้  เห็นบอกว่าเก่งฉกาจนัก
         “บุตรีข้าพระองค์ชื่อ  “จันทิรา” พระเจ้าข้า”  
         “ยังงั้นหรือ...ข้าขอกล่าวกับแม่นางก่อนว่า  เวลาออกจากค่ายพักห้ามแต่งกายเป็นหญิงโดยเด็ดขาดหวังว่า
แม่นางคงจะเข้าใจเจตนาที่พ่อท่านกล่าวไว้แล้วกระมัง”  ชายหนุ่มกล่าว
         “ทราบแล้วเพค่ะ...กระหม่อมจะทำตามพระประสงค์ทุกประการเพค่ะ”  หล่อนกล่าวพลางนึกชมความ
องอาจสง่าช่างหล่อเหลายิ่งนัก  นี่หรือเพียงแค่อายุเท่านี้สามารถควบคุมทหารตีเมืองต่างๆได้  ก็ให้นึกบังเกิด
ความชอบขึ้นในใจ  ซึ่งหล่อนไม่เคยมีมาแต่ก่อนเลย  ถึงแม้จะมีบรรดาหนุ่มๆมาติดพันก็ตามที
         ครั้นแล้วมังสุริยะชัยก็หันมากล่าวกับบรรดาแม่ทัพโดยจัดแยกกองกำลังเพื่อเข้าตีแว่นแคว้นกระเหรี่ยง
แปดเมืองโดยพลางสั่งแก่บรรดาแม่ทัพทั้งหลายว่า
ท่านมังสุรเดชเดชา  เข้าตีเมือง  กุละ
ท่านมังนายะเดชะ   เข้าตีเมือง ปุริสะ
ท่านเหมี่ยวสุรการ   เข้าตีเมือง เมงก่อ
ท่านมังกะยอ           เข้าตีเมือง การียะ
ท่านมังสุระ             เข้าตีเมือง กอรีกะ
ท่านมังสีหะ            เข้าตีเมือง ยะกี
ท่าน นิละกะ           เข้าตีเมืองมุลีกะ
ท่านสุระเดชะ         เข้าตีเมืองกันหะกะ
         โดยนำกำลังคนไปกองทัพละสี่หมื่น พร้อมอาวุธที่ข้าคิดประดิษฐ์ขึ้นไปด้วยเพื่อใช้ทำลายประตูเมือง
ส่วนข้าเองจะเข้าตีเมืองปะอานเอง   ให้แม่ทัพทั้งหลายที่จะไปตีเมืองนั้นๆให้ใช้พระคุณนำหน้าพระเดชหาก
เมืองใดยอมอ่อนน้อมก็อย่าทำอันตราย   การรบพุ่งครั้งนี้ต้องอาศัยสติปัญญาของพวกท่านแต่ให้ใจเย็นไว้อย่า
ได้ใช้อารมณ์คิดไตร่ตรองรักษาทหารทั้งหลาย   หากเมืองใดตีได้แล้วก็ให้รีบส่งกำลังไปช่วยเมืองที่ยังไม่สามารถ
เข้าตีได้  ครั้นตีเสร็จแล้วให้จัดตั้งเจ้าเมืองใหม่โดยเป็นประโยชน์แก่พวกเราเป็นที่ตั้ง  หากทหารฝ่ายนั้นยินยอม
สวามิภักดิ์จะร่วมทัพด้วยก็ให้รับเอาไว้แต่ให้คัดเลือกด้วยความระมัดระวัง จงให้เกียรติแก่เขาอย่าคิดว่าเป็นเพียง
ทหารที่พ่ายแพ้เป็นอันขาด   ท่านใดสงสัยอย่างไรแผนการเข้าตีเดี๋ยวท่านที่ปรึกษาใหญ่จะชี้แจงให้ท่านทราบถึง
การเข้าโจมตีเมืองต่างๆ
          เมือสั่งการแล้วก็หันมาทางท่านมหาอำมาตย์ที่ปรึกษาทันที   อาศัยพ่อลุงช่วยอธิบายเส้นทางแผนการโจมตี
แก่เหล่าแม่ทัพทั้งหลาย  ข้าเองก็จะร่วมช่วยพิจารณาด้วย
       เมื่อเหมี่ยวมังกะยอชวาได้รับคำสั่งเช่นนั้นก็เรียกบรรดาแม่ทัพนายกองทั้งหมดล้อมดูแผนที่ที่จัดเรียงรายไว้
ด้วยธงต่างๆ  ตลอดจนแผนที่ได้จัดทำขึ้นมอบให้แต่ละแม่ทัพเส้นทางการเดินทัพการหยุดพักตามรายทางตลอด
การวางกำลังพลต่างๆให้แก่บรรดาแม่ทัพนายกองทราบ   หากผู้ใดสงสัยให้รีบสอบถามทันที
       เหล่าแม่ทัพนายกองครั้นได้รับการชี้แจงอย่างละเอียดแล้วตลอดจนได้รับแผนที่เมืองต่างๆไว้ก็ขอลาไปเพื่อ
จะรีบออกเดินทางคัดเลือกทหารเหล่าล่ะสี่หมื่นซึ่งต้องแยกกันไปตามเมืองต่างๆออกเดินทางทันที
         ทางด้านจันทิราซึ่งยืนอยู่เคียงข้างพลันกล่าวขึ้นว่า
    “ข้าแด่ท่านมหาอุปราช  แล้วข้าพระองค์มิให้ดำเนินกิจการใดบ้างเชียวหรือ”
    “ข้าเองนั้นที่ไม่ใช้ท่านก็ด้วยต้องการให้ท่านปกป้องท่านมหาอำมาตย์ไว้ ด้วยทางเมืองปะอานนั้นมีชัยภูมิยาก
ยิ่งต่อการเข้าโจมตีนัก  อีกประการหนึ่งข้าเองก็เป็นห่วงท่านอยู่หรอก”  ชายหนุ่มกล่าว
     ทำให้แม่นางจันทิราถึงกับหน้าแดงทันทีนึกว่าชายหนุ่มคงจะพิสมัยตนบ้าง  จึงมิอาจกล่าวประการใด
           ครั้นได้เวลาของแม่ทัพนายกองนำพลทหารมาพร้อมแล้ว  ก็ออกไปอวยพรเสริมสร้างพลังใจแก่มวลทหาร
ทั้งปวงทันที    เสียงทัพทั้งแปดเคลื่อนพลทำให้แผ่นดินสะเทือนเลื่อนลั่นโดยแยกย้ายกันไปตามทิศต่างๆหมดสิ้น
แล้วชาย หนุ่มก็เข้าไปยังค่ายใหญ่พร้อมท่านเหมี่ยวมังกะยอชวาเพื่อปรึกษาแผนการรบต่อไป........
                 *   แก้วประเสริฐ.   *				
comments powered by Disqus
  • ฉางน้อย

    6 มีนาคม 2553 20:17 น. - comment id 115555

    11.gif36.gif11.gif
  • แก้วประเสริฐ

    7 มีนาคม 2553 14:03 น. - comment id 115564

    36.gif16.gif36.gif
    
           รักหลานเราเสมอจ้า
    
             16.gifแก้วประเสริฐ.16.gif
  • โคลอน

    11 มีนาคม 2553 12:49 น. - comment id 115731

    อืมม...กว่าจะรวมแคว้นแต่ละแคว้นให้เป็นผืนแผ่นดินได้ต้องใช้กำลัง ความสามารถ สติปัญญา สูงมากเลยนะคะ 29.gif36.gif11.gif
  • แก้วประเสริฐ

    11 มีนาคม 2553 15:45 น. - comment id 115739

    36.gif16.gif36.gif
    คุณ โคลอน
    
       หายไปคิดถึงจังเลยจ้า รักเสมอ
    
          16.gifแก้วประเสริฐ.16.gif

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน