พระคุณเจ้าช่วยด้วย...........
unicorn
พระคุณเจ้าช่วยด้วย...........
โดย...เพี้ยน นักเรียนนอก
จาก...เนชั่นสุดสัปดาห์
ปีที่ 18 ฉบับบที่ 900 วันที่ 28 สิงหาคม 2552
เรื่องสนุกสนานเริ่มต้นขึ้นเมื่อข้อความที่ส่งมาในเครื่องโทรศัพท์นั้นกลายเป็นว่า เจริญพร อาตมาขอเชิญสัมนาวิชาการที่จังหวัดนครสวรรค์... และนั่นคือที่มาของการเดินทางมาสัมมนาวิชาการกับ ชายโบราณนักฉีก ถึงวิทยาลัยสงฆ์ข้างบึงบรเพ็ดเม่อหลายวันที่แล้ว ภายใต้หัวข บ ว ร คือ ขั้นตอนของการพัฒนาชาติไทย
เกิดมาผมก็เพิ่งเคยได้ยินหลัก บ ว ร นี่แหละครับ เอาเป็นว่าขอสรุปง่ายๆว่า หลัก บ ว ร นั้น ก็คือ การพูดถึง บ้าน วัด โรงเรียน ในฐานะสามสถาบันหลักที่จะร่วมพัฒนาชาติ และถ้าสังคเกตดีๆ จะพบว่า หลักดังกล่าวนั้น วัดเป็นศูนย์กลางของสามสถาบัน
มาถึงตรงนี้คงจะเดาทางถูกว่า ท่าทีของงานสัมมนานั้นย่อมออกมาในแนวที่ชวนฝันถึงสังคมอุดมคติ ราวกับหมู่บ้านในจินตนาการของตำราเรียน มานะ มานี ปิติ ทำนองนั้นแหละครับ นั่นคือ การทวนหาอดีตอันรุ่งเรืองของความสงบสุขของชุมชนในอดีตที่มีวัดเป็นศูนย์กลาง ที่ให้ที่พึ่งทางจิตใจกับบ้าน และทำหน้าที่ของการให้การศึกษากับโรงเรียนท่ามกลางวิกฤติของสังคม ที่มีการยกตัวอย่างอภิมหาอมตะนิรันดร์กาลอย่างปัญหาการมีเซ็กซ์ในหมู่วัยรุ่น เป็นต้น
ในฐานะของคนที่ร่ำเรียนและลุ่มหลงกับเมือง ผมก็เลยอยากจะขอเสริมว่าเรื่องราวของ บ ว ร นั้น เป็นเรื่องที่น่าสนใจ แต่เอาเข้าจริงแล้ว ในชุมชนที่มีขนาดใหญ่และซับซ้อนกว่าหมู่บ้าน อาทิ ชุมชนเมืองนั้น บางที บ้าน วัด และโรงเรียน อาจไม่สามารถทำหน้าที่อย่างเพียงพอในการกำกับดูแลจิตใจของผู้คน แต่อาจจะต้องมีรัฐบาลท้องถิ่นและสถาบันอื่นๆอีกจำนวนหนึ่ง
แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าวัดจะไม่สำคัญต่อสังคมอีกต่อไปนะครับ เพียงแต่ว่าการจะเรียกร้องให้วัดนั้นมีความสำคัญในฐานะศูนย์กลางของสังคมนั้นไม่สามารถเกิดขึ้นได้ง่ายๆแค่การโหยหาอดีตที่ย้อนไปไม่ได้ หากแต่เกิดจากการตั้งคำถามในระดับลึกซึ้งต่อความสัมพันธ์ระหว่างพุทธศาสนากับสังคมไทยในหลายๆมิติ
ประการที่หนึ่ง เราคงต้องถามกันว่า เราจะจัดความสัมพัน์ธระหว่างเรื่องทางโลกกับเรื่องทางธรรมได้แค่ไหน ในความหมายที่ว่า ปัญหาทางโลกที่เกิดขึ้นนั้นจะแก้ด้วยเรื่องทางธรรมได้ทั้งหมดไหม? นี่คือคำถามที่ค่อนข้างเป็นรากฐานมากกว่าข้ออ้างว่าเราต้องมีธรรมะกำกับจิตใจ หรือข้อถกเถียงทำนองว่าจิตกำหนดวัตถุ หรือวัตถุกำหนดจิต
ประการที่สอง ความสัมพันธ์ระหว่าพุทธศาสนากับสังคมไทยนั้น เป็นเรื่องที่น่าสนใจ เพราะว่าเอาเข้าจริง พุทธศาสนานั้นที่อยู่ได้ด้วยการอ้างอิงกับโลกด้วย ไม่ใช่แค่ภาพด้านอุดมการณ์ที่มองว่าโลกต้องอิงกับพุทธศาสนา
เรื่องนี้ไม่ใช่แค่พุทธพานิชย์ แต่หมายถึงข้อสงสัยที่ว่าการที่พุทธศาสนาไม่ได้เอาจริงเอาจังกับเรื่องทาโลกมากไปกว่าการพร่ำสอนในแบบเสรี ในความหมายที่ว่า ในทางหนึ่งความเจริญของพุทธศาสนาก็ต้องพึ่งพาความเจริญทางวัตถุของทางโลก (ยุคที่จริญทางวัตถุก็คือยุคที่สร้างวัดมากที่สุดในอดีต หรือในปัจจุบัน จำนวนเงินที่บริจาคเข้าศาสนาก็มากที่สุด) แต่ในอีกทางพุทธศาสนาก็มีหน้าที่พร่าสอนให้คนในโลกรู้จักยับยั้งชั่งใจ แต่ก็ไม่สามารถที่จะจัดการอะไรกับกับทางโลกได้มากนัก
ดังนั้น ถ้าเราจะพูดถึงหลักของการมีพุทธศาสนาเข้ามาพัวพันกับโลก (Engaged Buddhism) สิ่งที่สำคัญก็คือ พุทธศาสนาก็ต้องมีความกล้าหาญ ต้องปฏิเสธที่จะรับทานจากคนร่ำร่วยที่กิจการไม่บริสุทธิ์ ต้องปฏิเสธรัฐบาลที่ไม่มีความชอบธรรม รัฐบาลที่ฆ่าคน ต้องปฏิเสธรัฐบาลที่ไม่มีความบริสุทธิ์ ที่ขัดกับหลักทางศาสนา
เหมือนกับการอภิปรายในวงสัมมนาว่า พระสงฆ์ที่จะทำอารยะขัดขึนกับฆราวาสได้ไหม เพราะเอาข้าจริงจำนวนคนและจำนวนเงินที่เข้าสู่วัดนั้นมิได้มีน้อย หรือจะอ้างว่าบ้านจะไม่ต้องการวัดก็ไม่ได้ แต่บ้านนั้นต้องการวัดเพื่อสิ่งที่ไม่ใช่แก่นสารสาระของธรรมเสียมากกว่า เราจึงพบแต่การบริจาคเงิน สังฆะทาน ไหว้พระขอพร มากกว่าการปฏิบัติธรรม ในทางหนึ่ง และก็สภาวะไม่เอาด้วยเมื่อมีการเสนอให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ เพราะคนกลุ่มหนึ่งกลัวว่าอาจมีการเอาศิลธรรมมาเป็นกฎหมาย (ไม่นับเรื่องของข้อกังวลในเรื่องของเสรีภาพในการนับถือศาสนา)
เรื่องประการที่สาม ในทางหลักวิชา การสร้างอุดมคติเรื่องของ บ้าน วัด โรงเรียน นั้น มีลักษณะของการมองว่า ทั้งสามสถาบันนั้นมีหน้าที่ในการกล่อมเกลาทางสังคม (Socialization) แต่คำถามก็คือ ถ้าเราเอา หน้าที่ นี้เป็นตัวตัง เราจำต้องเป็นเอา สถาบัน เหล่านี้เท่านั้นมาทำหน้าที่หรือมื? หรือเราสามารถใช้สถาบันอื่นได้ อาทิ รัฐสวัสดิการ สื่อมวลชน (ประเด็นของชายโบราณชอบฉีกน่าสนใจ เพราะว่า ชายโบราณเสนอว่าจะมีสื่อทางศาสนาปรากฏในโทรัศน์ที่อาจผลิตโดยวัด/พระ แต่ไม่ต้องมีพระปรากฏตัวได้ไหม และในขณะเดียวกัน การมีพระปรากฏตัวก็เป็นจุดเด่นเช่นกัน เพราะใครๆก็สอนศาสนาได้ แต่คนที่สอนได้โดยสามารถปฏิบัติได้ด้วยก็เป็นหลักประกันว่าสิ่งนี้ปฏิบัติได้จริง)
อย่างไรก็ตาม ในบางทฤษฎีนั้นจะมองว่าการกล่อมเกลาทางสังคมอาจเป็นการครอบงำ (Socialization as domination) เพื่อเอื้อให้การดำรงอยู่ของสภาวะทางสังคมปัจจุบันดำรงอยู่ต่อไปได้ และไม่ตั้งคำถามกับโครงสร้างอันลึกซึ้งที่ว่าด้วยความไม่เท่าเทียมกันในสังคม
ประเด็นท้าทายจึงอยู่ที่การสร้างสมดุลของการกล่อมเกลาทางสังคม และ การครอบงำ ในความหมายของการสร้างสมดุลเรื่องของเสรีภาพและความยุติธรรมในสังคม คำถามที่โลกสมัยเก่าไม่ค่อยพูดก็คือ เสรีภาพมีที่ทางอย่างไร คำถามใหญ่กว่า บ้าน วัด โรงเรียน และการพัฒนาชาติไทยนั้น มันเกี่ยวพันกับประชาธิปไตยอย่างไร
ประการสุดท้าย เราพบว่าในอดีตนั้นเมื่อพุทธศาสนาปะทะกับความเปลี่ยนแปลง สิ่งที่พุทธศาสนาทำนั้นไม่ใช่การปะทะกับความเปลี่ยนแปลง สิ่งที่พุทธศาสนาทำนั้นไม่ใช่การปฏิเสธความเปลี่ยนแปลง แต่หมายถึงการปฏิรูปพุทธศาสนา อาทิ การทำให้พุทธศาสนานั้นกลายเป็นวิทยาศาสนตร์ และหมายถึงการกำหนดอาณาบริเวณของความมีเหตุผลกับความงมงาย ซึ่งหมายถึงการพยายามสนทนากับโลกที่เปลี่ยนแปลง หรือการพยายามทำสิ่งที่เรียกว่า ชาวพุทธที่ทันสมัย มากกว่าการอธิบายสรรพสิ่งในแง่ของการปะทะครอบงำ แต่หมายถึงการพยายามแยกแยะความงมงายออกจากหลักการที่เป็นสากลที่พุทธศาสนาเป็นหนึ่งในนั้น
แต่สิ่งที่ท้าทายมากกว่านั้น ซึ่งพุทธศาสนาไม่ค่อยได้ทำ ก็คือ การพัฒนาและถ่ายทอดความรู้ที่เกี่ยวพันกับทางโลกอย่างจริงจัง โดยเฉพาะเรื่องของเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ของโลกสมัยใหม่
ซึ่งหากพิจารณาเรื่องนี้ดีๆ จะพบว่า การอ้างอิงว่าในสังคมสมัยใหม่นั้น รัฐได้แยกพุทธศาสนาออกจากโรงเรียนนั้น แม้ว่าจะเป็นความจริง แต่ก็เป็นความจริงครึ่งเดียว เพราะ พุทธศาสนานั้นไม่สามารถผลิตความรู้ให้กับโลกสมัยใหม่ได้มากนัก เมื่อเทียบกับคริสต์ศาสนาที่สามารถสร้างมหาวิทยาลัยที่เกี่ยวพันกับวิทยาศาสตร์ การแพทย์ การบริหาร และสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ อาทิ มหาวิทยาลัยเก่าแก่ของโลก และมหาวิทยาลัยในประเทศไทย ซึ่งสิ่งนี้ต่างไปจากความเข้าใจที่ว่าความรู้ในโลกสมัยใหม่นั้นเป็นการปฏิเสธอิทธิพลของศาสนาอย่างสิ้นเชิง เพราะเอาข้าจริง นักคิดนักปรัชญา และนักวิทยาศซาสตร์สมัยใหม่ส่วนมากมักพัฒนาความรู้โดยมีศรัทธาและพยายามแยกเรื่องของศรัทธาจากความงมงาย
เราไม่พบการพัฒนาอย่างเป็นระบบ (ไม่ใช่ไม่มี) ของการแพทย์ สถาปัตยกรรม วิศวกรรม มากนักจากพราะและวัด ขณะที่ในสมัยโบราณ ศาสตร์เหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของบริการของวัดที่มีให้กับสังคม แม้เราจะพบว่าวิทยาลัยสงฆ์ปัจจุบันก็พยายามจะสอนเรื่องทางโลกมากขึ้น แต่ก็มักเน้นไปทางสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มากกว่าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
สรุปก็คือ ถ้าเราจะมีเรื่องของหลัก บ ว ร โดยมีวัดเป็นศูนย์กลาง เราก็ต้องทำให้วัดเป็นศูนย์กลางอย่างแท้จริง โดยทำให้ศาสนาพุทธนั้นสามารถมีบทสนทนากับทางโลกในแง่ของการผลิตความรู้ในทางโลกได้ด้วย (อาทิ ข้อเสนอเรื่องเศรษฐศาสตร์เชิงพุทธ) ไม่ใช่แค่การเรียกร้องอำนาจ หรือ อธิบายแค่ว่าศาสนาพุทธเป็นวิทยาศาตร์ และศูนย์กลางของชุมชน