ลุ่มลึกอิสราวดี 12 ภายหลังจากที่ชายหนุ่มร่ำเรียนการเขียนอ่านหนังสือโบราณ ได้คล่องแคล่วตลอดจนฝึกสมาธิมั่นคงแก่กล้าแล้ว เขารำพึง ว่า เราเห็นสมควรจะออกเดินทางจากที่นี้ได้แล้ว ดังนั้นจึงได้กล่าวกับแม่นางพรายทั้งสองว่า “น้องรักพี่ทั้งสอง พี่เห็นว่าสมควรที่เราจะออกเดินทางได้แล้วกระมัง” “จ้า.????.... แล้วแต่พี่จะเห็นสมควรเถอะจ้า” นางพรายตอบแต่ ในส่วนลึกนึกเสียดายสถานที่นี้ ด้วยหล่อนสามารถอยู่ในสภาพคนได้ ทั้งกลางวันและกลางคืน “ถ้ายังงั้น.... พรุ่งนี้เช้าเราทั้งหมดก็ออกเดินทางก็แล้วกันจ๊ะ” ในรุ่งอรุณของวันใหม่ชายหนุ่มหลังจากชำระใบหน้าและลูบตัวเสร็จ จากน้ำที่ใช้น้อยนิดแล้ว เขาก็รีบจัดแจงภาระให้เรียบร้อยซึ่งเขาได้ จัดสร้างย่ามขึ้นอีกใบหนึ่งเพื่อใช้ในการสำรองจากเศษหนังเสือสมิง ที่ยังเหลืออีกไม่มากนัก เมื่อเป็นที่เรียบร้อยจึงหันมาทางเจ้าขนทองพร้อมทั้งลูบบนหัวมันเบาๆ แสดงสัญญาณให้มันทราบว่าจะต้องออกเดินทางแล้ว และหันไปทางแม่ นางพรายทั้งสอง เหมือนหล่อนจะรู้ดังนั้นจึงได้รีบเข้าไปอาศัยยังฝักดาบมีด ของชายหนุ่มทันที ชายหนุ่มก้าวนำหน้าเพื่อจะออกจากถ้ำ ทันใดนั้นทางปากถ้ำเล็กนั้น ก็เกิดอาการแปรเปลี่ยนของอากาศที่ ตอนแรกสว่างไสว ทอไปด้วยแสงอ่อนๆของแสงอาทิตย์ บัดนี้กลับแปรเปลี่ยนเป็นมืดดำเกิด พายุพัดกระหน่ำโหม เสียงหวีดหวิวครวญครางก้องกังวาน เสียงพายุพัดต้นไม้ กิ่งไม้กระทบกัน เขามองไปข้างหน้าถ้ำเห็นเหล่าต้นไม้ใหญ่น้อยโอนเอนแทบ จะหัก ชายหนุ่มฉงนใจยิ่งนักด้วยเขาจะเริ่มออกเดินทางแต่ทำไม จึงมีเหตุการณ์ เช่นนี้กะทันหันได้ ทันใดนั้นเขาได้ยินเสียงแม่นางพรายกระซิบยังข้างหูว่า “พี่ท่านๆ!!!!.....ระวังตัวด้วยนะ ด้วยบัดนี้เจ้าแห่งพญางูมันได้มาแล้วเกิด จากเราไปฆ่าลูกน้องมันจ้า” “แล้วจะให้พี่ทำอย่างไรดีล่ะน้องรัก” ชายหนุ่มถามด้วยความสงสัย “น้องเองก็จนปัญญาจ๊ะ ต้องแล้วแต่ปฏิภาณไหวพริบและวิชาที่ท่านพี่ได้ ร่ำเรียนมาจ้า” ชายหนุ่มรีบวางสัมภาระและมองไปยังเจ้าขนทอง เห็นร่างมันขนพองขึ้น และแยกเขี้ยวออกมา หันไปจ้องยังหน้าถ้ำพร้อมขย่มร่างมันไปๆมาๆ เสมือนมัน จะรับรู้ต่อเหตุการณ์นี้ด้วยสัญชาติฌานของสัตว์ที่ย่อมจะสัมผัสรับรู้ได้เร็วกว่า มนุษย์มากนัก ดังนั้นชายหนุ่มจึงหยิบมีดน้อยส่งให้มันทันใด เจ้าขนทองก็รับมีดน้อยมา ถือไว้ในมือแต่ร่างมันยังทำท่าขู่ขย่มไปๆมาๆอยู่มิขาด ด้วยเขาเคยฝึกการใช้อาวุธ ให้ไว้แล้ว จึงเชื่อมั่นว่ามันสามารถใช้ได้เป็นอย่างดี จึงไม่ห่วงมากเท่าไรนัก ชายหนุ่มพลางดึงดาบออกมายกมือจรดเหนือศีรษะเขาพลางร่ายมนต์ตามที่แจ้งไว้ ให้หนังสือที่เขาร่ำเรียนมาอย่างช่ำชอง แล้วก้าวเดินไปปากถ้ำพลางขีดดาบเป็น เส้นขวางไว้หน้าถ้ำแล้วถอยหลังมาหนึ่งก้าวก็ขีดอีก รวมทั้งหมดประมาณ 7 เส้น ครั้นเสร็จจากการทำพิธีแล้ว ก็ก้าวมายังที่เก็บสัมภาระยืนรอเวลาที่จะเกิดขึ้น เสียงลมพายุและฝนได้กระหน่ำมาอย่างรุนแรง เสียงต้นไม้ต่างๆได้หักโคนลงดังมา ถึงในถ้ำที่เขาอาศัยอยู่ เวลาผ่านไปสักครู่หนึ่งเสียงพายุและฝนซาลงก็ปรากฏ กลุ่มควันพวยพุ่งเข้ามาเพื่อจะเข้ามายังถ้ำ แต่กลุ่มควันนั้นต้องชะงักไม่สามารถเข้ามายังถ้ำนั้นได้ แล้วกลุ่มควันนั้นก็ค่อยๆจางลงปรากฏร่างชายชรารูปร่างบึกบึนสูงใหญ่ ใบหน้ากลมออกสีแดงเรื่อๆ ตลอดร่างกายมีประกายรังสีแผ่ซ่านออกมากจางๆ บุคลิกลักษณะตลอดจนรูปร่างสง่าราศีสง่างามนักถึงแม้จะดูชราภาพก็ตามที เมื่อชายหนุ่มเห็นเช่นนั้น ด้วยความอ่อนน้อมที่เขามีอยู่ในตัวอยู่แล้ว จึงได้ก้ม กายลงกราบไปยังชายชราทันที เหตุดังนี้ทำให้ใบหน้าของชายชราที่แรกเริ่มบึ้งตึงค่อยๆผ่อนคลายความเครียด ลงอย่างเห็นได้ชัด “ข้าฯของน้อมคาราวะท่านผู้เฒ่าด้วย ที่กรุณามาเยือนและขอทราบเจตนาใน ครั้งนี้ด้วยเถิด หากข้าฯผิดพลาดสิ่งใดๆหรือล่วงเกินแก่ท่านผู้เฒ่าก็จงขอได้โปรด อโหสิกรรมแก่ข้าฯซึ่งอาจจะทำไปโดยไม่รู้เบื้องหน้าและหลัง” ชายหนุ่มกล่าว ร่างชายชรา ครั้นเมื่อได้รับฟังชายหนุ่มกล่าวเช่นนี้ ใบหน้าก็เริ่มบังเกิดรอย ยิ้มขึ้นมา พลางหันไปรอบๆข้าง แล้วนั่งบนก้อนหินที่อยู่ข้างๆถ้ำ บัดนี้พายุและฝน ได้หายไปอย่างสิ้นเชิง ส่วนด้านชายหนุ่มก็นั่งพับเพียบลงพร้อมพนมมือเหนือ ทรวงอก “ เฮ่อะๆๆๆ....” เสียงของชายชรากล่าวเบาๆ แต่ท่าทีอ่อนโยนผิดกับครั้งแรก “นี่แนะ!!!!...พ่อหนุ่มข้าขอถามเจ้าหน่อยว่า เจ้าใช่ไหมที่ฆ่าลูกน้องของข้าไป “ขอรับท่านผู้เฒ่า....ข้าฯเองก็มิได้ตั้งใจจะทำลายเขาหรอกขอรับ หากลูกน้อง ของท่านผู้เฒ่าไม่ทำลายพวกข้าฯก่อนขอรับ” ชายหนุ่มน้อมกายลงตอบชายชรา “อืมมๆๆๆ....เหตุนี่หรือ เห็นลูกน้องมันกลับไปรายงานข้า ว่ามีคนมาฆ่ามัน แต่ข้าดูลักษณะเจ้าแล้วไม่ใช่คนเกเรอำมหิตแต่อย่างไร กลับมีนิสัยอ่อนโยนเช่นนี้ มีหรือจะไปทำร้ายมันก่อน แล้วเจ้าจะไปที่ใดล่ะ” ชายชราถามเกิดความเอ็นดู “ขอรับท่านผู้เฒ่า.....ข้าฯเองก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปที่ใดด้วยหลงทางมายัง ที่นี้มิอาจจะกลับไปที่เดิมได้ขอรับ” “อ้าวเจ้าหลงทางมาหรือ เออ!!!...ช่างเถอะในเมื่อมันผ่านไปแล้วข้าเห็นบุคลิก เจ้าแล้วก็ให้นึกเอ็นดู ทีแรกข้ามาหวังจะกำราบเจ้าที่ยโสโอหังมาฆ่าคนของข้าไป แต่เมื่อมาเห็นอาการแสดงของเจ้าแล้วทำให้ข้าเกิดเวทนานัก หรือว่าเราสองอาจจะเคยร่วม บุญกันมาก็เป็นไปได้นะ” ชายหนุ่มรับฟังชายชรากล่าวเช่นนี้ ก็รีบน้อมกายกราบลงอีกครั้งหนึ่ง ยิ่งทำให้ ชายชราเกิดเอ็นดูรักใคร่ ได้ยินชายชรากล่าวขึ้นว่า “เออๆๆๆ...เจ้าทำอะไรลงไปหรือทำให้ข้าไม่สามารถจะเข้าถ้ำไปได้เพราะมีกำแพง แก้วที่เป็นไฟร้อนแรงขวางหน้าข้าไว้หากเดินเข้าไปใกล้ๆเส้นที่เจ้าขีดขวางไว้” ชายชรา ถามด้วยความสงสัย “หามิได้ท่านผู้เฒ่า ข้าฯเองก็พึ่งร่ำเรียนวิชามาก็ทำไว้เพื่อป้องกันตัวเองโดยมิได้ที่ จะคิดทำร้ายใครๆหรอกขอรับ” ชายหนุ่มตอบ “นั่นซิๆ...เจ้าร่ำเรียนมานานแล้วหรือถึงได้แก่กล้าอาคมยิ่งนัก” ชายชราถาม “เรียนท่านผู้เฒ่า ข้าฯเองก็พึ่งหัดมาได้ไม่กี่วันนี้แหละขอรับ” ชายหนุ่มตอบ “อะไรนะๆ....เจ้าพึ่งหัดเรียนไม่กี่วันนี้หรือ เอ๊ะๆแปลกๆจริงๆ” ชายชราอุทาน “ใช่แล้วขอรับท่านผู้เฒ่า” “โอ้ๆๆๆ....งั้นแสดงว่าเจ้าต้องเป็นผู้มีบุญญาธิการมาแต่กำเนิดและเป็นเจ้าของวิชา นี้โดยตรงถึงสามารถร่ำเรียนและใช้มันได้อย่างดีดังเหมือนเคยฝึกฝนมานานนับสิบปีๆ” ชายหนุ่มพลางล้วงนำหนังสือที่ทำด้วยหนังสัตว์ออกมาให้ชายชราแลดู แล้วก็กล่าวว่า “ข้าฯเองก็อาศัยหนังสือเล่มนี้ฝึกฝนภายในถ้ำนี้เองแหละขอรับ” ชายหนุ่มตอบ ชายชราจ้องมองไปยังหนังสือเล่มนั้นทันที พลางหลับตาสักครู่หนึ่งจึงกล่าวว่า “ข้าทราบที่มาของหนังสือเล่มนี้แล้วล่ะและเข้าใจเรื่องย้อนหลังได้แล้ว ถือว่าเป็นเคราะห์ของลูกน้องข้าก็แล้วกันนะ แต่ข้าเห็นเจ้าให้ความเคารพแก่ข้า ด้วยความจริงใจหาได้มีเล่ห์เหลี่ยมมายาใดไม่ หรือว่าเราเคยร่วมทำบารมีกันมา จึงยกโทษให้แก่เจ้า มิคิดสืบสาวเรื่องราวต่อไปอีก อีกอย่างหนึ่งให้เมื่อข้าเข้าใจในเหตุการณ์แล้วและก็ให้รู้สึกถูกต้องอัชฌาสัยเจ้านัก และในฌานของข้าแจ้งแก่ข้าว่า เจ้าเป็นสหายของข้าในอดีตชาติตลอดจนรวมรบศัตรู ครั้งเคยร่วมกันมาในอดีต แต่มาในปัจจุบันนี้จึงมีเหตุการณ์แปรผันไปเพื่อแสดงถึง ความที่เคยเป็นสหายร่วมสาบานกันมา ข้าจะขอมอบของสิ่งหนึ่ง เพื่อให้เป็น ของขวัญเล็กๆน้อยแก่เจ้าในฐานะสหายรักเก่า ไว้ใช้ในการเดินทางต่อไป หรือหากเจ้ามีสิ่งหนึ่งสิ่งใดจนแก่ปัญญาหาทางแก้ไขไม่ได้แล้วให้เรียกข้า โดยตะโกนเรียกนามข้าไว้ข้าบางทีก็จะไปช่วยเหลือเจ้าได้เท่าที่จะช่วยได้นะ จำชื่อข้าไว้ก็แล้ว กัน ข้าชื่อ “ธนาธิบดีนาคา” ควบคุมอาณาเขตครอบคลุมบริเวณถิ่นแถวนี้ตลอดแม่น้ำอิสราวดี ตลอดป่าเขานี้ทั้งหมด” ชายชรากล่าวแก่ชายหนุ่ม ชายหนุ่มท่องนามชายชราสองสามเที่ยว แล้วก็ก้มลงกราบ พลางกล่าวขึ้น “ข้าฯ ขอน้อมรับความเมตตาแก่ท่านผู้เฒ่ายิ่งนัก ส่วนข้าฯเองนั้นมีนามว่า “ธวัชชัย” ขอรับ” “อืมมๆๆ.....ธวัชชัยๆ.....ธงแห่งชัยชนะทั้งปวงนับว่าช่างเหมาะเจาะกับตัวเจ้ายิ่งนัก อือๆๆ.. แม้แต่เจ้าสมุนเอกข้ามันยังมิอาจจะรับมือกับเจ้าได้ ด้วยอำนาจบุญวาสนาบารมีในกายเจ้าเข้าประสาน กับอาวุธประจำกายเจ้าแล้ว ยากนักที่จะหาใครเสมอเหมือนเจ้าได้” ให้เจ้าหมั่นสร้างคุณงามความดี และฝึกสมาธิอย่าให้ขาดนะจะเสริมบารมีแก่เจ้ายิ่งๆขึ้นต่อไป เจ้าเข้ามาหาเราซิเราจะมอบอาวุธให้ แต่ทว่า หึหึๆๆ สงสัยว่าคงจะเป็นอาวุธของเจ้าสหายคู่ยากไปเสียแล้วกระมัง” ชายชราหัวร่อ “ชายหนุ่มก็ค่อยๆคลาน เข้าไปหาชายชราผู้มีนามว่า “ธนาธิบดีนาคา”ปราศจากกริ่งเกรง ทันที แต่เขาก็แปลกใจนัก ที่เห็นชายชรามาลำพังไม่เห็นอาวุธใดๆเลย แล้วจะเอาอาวุธมาจากที่ใดเล่า เมื่ออยู่เบื้องหน้าชายชรา รู้สึกว่าศีรษะเขาถูกมือชายชราซึ่งนิ่มมากๆจับเบาๆแล้วมีลมพุ่งมายัง ศีรษะเขา ร่างเขาสะท้านขึ้นทันทีด้วยความอบอุ่นเย็นแปลกๆ เมื่อชายชราคลายมือออกเขาก็ เงยหน้าขึ้น แปลกจริงๆในมือของชายชราไม่รู้ว่ากุมอาวุธสีดำมะเลื่อมปลายหนึ่งเป็นรูปหัวงู ก็ไม่ใช่แต่คล้ายพญานาคมีเจ็ดเศียร ปลายนั้นกลับแหลมทำด้วยแก้วขาวผุดผ่องส่งประกายหลากสี ทั้งหัวพญานาคและปลายแหลมๆซึ่งทำด้วยแก้วส่งประกายหลากสีนักเช่นกัน พลางชายชรายื่นอาวุธที่ลักษณะเป็นกระบองไม่ผิดมอบส่งให้เขา เขาน้อมกายยกมือทั้งสอง ค่อยๆประคองกระบองนั้นรับไว้แล้ววางข้างๆตัวก้มลงกราบอีกครั้งหนึ่ง ชายชรายิ้มด้วยอารมณ์ ดี พลางกล่าวขึ้นว่า “อันกระบองนี้มีนามว่า “นาคราช” ข้าขอมอบให้แก่เจ้าด้วยเป็นอาวุธประจำกายข้า มาตั้งนานแสนนานนับแต่ข้าปกครองบริเวณอาณาเขตนี้ คงจะเป็นบุญวาสนาเราทั้งสองร่วม ด้วยเจ้ากับข้าเคยเป็นสหายร่วมสาบานกันมาก่อนในอดีตชาติ และเคยร่วมรบกันมาจนประสบชัยชำนะมานับครั้งมิถ้วน บัดนี้ถึงเวลาแล้วที่อาวุธข้าจะมอบให้แก่เจ้าแล้ว แล้วแต่เจ้าจะใช้ อีกประการนึ่งแก้วสองดวงนี้ตลอดจนกระบองนี้สามารถที่จะชำแหลกผืนน้ำออกได้ตลอดมี ฤทธานุภาพมากมายนักให้เก็บรักษาไว้ให้ดีๆ อีกอย่างหนึ่งเมื่อมอบให้เจ้าเป็นเจ้าของแล้วหากตกไปที่อื่น เจ้าเพียงเอ่ยชื่อเรียก “นาคราช”สามคำมันถึงจะอยู่แห่งหนใดก็จะกลับมาหาเจ้าได้ ไม่ว่าผู้ใดจะมีวิทยาคมอันเลอเลิศประการใด อินทร์พรหมยมยักษ์ก็มิอาจจะขวางกั้นมันได้ ด้วยเป็นอาวุธของผู้เป็นใหญ่กว่าเทพยาดาทั้งปวงมอบให้แก่ข้าไว้สำหรับปราบปกครองสิ่งชั่ว บริเวณแถวนี้ ในเมื่อเจ้าก่อนนี้มีบุญคุณแก่ข้ามากนัก ข้าเองก็ชรามากแล้วเห็นสมควรมอบ ไว้ให้แก่เจ้าเพื่อใช้ปราบสิ่งชั่วร้ายแทนตัวข้าในโอกาสข้างหน้าที่ข้ามองเห็น อาวุธนี้บรรดาอสรพิษทั้งปวงเมื่อเห็นย่อมจะตกอยู่ในอำนาจเจ้าและเจ้าสามารถสั่งมันได้ ไม่ว่าจะให้มันทำสิ่งใดก็ตามใจเจ้าปรารถนา ฉะนั้นเจ้าจงจำไว้ให้ดี อย่าลืมคำบอกของข้าเสียล่ะ” “อ้อๆๆอีกประการหนึ่ง กระบองนาคราชนี้ หากเจ้าไม่ต้องการใช้เจ้าจะสั่งการให้ เล็กหรือใหญ่ได้เพื่อสะดวกแก่การใช้ของเจ้าก็แล้วกันนะ แต่เจ้าอย่าได้ประมาทเหนือฟ้ายังมีฟ้า “ ชายชรากล่าวแล้วก็ตบลงบนไหล่ของชายหนุ่มเบา............. * แก้วประเสริฐ.*
7 กุมภาพันธ์ 2553 16:20 น. - comment id 113376
อาวุธเยอะนะคะ...
7 กุมภาพันธ์ 2553 16:30 น. - comment id 113377
คุณ คมดาบนารี สถานะการณ์แตกต่างกันตามที่ผมจินตนาการ ไว้นะครับ ขอแย้มหน่อยอาวุธกระบองนี้จะถูกใช้ โดยเจ้าขนทองครับ ส่วนลูกแก้วนั้นแก้อาถรรพ์ ต่างๆและต่อไป จะเป็นของใครเอ่ย????.... อิอิ แย้มให้มากเดี๋ยวไม่สนุกนะครับ แค่นี้นะครับ ขอบคุณรักเสมอ แก้วประเสริฐ.
7 กุมภาพันธ์ 2553 14:45 น. - comment id 114290
....... เก่งจังคะลุงแก้วฯ ซุ่มอ่านมาตลอด อิอิ ......
7 กุมภาพันธ์ 2553 15:11 น. - comment id 114291
คุณ ฉางน้อย เจ้าฉางหลานรักเลิฟๆ ทุกๆเรื่องที่เขียน นั้นลุงเองมักชอบเขียนสดๆเสมอ ไม่เคยจะพอร์ต เรื่องไว้เลยจ้า ติดตามนับวันจะสนุกๆขึ้นเรื่อยๆ แหละจ้า ตามประสาคนบ้าๆบอๆเขียนนะอิอิรัก หลานเรามากเสมอ แก้วประเสริฐ.
7 กุมภาพันธ์ 2553 18:32 น. - comment id 114292
วันหยุด ปรางได้อ่านยาวเลยค่ะ เหมือนได้เรียนรู้ไปด้วยเลยนะคะ
7 กุมภาพันธ์ 2553 19:28 น. - comment id 114293
คุณ ปรางทิพย์ ปรางเอ๋ย การเขียนร้อยแก้วร้อยกรองมา จากฐานอันเดียวกัน ร้อยแก้วเกิดขึ้นก่อนร้อยกรอง ร้อยแก้วคือการเรียงความจัดเนื้อถ้อยหาก การจัดเนื้อหาได้สอดคล้องและเป้าหมายที่วางไว้ เสริมบทแฝงไว้เพื่อเรียกความสนใจให้แก่ผู้อ่าน การเขียนร้อยแก้ว นั้นต้องประกอบด้วย ลำนำหรือ คำนำ หมายถึงลักษณะภูมิประเทศก่อนหรือ กล่าวเนิ่นๆถ้อยหาความไว้ก่อนเป็นกระสัยยาแล้ว ตามมาด้วยเนื้อความ ในเนื้อความเราจะสร้าง อย่างไรก็ได้แต่ต้องให้มันสอดคล้องติดต่อกันไป ไม่ขัดแย้งซึ้งกันและกันตลอดจนอรรถรสที่เรียง ร้อยให้คนอ่านได้อ่อนไหว ค่อยๆดำเนืนเรื่อง อย่าได้เร่งร้อนเป็นเด็ดขาด คิดและนึกตามไป ถึงจะเรียกว่าประสบผลสำเร็จแต่ในเนื้อความ นี้ที่สำคัญยิ่งคือการแฝงนัยให้เขาคิดอ่านไปด้วย เมื่อดำเนินเรื่องแล้วก็จะต้องมีบทสรุปของเนื้อ ความโดยย่อๆ ถึงตอนนี้อยู่ที่ทักษะของแต่ละบุคคลไม่ เหมือนกันนะ ร้อยกรองหมายถึงการกลั่นกรองร้อย แก้วให้ออกมาในลักษณะทำนองเสียงเป็นสำคัญ เพิ่มความสูงต่ำของทำนองให้ประสานกันไม่ ขัดแย้งกัน ให้อ่อนพลิ้วไหวหวั่นซึ่งมีกฏข้อบัง คับตามแต่ที่เขาวางไว้ เรียกว่าฉันทลักษณ์คือ ตำราที่ว่าด้วยการเขียนหนังสือร้อยแก้วและ ร้อยกรอง ให้เป็นไปตามมาตราฐานนั้นๆจ๊ะ หากบุคคลใดเข้าใจในเรื่องนี้เมื่อฝึกฝน จากน้อยไปหาใหญ่แล้ว สมองเราพร้อมใจพร้อมและ จิตใต้สำนึกที่ได้สะสมสิ่งต่างๆไว้ก็จะพรั่งพรู ออกมาให้เราเลือกเองแหละ ตอนนี้มาว่าด้วย ระเบียบการจัดการจัดวางตัวบุคคลซึ่งก็จะเหมือน กับร้อยกรองนั่นแหละต้องมีฉันทลักษณ์เหมือน กัน บางคนคิดว่าเขียนร้อยแก้วง่ายๆเขียน อย่างไรก็ได้นั้นเป็นความคิดที่ผิด ร้อยแก้วก็ มีฉันทลักษณ์เหมือนกันจ๊ะ หากเข้าใจเหตุและ ผลของคำว่า ร้อยแก้ว ร้อยกรองแล้วการเขียน ก็ไม่ยากนัก คนที่ได้รับการยกย่องก็มาจาก ฐานเหล่านี้ แต่ด้วยเขามีประสบการณ์และ ทักษะหรือจะเรียกว่าพรสวรรค์ก็ได้ได้ตีความ นี้แตก จึงจัดการได้ ผมจะบอกให้ว่าพนมเทียนก็เป็นศิษย์ร่วมสำนักเดียวกับผมแหละ ครับแต่ถืออาจจะเป็นรุ่นพี่หรือพ่อก็ได้ครับ ซึ่งการสอนก็เน้นมากๆเกี่ยวกับวิชาเรียงความ ฉนั้นผมถึงได้ผลพวงตามมาด้วยครับ อ้าวผมโม้มากไปหรือเปล่านะ อย่างไรก็ อย่าถือสาคนบ้าๆบ๊องส์เลยนะครับ ขอบคุณที่ ตามมาเยี่ยมครับ รักเสมอ แก้วประเสริฐ.
7 กุมภาพันธ์ 2553 21:28 น. - comment id 114300
ขาดไม่ได้คะเดี๋ยวไม่ทันพะเอก อิอิ น้องทั้งสองสวยมากเลยนะคะ ก็ติดตามอ่านมาตลอดนะคะครูแก้ว ขอบคุณมากนะคะ
7 กุมภาพันธ์ 2553 22:02 น. - comment id 114301
คุณ แขกประจำบ้านกลอน ผมเองเรื่องภาพแล้วไม่ชำนาญเท่าไหร่ หรอกครับ หาได้เท่าที่หาครับ ผมเองก็เขียนไป เรื่อยๆเพื่อเร่งเร้าอารมณ์คนอ่านไปทีละนิดๆแล้ว ค่อยเข้าสู่ประเด็นสำคัญต่อๆไปครับ ด้วยอิอิต้องให้ พระเอกเราพร้อมจะได้ไม่ต้องยึดยาวมากนักครับ ขอบคุณครับ แก้วประเสริฐ.
8 กุมภาพันธ์ 2553 01:32 น. - comment id 114307
ขอบคุณครูแก้วฯ ค่ะ ที่กรุณา แนะนำ ความจริงการเรียงความ หรือจดหมายเหตุ บันทึก พงศาวดาร ฯลฯ ปรางชอบอ่านค่ะ อย่างเพชรพระอุมา ก็อ่านต่อจากคุณแม่ ท่านเป็นหนอนหนังสือเช่นเดียวกัน ดูแลสุขภาพด้วยนะคะ เพราะปรางเคยทราบ มาว่า คนเขียนหนังสือ จะลืมโลกภายนอก อาหาร และยา ออกกำลังกายสำคัญเสมอค่ะ
8 กุมภาพันธ์ 2553 09:41 น. - comment id 114308
หวัดดีค่ะครู อ่านเพลินดีค่ะ...ไม่ทราบว่ามีกี่ตอนจบค่ะนี่ รักษาสุขภาพด้วยนะคะ
8 กุมภาพันธ์ 2553 11:22 น. - comment id 114309
คุณ ปรางทิพย์ ถูกต้องแล้วล่ะครับ คนเขียนนิยายมักจะลืม โลกภายนอกจริงๆ เพราะตั้งใจเขียนและนึกแต่ เรื่องราวในตอนต่อไปจ๊ะ เรื่องที่เกริ่นไว้ไม่ต้อง คำนึงหรอกผมเองเป็นคนแบบนี้แหละทำอะไรมัก จะตั้งใจไม่ค่อยสนใจอะไร และเป็นคนไม่หวงอะไร หรอกรู้ก็บอกครับ ขอบคุณที่มาเยี่ยมเสมอๆครับ รักเสมอ แก้วประเสริฐ.
8 กุมภาพันธ์ 2553 11:26 น. - comment id 114314
คุณ เที่ยนหยด คนบ้าๆบ๊องส์ๆนั้นมักจะทำอะไรไม่ค่อยเหมือน ใครหรอกครับ แต่ผมเวลาทำงานอะไรตั้งใจแล้ว ต้องมักให้สำเร็จ มีเรื่องเดียวเท่านั้นคือเรื่องฟ้า เพียงดิน ด้วยขณะผมแต่งอยู่พอดีอาบน้ำเสร็จ กำลังแต่งตัวเขาเปิดละครเรื่องชื่อกลับคล้ายๆผม แต่เนื้อเรื่องต่างกัน ผมก็เลยหยุดเขียนครับ ด้วยเดี๋ยวคนอ่านว่าผมจะเลียนแบบ ซึ่งผมไม่ค่อย ชอบแบบนี้ด้วยครับ รักเสมอ แก้วประเสริฐ.
8 กุมภาพันธ์ 2553 18:25 น. - comment id 114338
คิดๆไปก็สงสารงูในตอนที่แล้วเหมือนกันนะคะ
8 กุมภาพันธ์ 2553 20:55 น. - comment id 114341
คุณ โคลอน ผมเองก็แต่งไปตามจินตนาการที่คิดขึ้นได้ ครับ ต่อไปการต่อสู้จะรุนแรง นี่เป็นเบื้องแรก ในการฝึกฝนในการรู้จักการฆ่า เมื่อเข้าไปสู่ยัง การต่อสู้ที่เป็นกองทัพหากใจอ่อนแล้วย่อมเกิด ความพ่ายแพ้ขึ้นได้ ฉนั้นผมจึงปรุงแต่งจิตใจ ให้เข้มแข็งไว้ก่อนครับ คุณฝนก็ติดตามไปเรื่อย ผมจะค่อยๆเริ่มหักมุมแล้วครับ รักเสมอ แก้วประเสริฐ.
9 กุมภาพันธ์ 2553 14:27 น. - comment id 114370
ติดตามครับ อิอิ..ตอนนี้พระเอก..ดูจะ หาคนต้านยากแล้ว..ผมว่า 55
9 กุมภาพันธ์ 2553 15:12 น. - comment id 114374
คุณ กิ่งโศก ศิษย์รักเรา ครูเองเขียนไปตามอารมณ์ แฝงความสนุกให้ครูด้วย และคนอ่านแต่ครูเอง ดำเนินเรื่องจะไม่คล้ายใครๆเขาหรอก หากคล้าย ก็ด้วยจิตสำนึกที่เก็บไว้แหละจ้า รักศิษย์เรามาก เสมอๆ แก้วประเสริฐ.