ลุ่มลึกอิสราวดี 39 เมื่อได้เวลาอันสมควรแล้ว มังสุริยะชัยก็เรียก มังสุรเดชเดชาทหารเอกคู่ใจมาแล้วกล่าวว่า “ต่อไปนี้ในเมื่อเรารวบรวมแคว้นต่างได้มากมายเช่นนี้ ยังไม่มีธงประจำกองทัพเราเลยจึง คิดว่าใคร่ที่จะจัดสร้างประจำหน่วยรบของเราขึ้น ขอให้ท่านแจ้งแก่เจ้าเมืองฮะคาให้ช่วยจัด สร้างธงประจำหน่วยเราขึ้น ดังแบบที่ข้าเองสร้างขึ้นไว้” เมื่อมังสุรเดชเดชามองยังแบบแปลนเป็นเป็นพื้นสีขาวประกอบด้วยดวงอาทิตย์ส่องประกาย รัศมีสีแดงไปรอบกลางพื้นธงสีขาวภายในเป็นสีน้ำเงินเข้มด้วยประกายดาวหกแฉกภายในเป็นวงกลม สีแดงอยู่ในรูปดาวหกแฉก พื้นธงเป็นรูปสามเหลี่ยมชายธงปลายแหลมยาว จึงกล่าวว่า “พระเจ้าข้าแต่เห็นภายในพื้นธงแล้วไม่ทราบความหมายว่าหมายถึงอะไรพระพุทธเจ้าข้า” “อ้อ...มังสุรเดชเดชานั่นคือเครื่องหมายของเมือง “ศิระสุริยันต์”เก่าส่วนดาวหกแฉกนั้นคือตรา แผ่นดินประจำตัวข้าเอง “ เมื่อกล่าวเสร็จก็นำสายสร้อยที่ร้อยรัดด้วยดวงตราประจำเมืองศิระสุริยันต์ ส่งให้ทหารคู่ใจดูทันที เมื่อทหารเอกซึ่งบัดนี้เป็นแม่ทัพใหญ่ครั้นเห็นก็นึกชมความงามของดวงตรานักจึงเข้าใจอัน พระอาทิตย์ส่องแสงเจิดจ้ารัศมีประกายรอบด้านนั้นหมายถึงเมืองศิระสุริยันต์นั่นเองส่วนดวงดาว นั้นคือตราประจำตัวท่านมหาอุปราช เมื่อส่งคืนสร้อยแล้วก็ถามว่าจะให้จัดทำเท่าใด มังสุริยะชัยกล่าวว่า “ให้ทำให้เพียงพอกับกองทัพของเราก็แล้วกัน หากไปตีแว่นแคว้นใดเขาจะได้ รู้ว่าเป็นกองทัพของศิระสุริยันต์ “ ครั้นแม่ทัพใหญ่ทราบดังนั้นก็รีบออกไปแจ้งแก่เจ้าเมืองตามคำสั่งต่อไป ครั้นได้เวลาอันสมควรแล้วกองทัพที่ประกอบด้วยริ้วธงต่างๆตามลักษณะของเหล่าหน่วยทหารนั้น ก็เคลื่อนกำลังพลทั้งหมดมุ่งหน้าเข้าสู่ยังแคว้นรัฐฉานซึ่งอยู่ไม่ห่างไกลนักกับลุ่มแม่น้ำอิรวดีซึ่งมีแม่น้ำ แยกออกมาเกิดจากต้นน้ำภูเขาไหลลงสู่แม่น้ำอิรวดี ระหว่างการเดินทัพจนถึงเมืองหน้าด่านของ รัฐฉาน เมืองซึ่งเต็มไปด้วยทหารเรียงรายตามเชิงกำแพง ก็ให้ทูตนำสาสน์ไปส่งยังเจ้าเมืองทันที เมื่อทหารแห่งเมืองหน้าด่านทราบดังนั้น จึงตอบว่าขอพักรบไว้ก่อนรอจนกว่าจะได้รับคำสั่งจากท่าน อินทิราชัยซึ่งอยู่ในเมืองหลวงตองยีก่อน เมื่อมังสุริยะชัยทราบเช่นนั้นก็ให้เหล่าทหารทั้งหลายล้อมเมืองหน้าด่านไว้ก่อน ด้วยทราบว่ารัฐฉาน นั้นปกครองด้วยพวกไทใหญ่ซึ่งนับเนื่องแล้วก็เป็นไทเหมือนกันกับเขาก่อนจะมาเป็นมหาอุปราชทางนี้ ฉะนั้นสายเลือดยังเข้มข้นจึงมิคิดจะหักโหมแต่ประการใดไม่ หากเจรจาเป็นผลก็จะได้ไม่ต้องเสียเลือด เนื้อในสาสน์นั้นก็แจ้งเหมือนกันว่าเขาเองก็มีเลือดเนื้อเชื้อไขจากไทเช่นกัน เวลาผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ก็ได้รับคำตอบว่า ทางเมืองตองยียินดีสมานเป็นหนึ่งเดียวกัน กับทางกองทัพของศิระสุริยันต์โดยแจ้งไปยังแปดเมืองรอบด้านให้ต้อนรับเหล่าทหารทั้งหลาย ขอเชิญเข้าเมืองพักผ่อนก่อนเถิดมังสุริยะชัยก็มีสาสน์ไปยังเจ้าเมืองหน้าด่านว่าเราจะมุ่งไปยัง เมืองตองยีเพื่อปรึกษาราชการเจ้าเมืองตองยีก่อน เจ้าเมืองหน้าด่านเมื่อทราบเช่นนั้นก็ออกมาด้วยตัวเองพร้อมเหล่าทหารออกจาก ประตูเมืองมาต้อนรับแล้วเจ้าเมืองแจ้งว่า จะขอร่วมติดตามพร้อมเหล่าทหารของตนร่วมทัพไปด้วย เพื่อสะดวกในการผ่านทางไปยังเมืองหลวง มังสุริยะชัยครั้นทราบเช่นนั้นก็บังเกิดความยินดี กล่าวขอบใจเจ้าเมืองหน้าด่านทันทีว่านับต่อไปนี้พวกเราเสมือนเครือญาติกันเอง ในเมื่อท่านยินยอม ร่วมไปด้วยก็จะเป็นประโยชน์ยิ่งนัก ดังนั้นทัพของท่านมหาอุปราชก็สามารถผ่านบรรดาแว่นแคว้นต่างๆพร้อมกับการต้อนรับที่ดียิ่ง จนลุล่วงเข้าสู่อาณาเขตเมืองตองยี เจ้าเมืองตองยีอินทิราชัยก็ออกมาต้อนรับชายหนุ่มยังหน้าประตู เมืองทันที ครั้นทั้งสองพบกันแล้ว ชายหนุ่มมังสุริยะชัยก็ลงจากหลังม้าพร้อมกับเข้าทำความเคารพ ท่านอินทิราชัยพลางกล่าวว่า “ข้าหลานชายมังสุริยะชัยแห่งศิระสุริยันต์ของคาราวะท่านลุง หากสิ่งใดที่ข้าเองทำความลำบากใจ แก่พ่อลุงขออภัยให้แก่หลานคนนี้ด้วยเถิด” ครั้นเจ้าเมืองตองยีได้รับฟังเช่นนั้นแลไปเห็นเหล่าทหารอันมากมายยิ่งนักก็คิดในใจว่าเราคิดได้ถูกต้อง แล้วหากเกิดการต่อสู้ยากนักที่จะต้านไพร่พลของชายหนุ่มได้ พลันกล่าวว่า “หลานเราหากนับเนื่องแล้วพ่อท่านเองก็นับว่าเป็นนายของข้า ข้าได้ทราบมาว่าท่านคือมหาอุปราชแห่ง เมืองศิระสุริยันต์ย่อมมีศักดิ์เหนือกว่าข้ามากมายนี้ใยถึงกระทำเช่นนี้เล่า” ชายชรากล่าว แต่ภายในใจให้นึก ชมเชยถึงความอ่อนน้อมหาได้ลุล่วงในอำนาจไม่ “ที่พ่อลุงกล่าวเช่นนี้ก็สมควรอยู่หรอก แต่บัดนี้ข้าเองก็มีสายเลือดคนไทอยู่จึงมิคิดที่จะล่วงเกินต่อคนไท ด้วยกัน ตามประเพณีเราต้องรู้จักเล็กจักโตสิ่งใดควรไม่ควรพระเจ้าข้า” เมื่อชายหนุ่มกล่าวถึงเลือดเนื้อเชื้อสายก็ยิ่งทำให้เจ้าเมืองตองยีซาบซึ้งแก่ใจยิ่งนักถึงกับลุกเดินไปโอบไหล่ แล้วชักชวนให้เข้าไปในเมือง ชายหนุ่มจึงหันไปกล่าวกับแม่ทัพนายกองให้พักทัพไว้นอกเมือง ส่วนตัวเองก็จะ เพียงนำกำลังคนไปไม่มากนักพร้อมด้วยเจ้าลิงทั้งสองก็ติดตามเจ้าเมืองเข้าเมืองไป เจ้าเมืองอินทิราชัยก็ให้การ ต้อนรับและกล่าวว่า “แล้วพ่อหลานชายคิดจะไปรวบรวมแคว้นใดอีกเล่า หากลุงช่วยได้ก็จะช่วยเหลือตามกำลังความสามารถไม่ ต้องเกรงใจลุงหรอก” ชายชรากล่าว “พ่อลุงข้าเองคิดว่าจะออกเดินทางต่อไปยังแว่นแคว้นกระเหรี่ยงก่อนซึ่งอยู่บนเขา ด้วยแว่นแคว้นรัฐมอญนั้น ตอนนี้กำลังมีปัญหากับเมืองตองอูอยู่ หากจะเกิดการรบพุ่งก็ต้องใช้กำลังมากมาย หากจะไปแคว้นยะไข่ก็ไกล และล้วนภูเขามากมายเช่นกันแต่เมืองนั้นอยู่ใกล้กับจีนไม่อยากจะกระทบกระเทือนต่างประเทศและยังมีความ สัมพันธ์กับเมืองหงสาที่มีทหารล้วนกล้าแข็งนักแต่หากใช่จะเกรงกลัวก็หาไม่เพียงแต่หากได้แว่นแคว้นกะเหรี่ยง ไว้แล้วตีเมืองชิตตเวแห่งแคว้นยะไข่เข้าโอบล้อมแว่นแคว้นมอญก็จะง่ายกว่า มิฉะนั้นเมืองปะอานและเมือง มะละแหม่งก็จะไหวตัวก่อนท่านพ่อลุง” “อีกประการหนึ่งเมืองปะอานนั้นล้วนแล้วแต่ภูเขา ก็จะทำให้ไพร่พลทหารเราเกิดความชำนาญภูมิประเทศ ยิ่งขึ้นด้วยเคยตีเมืองหล่อยก่อมาแล้ว หากเข้าตีเมืองยะไข่ก็คงจะไม่ยากนัก” ชายหนุ่มกล่าว “หากความคิดพ่อหลานชายคิดนั้นคือง่ายไปหายาก ยากมาหาง่าย หากสำเร็จการรวบรวมแคว้นก็อยู่ใน กำมือของพวกเรา แต่นี่หลานชายคิดคนเดียวหรือ” ชายชราถามด้วยความสงสัย “หามิได้พ่อลุง เป็นความคิดอ่านร่วมกันแต่ส่วนใหญ่เกิดจากท่านที่ปรึกษาใหญ่ของข้าเองแหละ” “นั่นซิมันเป็นกลยุทธ์ตามพิชัยสงครามที่เกิดจากลับลวง ลวงรับ นั่นเอง ข้าอยากใคร่พบเขานัก” ชายชราเอ่ยขึ้น “แต่ตอนนี้เขาอยู่ดูแลกองทัพอยู่แต่คิดว่าท่านลุงคงจะทราบดีเขาชื่อ “เหมี่ยวมังกะยอชวา” แห่งเมืองหล่อยก่อนั่นเองท่านลุง” “โอ้ๆ????.... หากเป็นบุคคลนั้นหากมาดแม้นว่าเจ้าเมืองมันไม่ถือตัวตนเองเชื่อฟังท่านมหาอำมาตย์ นี้แล้ว ใยเมืองหล่อยก่อก็คงจะไม่เสียโดยง่ายดายหรอก” “ในเมื่อหลานเราได้บุคคลนี้มารับใช้แล้วเสมือนได้ดวงแก้วมาเคียงคู่กายไม่ผิด ข้าคิดว่างานครั้งนี้ สำเร็จไปเสียแล้วครึ่งหนึ่งนะ” ชายชราอดที่จะแสดงความยินดีเสียมิได้ “ หากแม้นหลานชายจะเคลื่อนทัพไปเมื่อใดเล่า” “หลานเองคิดว่าคงจะเป็นพรุ่งนี้ ด้วยท่านที่ปรึกษาใหญ่กล่าวว่าหากล่าช้าไปข้าศึกก็จะรู้ตัวเสียก่อน ยากแก่การเข้าโจมตี ข้าเองก็ขอลาพ่อลุงในตอนนี้เลยนะ” “แล้วหลานชายมีไพร่พลประมาณเท่าไหร่ล่ะ ภูเขานั้นยากต่อการใช้ม้ายิ่งนัก” ชายชราเอ่ยเตือน “หากตอนนี้เห็นจะประมาณสี่แสนกว่าๆกระมังพ่อลุง” “งั้นข้าก็จะมอบทหารให้อีกสามหมื่นนายพร้อมเสบียง แต่ก็ต้องใช้เวลา แต่จะให้ติดตามไป คงไม่ล่าช้าหรอก ส่วนทหารนั้นให้หลานชายนำไปได้เลย” เมื่อกล่าวเสร็จก็เรียกที่ปรึกษาให้ไปสั่งให้ นายทัพนายกองระดมกำลังสามหมื่นนายจะออกเดินทางไปร่วมรบกับชายหนุ่มพรุ่งนี้ทันที ที่ปรึกษาครั้น รับคำสั่งแล้วก็รีบไปแจ้งแก่แม่ทัพใหญ่ทันที แล้วชายหนุ่มก็ขอลาเจ้าเมืองตองยีอินทิราชัยกลับยังกองทัพโดยไม่พักในเมืองตองยี ครั้นเดินทาง ถึงกองทัพแล้วก็ให้เรียกประชุมบรรดาแม่ทัพนายกองพร้อมท่านเหมี่ยวมังกะยอชวามาร่วมปรึกษากันว่าใน กาลข้างหน้าคงจะไม่เหมือนเดี๋ยวนี้หรอก ด้วยนิสัยพวกกะเหรี่ยงนั้นเป็นคนดื้อรั้นเอาแต่ใจตัวเป็นใหญ่แบ่ง แยกเป็นเหล่าๆอยู่ตามขุนเขายากแก่การโจมตี ท่านพ่อลุงเหมี่ยวมังกะยะชวาเห็นเป็นประการใด “หม่อมฉันคิดว่า หากองค์ชายเมื่อไปถึงแคว้นกะเหรี่ยงแล้วให้แบ่งกองทัพออกเป็นหลายๆทาง ให้แม่ทัพ คุมกำลังพลเข้าไปยึดแว่นแคว้นที่อยู่ในที่ราบก่อนซึ่งมีทั้งหมดแปดเมือง หากได้เมืองเหล่านี้ไว้ แล้วค่อยยก พลแต่ให้กระจายกำลังออกไปซุ่มไว้ตามเขาต่างๆโดยปลอมตัวคลุกคลีกับชาวบ้าน หากได้สัญญาณแล้วถึงจะเข้ารวมตัวกัน หากไปเป็นกองทัพก็ยากจะยึดเมืองปะอานได้หรอกพระเข้าข้า” มหาอำมาตย์กล่าว “อ้าวแล้วใครล่ะที่ยืนข้างหลังท่านพ่อลุงนะ” ชายหนุ่มถามเมื่อแลเห็นทหารรูปร่างเล็กๆยืนอยู่เบื้องหลัง” “อ้อ...บุตรีข้าพระองค์เองแหละพระเจ้าจ้า” พลางหันไปเรียกทหารดังกล่าวให้มาถวายบังคมชายหนุ่ม “หรือท่านพ่อลุง แล้วเขามีนามว่าอะไรล่ะ” ชายหนุ่มถามพลางมองไปยังทหารร่างเล็กทันที พลางนึก ในใจว่ารูปร่างเช่นนี้จะไปสู้รบอะไรใครได้ เห็นบอกว่าเก่งฉกาจนัก “บุตรีข้าพระองค์ชื่อ “จันทิรา” พระเจ้าข้า” “ยังงั้นหรือ...ข้าขอกล่าวกับแม่นางก่อนว่า เวลาออกจากค่ายพักห้ามแต่งกายเป็นหญิงโดยเด็ดขาดหวังว่า แม่นางคงจะเข้าใจเจตนาที่พ่อท่านกล่าวไว้แล้วกระมัง” ชายหนุ่มกล่าว “ทราบแล้วเพค่ะ...กระหม่อมจะทำตามพระประสงค์ทุกประการเพค่ะ” หล่อนกล่าวพลางนึกชมความ องอาจสง่าช่างหล่อเหลายิ่งนัก นี่หรือเพียงแค่อายุเท่านี้สามารถควบคุมทหารตีเมืองต่างๆได้ ก็ให้นึกบังเกิด ความชอบขึ้นในใจ ซึ่งหล่อนไม่เคยมีมาแต่ก่อนเลย ถึงแม้จะมีบรรดาหนุ่มๆมาติดพันก็ตามที ครั้นแล้วมังสุริยะชัยก็หันมากล่าวกับบรรดาแม่ทัพโดยจัดแยกกองกำลังเพื่อเข้าตีแว่นแคว้นกระเหรี่ยง แปดเมืองโดยพลางสั่งแก่บรรดาแม่ทัพทั้งหลายว่า ท่านมังสุรเดชเดชา เข้าตีเมือง กุละ ท่านมังนายะเดชะ เข้าตีเมือง ปุริสะ ท่านเหมี่ยวสุรการ เข้าตีเมือง เมงก่อ ท่านมังกะยอ เข้าตีเมือง การียะ ท่านมังสุระ เข้าตีเมือง กอรีกะ ท่านมังสีหะ เข้าตีเมือง ยะกี ท่าน นิละกะ เข้าตีเมืองมุลีกะ ท่านสุระเดชะ เข้าตีเมืองกันหะกะ โดยนำกำลังคนไปกองทัพละสี่หมื่น พร้อมอาวุธที่ข้าคิดประดิษฐ์ขึ้นไปด้วยเพื่อใช้ทำลายประตูเมือง ส่วนข้าเองจะเข้าตีเมืองปะอานเอง ให้แม่ทัพทั้งหลายที่จะไปตีเมืองนั้นๆให้ใช้พระคุณนำหน้าพระเดชหาก เมืองใดยอมอ่อนน้อมก็อย่าทำอันตราย การรบพุ่งครั้งนี้ต้องอาศัยสติปัญญาของพวกท่านแต่ให้ใจเย็นไว้อย่า ได้ใช้อารมณ์คิดไตร่ตรองรักษาทหารทั้งหลาย หากเมืองใดตีได้แล้วก็ให้รีบส่งกำลังไปช่วยเมืองที่ยังไม่สามารถ เข้าตีได้ ครั้นตีเสร็จแล้วให้จัดตั้งเจ้าเมืองใหม่โดยเป็นประโยชน์แก่พวกเราเป็นที่ตั้ง หากทหารฝ่ายนั้นยินยอม สวามิภักดิ์จะร่วมทัพด้วยก็ให้รับเอาไว้แต่ให้คัดเลือกด้วยความระมัดระวัง จงให้เกียรติแก่เขาอย่าคิดว่าเป็นเพียง ทหารที่พ่ายแพ้เป็นอันขาด ท่านใดสงสัยอย่างไรแผนการเข้าตีเดี๋ยวท่านที่ปรึกษาใหญ่จะชี้แจงให้ท่านทราบถึง การเข้าโจมตีเมืองต่างๆ เมือสั่งการแล้วก็หันมาทางท่านมหาอำมาตย์ที่ปรึกษาทันที อาศัยพ่อลุงช่วยอธิบายเส้นทางแผนการโจมตี แก่เหล่าแม่ทัพทั้งหลาย ข้าเองก็จะร่วมช่วยพิจารณาด้วย เมื่อเหมี่ยวมังกะยอชวาได้รับคำสั่งเช่นนั้นก็เรียกบรรดาแม่ทัพนายกองทั้งหมดล้อมดูแผนที่ที่จัดเรียงรายไว้ ด้วยธงต่างๆ ตลอดจนแผนที่ได้จัดทำขึ้นมอบให้แต่ละแม่ทัพเส้นทางการเดินทัพการหยุดพักตามรายทางตลอด การวางกำลังพลต่างๆให้แก่บรรดาแม่ทัพนายกองทราบ หากผู้ใดสงสัยให้รีบสอบถามทันที เหล่าแม่ทัพนายกองครั้นได้รับการชี้แจงอย่างละเอียดแล้วตลอดจนได้รับแผนที่เมืองต่างๆไว้ก็ขอลาไปเพื่อ จะรีบออกเดินทางคัดเลือกทหารเหล่าล่ะสี่หมื่นซึ่งต้องแยกกันไปตามเมืองต่างๆออกเดินทางทันที ทางด้านจันทิราซึ่งยืนอยู่เคียงข้างพลันกล่าวขึ้นว่า “ข้าแด่ท่านมหาอุปราช แล้วข้าพระองค์มิให้ดำเนินกิจการใดบ้างเชียวหรือ” “ข้าเองนั้นที่ไม่ใช้ท่านก็ด้วยต้องการให้ท่านปกป้องท่านมหาอำมาตย์ไว้ ด้วยทางเมืองปะอานนั้นมีชัยภูมิยาก ยิ่งต่อการเข้าโจมตีนัก อีกประการหนึ่งข้าเองก็เป็นห่วงท่านอยู่หรอก” ชายหนุ่มกล่าว ทำให้แม่นางจันทิราถึงกับหน้าแดงทันทีนึกว่าชายหนุ่มคงจะพิสมัยตนบ้าง จึงมิอาจกล่าวประการใด ครั้นได้เวลาของแม่ทัพนายกองนำพลทหารมาพร้อมแล้ว ก็ออกไปอวยพรเสริมสร้างพลังใจแก่มวลทหาร ทั้งปวงทันที เสียงทัพทั้งแปดเคลื่อนพลทำให้แผ่นดินสะเทือนเลื่อนลั่นโดยแยกย้ายกันไปตามทิศต่างๆหมดสิ้น แล้วชาย หนุ่มก็เข้าไปยังค่ายใหญ่พร้อมท่านเหมี่ยวมังกะยอชวาเพื่อปรึกษาแผนการรบต่อไป........ * แก้วประเสริฐ. *
6 มีนาคม 2553 20:17 น. - comment id 115555
7 มีนาคม 2553 14:03 น. - comment id 115564
รักหลานเราเสมอจ้า แก้วประเสริฐ.
11 มีนาคม 2553 12:49 น. - comment id 115731
อืมม...กว่าจะรวมแคว้นแต่ละแคว้นให้เป็นผืนแผ่นดินได้ต้องใช้กำลัง ความสามารถ สติปัญญา สูงมากเลยนะคะ
11 มีนาคม 2553 15:45 น. - comment id 115739
คุณ โคลอน หายไปคิดถึงจังเลยจ้า รักเสมอ แก้วประเสริฐ.