นางเอก
สุรศรี
นางเอก
หน่อย เธออาศัยอยู่กับพ่อแม่ที่แก่แล้วที่ตลาดเป็นร้านขายของชำเล็ก ๆขายของใช้ที่จำเป็นทุกอย่าง
ผมมีโอกาสได้ไปไหว้ท่านทั้งสองครั้งหนึ่ง น้องหน่อย เคยคุยให้ฟังว่าพื้นเพเดิมครอบครัวพ่อแม่เป็นคน
เข็มราชจังหวัดอุบลแต่ได้ย้ายครอบครัวไปอยู่ที่อำเภอเสิงสางจังหวัดนครราชสีมาเมื่อน้อง หน่อย อายุได้
7 ปี เรียนหนังสือระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาที่นั่น
หน่อย บอกว่าเธอเป็นลูกสาวคนเดียวของครอบครัวและค่อนข้างจะโชคดีก็ตรงที่เธอโตมาตอน
ที่ครอบครัวมีฐานะดีขึ้นแล้ว ไม่เหมือนพี่ชายที่เกิดมาตอนที่ครอบครัวยังขัดสนอยู่ ตอนมาถึงโคราชคุณพ่อเคยบอกหน่อย ว่าเหลือเงินเพียง 50 สตางค์เท่านั้น
การที่ครอบครัวที่มีลูกสาวคนเดียวและเป็นลูกสาวคนสุดท้อง ที่ชาวอีสานเรียกว่า ลูกสาวหล้า สิ่งเหล่านี้มันทำให้น้องหน่อย เป็นคนที่ก๋ากั่น จอมแก่น และเปรี้ยว ออกจะกระโดกกระเดก เหมือนที่ใครบางคนเรียกว่า ม้าดีดกะโหลก เลยที่เดียว หลายครั้งเคยสร้างวีรกรรมไว้ที่โรงเรียน แม้ทุกวันนี้วีรกรรมเหล่านั้นก็มีออกให้เห็นบ่อย ๆ อยู่เหมือนกัน จนไม่กล้าบอกใครเขา เพราะอาย
หน่อย เรียนจบชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษาที่โคราชนี่ ความที่เป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่ก้ำกึ่งระหว่างภาคอีสานและภาคกลาง จึงทำให้โคราชมีขนบธรรมเนียมประเพณี ภาษา วัฒนธรรมค่อนข้างแตกต่างภาคอีสานอยู่บ้าง
สิ่งนี้เองก็ได้หลอมหลวมเอาความเป็นตัวของหน่อย เองอยู่หลายประการที่เดียว ไม่ว่าจะเป็นสำเนียงภาษา การเย็บปักถักร้อย การร้อยมาลัย การห่อขนม หญิงสาวสมัยใหม่อาจไม่ประสีประสากับสิ่งเหล่านี้ แต่ตรงกันข้ามกับ
น้อง หน่อยเธอออกจะเก่ง ต้องขอชมเชยว่าครอบครัวอบรมสั่งสอนมาค่อนข้างดีที่เดียว
การอพยพย้ายถิ่นฐานของคนอีสานเพื่อหาแหล่งที่อยู่ที่ดีกว่านั้นถือเป็นเรื่องปกติธรรมดาของคนสมัยก่อน คุณพ่อคุณแม่น้องหน่อย ก็เหมือนกัน ปี 2533 ได้อพยพครอบครัวมาอาศัยอยู่ที่ อำเภอบึงโขงหลง จังหวัดหนองคาย ซึ่งตอนนั้นยังเป็นกิ่งอำเภอที่ตั้งมาได้เพียง 3-4 ปี และมีความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรมากกว่าสมัยนี้ ตอนนั้นหน่อย อายุประมาณ 22 ปี
ครอบครัวได้มาซื้อที่ดินที่เป็นที่ตั้งบ้านอยู่ในปัจจุบันนี้ซึ่งตอนนั้นตกประมาณไร่ละแสนกว่าบาท
ต้องถมดินอีกตั้ง 50 รถแล้วค่อยมาปลูกบ้านหลังเล็ก ๆ อยู่ ด้านหลัง ยังเหลือที่ ดิน พอได้ปลูก ไม้ผลพวก ลำไย
มะพร้าว จนทุกวันนี้ออกดอกออกผลจนได้กินได้ขาย และเหลือเผื่อแผ่ให้ ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงอีก นอกจากนี้ก็มี
ที่นาและสวนอีกอย่างละแปลงอยู่ไม่ห่างจากตัวอำเภอมากนัก
น้องหน่อย ได้มาเป็นเพื่อร่วมงานกับเราเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2551 โดยผู้อำนวยการบอกว่าเราขาดแคลน
ครูคณิตศาสตร์และโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ น้องหน่อย เลยลาออกจากโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งในตัวอำเภอและมาเป็นสมาชิก ครอบครัวของโรงเรียนบ้านบัวโคกนับแต่วันนั้น
ด้วยเราไม่มีครูเอกคณิตศาสตร์โรงเรียนจึงให้น้องหน่อย หรือคุณครูหน่อย คุณครูคนใหม่สอนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นซึ่งมีอยู่ 3 ห้อง และระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 และ 6 รวมแล้วก็ประมาณ 22 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
น้องหน่อย เป็นคนสดใสร่าเริง อัธยาศัยดี มีมนุษย์สัมพันธ์กับทุกคน เข้ากับครูและนักเรียนได้ดี บุคลิกที่เป็นเอกลักษณ์ก็คือเสียงหัวเราะ ระริกระรี้ ของเธอ หัวเราะได้ทุกที่ ทุกเวลา เธอหัวเราะได้โดยไม่มีเหตุผล
จนบางคนที่เจอเธอใหม่ ๆ อาจคิดเป็นการเสแสร้งแกล้งดัดจริต ถ้าคบกันไปนาน ๆ จึงจะรู้ว่านั่นคือตัวตน
ที่แท้ของเธอจริง ๆ
เวลาผ่านไปนานเข้าทุกคนก็รู้ว่าเธอมีความสามารถหลายอย่างที่สมกับความเป็นครู งานส่วนตัวที่รับผิดชอบก็ใช้ได้ งานส่วนรวมก็ไม่บกพร่อง จนอดคิดไม่ได้ว่าถ้าไม่มีเธอโรงเรียนคงเสียดาย เสียโอกาสไป
แน่เลย
ก่อนวันที่คณะบุคคลเขามาประเมินโรงเรียน น้องหน่อย เป็นคนหนึ่งที่ทุ่มเทเต็มที่ อุทิศตน อุทิศเวลาให้กับโรงเรียน จนค่ำมืดดึกดื่น แม้จะปล่อยคุณแม่ให้คอยทานข้าวพร้อม ๆ กันก็ต้องยอม อดเป็นอดหิวเป็นหิว ช่วง 2 สัปดาห์ก่อนที่เขาจะมาตรวจพวกเราทำงานหนักกันทุกคน
จนคณะผู้ตรวจเขากลับไปได้สิบห้าวันก็ส่งผลการประเมินโรงเรียนมาให้ทราบ ทุกคนไม่ผิดหวัง
กับการที่ได้ทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจที่ได้ลงทุนลงแรงลงไป โดยเฉพาะผู้อำนวยการยิ้มแก้มปริคุยให้คนโน้น
คนนี้ฟังอยู่หลายวันเหมือนกับเทปสะดุด
ไม่มีใครรู้หรอกว่าผลสำเร็จของโรงเรียนครั้งนี้ส่วนหนึ่งเกิดจากครูหน่อย เป็นสำคัญ เพราะเธออาศัยอยู่ในตัวอำเภอ คณะผู้ประเมินต้องการติดต่อด้านความสะดวก หน่อยจึงเป็นคนให้เบอร์โทรศัพท์ติดต่อกับเขา คอยเทคแคร์พวกเขา ติดต่อ อำนวยความสะดวกในเรื่องที่พัก อาหารการกิน คอยพากินพาเที่ยวเอาอกเอาใจเขาทุกอย่างยังกับพวกเขาเป็นเทวดาเดินดิน ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อต้องการให้เขามองโรงเรียนในด้านดีนั่นเอง แม้จะเสียทั้งเวลาความเป็นส่วนตัวของตัวเองไปบ้าง ก็ต้องยอม
การกระทำของเธอเหมือนกับการปิดทองหลังพระเพราะเธอไม่เคยเอ่ยให้ใครรู้เรื่องที่เธอกระทำเหล่านี้เลย
เธอแอบภูมิใจกับการที่เธอได้ทำหน้าที่เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อย่างเธอจะทำได้ เมื่อคณะผู้ประเมินโรงเรียนได้บอกผลการประเมินตั้งแต่วันที่เธอพาคณะพวกเขาไปทานข้าวในเย็นวันหนึ่งหลังจากการประเมินเสร็จ
โดยที่เธอไม่ปริปากให้ใครทราบถึงผลการประเมินเลย
8 กรกฎาคม 2552
สุรศรี