ลุ่มลึกอิสราวดี 38 มังสุริยะชัย ครั้นเห็นว่าได้เวลาเหมาะสมแล้วก็ให้ทหารไปเรียก เหมี่ยวมังกะยอชวามาพบ ครั้นมหาอำมาตย์ใหญ่เข้ามา ก็คาราวะทันที มังสุริยชัยพลันหยิบสร้อยดวงตรามาให้แม่ท่าน มหาอำมาตย์พลางถามว่า “ท่านรู้จักของสิ่งนี้หรือไม่” ครั้นเหมี่ยวมังกะยอชวาเห็นก็น้อมทูลขึ้นว่า “ทราบพระเจ้าข้าว่าเป็นดวงตราแผ่นดินประจำเมืองศิระสุริยันต์ที่มอบให้แก่ท่านมหาอุปราช ไว้พระเจ้าข้า” “แล้วเจ้าเหมี่ยวสุรินทร์นราไม่ทราบหรือ???..” มังสุริยะชัยถาม “คงจะทราบพระเจ้าข้าด้วย ดวงตรานั้นลอดออกมาจากเสื้อของพระองค์ แต่เจ้าเมืองคงจะไม่ คำนึงถึงพระเจ้าข้า” “งั้นหรือ....เราถามไปยังงั้นเองแหละ อ้อๆ...ท่านได้จัดการเรื่องส่วนตัวพร้อมหรือยังล่ะด้วย เราจะเคลื่อนพลเพื่อรวบรวมอาณาเขตต่อไป เห็นท่านทำแผนที่ไว้จึงใคร่ขอดูสิ่งที่ท่านทำไว้” “ได้พระพุทธเจ้าข้า...กระหม่อมได้เตรียมมาเรียบร้อยแล้ว” กล่าวจบท่านมหาอำมาตย์ เหมี่ยวกะยอชวาก็ล้วงแผนที่ ที่ทำด้วยหนังสัตว์ออกมาน้อมถวายให้แก่ท่านมหาอุปราชทันที “งั้นเรามาร่วมกันพิจารณาในแผนที่กันเถิด ว่าเมืองใดเล่าสมควรจะเข้ายึดแว่นแคว้นก่อน” “บัดนี้ข้าพระองค์ได้ทราบว่า อันเมืองฮะคาแห่งแคว้นรัฐชินนั้นเป็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์นัก ตลอดมีทัพเรือด้วยติดกับลุ่มแม่น้ำอิรวดี แต่ข้าได้รับทราบว่าเห็นเจ้าเมืองฮะคาคือมังสีหะบดีได้ ยอมอ่อนน้อมต่อพระองค์ กำลังส่งเครื่องราชบรรณาการพร้อมด้วยตัวเองมากำลังเดินทางจวนจะ มาถึงแล้วพระเจ้าข้า” มหาอำมาตย์ทูลถวายรายงาน “หรือเราเองก็พึ่งจะรู้จากท่านนี่แหละ ข้าคิดจะเคลื่อนทัพไปตียังแคว้นรัฐชินพอดีหากเป็นเช่น นี้ก็เห็นจะต้องคอยเจ้าเมืองฮะคาก่อนแล้วล่ะ หากเขาเดินทางมาถึงให้ท่านออกไปต้อนรับแล้ว นำมาหาเราก็แล้วกันนะท่าน” มังสุริยะชัยกล่าว “ข้าเองสงสัยชื่อของพระองค์พระเจ้าข้าว่า เหตุใดจึงใช้ชื่อว่า มังสุริยะชัย ข้าพระองค์เพียงทราบ ว่าท่านมหาอุปราชนั้นชื่อว่า “มังสุระกานต์นรินทร์เดชา” พระพุทะเจ้าข้า ชายหนุ่มหรือมังสุริยะชัยหัวร่อ พลางกล่าวว่า “ชื่อนี้ข้าตั้งเองแหละเพื่อมิให้เกิดความสงสัยแก่แว่นแคว้นทั่วๆไปนั่นเอง ท่านก็ทราบชื่อแท้จริง ของเราด้วยหรือ????....” “ทราบดีพระเจ้าข้าด้วยก่อนนั้น เจ้าชายได้เคยมายังเมืองหล่อยก่อด้วยและยังมาเยี่ยมสนทนากับข้า แต่ข้าเองก็สงสัยเหมือนกันว่าเหตุใดพระองค์จึงจำข้าไม่ได้ พระเจ้าข้า” ท่านเหมี่ยงกระยอชวากล่าว “เนื่องจากข้าพลัดหลงไปในป่าทึบผจญภัยต่างนาๆทำให้ลืมเลือนไปกระมัง ข้อนี้ขออย่าให้ท่านคิด แต่ประการใดเถอะ” “พระเจ้าข้า แต่ในการเดินทางครั้งนี้ข้าพระองค์ใคร่อยากจะนำธิดาซึ่งมีความเชี่ยวชาญทั้งรบและ การเมืองต่างๆไปด้วย พระองค์จะเห็นเป็นประการใดพระเจ้าข้า” “ หากเป็นความประสงค์ท่านข้าเองก็ไม่ขัดข้องหรอกนะตามแต่ท่านเถอะ แล้วท่านมีบุตรธิดากี่คน ล่ะท่านเหมี่ยวกะยะชวา” มังสุริยะชัยกล่าว “ข้าพระองค์มีเพียงบุตรีคนเดียวพระเจ้าข้า ด้วยเขาเป็นห่วงข้าพระองค์ว่าชรามากแล้วและอยู่คนเดียว ด้วยภรรยาข้าพระองค์เสียไปนานแล้วจึ่งขอร้องให้มากราบทูลขอพระบรมราชานุญาติพระเจ้าข้า” มหาอำมาตย์กล่าว “งั้นหรือดีเหมือนกันท่านจะได้ทำหน้าที่ปรึกษาแก่ข้าและกองทัพด้วยข้าเองเชื่อมั่นต่อท่านมากนักจะได้ ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง เอาเถอะหากมาในกองทัพเป็นหญิงก็ไม่เหมาะสมข้าขอให้ลูกสาวท่านแต่งตัวเป็น ชายก็แล้วกันนะ จะได้ไม่เป็นที่กังขาแก่เหล่าทหารๆทั้งหลาย” มังสุริยะชัยกล่าวขึ้น “เป็นพระมหากรุณาธิคุณแก่ข้าพระองค์มากพระเจ้าข้า ข้าพระองค์พร้อมที่จะทูลและยอมถวายชีวิตแต่ ท่านมหาอุปราชจวบชีวิตจะหาไม่พระเจ้าข้า ก่อนเดินทางข้าพระองค์จะนำธิดามาทูลถวายชมก่อนพระเจ้าข้า” ชายหนุ่มเดินเข้าไปโอบไหล่ชายชราทันทีพร้อมกล่าวว่า “การศึกครั้งหน้านี้คงจะใหญ่หลวงนัก แต่ข้ากังวลก็เพียงรัฐกระเหรี่ยง รัฐมอญกับรัฐยะไข่เท่านั้นเองด้วย ทำเลนั้นล้วนแล้วแต่สูงชันเต็มไปด้วยภูเขาต้นไม้ใหญ่ยากแก่การยกทัพเข้าโจมตีเมืองหลวงมันได้” “แต่ข้าพระองค์ทราบเหมือนกันพระเจ้าข้า แต่ได้เคยจัดหน่วยสอดแนมเข้าไปเป็นไส้ศึกไว้นานแล้วและ รู้เส้นทางลัดเข้าสู่เมืองหลวงที่พวกมันจัดทำ และเนื่องจากพวกมันนั้นประมาทจัดวางกำลังคนไว้น้อย หากเรา ทำเป็นต่อสู้ด้านหน้า ส่วนทางลัดนั้นให้จัดทหารอีกหน่วยแม้ทางจะลำบากไม่สามารถลำเลียงอาวุธต่างๆได้มาก นักด้วย เป็นทางเท้า แม้แต่ม้าก็สามารถสวนกันได้แค่ตัวเดียวพระเจ้าข้า” “ อ้อนี่ได้ท่านมาแนะนำแก่ข้านะ หากมิฉะนั้นก็จะยากแก่การโจมตียิ่งนัก เอาล่ะท่านไปแจ้งแก่ลูกสาว ท่านให้จัดเตรียมตัวได้แล้ว หากเจ้าเมืองฮะคามาถึงให้ต้อนรับหลังกลับไปแล้วก็จะออกเคลื่อนพลต่อไปเพื่อเข้า รัฐฉานก่อนด้วยถึงแม้ว่าจะแกร่งกล้านักแต่เจ้าเมืองเป็นคนมีเหตุมีผลย่อมรู้จักหนักเบา” มังสุริยะชัยกล่าว “ข้าพระองค์อยากจะทูลเสริมอีกหน่อยพระเจ้าข้า” เหมี่ยวกระยอชวาเอ่ยขึ้น “ท่านว่ามาได้เลยตามสบายเถอะนะ หากมีอะไรไม่ต้องกังวลหรอก” “หากแม้นเจ้าเมืองฮะคามายอมสวามิภักดิ์แล้ว พระองค์ให้เจ้าเมืองต่อเรือไว้ให้มากๆเพื่อใช้ลำเลียงพล ด้วยข้าเองพอจะเดาพระหทัยของพระองค์ว่า สิ่งสำคัญคือเมืองอิสราวดีแต่เพียงใคร่จะกำราบแขนขาของมัน ก่อน จึงได้ตีโอบล้อมเมืองอิสราวดีไว้ ใช่ไหมพระเจ้าข้า” “ฮ่าๆๆๆ????.....สมแล้วที่ท่านเป็นที่ปรึกษาเราช่างรู้ใจเรายิ่งนักถูกแล้วเรามุ่งหมายที่สำคัญคือเมือง อิสราวดีนั่นเอง แล้วท่านให้เจ้าเมืองฮะคาต่อเรือไว้มากๆทำไมหรือท่าน” “เหตุที่ชาวเมืองฮะคานั้นอาศัยแม่น้ำเป็นหลักและเชี่ยวชาญทางน้ำและทางเรือตลอดจนการต่อเรือมาก เมื่อเราได้เมืองต่างๆเพื่อเข้าโจมตีเมืองอิสราวดีนั้น อันเมืองอิสราวดีติดกับแม่น้ำอิรวดี เก่งทั้งทางน้ำและ ทางบกนัก หากเราชนะทางบกมันก็จะหนีไปทางน้ำพระเจ้าข้า หากเราได้เรือจากเมืองฮะคาแล้วยกกำลัง พลไปทางน้ำซุ่มคอยไว้ หากเราเข้าโจมตีทางบกเมื่อใด ก็ให้ทหารทางเรือเข้าตีด้านหลังกระหนาบทั้ง สองทางปิดกั้นทั้งทางหนีของมันด้วยพระเจ้าข้า” เหมี่ยวมังกะยะชวากล่าวรายงาน “อื่มมๆๆๆๆ.....สมแล้วที่ข้ามองคนไม่ผิด ท่านนี่หากเจ้าเหมี่ยวสุรินทร์นรามันเชื่อฟังท่านเห็นทีการ ศึกนั้นคงจะลำบากนักจริงๆ” มังสุริยะชัยกล่าว “เอาล่ะท่านที่ปรึกษาใหญ่เหมี่ยวมังกะยอชวาท่านไปได้แล้ว เมื่อจัดการตามที่ข้าบอกแล้วพวกเราก็ จะออกเดินทางไปยังรัฐฉานทันที หากเจรจาไม่ได้ผลก็เห็นทีจะต้องรบกันแต่นอนนะ” ชายหนุ่มกล่าว ครั้นเจ้าเมืองฮะคาพร้อมเครื่องราชบรรณาการมาถึง ท่านมหาอำมาตย์ใหญ่ก็ออกมาต้อนรับแล้วนำ ท่านมังสีหะบดีเข้าเฝ้าท่านมหาอุปราชยังท้องพระโรงทันที เมื่อมังสีหะบดีก้าวเข้าสู่ท้องพระโรงตามท่านมหาอำมาตย์ไป เห็นชายหนุ่มนั่งยังบนราชบัลลังก์ก็ ให้แปลกใจยิ่งนัก ด้วยตนเองคาดคะเนว่าคงจะมีอายุมากนักแต่การณ์กลับกันไปเสียก็สะดุ้งในใจแต่เมื่อมา ตามประเพณีก็ก้มลงน้อมทำความเคารพตามประเพณี เมื่อชายหนุ่มเห็นเช่นนั้นก็ลุกจากบัลลังก์มาแล้ว ก้มพยุงร่างชายกลางคนขึ้นมา พร้อมกล่าวว่า “ข้ามังสุริยะชัยเองทำความลำบากใจให้แก่ท่านอามากนัก ขอท่านอาอย่าได้ถือโกรธรังเกียจแก่ข้าด้วยเถิด” มังสีหะบดีได้ยินเช่นนั้นก็ให้ตกใจด้วยคาดมิถึงว่าผู้ที่สามารถยึดแว่นแคว้นเมืองหล่อยก่อได้นั้นจะมิถือ ในตัวเอง มิได้หยิ่งยโสโอหังแต่ประการใดไม่ ซ้ำยังเรียกตัวเองประดุจดังญาติผู้ใหญ่อีก ความคิดอ่านแต่ แรกก็หายไปสิ้นเชิง บังเกิดความรักใคร่แก่ชายหนุ่มยิ่งนัก จึงน้อมกายถวายบังคมทูลว่า “พระองค์ทรงให้เกียรติแก่หม่อมฉันนัก จนมิอาจจะรับได้หรอกพระเจ้าข้า” เจ้าเมืองฮะคากล่าว “หาเป็นเช่นใดไปเล่าท่านอา ด้วยท่านอาซิกับให้เกียรติแก่ข้ายิ่งนักที่อุตส่าห์เดินทางไกลมากับทำให้ข้า ผู้น้อยนี้ล่วงเกินต่อท่านอา ซึ่งปกติจะควรเป็นข้าไปหาท่านอาถึงจะถูกต้องนะท่านอา” ชายหนุ่มเอ่ย “ข้ามังสุริยะจึงใคร่ขอให้ท่านอา อย่าได้เรียกเช่นนี้อีกขอให้เรียกข้ามังสุริยะชัยเฉยๆหรือว่าหลานชายก็ จะทำให้ข้านี้มิต้องเกิดความละอายใจนัก ด้วยฐานันดร์เราก็เสมอๆกันแต่ข้าเองอายุยังน้อยด้อยประสบการณ์ เห็นทีจะต้องพึ่งพาความรู้ความสามารถท่านอาอีกมากมายนักพระเจ้าข้า” มังสุริยะชัยกล่าวอย่างนอบน้อมยิ่ง ด้วยเหตุนี้ยิ่งทำให้เจ้าเมืองฮะคายิ่งซาบซึ้งแก่ใจจนถึงแก่อ้ำอึ้งไป พลันกล่าวว่าหากเป็นพระประสงค์เช่น นี้ก็จะขอน้อมรับพระบัญชา นับแต่นี้ไปข้าเองขอเรียกท่านว่ามังสุริยะชัยก็แล้วกัน ท่านจะให้ข้าทำสิ่งใดๆก็ แล้วแต่พ่อหลานชายจะกล่าวมิต้องเกรงใจเราหรอก” เจ้าเมืองฮะคากล่าวด้วยความปิติยินดีนัก “ยังหรอกท่านอาขอเชิญท่านอารับทานอาหารด้วยกันเถิด ส่วนพวกติดตามมานั้นข้าเองสั่งกำชับไว้แล้วให้ ต้อนรับด้วยอาหารอย่างดีในที่พักรับรองแล้ว ส่วนท่านอานั้นก็เข้ามาพักกับหลานด้วยกันเถิดเพื่อจะได้ปรึกษา กันนะพระท่านอา” “ในเมื่อหลานชายเรามีความประสงค์เช่นนี้ เครื่องราชบรรณาการนั้นหลานเรามิเปิดดูหรอกหรือ” “ไม่หรอกท่านอา คนอย่างข้านั้นรักใครและใคร่ครวญแล้วถือเป็นน้ำใจอันสูงส่งมากแก่ตัวข้านักจำมิรับไว้ หรือก็จะเสียขนบธรรมเนียมประเพณีไป จึงใคร่เพียงขอรับไว้แค่ครึ่งเดียวก็พอหวังว่าท่านอาคงจะไม่ถือโทษแก่ ข้าน้อยด้วยนะท่านอา” เจ้าเมืองฮะคามังสีหะบดีได้ยินเช่นนั้นก็ยิ่งบังเกิดความรักเปรียบประดุจญาติสนิทมิปาน ด้วยคิดว่าชายหนุ่ม คนนี้มิได้มีความโลภโมโทสันเห็นแก่สิ่งของเป็นสิ่งสำคัญ ยึดถือสิ่งใดควรมิควรเป็นหลักรู้จักผู้หลักผู้ใหญ่มิได้ หลงใหลในอำนาจของตัวเอง คนประเภทนี้หากใครอยู่ในปกครองย่อมก่อเกิดแต่ความสุขความเจริญยิ่งนัก พลางหัวร่อแล้วก็ติดตามชายหนุ่มเข้าร่วมรับทานอาหารร่วมกัน ชายหนุ่มหันมาเรียกท่านมหาอำมาตย์เหมี่ยวมังกะยะชวาเข้าร่วมรับทราบอาหารร่วมโต๊ะด้วยกัน ทำให้เหมี่ยวมังกะยะชวาตกใจยิ่งนัก ครั้นจะเอ่ยคัดค้านก็เกรงพระราชหฤทัยยิ่งนัก จึงหันมาน้อมคาราวะขอ อนุญาตต่อเจ้าเมืองฮะคาด้วย เจ้าเมืองฮะคาครั้นเห็นชายหนุ่มถึงกับให้เกียรติแก่มหาอำมาตย์เช่นนี้ก็ยิ่งสงสัย เหตุใดมหาอำมาตย์ผู้นี้ก่อนเคยเป็นมหาอำมาตย์แห่งเมืองหล่อยก่อกับได้รับเกียรติสูงส่งประดุจดังหน่อเนื้อเชื้อ กษัตริย์ก็มิปาน แต่ก็ไม่อาจจะขัดประการใดได้กลับนึกถึงสติปัญญาในการใช้คน จึง ผายมือเชื้อเชิญทันที ทั้งสามก็ร่วมรับทานและสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดอ่าน มังสีหะบดีครั้นได้สนทนากับมหาอำมาตย์ใหญ่ ก็ทราบทันทีว่าเหตุใด มังสุริยะชัยถึงให้ความไว้วางใจแก่มหาอำมาตย์คนนี้มากนักด้วยสติปัญญาเฉลียวฉลาด รอบรู้บรรดาแว่นแคว้นต่างๆไปแทบเสียสิ้น ในระหว่างการร่วมรับทานอาหารมังสุริยะชัยก็เอ่ยปากขอร้องให้ ทางเมืองฮะคาช่วยต่อเรือไว้ให้มากๆเพื่อจะต้องใช้ในการต่อไป เจ้าเมืองฮะคาก็ตอบตกลงว่าจะสร้างเรืองไว้ ให้มากหากชายหนุ่มต้องการเช่นนั้นไม่ต้องห่วงกังวลและมาทราบอีกด้วยว่า ที่แท้มังสุริยะชัยก็คือมหาอุปราชแห่งแคว้นศิระสุริยันต์ยิ่งบังเกิดความเชื่อมั่นยิ่งขึ้น ว่าเหตุใดชายหนุ่มถึงได้สามารถตีเหล่าแว่นแคว้นต่างๆได้อย่างรวดเร็วนักโดยไม่กังขาสิ่งใดๆเลย ครั้นแล้วเจ้าเมืองฮะคากล่าวว่าแล้วพ่อหลานชายจะไปยังแว่นแคว้นใดหรือ ชายหนุ่มก็ไม่ปิดบังกล่าวว่าจะ เคลื่อนทัพไปยังรัฐฉานเพื่อเจรจาการศึกก่อนด้วยเป็นทางผ่าน เจ้าเมืองฮะคาจึงกล่าวว่า “หากแม้นพ่อหลานชายเราจะเคลื่อนพลเราจะแจ้งแก่บรรดาแว่นแคว้นของเราให้เปิดทางผ่านและให้นำ ทหารเข้าร่วมเดินทางไปด้วย ส่วนทางเมืองฮะคาจะมอบทหารให้แก่หลานชายสองหมื่นนายหากรวมกับแว่น แคว้นของเราก็ตกราวๆเกือบแสนคนจะได้กระมัง” มังสีหะบดีกล่าว “นับว่าข้าเองได้รับความเมตตาแก่ท่านอ่านอย่างเหลือล้นทีเดียว จึงขอกราบขอบคุณท่านอานะที่นี้ด้วย แล้วชายหนุ่มก็ยกมือไหว้มังสีหะบดีทันที จนเจ้าเมืองฮะคารีบยกมือรับไหว้ตอบแทบไม่ทันพลางกล่าวว่า เมื่อเดินทางถึงเมืองหลวงเราแล้วจะรีบเร่งระดมทหารส่งมอบ ยามที่หลานชายผ่านแว่นแคว้นต่างๆของเราและ ให้เหล่าแว่นแคว้นมอบทหารให้ตามแต่จะสามารถทำได้พร้อมด้วยเสบียงอาหารการศึกนี้ตลอดจนจะระดมคน ก่อสร้างเรือขนาดใหญ่ให้อีกจำนวนมาก ทั้งหมดต่างปรึกษารับทานอาหารไปนั้นก็สำราญบางครั้งก็ส่งเสียงหัวเราะกันสนิทสนมกันยิ่งๆขึ้นไปอีก หลายวันผ่านไปได้เวลาสมควร เจ้าเมืองฮะคาก็ขอเดินทางกลับเมือง ชายหนุ่มก็ออกมาส่งยังนอกเมืองในระยะทางหนึ่งถึงเดินทางกลับเข้าเมือง แล้วเรียกประชุมแม่ทัพนายกองทั้งหลายให้ตระเตรียมกำลังไพร่พล มะรืนนี้พวกเราจะออกเดินทางผ่านแว่นแคว้นฮะคาแต่ให้ทหารทุกๆคนอย่าทำความเดือดร้อน แก่บรรดาราษฎร์แว่นแคว้นต่างๆและมิให้เข้าเมืองบรรดาแว่นแคว้นเหล่านั้นเป็นอันขาด พร้อมทั้งให้เหล่าขุนทัพนายกองตระเตรียมให้พร้อม มังกะยะ มังสุระ และมังสีหะ แห่งแคว้นหล่อยก่อก็ทูลทันที “ข้าแด่องค์เหนือหัว ข้าทั้งสามปรึกษากันแล้วว่า จะขอออกเดินทางร่วมรบพร้อมด้วยทหารเมืองหล่อยก่อ ไปในศึกครั้งนี้ด้วยพระเจ้าข้า” เมื่อมังสุริยะชัยได้ยินเช่นนี้ก็ยินดียิ่งนัก ด้วยทั้งสามแม่ทัพนั้นทราบมาว่าเป็นคนมีสติปัญญาเก่งฉกาจ ในการรบพุ่งเกี่ยวกับด้านภูเขาแล้วยิ่งชำนาญยิ่งนักอดปลื้มใจมิได้จึงกล่าวว่า “หากแม้นว่าท่านทั้งสามยอมติดตามเราไป ข้าเองก็ขอขอบใจพวกท่านนัก ดังนั้นให้ท่านเตรียมไพร่พลทหารออกร่วมเดินทางกับเราได้” “นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณแก่พวกข้านัก ด้วยพวกข้าเป็นทหารก็ใคร่อยากจะเข้าสู่สงครามมาเนิ่นนานแล้ว เพื่อทดสอบฝีมือตนเองด้วยเห็นว่าพระองค์ทรงรักใคร่เหล่าทหารมากยิ่ง ทำให้พวกข้ายิ่งบังเกิดความเชื่อมั่นคิดใคร่จะทดแทนพระคุณของพระองค์พระเจ้าข้า” ชายหนุ่มได้ยินเช่นนี้ก็ให้ปลาบปลื้มใจ จึงกล่าวว่า “เอาเถิดท่านทั้งสาม เราเหล่าทหารทั้งหมดเปรียบประดุจดั่งสายเลือดอันเดียวกันเสมือนครอบครัวที่ไม่ อาจจะแตกแยกกันได้ เมื่อเป็นความประสงค์ของพวกท่านข้าก็ยินดี มะรืนนี้พวกเราก็จะเคลื่อนพลออก เดินทางไปยังรัฐฉานขอให้ท่านไปเตรียมไพร่พลได้แล้ว เมื่อแจ้งแก่เหล่าขุนทัพนายกองแล้วก็สั่งเลิกประชุม แล้วหันไปกล่าวกับมหาอำมาตย์เหมี่ยวกะยอชวาให้ท่านเตรียมตัวเพื่อเดินทางได้ต่อไป........ * แก้วประเสริฐ. *
5 มีนาคม 2553 16:29 น. - comment id 115531
ผมว่า..ครู แก้ว ทำแผนที่ไว้ดีกว่ามั้งครับ..เพราะเริ่มมีชื่อเมือง เยอะขึ้นนะครับ อิอิ.. วางตำแหน่งแต่ละเมืองไว้ ในแต่ละทิศ..
5 มีนาคม 2553 17:47 น. - comment id 115533
คุณ กิ่งโศก กิ่งเอ๋ย มันเป็นแค่จินตนิยายของครูเอง ที่อาศัยในดินแดนพุกามโบราณดั่งเดิมเป็นหลัก เมืองเหล่านี้ในปัจจุบันไม่มีแล้วล่ะครูว่างั้น ด้วยตอนนี้ไม่ได้สนใจ ที่เขียนด้วยเมืองเรา ตอนนี้ชาวพม่ามาอยู่กันเป็นล้านๆคนเข้าไปแล้ว ครูเองดูตามภูมิประเทศพอจะนึภาพออก แต่จะให้เขียนแผนทีไว้มันก็ไม่มี มีก็เป็นชื่อใหม่ๆนั้น ส่วนชื่อเก่าที่เป็นแว่นแคว้นไม่มี อาศัยอ่าน ประวัติศาสตร์มาบ้างประกอบเข้ากับภูมิประเทศ บ้าง ด้วยประเทศนี้มีแม่น้ำใหญ่อยู่เพียงสาย เดียวคือแม่น้ำอิรวดี แยกย่อยออกอีกแต่ก่อน เก่าเป็นแค่ลำธารไหลลงสู่แม่น้ำ ที่สำคัญครู มันโมเมบ้าง อิอิ เลยตามสบายฮ่าๆๆๆ รักเสมอ แก้วประเสริฐ.
6 มีนาคม 2553 11:22 น. - comment id 115540
6 มีนาคม 2553 14:02 น. - comment id 115546
คุณ โคลอน ติดตามเถอะครับค่อยสนุกๆไปเรื่อยๆครับ รักเสมอ แก้วประเสริฐ.