ในเวลาเช้า ฉันนั่งจัดรายการวิทยุ ทางคลื่น วิทยุ คลื่นหนึ่ง ที่สถานีของพิจิตร เพื่อออกอากาศประชาสัมพันธ์งานแข่งเรือของวัดหัวดงจังหวัดพิจิตร มีเสียงเดินกระแทกส้นเท้าเดินขึ้นบันไดมาที่ห้องอัดรายการ แล้วโยนสูติบัตรงานแข่งเรือตรงหน้าคอม เปิดเกมส์เล่นเกมส์เรียงไพ่ดับอารมณ์โกรธด้วยอาการกระแทกกระทั้น แช๊ะ แช๊ะ เสียงกดชัตเตอร์ดังออกจากกล้องใครคนหนึ่ง ถ่ายรูปผมทำไมกำนันต่าย เสียงถามลอยตามมาด้วยอารมณ์ขุ่นมัว อ้อ....กระต่ายเรียนธรรมมะค่ะอยากรู้อารมณ์ โกรธ อารมณ์เป็นทุกข์ หน้าตาเป็นอย่างไร ฉันตอบกลับ พร้อมหันจอกล้องให้ดู ว๊า.....สงสัยคนนี้คนไม่ใช่ท่านผู้อำนวยการน่ะค่ะเพราะไม่หล่อเหมือนคนเดิม แต่หน้าตาเหมือนยักษ์ นี่กำนัน ผมไม่ใช่คนธรรมมะ ธรรมโมนี่ มีอะไรก็เฉย ไม่รู้ร้อนรู้หนาว ไม่รู้อยู่อารมณ์ไหน พร้อมส่งสายตาค้อนวงใหญ่แบบผู้หญิงมาให้ อ้อเหรอค่ะ....ฉันเอียงคอยิ้มตอบกลับไป....แหมนั่นอาการปัญญาอ่อนแล้วรึปล่าว คนเรียนธรรมมะเขาเรียนเพื่อรู้ความจริงของชีวิตค่ะ เหมือนคนไฟไหม้บ้านไงค่ะ คนไม่รู้ก็แบกตุ่มหนีไฟร้อง...ช่วยด้วย...ช่วยด้วย..ไฟไหม้,,,แบกไปร้องไปไม่หยุด คนรู้ก็จะหาเครื่องดับไฟมาดับ งั้นมีสักเครื่องไหมหล่ะผมจะฉีดปากกรรมการพวกนั้น นั่นแน่ผู้อำนวยการเปลี่ยนหน้าตาจากยักษ์เป็นเทพบุตรแล้ว ดีจัง ฉันยั่วแหย่ตอบกลับไป ความจริงของชีวิตมีอะไรบ้าง ผู้อำนวยการ ถาม อ๋อ....งที่กระต่ายเรียนก็มีโลกธรรมแปดค่ะ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ นินทา สรรเสริญ สุข ทุกข์ เวียนว่ายในชีวิตทุกวัน พูดง่ายทำยาก ผมว่า ไม่ยากหรอกค่ะ เหมือนเราทานกาแฟกับคอมฟี่เมต ถ้าเราเป็นช้อน เราก็แยกออกจากกันได้ ถ้าเราเป็นน้ำตาลก็จะละลายกับกาแฟ ทำยากแต่ไม่ใช่ทำไม่ได้ค่ะ ก็เหมือนฝนตกเปียกก็รู้ นำท่วมบ้านก็รู้ แดดออกร้อนก็รู้ว่าร้อน รู้แล้วก็วางค่ะ อ๋อ....หัวใจกำนันกระต่าย ,,,,คงติดแอร์สิน่ะ ถึงใจเย็นและสวยขึ้นทุกวัน ถ้าอยากหล่อขึ้นใจเย็นขึ้น ก็ลองทำบ้างสิค่ะ ท่านผู้อำนวยการ กระต่ายขอตัวกลับเข้าไปจัดรายการวิทยุก่อนค่ะ