ลุ่มลึกอิสราวดี 38

แก้วประเสริฐ


                ลุ่มลึกอิสราวดี  38
     มังสุริยะชัย ครั้นเห็นว่าได้เวลาเหมาะสมแล้วก็ให้ทหารไปเรียก เหมี่ยวมังกะยอชวามาพบ
ครั้นมหาอำมาตย์ใหญ่เข้ามา  ก็คาราวะทันที  มังสุริยชัยพลันหยิบสร้อยดวงตรามาให้แม่ท่าน
มหาอำมาตย์พลางถามว่า
     “ท่านรู้จักของสิ่งนี้หรือไม่”
   ครั้นเหมี่ยวมังกะยอชวาเห็นก็น้อมทูลขึ้นว่า
      “ทราบพระเจ้าข้าว่าเป็นดวงตราแผ่นดินประจำเมืองศิระสุริยันต์ที่มอบให้แก่ท่านมหาอุปราช
ไว้พระเจ้าข้า”
      “แล้วเจ้าเหมี่ยวสุรินทร์นราไม่ทราบหรือ???..”   มังสุริยะชัยถาม
      “คงจะทราบพระเจ้าข้าด้วย ดวงตรานั้นลอดออกมาจากเสื้อของพระองค์  แต่เจ้าเมืองคงจะไม่
คำนึงถึงพระเจ้าข้า”   
       “งั้นหรือ....เราถามไปยังงั้นเองแหละ  อ้อๆ...ท่านได้จัดการเรื่องส่วนตัวพร้อมหรือยังล่ะด้วย
เราจะเคลื่อนพลเพื่อรวบรวมอาณาเขตต่อไป  เห็นท่านทำแผนที่ไว้จึงใคร่ขอดูสิ่งที่ท่านทำไว้”
       “ได้พระพุทธเจ้าข้า...กระหม่อมได้เตรียมมาเรียบร้อยแล้ว”   กล่าวจบท่านมหาอำมาตย์
เหมี่ยวกะยอชวาก็ล้วงแผนที่  ที่ทำด้วยหนังสัตว์ออกมาน้อมถวายให้แก่ท่านมหาอุปราชทันที
        “งั้นเรามาร่วมกันพิจารณาในแผนที่กันเถิด  ว่าเมืองใดเล่าสมควรจะเข้ายึดแว่นแคว้นก่อน”
        “บัดนี้ข้าพระองค์ได้ทราบว่า อันเมืองฮะคาแห่งแคว้นรัฐชินนั้นเป็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์นัก
ตลอดมีทัพเรือด้วยติดกับลุ่มแม่น้ำอิรวดี   แต่ข้าได้รับทราบว่าเห็นเจ้าเมืองฮะคาคือมังสีหะบดีได้
ยอมอ่อนน้อมต่อพระองค์  กำลังส่งเครื่องราชบรรณาการพร้อมด้วยตัวเองมากำลังเดินทางจวนจะ
มาถึงแล้วพระเจ้าข้า”   มหาอำมาตย์ทูลถวายรายงาน
        “หรือเราเองก็พึ่งจะรู้จากท่านนี่แหละ  ข้าคิดจะเคลื่อนทัพไปตียังแคว้นรัฐชินพอดีหากเป็นเช่น
นี้ก็เห็นจะต้องคอยเจ้าเมืองฮะคาก่อนแล้วล่ะ   หากเขาเดินทางมาถึงให้ท่านออกไปต้อนรับแล้ว
นำมาหาเราก็แล้วกันนะท่าน”  มังสุริยะชัยกล่าว
         “ข้าเองสงสัยชื่อของพระองค์พระเจ้าข้าว่า เหตุใดจึงใช้ชื่อว่า มังสุริยะชัย  ข้าพระองค์เพียงทราบ
ว่าท่านมหาอุปราชนั้นชื่อว่า “มังสุระกานต์นรินทร์เดชา” พระพุทะเจ้าข้า
          ชายหนุ่มหรือมังสุริยะชัยหัวร่อ  พลางกล่าวว่า
        “ชื่อนี้ข้าตั้งเองแหละเพื่อมิให้เกิดความสงสัยแก่แว่นแคว้นทั่วๆไปนั่นเอง  ท่านก็ทราบชื่อแท้จริง
ของเราด้วยหรือ????....”  
        “ทราบดีพระเจ้าข้าด้วยก่อนนั้น  เจ้าชายได้เคยมายังเมืองหล่อยก่อด้วยและยังมาเยี่ยมสนทนากับข้า
แต่ข้าเองก็สงสัยเหมือนกันว่าเหตุใดพระองค์จึงจำข้าไม่ได้ พระเจ้าข้า”  ท่านเหมี่ยงกระยอชวากล่าว
        “เนื่องจากข้าพลัดหลงไปในป่าทึบผจญภัยต่างนาๆทำให้ลืมเลือนไปกระมัง  ข้อนี้ขออย่าให้ท่านคิด
แต่ประการใดเถอะ”
        “พระเจ้าข้า  แต่ในการเดินทางครั้งนี้ข้าพระองค์ใคร่อยากจะนำธิดาซึ่งมีความเชี่ยวชาญทั้งรบและ
การเมืองต่างๆไปด้วย พระองค์จะเห็นเป็นประการใดพระเจ้าข้า”
         “  หากเป็นความประสงค์ท่านข้าเองก็ไม่ขัดข้องหรอกนะตามแต่ท่านเถอะ แล้วท่านมีบุตรธิดากี่คน
ล่ะท่านเหมี่ยวกะยะชวา”  มังสุริยะชัยกล่าว
          “ข้าพระองค์มีเพียงบุตรีคนเดียวพระเจ้าข้า  ด้วยเขาเป็นห่วงข้าพระองค์ว่าชรามากแล้วและอยู่คนเดียว
ด้วยภรรยาข้าพระองค์เสียไปนานแล้วจึ่งขอร้องให้มากราบทูลขอพระบรมราชานุญาติพระเจ้าข้า”
  มหาอำมาตย์กล่าว
       “งั้นหรือดีเหมือนกันท่านจะได้ทำหน้าที่ปรึกษาแก่ข้าและกองทัพด้วยข้าเองเชื่อมั่นต่อท่านมากนักจะได้
ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง  เอาเถอะหากมาในกองทัพเป็นหญิงก็ไม่เหมาะสมข้าขอให้ลูกสาวท่านแต่งตัวเป็น
ชายก็แล้วกันนะ   จะได้ไม่เป็นที่กังขาแก่เหล่าทหารๆทั้งหลาย”   มังสุริยะชัยกล่าวขึ้น
         “เป็นพระมหากรุณาธิคุณแก่ข้าพระองค์มากพระเจ้าข้า   ข้าพระองค์พร้อมที่จะทูลและยอมถวายชีวิตแต่
ท่านมหาอุปราชจวบชีวิตจะหาไม่พระเจ้าข้า  ก่อนเดินทางข้าพระองค์จะนำธิดามาทูลถวายชมก่อนพระเจ้าข้า”
          ชายหนุ่มเดินเข้าไปโอบไหล่ชายชราทันทีพร้อมกล่าวว่า
         “การศึกครั้งหน้านี้คงจะใหญ่หลวงนัก  แต่ข้ากังวลก็เพียงรัฐกระเหรี่ยง รัฐมอญกับรัฐยะไข่เท่านั้นเองด้วย
ทำเลนั้นล้วนแล้วแต่สูงชันเต็มไปด้วยภูเขาต้นไม้ใหญ่ยากแก่การยกทัพเข้าโจมตีเมืองหลวงมันได้”
          “แต่ข้าพระองค์ทราบเหมือนกันพระเจ้าข้า  แต่ได้เคยจัดหน่วยสอดแนมเข้าไปเป็นไส้ศึกไว้นานแล้วและ
รู้เส้นทางลัดเข้าสู่เมืองหลวงที่พวกมันจัดทำ  และเนื่องจากพวกมันนั้นประมาทจัดวางกำลังคนไว้น้อย หากเรา
ทำเป็นต่อสู้ด้านหน้า  ส่วนทางลัดนั้นให้จัดทหารอีกหน่วยแม้ทางจะลำบากไม่สามารถลำเลียงอาวุธต่างๆได้มาก
นักด้วย เป็นทางเท้า  แม้แต่ม้าก็สามารถสวนกันได้แค่ตัวเดียวพระเจ้าข้า”
          “ อ้อนี่ได้ท่านมาแนะนำแก่ข้านะ   หากมิฉะนั้นก็จะยากแก่การโจมตียิ่งนัก  เอาล่ะท่านไปแจ้งแก่ลูกสาว
ท่านให้จัดเตรียมตัวได้แล้ว  หากเจ้าเมืองฮะคามาถึงให้ต้อนรับหลังกลับไปแล้วก็จะออกเคลื่อนพลต่อไปเพื่อเข้า
รัฐฉานก่อนด้วยถึงแม้ว่าจะแกร่งกล้านักแต่เจ้าเมืองเป็นคนมีเหตุมีผลย่อมรู้จักหนักเบา” มังสุริยะชัยกล่าว
        “ข้าพระองค์อยากจะทูลเสริมอีกหน่อยพระเจ้าข้า”  เหมี่ยวกระยอชวาเอ่ยขึ้น
        “ท่านว่ามาได้เลยตามสบายเถอะนะ หากมีอะไรไม่ต้องกังวลหรอก”
        “หากแม้นเจ้าเมืองฮะคามายอมสวามิภักดิ์แล้ว   พระองค์ให้เจ้าเมืองต่อเรือไว้ให้มากๆเพื่อใช้ลำเลียงพล
ด้วยข้าเองพอจะเดาพระหทัยของพระองค์ว่า  สิ่งสำคัญคือเมืองอิสราวดีแต่เพียงใคร่จะกำราบแขนขาของมัน
ก่อน  จึงได้ตีโอบล้อมเมืองอิสราวดีไว้  ใช่ไหมพระเจ้าข้า”
          “ฮ่าๆๆๆ????.....สมแล้วที่ท่านเป็นที่ปรึกษาเราช่างรู้ใจเรายิ่งนักถูกแล้วเรามุ่งหมายที่สำคัญคือเมือง
อิสราวดีนั่นเอง  แล้วท่านให้เจ้าเมืองฮะคาต่อเรือไว้มากๆทำไมหรือท่าน”
          “เหตุที่ชาวเมืองฮะคานั้นอาศัยแม่น้ำเป็นหลักและเชี่ยวชาญทางน้ำและทางเรือตลอดจนการต่อเรือมาก
เมื่อเราได้เมืองต่างๆเพื่อเข้าโจมตีเมืองอิสราวดีนั้น   อันเมืองอิสราวดีติดกับแม่น้ำอิรวดี เก่งทั้งทางน้ำและ
ทางบกนัก   หากเราชนะทางบกมันก็จะหนีไปทางน้ำพระเจ้าข้า  หากเราได้เรือจากเมืองฮะคาแล้วยกกำลัง
พลไปทางน้ำซุ่มคอยไว้  หากเราเข้าโจมตีทางบกเมื่อใด   ก็ให้ทหารทางเรือเข้าตีด้านหลังกระหนาบทั้ง
สองทางปิดกั้นทั้งทางหนีของมันด้วยพระเจ้าข้า”   เหมี่ยวมังกะยะชวากล่าวรายงาน
          “อื่มมๆๆๆๆ.....สมแล้วที่ข้ามองคนไม่ผิด ท่านนี่หากเจ้าเหมี่ยวสุรินทร์นรามันเชื่อฟังท่านเห็นทีการ
ศึกนั้นคงจะลำบากนักจริงๆ”  มังสุริยะชัยกล่าว
          “เอาล่ะท่านที่ปรึกษาใหญ่เหมี่ยวมังกะยอชวาท่านไปได้แล้ว  เมื่อจัดการตามที่ข้าบอกแล้วพวกเราก็
จะออกเดินทางไปยังรัฐฉานทันที   หากเจรจาไม่ได้ผลก็เห็นทีจะต้องรบกันแต่นอนนะ”  ชายหนุ่มกล่าว
         ครั้นเจ้าเมืองฮะคาพร้อมเครื่องราชบรรณาการมาถึง  ท่านมหาอำมาตย์ใหญ่ก็ออกมาต้อนรับแล้วนำ
ท่านมังสีหะบดีเข้าเฝ้าท่านมหาอุปราชยังท้องพระโรงทันที
        เมื่อมังสีหะบดีก้าวเข้าสู่ท้องพระโรงตามท่านมหาอำมาตย์ไป   เห็นชายหนุ่มนั่งยังบนราชบัลลังก์ก็
ให้แปลกใจยิ่งนัก ด้วยตนเองคาดคะเนว่าคงจะมีอายุมากนักแต่การณ์กลับกันไปเสียก็สะดุ้งในใจแต่เมื่อมา
ตามประเพณีก็ก้มลงน้อมทำความเคารพตามประเพณี     เมื่อชายหนุ่มเห็นเช่นนั้นก็ลุกจากบัลลังก์มาแล้ว
ก้มพยุงร่างชายกลางคนขึ้นมา พร้อมกล่าวว่า
      “ข้ามังสุริยะชัยเองทำความลำบากใจให้แก่ท่านอามากนัก  ขอท่านอาอย่าได้ถือโกรธรังเกียจแก่ข้าด้วยเถิด”
      มังสีหะบดีได้ยินเช่นนั้นก็ให้ตกใจด้วยคาดมิถึงว่าผู้ที่สามารถยึดแว่นแคว้นเมืองหล่อยก่อได้นั้นจะมิถือ
ในตัวเอง มิได้หยิ่งยโสโอหังแต่ประการใดไม่ ซ้ำยังเรียกตัวเองประดุจดังญาติผู้ใหญ่อีก  ความคิดอ่านแต่
แรกก็หายไปสิ้นเชิง บังเกิดความรักใคร่แก่ชายหนุ่มยิ่งนัก  จึงน้อมกายถวายบังคมทูลว่า
        “พระองค์ทรงให้เกียรติแก่หม่อมฉันนัก จนมิอาจจะรับได้หรอกพระเจ้าข้า”  เจ้าเมืองฮะคากล่าว
        “หาเป็นเช่นใดไปเล่าท่านอา  ด้วยท่านอาซิกับให้เกียรติแก่ข้ายิ่งนักที่อุตส่าห์เดินทางไกลมากับทำให้ข้า
ผู้น้อยนี้ล่วงเกินต่อท่านอา  ซึ่งปกติจะควรเป็นข้าไปหาท่านอาถึงจะถูกต้องนะท่านอา”  ชายหนุ่มเอ่ย
         “ข้ามังสุริยะจึงใคร่ขอให้ท่านอา อย่าได้เรียกเช่นนี้อีกขอให้เรียกข้ามังสุริยะชัยเฉยๆหรือว่าหลานชายก็
จะทำให้ข้านี้มิต้องเกิดความละอายใจนัก  ด้วยฐานันดร์เราก็เสมอๆกันแต่ข้าเองอายุยังน้อยด้อยประสบการณ์
เห็นทีจะต้องพึ่งพาความรู้ความสามารถท่านอาอีกมากมายนักพระเจ้าข้า”  มังสุริยะชัยกล่าวอย่างนอบน้อมยิ่ง
         ด้วยเหตุนี้ยิ่งทำให้เจ้าเมืองฮะคายิ่งซาบซึ้งแก่ใจจนถึงแก่อ้ำอึ้งไป  พลันกล่าวว่าหากเป็นพระประสงค์เช่น
นี้ก็จะขอน้อมรับพระบัญชา  นับแต่นี้ไปข้าเองขอเรียกท่านว่ามังสุริยะชัยก็แล้วกัน  ท่านจะให้ข้าทำสิ่งใดๆก็
แล้วแต่พ่อหลานชายจะกล่าวมิต้องเกรงใจเราหรอก”  เจ้าเมืองฮะคากล่าวด้วยความปิติยินดีนัก
       “ยังหรอกท่านอาขอเชิญท่านอารับทานอาหารด้วยกันเถิด ส่วนพวกติดตามมานั้นข้าเองสั่งกำชับไว้แล้วให้
ต้อนรับด้วยอาหารอย่างดีในที่พักรับรองแล้ว  ส่วนท่านอานั้นก็เข้ามาพักกับหลานด้วยกันเถิดเพื่อจะได้ปรึกษา
กันนะพระท่านอา”
       “ในเมื่อหลานชายเรามีความประสงค์เช่นนี้  เครื่องราชบรรณาการนั้นหลานเรามิเปิดดูหรอกหรือ”
        “ไม่หรอกท่านอา  คนอย่างข้านั้นรักใครและใคร่ครวญแล้วถือเป็นน้ำใจอันสูงส่งมากแก่ตัวข้านักจำมิรับไว้
หรือก็จะเสียขนบธรรมเนียมประเพณีไป  จึงใคร่เพียงขอรับไว้แค่ครึ่งเดียวก็พอหวังว่าท่านอาคงจะไม่ถือโทษแก่
ข้าน้อยด้วยนะท่านอา”
          เจ้าเมืองฮะคามังสีหะบดีได้ยินเช่นนั้นก็ยิ่งบังเกิดความรักเปรียบประดุจญาติสนิทมิปาน ด้วยคิดว่าชายหนุ่ม
คนนี้มิได้มีความโลภโมโทสันเห็นแก่สิ่งของเป็นสิ่งสำคัญ  ยึดถือสิ่งใดควรมิควรเป็นหลักรู้จักผู้หลักผู้ใหญ่มิได้
หลงใหลในอำนาจของตัวเอง  คนประเภทนี้หากใครอยู่ในปกครองย่อมก่อเกิดแต่ความสุขความเจริญยิ่งนัก
 พลางหัวร่อแล้วก็ติดตามชายหนุ่มเข้าร่วมรับทานอาหารร่วมกัน  
         ชายหนุ่มหันมาเรียกท่านมหาอำมาตย์เหมี่ยวมังกะยะชวาเข้าร่วมรับทราบอาหารร่วมโต๊ะด้วยกัน
ทำให้เหมี่ยวมังกะยะชวาตกใจยิ่งนัก  ครั้นจะเอ่ยคัดค้านก็เกรงพระราชหฤทัยยิ่งนัก  จึงหันมาน้อมคาราวะขอ
อนุญาตต่อเจ้าเมืองฮะคาด้วย   เจ้าเมืองฮะคาครั้นเห็นชายหนุ่มถึงกับให้เกียรติแก่มหาอำมาตย์เช่นนี้ก็ยิ่งสงสัย
เหตุใดมหาอำมาตย์ผู้นี้ก่อนเคยเป็นมหาอำมาตย์แห่งเมืองหล่อยก่อกับได้รับเกียรติสูงส่งประดุจดังหน่อเนื้อเชื้อ
กษัตริย์ก็มิปาน   แต่ก็ไม่อาจจะขัดประการใดได้กลับนึกถึงสติปัญญาในการใช้คน  จึง ผายมือเชื้อเชิญทันที
         ทั้งสามก็ร่วมรับทานและสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดอ่าน  มังสีหะบดีครั้นได้สนทนากับมหาอำมาตย์ใหญ่
ก็ทราบทันทีว่าเหตุใด มังสุริยะชัยถึงให้ความไว้วางใจแก่มหาอำมาตย์คนนี้มากนักด้วยสติปัญญาเฉลียวฉลาด
รอบรู้บรรดาแว่นแคว้นต่างๆไปแทบเสียสิ้น  ในระหว่างการร่วมรับทานอาหารมังสุริยะชัยก็เอ่ยปากขอร้องให้
ทางเมืองฮะคาช่วยต่อเรือไว้ให้มากๆเพื่อจะต้องใช้ในการต่อไป   เจ้าเมืองฮะคาก็ตอบตกลงว่าจะสร้างเรืองไว้
ให้มากหากชายหนุ่มต้องการเช่นนั้นไม่ต้องห่วงกังวลและมาทราบอีกด้วยว่า
ที่แท้มังสุริยะชัยก็คือมหาอุปราชแห่งแคว้นศิระสุริยันต์ยิ่งบังเกิดความเชื่อมั่นยิ่งขึ้น 
ว่าเหตุใดชายหนุ่มถึงได้สามารถตีเหล่าแว่นแคว้นต่างๆได้อย่างรวดเร็วนักโดยไม่กังขาสิ่งใดๆเลย
        ครั้นแล้วเจ้าเมืองฮะคากล่าวว่าแล้วพ่อหลานชายจะไปยังแว่นแคว้นใดหรือ   ชายหนุ่มก็ไม่ปิดบังกล่าวว่าจะ
เคลื่อนทัพไปยังรัฐฉานเพื่อเจรจาการศึกก่อนด้วยเป็นทางผ่าน   เจ้าเมืองฮะคาจึงกล่าวว่า
       “หากแม้นพ่อหลานชายเราจะเคลื่อนพลเราจะแจ้งแก่บรรดาแว่นแคว้นของเราให้เปิดทางผ่านและให้นำ
ทหารเข้าร่วมเดินทางไปด้วย  ส่วนทางเมืองฮะคาจะมอบทหารให้แก่หลานชายสองหมื่นนายหากรวมกับแว่น
แคว้นของเราก็ตกราวๆเกือบแสนคนจะได้กระมัง”  มังสีหะบดีกล่าว
         “นับว่าข้าเองได้รับความเมตตาแก่ท่านอ่านอย่างเหลือล้นทีเดียว  จึงขอกราบขอบคุณท่านอานะที่นี้ด้วย
แล้วชายหนุ่มก็ยกมือไหว้มังสีหะบดีทันที    จนเจ้าเมืองฮะคารีบยกมือรับไหว้ตอบแทบไม่ทันพลางกล่าวว่า
เมื่อเดินทางถึงเมืองหลวงเราแล้วจะรีบเร่งระดมทหารส่งมอบ  ยามที่หลานชายผ่านแว่นแคว้นต่างๆของเราและ
ให้เหล่าแว่นแคว้นมอบทหารให้ตามแต่จะสามารถทำได้พร้อมด้วยเสบียงอาหารการศึกนี้ตลอดจนจะระดมคน
ก่อสร้างเรือขนาดใหญ่ให้อีกจำนวนมาก     
          ทั้งหมดต่างปรึกษารับทานอาหารไปนั้นก็สำราญบางครั้งก็ส่งเสียงหัวเราะกันสนิทสนมกันยิ่งๆขึ้นไปอีก
หลายวันผ่านไปได้เวลาสมควร  เจ้าเมืองฮะคาก็ขอเดินทางกลับเมือง   ชายหนุ่มก็ออกมาส่งยังนอกเมืองในระยะทางหนึ่งถึงเดินทางกลับเข้าเมือง   แล้วเรียกประชุมแม่ทัพนายกองทั้งหลายให้ตระเตรียมกำลังไพร่พล
     มะรืนนี้พวกเราจะออกเดินทางผ่านแว่นแคว้นฮะคาแต่ให้ทหารทุกๆคนอย่าทำความเดือดร้อน
แก่บรรดาราษฎร์แว่นแคว้นต่างๆและมิให้เข้าเมืองบรรดาแว่นแคว้นเหล่านั้นเป็นอันขาด
          พร้อมทั้งให้เหล่าขุนทัพนายกองตระเตรียมให้พร้อม    มังกะยะ  มังสุระ และมังสีหะ
แห่งแคว้นหล่อยก่อก็ทูลทันที
        “ข้าแด่องค์เหนือหัว  ข้าทั้งสามปรึกษากันแล้วว่า จะขอออกเดินทางร่วมรบพร้อมด้วยทหารเมืองหล่อยก่อ
ไปในศึกครั้งนี้ด้วยพระเจ้าข้า”
        เมื่อมังสุริยะชัยได้ยินเช่นนี้ก็ยินดียิ่งนัก ด้วยทั้งสามแม่ทัพนั้นทราบมาว่าเป็นคนมีสติปัญญาเก่งฉกาจ
ในการรบพุ่งเกี่ยวกับด้านภูเขาแล้วยิ่งชำนาญยิ่งนักอดปลื้มใจมิได้จึงกล่าวว่า
       “หากแม้นว่าท่านทั้งสามยอมติดตามเราไป  ข้าเองก็ขอขอบใจพวกท่านนัก
ดังนั้นให้ท่านเตรียมไพร่พลทหารออกร่วมเดินทางกับเราได้”
       “นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณแก่พวกข้านัก  ด้วยพวกข้าเป็นทหารก็ใคร่อยากจะเข้าสู่สงครามมาเนิ่นนานแล้ว
เพื่อทดสอบฝีมือตนเองด้วยเห็นว่าพระองค์ทรงรักใคร่เหล่าทหารมากยิ่ง
ทำให้พวกข้ายิ่งบังเกิดความเชื่อมั่นคิดใคร่จะทดแทนพระคุณของพระองค์พระเจ้าข้า”
        ชายหนุ่มได้ยินเช่นนี้ก็ให้ปลาบปลื้มใจ จึงกล่าวว่า
     “เอาเถิดท่านทั้งสาม  เราเหล่าทหารทั้งหมดเปรียบประดุจดั่งสายเลือดอันเดียวกันเสมือนครอบครัวที่ไม่
อาจจะแตกแยกกันได้    เมื่อเป็นความประสงค์ของพวกท่านข้าก็ยินดี  มะรืนนี้พวกเราก็จะเคลื่อนพลออก
เดินทางไปยังรัฐฉานขอให้ท่านไปเตรียมไพร่พลได้แล้ว  เมื่อแจ้งแก่เหล่าขุนทัพนายกองแล้วก็สั่งเลิกประชุม
แล้วหันไปกล่าวกับมหาอำมาตย์เหมี่ยวกะยอชวาให้ท่านเตรียมตัวเพื่อเดินทางได้ต่อไป........
           *   แก้วประเสริฐ.   *

Cartoon_Animation_08.gifn016.gif				
comments powered by Disqus
  • กิ่งโศก

    5 มีนาคม 2553 16:29 น. - comment id 115531

    ผมว่า..ครู แก้ว ทำแผนที่ไว้ดีกว่ามั้งครับ..เพราะเริ่มมีชื่อเมือง เยอะขึ้นนะครับ อิอิ..
    
    วางตำแหน่งแต่ละเมืองไว้ ในแต่ละทิศ..
    
    46.gif
  • แก้วประเสริฐ

    5 มีนาคม 2553 17:47 น. - comment id 115533

    36.gif16.gif36.gif
    คุณ กิ่งโศก
    
         กิ่งเอ๋ย  มันเป็นแค่จินตนิยายของครูเอง
    ที่อาศัยในดินแดนพุกามโบราณดั่งเดิมเป็นหลัก
    
       เมืองเหล่านี้ในปัจจุบันไม่มีแล้วล่ะครูว่างั้น
    ด้วยตอนนี้ไม่ได้สนใจ  ที่เขียนด้วยเมืองเรา
    ตอนนี้ชาวพม่ามาอยู่กันเป็นล้านๆคนเข้าไปแล้ว
       ครูเองดูตามภูมิประเทศพอจะนึภาพออก
      แต่จะให้เขียนแผนทีไว้มันก็ไม่มี  
    มีก็เป็นชื่อใหม่ๆนั้น
    ส่วนชื่อเก่าที่เป็นแว่นแคว้นไม่มี  อาศัยอ่าน
    ประวัติศาสตร์มาบ้างประกอบเข้ากับภูมิประเทศ
    บ้าง ด้วยประเทศนี้มีแม่น้ำใหญ่อยู่เพียงสาย
    เดียวคือแม่น้ำอิรวดี แยกย่อยออกอีกแต่ก่อน
    เก่าเป็นแค่ลำธารไหลลงสู่แม่น้ำ  ที่สำคัญครู
    มันโมเมบ้าง อิอิ  เลยตามสบายฮ่าๆๆๆ รักเสมอ
    
             16.gifแก้วประเสริฐ.16.gif
  • โคลอน

    6 มีนาคม 2553 11:22 น. - comment id 115540

    46.gif46.gif46.gif36.gif29.gif
  • แก้วประเสริฐ

    6 มีนาคม 2553 14:02 น. - comment id 115546

    36.gif16.gif36.gif
    คุณ โคลอน
    
          ติดตามเถอะครับค่อยสนุกๆไปเรื่อยๆครับ
    รักเสมอ
    
            16.gifแก้วประเสริฐ.16.gif

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน