ลุ่มลึกอิสราวดี 37 ชายหนุ่มแลไปเห็นบรรดาเหล่าอำมาตย์แม่ทัพนายกองของหล่อยก่อถูกมัดมือนั่งเรียงราย อยู่หน้าบัลลังก์ของเจ้าเมือง ครั้นเดินทางเข้าไปบรรดาแม่ทัพนายกองของชายหนุ่มต่าง ก็ร้องถวายพระพรทันที ทำให้พวกเชลยทั้งหมดหันมามอง ครั้นเห็นเป็นเพียงแค่ชายหนุ่ม ก็สร้างความแปลกใจสงสัยขึ้นว่า เหตุใดถึงได้เก่งฉกาจยิ่งนักที่สามารถรวมแว่นแคว้นต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว ทั้งยังฆ่าเจ้าเมืองหล่อยก่อซึ่งเป็นเมืองหลวง เข้าตีเมืองได้ในเวลาอันรวดเร็วใช้เวลาไม่นาน การยึดเมืองหล่อยก่อนั้นหาจะใช่ได้มาโดยง่ายนัก ด้วยสภาพเป็นขุนเขาล้อมรอบทั้งยังอยู่ใน ที่สูงยากต่อการเข้าโจมตี แต่แค่เพียงวันเดียวกับสามารถตียึดเมืองได้โดยฝ่ายเราไม่สามารถ จะต้านทานได้ ทำให้เกิดความนับถือขึ้นในใจของเหล่าแม่ทัพนายกองหล่อยก่อที่มีต่อชายหนุ่ม เป็นยิ่งนัก หากมาดแม้นว่าเจ้าเมืองหล่อยก่อมิได้ถือความโอหังเป็นใหญ่แล้วยากนักที่จะถูกยึด เมืองได้ คงต้องใช้เวลาเนิ่นนานด้วยสภาพภูมิประเทศอำนวยตลอดยังสมบูรณ์ด้วยเสบียงอัน มากมายยิ่งนัก ยิ่งคิดไปบรรดาอำมาตย์ขุนทัพนายกองก็ยิ่งบังเกิดความนับถือขึ้นเป็นอย่างมาก แล้วชายหนุ่มก็ก้าวเดินผ่านบรรดาอำมาตย์ขุนทัพนายกองที่ต่างก็น้อมหัวคาราวะทันที ครั้นถึงบัลลังก์ของเหมี่ยวสุรินทร์นราขึ้นนั่งยังบัลลังก์ทันที พร้อมสั่งให้ทหารเข้าแก้มัดบรรดา เหล่าอำมาตย์และขุนทหารทั้งหลาย เมื่อเหล่าทหารได้แก้มัดให้แล้วก็ถอยหลังออกมา ชายหนุ่มก็พลันกล่าวขึ้นว่า เรามังสุริยะชัยนั้นได้ส่งทูตเจรจากับทางท่านแล้วแต่หาได้รับการ ต้อนรับดั่งธรรมเนียมทั่วๆไปที่ปฏิบัติกันมา เราจึงจำเป็นต้องเข้ายึดเมืองของพวกท่าน หากพวก ท่านยินดีที่จะยอมอยู่ในอำนาจของฝ่ายเรา เราก็จะลดโทษให้ตามฐานะของแต่ละบุคคล ครั้นฝ่ายเหล่าอำมาตย์ขุนทัพนายกองทั้งหลายได้ยินเช่นนั้น มหาอำมาตย์เมืองหล่อยก่อก็ กล่าวขึ้นทันทีว่า “ ในเมื่อเหตุการณ์เช่นนี้ก็ด้วยเจ้าเมืองมิได้เชื่อฟังพวกเรา แต่ทว่าหาก ถือตามธรรมเนียมแล้วก็อาจจะมิต้องเสียเมืองง่ายดายไปไม่ นายด่านนั้นแม้จะส่งสาสน์มา ก็ตามแต่มันกับหยิ่งยโสไม่คำนึงถึงการควรมิควรกับจับกุมทูตพระองค์ผิดธรรมเนียมพระเจ้าข้า” “ที่ท่านกล่าวเช่นนี้เสมือนหนึ่งดังยกความผิดให้แก่เจ้าเมืองคนเดียว พวกเจ้าหาได้เกี่ยวข้อง อันใดฤา” มังสุริยะชัยเอ่ยขึ้น “หามิได้พระเจ้าข้า พวกข้าก็ต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างเคร่งครัดอยู่แล้ว ถึงแม้ว่าจะเสียเมืองหรือ ไม่ก็ตามย่อมต้องถือหน้าที่เป็นใหญ่เพื่อรักษาเมืองไว้พระเจ้าข้า” มหาอำมาตย์กล่าวขึ้น “ในเมื่อท่านกล่าวเช่นนี้ก็มีเหตุผลพอฟังได้หรอก ด้วยทุกๆคนย่อมจะรักเมืองของตนเองเป็น ใหญ่แต่ทำไมท่านไม่เตือนหรือชี้แจงแก่เหล่าขุนนางทั้งหลายให้ช่วยคัดค้านการนี้ด้วยล่ะ” “ที่ข้ากล่าวเช่นนี้หาใช่ว่าจะเอาตัวรอดก็หาไม่ ท่านลองถามท่านแม่ทัพซึ่งก็ได้คัดค้านการศึก ครั้งนี้เหมือนกันดูเถิดพระเจ้าข้า” “ใครล่ะเป็นแม่ทัพใหญ่คุมเมืองนี้ “ มังสุริยะชัยกล่าวขึ้น “ข้าพระพุทธเจ้า มังกะยะ ส่วนท่านมังสุระ มังสีหะ เป็นรองแม่ทัพพระเจ้าข้า “ “อ้อ...ท่านเองหรือแล้วท่านมีความคิดเห็นประการใดล่ะ” ชายหนุ่มถาม “ เรื่องนี้แล้วแต่พระมหากรุณาธิคุณตามแต่พระองค์จะตัดสินพระหทัย ข้าพเจ้ายอมรับทุกประการ แม้แต่ชีวิตของข้าเองก็ยินยอมพระเจ้าข้า” แม่ทัพใหญ่กล่าวขึ้นมิอ้างอิงสิ่งใดๆทั้งสิ้น “ฮ่าๆๆๆๆ....เจ้ากล่าวได้ดีจริงมังกะยอ อันตัวข้าและเหล่าขุนทหารทั้งหลายมิได้คิดที่จะมารุกราน เบียดเบียนเมืองหล่อยก่อและแว่นแคว้นต่างๆ เพียงแต่หากรับฟังสาสน์เราแล้วมารวมตัวกันขึ้นเพื่อ ก่อการรวมแผ่นดินไว้เป็นหนึ่งเดียว ไม่ถือตัวเองว่ามีความสามารถแยกตัวขึ้นเองได้แล้ว ก็จะไม่มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นได้หรอก แต่ทว่าท่านพ่อเมืองของพวกท่านถือตนเอง และอำนาจมิได้คำนึงถึงความเก่าที่เคย ร่วมรบกันมาเพื่อรวบรวมแผ่นดิน ก็คงจะไม่ต้องเป็นเช่นนี้หรอก” “เอาล่ะเมื่อเป็นเหตุเช่นนี้จะหาความผิดแก่พวกท่านก็มิได้ ด้วยต้องทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครองเมือง เป็นใหญ่ เราก็จะอภัยให้แก่พวกท่านแต่เพียงให้ท่านถือด้วยความจริงใจเท่านั้น เรารู้มาว่าพวกของ เจ้าเมืองเก่าก็มีอีกที่เป็นเครือญาติหาได้สยบยอมด้วยความจริงใจ ซึ่งเราได้ให้ทหารเราจัดการหมดแล้ว เพื่อถอนรากถอนโคนไป ส่วนพวกท่านนั้นเมื่อทหารเรามารายงานตัวว่าพวกท่านทั้งหลายหาได้มีความ จริงใจต่อเจ้าเมืองเท่าใดนัก เรื่องพวกท่านเราก็รู้อยู่ก่อนแล้วอย่างละเอียดก่อนจะเข้ามาตีเมืองท่าน” เหตุที่ชายหนุ่มคิดเช่นนี้ด้วยไม่อยากจะมีศึกหลายๆด้านจึงคิดที่จะถนอมน้ำใจเหล่าอำมาตย์และ ขุนทหารทั้งหลายไว้ เพื่อรวบรวมไพร่พลไปตีแว่นแคว้นอื่นต่อไป หากทำการใดด้วยลุแก่อำนาจแล้ว ย่อมยากจะปกครองเหล่าขุนนางทหารทั้งหลายได้นั่นเอง จึงคิดใคร่จะให้พวกมันสยบด้วยใจจริง และจะได้ใช้สอย ไม่ต้องห่วงกังวลไป ด้วยต้องเดินทางไปยังแว่นแคว้นรัฐชิน ซึ่งมีอาณาเขตอุดมสมบูรณ์ยิ่งนักเพื่อจะได้ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเสบียงอาหาร ในการใช้เลี้ยงทหารมากมายเหล่านี้ “ ในเมื่อข้าเองคิดว่าหากผู้ใดยินยอมพร้อมใจกันพร้อมเสียสละชีวิตรวมเป็นร่วมตายแก่พวกเราก็ให้ ก้าวออกไปด้านข้างด้วย” ชายหนุ่มกล่าว ปรากฏว่าเหล่าขุนทหารทั้งหลายต่างก็ก้าวออกมาเกือบทั้งสิ้น ยกเว้นเหล่าขุนนางอำมาตย์เท่านั้น ที่ยังคงก้มหน้าอยู่ที่เดิม ชายหนุ่มจึงเอ่ยขึ้นว่า “เหตุใดหรือพวกท่านถึงไม่ยินยอมพร้อมใจกัน” “หามิได้ด้วยเหตุว่าพวกกระหม่อมมิได้ฝึกฝนด้านเกี่ยวการรบพระเจ้าข้า จึงมิอาจจะเข้าร่วมรบ กับพวกพระองค์ได้พระเจ้าข้า” เมื่อชายหนุ่มได้ยินดังนั้นก็หัวร่อเสียงดังทันที ถูกต้องมิใช่ว่าพวกเหล่าอำมาตย์ขุนนางนั้นจะไม่ ยินยอมก็หาไม่ แต่ด้วยประมาณตัวเองว่าไม่สามารถจะเข้าร่วมรบในสงครามได้นี่เอง ดังนั้นจึงเอ่ยขึ้น “ฮ่าๆๆๆๆ ข้าก็ทราบอยู่แล้วว่าพวกเจ้าหาได้เป็นไปตามที่ข้าคาดการณ์ได้แล้ว หากมาดแม้นเหล่า ขุนนางอำมาตย์ทั้งหลาย ก้าวตามเหล่าขุนทหารไป ข้าเองก็จะไม่ไว้ชีวิตพวกเจ้าทันทีเพราะด้วยความ กลัวตายและหาได้มีความจริงใจใดไม่” ทำให้บรรดาเหล่าอำมาตย์ขุนนางทั้งปวง เมื่อได้ยินเช่นนี้ก็ทราบทันทีว่าที่ชายหนุ่มสามารถเข้า ตีแว่นแคว้นกะฉินได้ ก็ด้วยเปี่ยมไปด้วยสติปัญญาเป็นที่ตั้งยิ่งทำให้เกิดความนับถือเพิ่มขึ้นอีก “ส่วนข้ามหาอำมาตย์ “เหมี่ยวมังกะยอชวา” ถึงมาดแม้นว่ามิได้ฝึกปรือด้านอาวุธมาแต่ก็สามารถ ช่วยเหลือพระองค์ได้เท่าที่สติปัญญาของข้าจะทำได้ จะขอเข้าร่วมไปในสงครามด้วย เหตุด้วยข้าเอง ได้เขียนแผนที่ของแผ่นดินต่างๆตลอดลู่ทางทั้งหมดไว้เรียบร้อยแล้วพระเจ้าข้า แต่มิได้นำเสนอต่อ เจ้าเมืองด้วยเห็นเป็นคนโลภโมโทสันเอาแต่ใจตนเองหาได้เข้าใจคนอื่น ที่คิดลาออกไปก็จะเป็น อันตรายแก่ครอบครัวจึงจำต้องทนอยู่พระเจ้าข้า” เหมี่ยวมังกะยะชวากล่าวทูลขึ้น ครั้นชายหนุ่มได้รับฟังเช่นนั้นก็ให้ดีใจแต่มิได้แสดงกิริยาใดๆทั้งสิ้นจึงกล่าวว่า “เมื่อท่านกล่าวเช่นนี้ ไหนลองเข้ามาหาข้าใกล้ๆหน่อยซิ” มหาอำมาตย์ใหญ่เหมี่ยวมังกะยะชวาครั้นได้รับฟังเช่นนั้น ก็น้อมกายถวายคาราวะแล้วยืนขึ้นค่อยๆ ก้าวเข้าไปหาชายหนุ่มทันที ชายหนุ่มสังเกตเห็นมีบุคลิกลักษณะฉลาดหลักแหลมยิ่งนัก ใบหน้ากลม แก้มแดงเปล่งปลั่งหนวดเคราขาวโพลนหัวใหญ่ผิดปกติของคนธรรมดา ทั้งยังมีสง่าราศีนัก ก็ให้ชอบใจ ชายชรายิ่งนัก จึงลุกขึ้นจากบัลลังก์เดินลงมาโอบไหล่ทั้งสองของชายชราทันทีพลางจูงมือ แล้วสั่งให้ ทหารหาเก้าอี้มาให้ชายชรานั่ง เมื่อเป็นเช่นนี้ชายชราถึงกับทรุดกายลงกราบยังเท้าชายหนุ่มทันที พอเงยหน้าน้ำตาทั้งสองไหลออก มา พลางกล่าวขึ้นว่า “หากมาดแม้นเจ้าเมืองเก่ามีสติปัญญาอ่านรู้ใจคนเช่นดังพระองค์แล้ว เมืองหล่อยก่อก็จะขยาย อาณาเขตได้กว้างขวางกว่านี้ พระเจ้าข้า” “ข้าขอให้สัตย์ปฏิญาณตนต่อฟ้าดินว่าจะขอรับใช้พระองค์ไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ด้วยสติปัญญาอัน น้อยนิดของกระหม่อมพระพุทธเจ้าข้า” แล้วชายชราก็ก้มกราบอีกครั้งหนึ่ง ชายหนุ่มเห็นเช่นนั้นก็พยุงร่างมหาอำมาตย์ใหญ่พาไปนั่งยังเก้าอี้ข้างๆตนทันที แล้วหันไปถามว่า “ข้าเองจะให้คนของข้าขึ้นปกครองเมืองหล่อยก่อท่านเห็นเป็นประการใดเล่า” “ ถูกต้องยิ่งนักพระเจ้าข้าเหมี่ยวมังกะยอชวากล่าวขึ้น เหตุดังนี้เพราะว่าดังสุภาษิตกล่าวว่า รู้ใจเราไม่ รู้ใจเขานั่นเอง หากแม้นพระองค์ให้คนของพระองค์ปกครองก็จะสยบอำนาจต่อเจ้าเมืองไม่อาจจะแก่งแย่ง ชิงดีชิงเด่นได้พระเจ้าข้า” มหาอำมาตย์กล่าว “ฮ่าๆๆๆ.... ท่านกล่าวเช่นนี้ถูกใจข้ายิ่งนักนับได้ว่าเป็นผู้มองการณ์ไกลนัก เอาล่ะการรบต่อไปเพื่อ รวบรวมแว่นแคว้นต่างๆให้เป็นหนึ่งเดียวกันนี้ เห็นทีต้องอาศัยสติปัญญาท่านแล้วล่ะ” “หากแม้นพระองค์เชื่อมั่นเช่นนี้ ข้าพระพุทธเจ้าจะน้อมถวายหากผิดพลาดยินดีรับใช้ด้วยชีวิตพระเจ้าข้า” “งั้นก็ดีแล้วข้าจะตั้งท่านให้เป็นที่ปรึกษาของข้าเกี่ยวกับการรบทั้งหมด หวังว่าท่านคงจะยอมรับส่วน ครอบครัวท่านมิต้องเป็นห่วง ด้วยข้าเองคิดหาเจ้าเมืองใหม่ตลอดจนรองเจ้าเมืองไว้แล้วเพื่อถ่วงดุลซึ่งกัน และกันโดยแยกกันควบคุมคนละครึ่งไว้แล้วล่ะ” ชายหนุ่มหรือมังสุริยะชัยกล่าว “เป็นพระมหากรุณาธิคุณแก่ข้ายิ่งนักพระเจ้าข้า” ชายชรากล่าว “บัดนี้ข้าขอยกโทษทั้งหมดให้แก่เหล่าอำมาตย์ขุนนางทั้งหลาย ส่วนด้านอำมาตย์นั้นให้ทำหน้าที่ของตัวไป จะไม่มีหัวหน้าอำมาตย์อีกต่อไปให้ขึ้นตรงต่อเจ้าเมืองหรือรองเจ้าเมือง ส่วนขุนทหารแม่ทัพนายกองให้ติดตาม เราไปพร้อมทหารกึ่งหนึ่ง พวกแม่ทัพนายกองจะเห็นเป็นประการใดในการเข้าร่วมศึกครั้งต่อไป หากผู้ใดขัดข้อง ก็เอ่ยมาได้มิต้องเกรงใจข้า” ชายหนุ่มกล่าว ทำให้บรรดาแม่ทัพใหญ่กระเหี้ยนกระหือทันทีหากได้เจ้านายเช่นนี้แน่นอนการศึกในครั้งหน้าคงจะ ราบรื่นนัก จึงพากันส่งเสียงร้องว่าพร้อมจะเข้าร่วมรบแก่พระองค์พระเจ้าข้า “ถ้าอย่างนั้น เจ้าเมืองข้าจะให้ เหมี่ยวมินยองแห่งแคว้น มังละ รองเจ้าเมืองให้มังกุรียะ แห่งแคว้น กุลา ทหารส่วนหนึ่งไว้ปกครอง ข้าเองจะพักอยู่ไม่กี่วันก็จะออกเดินทาง ให้เจ้าจัดทัพทหารเข้าร่วมด้วย หน้าที่ การปกครองให้ร่วมกันปรึกษาทุกๆครั้งไป หากข้าได้ข่าวว่ามิปรองดองกันข้าก็จะไม่ละเว้นพวกเจ้าทั้งครองครัว ด้วย เจ้าทั้งสองจงจำไว้ “ เหมี่ยวมินยอง กับมังกุรียะ ก้าวออกมาน้อมกายถวายบังคม พร้อมให้สัตย์ปฏิญาณตนแก่มังสุริยะชัยทันที ชายหนุ่มจึงหันไปกล่าวกับมหาอำมาตย์มังกะยอชวาให้ไปแจ้งแก่ครอบครัวว่าต้องออกเดินทางไปร่วมรบด้วย แล้วก็สั่งเลิกประชุมทันที บรรดาเหล่าแม่ทัพนายกองเมืองหล่อยก่อก็เข้าไปแสดงความคาราวะแก่แม่ทัพของ ฝ่ายชายหนุ่มพร้อมชักชวนกันไปหาความสำราญกันยังบ้านของแม่ทัพใหญ่เมืองหล่อยก่อทันที ทั้งหมดเมื่อ เป็นพวกเดียวกันแล้วก็มิได้ตั้งแง่แต่ประการใด ด้วยทุกๆคนมีความรักต่อเจ้าเหนือหัวทั้งสิ้น ฝ่ายทหารม้าพิเศษ นั้นก็แยกทางอีกทางหนึ่งพร้อมด้วยทหารที่มาด้วยกันไปหาความสนุกสนานกันเอง อยู่ภายในวังทั้งสิ้นเพื่อคอย อารักขามังสุริยะชัยนายเหนือหัวต่อไป ข่าวคราวการยึดแว่นแคว้นกะยารวมถึงการตายของเจ้าเมืองหล่อยก่อนั้น ได้แพร่สะพัดไปทั่วแว่นแคว้น ต่างๆ ทำให้เมืองในแว่นแคว้นทั้งหลายเกิดความปั่นป่วน บ้างก็นำบรรณาการมาเพื่อขอพึ่งบารมีของชายหนุ่ม ส่วนที่มิยอมตกในอำนาจก็จัดสร้างกำแพงเมืองระดมทหารไว้ป้องกันเมืองระดมฝึกทหารและสร้างอาวุธไว้ ด้วยหวั่นเกรงต่อกองทัพชายหนุ่ม ดังนั้นข่าวที่แพร่ออกไปนั้นทำให้ข่าวแพร่สะพัดออกไปอย่างรวดเร็วจน ล่วงรู้ไปถึงเจ้าเมืองแคว้นกะฉิ่นและท่านผู้เฒ่าและเจ้าหญิงในหุบผาทันที ทุกๆคนปลาบปลื้มต่อชัยชนะครั้งนี้จนทำให้เจ้าหญิงใคร่อยากจะออกร่วมรบกับชายหนุ่ม แต่ได้ถูกห้ามปรามจากท่านผู้เฒ่าว่ากิจการทหารนั้นควรเป็นของชายหาใช่สตรีใดไม่ หากแม้นว่าองค์หญิงจะร่วมก็จะเกิดความพะวักพะวงต่องานที่จะกระทำสู้ปล่อยให้ดำเนินไป คนเดียวจึงจะถูกต้อง ดังนั้นเจ้าหญิงจึงต้องระงับการเดินทางคอยฟังข่าวชายหนุ่มคู่หมั้นตนเองต่อไป ในเวลาไม่นานนักเสบียงอาหารและอาวุธใหม่ที่ชายหนุ่มแจ้งแก่ท่านมังสินธูก็ถูกลำเลียงมาเป็นจำนวนมาก มอบให้แก่ชายหนุ่มทันที ชายหนุ่มจึงส่งสาสน์ไปให้เจ้าเมืองมิจีนาทราบด้วยถึงแผนการต่อไป ยามที่ชายหนุ่ม ล่วงเข้าฝ่ายในโดยมีองครักษ์รับใช้นำทางไปที่ตำหนักของเจ้าเมือง แต่ชายหนุ่มไม่ประสงค์เช่นนั้นกลับให้ทหารนำไปพักยังเรือนรับรองแขกเมืองเท่านั้น บรรดานางสนมกำนัลตลอดจนพระมเหสีและองค์หญิงต่างๆต้องมีหน้าที่มาปรนนิบัติ ชายหนุ่มตามประเพณีธรรมเนียม แต่ชายหนุ่มแจ้งแสดงความขอบใจให้ทุกๆคนทำตัว แบบสบายๆไม่ต้องกังวลสิ่งใดๆ ที่ทำไปก็ให้ถือเช่นเดิมไม่ต้องมาปรนนิบัติเราหรอกให้กลับไปได้ ยกเว้นเครื่องเสวยและนางกำนัลบางคนเท่านั้น พระองค์สั่งแต่เพียงแค่ผลไม้และน้ำใช้ดื่มก็เพียงพอ ทำให้เหล่าพระมเหสีองค์หญิงและนางสนมกำนัลพากันแปลกใจไปตามๆกัน แต่ก็ไม่อาจจะขัดพระบัญชาได้ บรรดาองค์หญิงนั้นต่างมีสรีระร่างสวยงามทั้งสิ้น เมื่อถูกปฏิเสธจากชายหนุ่มก็พลางใบหน้าสลดด้วยเห็นบุคลิกลักษณะของชายหนุ่มหล่อเหลายิ่งนัก ตลอดจนพระมเหสีด้วยที่ยังสาวอยู่ ก็พยายามท้วงติงอ้างว่าเป็นพระราชประเพณี แต่ชายหนุ่มบอกว่าถึงมาดแม้นเป็นประเพณีโบราณกาลก็ตามหาใช่ที่จะเปลี่ยนแปลงมิได้ เราเองจะขอขัดแย้งเปลี่ยนแปลงเสียเลยนับแต่นี้ไป แม้เจ้าเมืองใหม่ก็หามีสิทธิใดๆทั้งสิ้นเราจะกำชับไว้ ดังนั้น บรรดาเหล่ามเหสีองค์หญิงตลอดจนนางสนมกำนัลต่างเสียดายแต่มิอาจขัดพระหทัยได้จึงทูลถวาย บังคมลากลับไปยังตำหนักของตัว ส่วนกลางคืนนั้นนางพรายทั้งสองก็คอยเฝ้าปรนนิบัติชายหนุ่มอยู่แล้วตลอดจนเจ้าขนทองขนขาวก็ร่วม กระเซ้าเย้าแย่กันเหมือนเดิมหาได้แตกต่างประการใด จนทำให้ทหารที่รักษาการณ์หน้าตำหนักพากันแปลกใจ กันไปตามๆกัน ด้วยได้ยินเสียงหัวร่อของหญิงสาวอยู่ด้วยทั้งๆทีเห็นมีเพียงแต่ชายหนุ่มและลิงทั้งสองเท่านั้น ใยจึงมีเสียงหัวร่อ อดที่จะลอบแอบมองเสียมิได้ ครั้นเห็นแม่นางพรายทั้งสองช่างสวยสดงดงามกระไรเช่นนั้น ก็ไม่แปลกใจเลยที่ทำไมชายหนุ่มถึงไม่สนใจต่อสตรีทั้งหลายนัก............. * แก้วประเสริฐ. *
4 มีนาคม 2553 15:00 น. - comment id 115461
..
4 มีนาคม 2553 18:35 น. - comment id 115473
คุณ ฉางน้อย ลุงเขียนไปเขียนมาชักจะจนแต้มเสียแล้ว ล่ะซิ รักหลานเราเสมอ แก้วประเสริฐ.
4 มีนาคม 2553 20:51 น. - comment id 115477
อย่าเพิ่งจนแต้มครับครู อิอิ. ยังไม่ได้ช่วยเมืองเจ้าหญิง อะ..
5 มีนาคม 2553 12:19 น. - comment id 115527
คุณ กิ่งโศก ศิษย์รักเรา ที่จนแต้มด้วยหาชื่อมาตั้งช่าง ยากจริงๆจ๊ะ ส่วนเมืองนั้นมีจริงสมัยพุกามนั่น แหละ แต่ครูมาเพี้ยนๆหน่อยเท่านั้น ชื่อนั้นไม่มี ครูตั้งเองทั้งสิ้นจ๊ะ รักศิษย์เราเสมอ แก้วประเสริฐ.
6 มีนาคม 2553 11:18 น. - comment id 115539
อิอิ....อยากเห็นนางพรายทั้งสองแล้วสิคะ แก้วประเสริฐ แต่เหงในรูปนะคะ ตัวเป็นๆมะเอา
6 มีนาคม 2553 14:00 น. - comment id 115545
คุณ โคลอน ยังไม่ถึงเวลาครับ รักเสมอ แก้วประเสริฐ.