ลุ่มลึกอิสราวดี 37

แก้วประเสริฐ


             ลุ่มลึกอิสราวดี  37
   ชายหนุ่มแลไปเห็นบรรดาเหล่าอำมาตย์แม่ทัพนายกองของหล่อยก่อถูกมัดมือนั่งเรียงราย
อยู่หน้าบัลลังก์ของเจ้าเมือง     ครั้นเดินทางเข้าไปบรรดาแม่ทัพนายกองของชายหนุ่มต่าง
ก็ร้องถวายพระพรทันที  ทำให้พวกเชลยทั้งหมดหันมามอง   ครั้นเห็นเป็นเพียงแค่ชายหนุ่ม
ก็สร้างความแปลกใจสงสัยขึ้นว่า เหตุใดถึงได้เก่งฉกาจยิ่งนักที่สามารถรวมแว่นแคว้นต่างๆ
ได้อย่างรวดเร็ว  
     ทั้งยังฆ่าเจ้าเมืองหล่อยก่อซึ่งเป็นเมืองหลวง   เข้าตีเมืองได้ในเวลาอันรวดเร็วใช้เวลาไม่นาน
การยึดเมืองหล่อยก่อนั้นหาจะใช่ได้มาโดยง่ายนัก  ด้วยสภาพเป็นขุนเขาล้อมรอบทั้งยังอยู่ใน
ที่สูงยากต่อการเข้าโจมตี    แต่แค่เพียงวันเดียวกับสามารถตียึดเมืองได้โดยฝ่ายเราไม่สามารถ
จะต้านทานได้   ทำให้เกิดความนับถือขึ้นในใจของเหล่าแม่ทัพนายกองหล่อยก่อที่มีต่อชายหนุ่ม
เป็นยิ่งนัก    หากมาดแม้นว่าเจ้าเมืองหล่อยก่อมิได้ถือความโอหังเป็นใหญ่แล้วยากนักที่จะถูกยึด
เมืองได้   คงต้องใช้เวลาเนิ่นนานด้วยสภาพภูมิประเทศอำนวยตลอดยังสมบูรณ์ด้วยเสบียงอัน
มากมายยิ่งนัก   ยิ่งคิดไปบรรดาอำมาตย์ขุนทัพนายกองก็ยิ่งบังเกิดความนับถือขึ้นเป็นอย่างมาก
      แล้วชายหนุ่มก็ก้าวเดินผ่านบรรดาอำมาตย์ขุนทัพนายกองที่ต่างก็น้อมหัวคาราวะทันที
ครั้นถึงบัลลังก์ของเหมี่ยวสุรินทร์นราขึ้นนั่งยังบัลลังก์ทันที   พร้อมสั่งให้ทหารเข้าแก้มัดบรรดา
เหล่าอำมาตย์และขุนทหารทั้งหลาย   เมื่อเหล่าทหารได้แก้มัดให้แล้วก็ถอยหลังออกมา
ชายหนุ่มก็พลันกล่าวขึ้นว่า   เรามังสุริยะชัยนั้นได้ส่งทูตเจรจากับทางท่านแล้วแต่หาได้รับการ
ต้อนรับดั่งธรรมเนียมทั่วๆไปที่ปฏิบัติกันมา  เราจึงจำเป็นต้องเข้ายึดเมืองของพวกท่าน   หากพวก
ท่านยินดีที่จะยอมอยู่ในอำนาจของฝ่ายเรา   เราก็จะลดโทษให้ตามฐานะของแต่ละบุคคล
        ครั้นฝ่ายเหล่าอำมาตย์ขุนทัพนายกองทั้งหลายได้ยินเช่นนั้น  มหาอำมาตย์เมืองหล่อยก่อก็
กล่าวขึ้นทันทีว่า  
        “ ในเมื่อเหตุการณ์เช่นนี้ก็ด้วยเจ้าเมืองมิได้เชื่อฟังพวกเรา   แต่ทว่าหาก
ถือตามธรรมเนียมแล้วก็อาจจะมิต้องเสียเมืองง่ายดายไปไม่   นายด่านนั้นแม้จะส่งสาสน์มา
ก็ตามแต่มันกับหยิ่งยโสไม่คำนึงถึงการควรมิควรกับจับกุมทูตพระองค์ผิดธรรมเนียมพระเจ้าข้า”
        “ที่ท่านกล่าวเช่นนี้เสมือนหนึ่งดังยกความผิดให้แก่เจ้าเมืองคนเดียว พวกเจ้าหาได้เกี่ยวข้อง
อันใดฤา”   มังสุริยะชัยเอ่ยขึ้น
         “หามิได้พระเจ้าข้า  พวกข้าก็ต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างเคร่งครัดอยู่แล้ว ถึงแม้ว่าจะเสียเมืองหรือ
ไม่ก็ตามย่อมต้องถือหน้าที่เป็นใหญ่เพื่อรักษาเมืองไว้พระเจ้าข้า”  มหาอำมาตย์กล่าวขึ้น
        “ในเมื่อท่านกล่าวเช่นนี้ก็มีเหตุผลพอฟังได้หรอก  ด้วยทุกๆคนย่อมจะรักเมืองของตนเองเป็น
ใหญ่แต่ทำไมท่านไม่เตือนหรือชี้แจงแก่เหล่าขุนนางทั้งหลายให้ช่วยคัดค้านการนี้ด้วยล่ะ”
        “ที่ข้ากล่าวเช่นนี้หาใช่ว่าจะเอาตัวรอดก็หาไม่  ท่านลองถามท่านแม่ทัพซึ่งก็ได้คัดค้านการศึก
ครั้งนี้เหมือนกันดูเถิดพระเจ้าข้า”
        “ใครล่ะเป็นแม่ทัพใหญ่คุมเมืองนี้ “  มังสุริยะชัยกล่าวขึ้น
        “ข้าพระพุทธเจ้า  มังกะยะ ส่วนท่านมังสุระ มังสีหะ  เป็นรองแม่ทัพพระเจ้าข้า “
        “อ้อ...ท่านเองหรือแล้วท่านมีความคิดเห็นประการใดล่ะ”   ชายหนุ่มถาม
        “ เรื่องนี้แล้วแต่พระมหากรุณาธิคุณตามแต่พระองค์จะตัดสินพระหทัย  ข้าพเจ้ายอมรับทุกประการ
แม้แต่ชีวิตของข้าเองก็ยินยอมพระเจ้าข้า”  แม่ทัพใหญ่กล่าวขึ้นมิอ้างอิงสิ่งใดๆทั้งสิ้น
         “ฮ่าๆๆๆๆ....เจ้ากล่าวได้ดีจริงมังกะยอ   อันตัวข้าและเหล่าขุนทหารทั้งหลายมิได้คิดที่จะมารุกราน
เบียดเบียนเมืองหล่อยก่อและแว่นแคว้นต่างๆ   เพียงแต่หากรับฟังสาสน์เราแล้วมารวมตัวกันขึ้นเพื่อ
ก่อการรวมแผ่นดินไว้เป็นหนึ่งเดียว   ไม่ถือตัวเองว่ามีความสามารถแยกตัวขึ้นเองได้แล้ว
ก็จะไม่มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นได้หรอก   แต่ทว่าท่านพ่อเมืองของพวกท่านถือตนเอง
และอำนาจมิได้คำนึงถึงความเก่าที่เคย
ร่วมรบกันมาเพื่อรวบรวมแผ่นดิน  ก็คงจะไม่ต้องเป็นเช่นนี้หรอก”
      “เอาล่ะเมื่อเป็นเหตุเช่นนี้จะหาความผิดแก่พวกท่านก็มิได้  ด้วยต้องทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครองเมือง
เป็นใหญ่   เราก็จะอภัยให้แก่พวกท่านแต่เพียงให้ท่านถือด้วยความจริงใจเท่านั้น  เรารู้มาว่าพวกของ
เจ้าเมืองเก่าก็มีอีกที่เป็นเครือญาติหาได้สยบยอมด้วยความจริงใจ   ซึ่งเราได้ให้ทหารเราจัดการหมดแล้ว
เพื่อถอนรากถอนโคนไป   ส่วนพวกท่านนั้นเมื่อทหารเรามารายงานตัวว่าพวกท่านทั้งหลายหาได้มีความ
จริงใจต่อเจ้าเมืองเท่าใดนัก  เรื่องพวกท่านเราก็รู้อยู่ก่อนแล้วอย่างละเอียดก่อนจะเข้ามาตีเมืองท่าน”
      เหตุที่ชายหนุ่มคิดเช่นนี้ด้วยไม่อยากจะมีศึกหลายๆด้านจึงคิดที่จะถนอมน้ำใจเหล่าอำมาตย์และ
ขุนทหารทั้งหลายไว้  เพื่อรวบรวมไพร่พลไปตีแว่นแคว้นอื่นต่อไป  หากทำการใดด้วยลุแก่อำนาจแล้ว
ย่อมยากจะปกครองเหล่าขุนนางทหารทั้งหลายได้นั่นเอง   จึงคิดใคร่จะให้พวกมันสยบด้วยใจจริง
และจะได้ใช้สอย ไม่ต้องห่วงกังวลไป     ด้วยต้องเดินทางไปยังแว่นแคว้นรัฐชิน
ซึ่งมีอาณาเขตอุดมสมบูรณ์ยิ่งนักเพื่อจะได้ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเสบียงอาหาร
ในการใช้เลี้ยงทหารมากมายเหล่านี้
      “ ในเมื่อข้าเองคิดว่าหากผู้ใดยินยอมพร้อมใจกันพร้อมเสียสละชีวิตรวมเป็นร่วมตายแก่พวกเราก็ให้
ก้าวออกไปด้านข้างด้วย”  ชายหนุ่มกล่าว
            ปรากฏว่าเหล่าขุนทหารทั้งหลายต่างก็ก้าวออกมาเกือบทั้งสิ้น ยกเว้นเหล่าขุนนางอำมาตย์เท่านั้น
ที่ยังคงก้มหน้าอยู่ที่เดิม    ชายหนุ่มจึงเอ่ยขึ้นว่า
       “เหตุใดหรือพวกท่านถึงไม่ยินยอมพร้อมใจกัน”
       “หามิได้ด้วยเหตุว่าพวกกระหม่อมมิได้ฝึกฝนด้านเกี่ยวการรบพระเจ้าข้า  จึงมิอาจจะเข้าร่วมรบ
กับพวกพระองค์ได้พระเจ้าข้า”
        เมื่อชายหนุ่มได้ยินดังนั้นก็หัวร่อเสียงดังทันที   ถูกต้องมิใช่ว่าพวกเหล่าอำมาตย์ขุนนางนั้นจะไม่
ยินยอมก็หาไม่  แต่ด้วยประมาณตัวเองว่าไม่สามารถจะเข้าร่วมรบในสงครามได้นี่เอง  ดังนั้นจึงเอ่ยขึ้น
      “ฮ่าๆๆๆๆ   ข้าก็ทราบอยู่แล้วว่าพวกเจ้าหาได้เป็นไปตามที่ข้าคาดการณ์ได้แล้ว   หากมาดแม้นเหล่า
ขุนนางอำมาตย์ทั้งหลาย  ก้าวตามเหล่าขุนทหารไป   ข้าเองก็จะไม่ไว้ชีวิตพวกเจ้าทันทีเพราะด้วยความ
กลัวตายและหาได้มีความจริงใจใดไม่”
       ทำให้บรรดาเหล่าอำมาตย์ขุนนางทั้งปวง  เมื่อได้ยินเช่นนี้ก็ทราบทันทีว่าที่ชายหนุ่มสามารถเข้า
ตีแว่นแคว้นกะฉินได้  ก็ด้วยเปี่ยมไปด้วยสติปัญญาเป็นที่ตั้งยิ่งทำให้เกิดความนับถือเพิ่มขึ้นอีก
     “ส่วนข้ามหาอำมาตย์  “เหมี่ยวมังกะยอชวา” ถึงมาดแม้นว่ามิได้ฝึกปรือด้านอาวุธมาแต่ก็สามารถ
ช่วยเหลือพระองค์ได้เท่าที่สติปัญญาของข้าจะทำได้   จะขอเข้าร่วมไปในสงครามด้วย  เหตุด้วยข้าเอง
ได้เขียนแผนที่ของแผ่นดินต่างๆตลอดลู่ทางทั้งหมดไว้เรียบร้อยแล้วพระเจ้าข้า   แต่มิได้นำเสนอต่อ
เจ้าเมืองด้วยเห็นเป็นคนโลภโมโทสันเอาแต่ใจตนเองหาได้เข้าใจคนอื่น  ที่คิดลาออกไปก็จะเป็น
อันตรายแก่ครอบครัวจึงจำต้องทนอยู่พระเจ้าข้า”   เหมี่ยวมังกะยะชวากล่าวทูลขึ้น
       ครั้นชายหนุ่มได้รับฟังเช่นนั้นก็ให้ดีใจแต่มิได้แสดงกิริยาใดๆทั้งสิ้นจึงกล่าวว่า  
     “เมื่อท่านกล่าวเช่นนี้  ไหนลองเข้ามาหาข้าใกล้ๆหน่อยซิ”
     มหาอำมาตย์ใหญ่เหมี่ยวมังกะยะชวาครั้นได้รับฟังเช่นนั้น   ก็น้อมกายถวายคาราวะแล้วยืนขึ้นค่อยๆ
ก้าวเข้าไปหาชายหนุ่มทันที      ชายหนุ่มสังเกตเห็นมีบุคลิกลักษณะฉลาดหลักแหลมยิ่งนัก ใบหน้ากลม
แก้มแดงเปล่งปลั่งหนวดเคราขาวโพลนหัวใหญ่ผิดปกติของคนธรรมดา ทั้งยังมีสง่าราศีนัก  ก็ให้ชอบใจ
ชายชรายิ่งนัก   จึงลุกขึ้นจากบัลลังก์เดินลงมาโอบไหล่ทั้งสองของชายชราทันทีพลางจูงมือ  แล้วสั่งให้
ทหารหาเก้าอี้มาให้ชายชรานั่ง
        เมื่อเป็นเช่นนี้ชายชราถึงกับทรุดกายลงกราบยังเท้าชายหนุ่มทันที พอเงยหน้าน้ำตาทั้งสองไหลออก
มา  พลางกล่าวขึ้นว่า
       “หากมาดแม้นเจ้าเมืองเก่ามีสติปัญญาอ่านรู้ใจคนเช่นดังพระองค์แล้ว เมืองหล่อยก่อก็จะขยาย
อาณาเขตได้กว้างขวางกว่านี้  พระเจ้าข้า”
       “ข้าขอให้สัตย์ปฏิญาณตนต่อฟ้าดินว่าจะขอรับใช้พระองค์ไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ด้วยสติปัญญาอัน
น้อยนิดของกระหม่อมพระพุทธเจ้าข้า”   แล้วชายชราก็ก้มกราบอีกครั้งหนึ่ง
      ชายหนุ่มเห็นเช่นนั้นก็พยุงร่างมหาอำมาตย์ใหญ่พาไปนั่งยังเก้าอี้ข้างๆตนทันที   แล้วหันไปถามว่า
      “ข้าเองจะให้คนของข้าขึ้นปกครองเมืองหล่อยก่อท่านเห็นเป็นประการใดเล่า”
       “ ถูกต้องยิ่งนักพระเจ้าข้าเหมี่ยวมังกะยอชวากล่าวขึ้น  เหตุดังนี้เพราะว่าดังสุภาษิตกล่าวว่า รู้ใจเราไม่
รู้ใจเขานั่นเอง  หากแม้นพระองค์ให้คนของพระองค์ปกครองก็จะสยบอำนาจต่อเจ้าเมืองไม่อาจจะแก่งแย่ง
ชิงดีชิงเด่นได้พระเจ้าข้า”  มหาอำมาตย์กล่าว
        “ฮ่าๆๆๆ.... ท่านกล่าวเช่นนี้ถูกใจข้ายิ่งนักนับได้ว่าเป็นผู้มองการณ์ไกลนัก   เอาล่ะการรบต่อไปเพื่อ
รวบรวมแว่นแคว้นต่างๆให้เป็นหนึ่งเดียวกันนี้  เห็นทีต้องอาศัยสติปัญญาท่านแล้วล่ะ”
       “หากแม้นพระองค์เชื่อมั่นเช่นนี้   ข้าพระพุทธเจ้าจะน้อมถวายหากผิดพลาดยินดีรับใช้ด้วยชีวิตพระเจ้าข้า”
       “งั้นก็ดีแล้วข้าจะตั้งท่านให้เป็นที่ปรึกษาของข้าเกี่ยวกับการรบทั้งหมด  หวังว่าท่านคงจะยอมรับส่วน
ครอบครัวท่านมิต้องเป็นห่วง ด้วยข้าเองคิดหาเจ้าเมืองใหม่ตลอดจนรองเจ้าเมืองไว้แล้วเพื่อถ่วงดุลซึ่งกัน
และกันโดยแยกกันควบคุมคนละครึ่งไว้แล้วล่ะ”   ชายหนุ่มหรือมังสุริยะชัยกล่าว
       “เป็นพระมหากรุณาธิคุณแก่ข้ายิ่งนักพระเจ้าข้า”  ชายชรากล่าว
        “บัดนี้ข้าขอยกโทษทั้งหมดให้แก่เหล่าอำมาตย์ขุนนางทั้งหลาย  ส่วนด้านอำมาตย์นั้นให้ทำหน้าที่ของตัวไป
จะไม่มีหัวหน้าอำมาตย์อีกต่อไปให้ขึ้นตรงต่อเจ้าเมืองหรือรองเจ้าเมือง  ส่วนขุนทหารแม่ทัพนายกองให้ติดตาม
เราไปพร้อมทหารกึ่งหนึ่ง  พวกแม่ทัพนายกองจะเห็นเป็นประการใดในการเข้าร่วมศึกครั้งต่อไป  หากผู้ใดขัดข้อง
ก็เอ่ยมาได้มิต้องเกรงใจข้า”   ชายหนุ่มกล่าว
        ทำให้บรรดาแม่ทัพใหญ่กระเหี้ยนกระหือทันทีหากได้เจ้านายเช่นนี้แน่นอนการศึกในครั้งหน้าคงจะ
ราบรื่นนัก   จึงพากันส่งเสียงร้องว่าพร้อมจะเข้าร่วมรบแก่พระองค์พระเจ้าข้า
      “ถ้าอย่างนั้น  เจ้าเมืองข้าจะให้ เหมี่ยวมินยองแห่งแคว้น มังละ  รองเจ้าเมืองให้มังกุรียะ แห่งแคว้น กุลา 
ทหารส่วนหนึ่งไว้ปกครอง   ข้าเองจะพักอยู่ไม่กี่วันก็จะออกเดินทาง ให้เจ้าจัดทัพทหารเข้าร่วมด้วย  หน้าที่
การปกครองให้ร่วมกันปรึกษาทุกๆครั้งไป   หากข้าได้ข่าวว่ามิปรองดองกันข้าก็จะไม่ละเว้นพวกเจ้าทั้งครองครัว
ด้วย เจ้าทั้งสองจงจำไว้ “
         เหมี่ยวมินยอง กับมังกุรียะ  ก้าวออกมาน้อมกายถวายบังคม  พร้อมให้สัตย์ปฏิญาณตนแก่มังสุริยะชัยทันที
ชายหนุ่มจึงหันไปกล่าวกับมหาอำมาตย์มังกะยอชวาให้ไปแจ้งแก่ครอบครัวว่าต้องออกเดินทางไปร่วมรบด้วย
แล้วก็สั่งเลิกประชุมทันที   บรรดาเหล่าแม่ทัพนายกองเมืองหล่อยก่อก็เข้าไปแสดงความคาราวะแก่แม่ทัพของ
ฝ่ายชายหนุ่มพร้อมชักชวนกันไปหาความสำราญกันยังบ้านของแม่ทัพใหญ่เมืองหล่อยก่อทันที   ทั้งหมดเมื่อ
เป็นพวกเดียวกันแล้วก็มิได้ตั้งแง่แต่ประการใด  ด้วยทุกๆคนมีความรักต่อเจ้าเหนือหัวทั้งสิ้น  ฝ่ายทหารม้าพิเศษ
นั้นก็แยกทางอีกทางหนึ่งพร้อมด้วยทหารที่มาด้วยกันไปหาความสนุกสนานกันเอง อยู่ภายในวังทั้งสิ้นเพื่อคอย
อารักขามังสุริยะชัยนายเหนือหัวต่อไป
      ข่าวคราวการยึดแว่นแคว้นกะยารวมถึงการตายของเจ้าเมืองหล่อยก่อนั้น   ได้แพร่สะพัดไปทั่วแว่นแคว้น
ต่างๆ   ทำให้เมืองในแว่นแคว้นทั้งหลายเกิดความปั่นป่วน  บ้างก็นำบรรณาการมาเพื่อขอพึ่งบารมีของชายหนุ่ม
ส่วนที่มิยอมตกในอำนาจก็จัดสร้างกำแพงเมืองระดมทหารไว้ป้องกันเมืองระดมฝึกทหารและสร้างอาวุธไว้ 
 ด้วยหวั่นเกรงต่อกองทัพชายหนุ่ม   ดังนั้นข่าวที่แพร่ออกไปนั้นทำให้ข่าวแพร่สะพัดออกไปอย่างรวดเร็วจน
ล่วงรู้ไปถึงเจ้าเมืองแคว้นกะฉิ่นและท่านผู้เฒ่าและเจ้าหญิงในหุบผาทันที  
        ทุกๆคนปลาบปลื้มต่อชัยชนะครั้งนี้จนทำให้เจ้าหญิงใคร่อยากจะออกร่วมรบกับชายหนุ่ม
    แต่ได้ถูกห้ามปรามจากท่านผู้เฒ่าว่ากิจการทหารนั้นควรเป็นของชายหาใช่สตรีใดไม่  
หากแม้นว่าองค์หญิงจะร่วมก็จะเกิดความพะวักพะวงต่องานที่จะกระทำสู้ปล่อยให้ดำเนินไป
คนเดียวจึงจะถูกต้อง   ดังนั้นเจ้าหญิงจึงต้องระงับการเดินทางคอยฟังข่าวชายหนุ่มคู่หมั้นตนเองต่อไป
        ในเวลาไม่นานนักเสบียงอาหารและอาวุธใหม่ที่ชายหนุ่มแจ้งแก่ท่านมังสินธูก็ถูกลำเลียงมาเป็นจำนวนมาก
มอบให้แก่ชายหนุ่มทันที   ชายหนุ่มจึงส่งสาสน์ไปให้เจ้าเมืองมิจีนาทราบด้วยถึงแผนการต่อไป   ยามที่ชายหนุ่ม
ล่วงเข้าฝ่ายในโดยมีองครักษ์รับใช้นำทางไปที่ตำหนักของเจ้าเมือง 
 แต่ชายหนุ่มไม่ประสงค์เช่นนั้นกลับให้ทหารนำไปพักยังเรือนรับรองแขกเมืองเท่านั้น
   บรรดานางสนมกำนัลตลอดจนพระมเหสีและองค์หญิงต่างๆต้องมีหน้าที่มาปรนนิบัติ
ชายหนุ่มตามประเพณีธรรมเนียม   แต่ชายหนุ่มแจ้งแสดงความขอบใจให้ทุกๆคนทำตัว
แบบสบายๆไม่ต้องกังวลสิ่งใดๆ  ที่ทำไปก็ให้ถือเช่นเดิมไม่ต้องมาปรนนิบัติเราหรอกให้กลับไปได้  
 ยกเว้นเครื่องเสวยและนางกำนัลบางคนเท่านั้น  พระองค์สั่งแต่เพียงแค่ผลไม้และน้ำใช้ดื่มก็เพียงพอ 
 ทำให้เหล่าพระมเหสีองค์หญิงและนางสนมกำนัลพากันแปลกใจไปตามๆกัน   
 แต่ก็ไม่อาจจะขัดพระบัญชาได้          บรรดาองค์หญิงนั้นต่างมีสรีระร่างสวยงามทั้งสิ้น   
เมื่อถูกปฏิเสธจากชายหนุ่มก็พลางใบหน้าสลดด้วยเห็นบุคลิกลักษณะของชายหนุ่มหล่อเหลายิ่งนัก
ตลอดจนพระมเหสีด้วยที่ยังสาวอยู่ ก็พยายามท้วงติงอ้างว่าเป็นพระราชประเพณี  
แต่ชายหนุ่มบอกว่าถึงมาดแม้นเป็นประเพณีโบราณกาลก็ตามหาใช่ที่จะเปลี่ยนแปลงมิได้ 
 เราเองจะขอขัดแย้งเปลี่ยนแปลงเสียเลยนับแต่นี้ไป  แม้เจ้าเมืองใหม่ก็หามีสิทธิใดๆทั้งสิ้นเราจะกำชับไว้
ดังนั้น บรรดาเหล่ามเหสีองค์หญิงตลอดจนนางสนมกำนัลต่างเสียดายแต่มิอาจขัดพระหทัยได้จึงทูลถวาย
บังคมลากลับไปยังตำหนักของตัว
          ส่วนกลางคืนนั้นนางพรายทั้งสองก็คอยเฝ้าปรนนิบัติชายหนุ่มอยู่แล้วตลอดจนเจ้าขนทองขนขาวก็ร่วม
กระเซ้าเย้าแย่กันเหมือนเดิมหาได้แตกต่างประการใด   จนทำให้ทหารที่รักษาการณ์หน้าตำหนักพากันแปลกใจ
กันไปตามๆกัน  ด้วยได้ยินเสียงหัวร่อของหญิงสาวอยู่ด้วยทั้งๆทีเห็นมีเพียงแต่ชายหนุ่มและลิงทั้งสองเท่านั้น
ใยจึงมีเสียงหัวร่อ  อดที่จะลอบแอบมองเสียมิได้ ครั้นเห็นแม่นางพรายทั้งสองช่างสวยสดงดงามกระไรเช่นนั้น
ก็ไม่แปลกใจเลยที่ทำไมชายหนุ่มถึงไม่สนใจต่อสตรีทั้งหลายนัก.............
   
               *   แก้วประเสริฐ.   *

Cartoon_Animation_08.gifn016.gif				
comments powered by Disqus
  • ฉางน้อย

    4 มีนาคม 2553 15:00 น. - comment id 115461

    Emoticon_007_NEgg.gif..11.gif11.gif
  • แก้วประเสริฐ

    4 มีนาคม 2553 18:35 น. - comment id 115473

    36.gif16.gif36.gif
    คุณ ฉางน้อย
    
         ลุงเขียนไปเขียนมาชักจะจนแต้มเสียแล้ว
    ล่ะซิ รักหลานเราเสมอ
    
          16.gifแก้วประเสริฐ.16.gif
  • กิ่งโศก

    4 มีนาคม 2553 20:51 น. - comment id 115477

    อย่าเพิ่งจนแต้มครับครู อิอิ.
    
    ยังไม่ได้ช่วยเมืองเจ้าหญิง อะ..
  • แก้วประเสริฐ

    5 มีนาคม 2553 12:19 น. - comment id 115527

    36.gif16.gif36.gif
    คุณ กิ่งโศก
    
         ศิษย์รักเรา  ที่จนแต้มด้วยหาชื่อมาตั้งช่าง
    ยากจริงๆจ๊ะ ส่วนเมืองนั้นมีจริงสมัยพุกามนั่น
    แหละ แต่ครูมาเพี้ยนๆหน่อยเท่านั้น ชื่อนั้นไม่มี
    ครูตั้งเองทั้งสิ้นจ๊ะ รักศิษย์เราเสมอ 
    
           16.gifแก้วประเสริฐ.16.gif
  • โคลอน

    6 มีนาคม 2553 11:18 น. - comment id 115539

    อิอิ....อยากเห็นนางพรายทั้งสองแล้วสิคะ แก้วประเสริฐ แต่เหงในรูปนะคะ ตัวเป็นๆมะเอา 23.gif65.gif36.gif
  • แก้วประเสริฐ

    6 มีนาคม 2553 14:00 น. - comment id 115545

    36.gif16.gif36.gif
    คุณ โคลอน
    
         ยังไม่ถึงเวลาครับ รักเสมอ
    
           16.gifแก้วประเสริฐ.16.gif

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน