ตอนที่ ๑ บุญสรงน้ำ สงกรานต์บ้านโคกสะอาด ปี พ.ศ. ๒๕๐๔... หมู่ผู้บ่าวผู้สาวเล่นสาดน้ำเต็มลานวัด น้ำอบน้ำหอม หอมฟุ้งทั่วอาราม เจ้าหัวน้อยกลัวเปียกน้ำ ๓ วันบ่เปิดห้อง ๓ วันบ่ออกมาฉันข้าว สาวลำพอง สาวโพระดก และสาวกระจ้อน แล่นลัดต้อนจับเณรอุ่นดึงสบงบางสรงน้ำ ผ้าสบงเณรน้อยหลุดโลดเต้นกระโจนขึ้นกุฏิ สามสาวนมตั้งพานแล่นตามขึ้นไปสรงน้ำ เจ้าหัวเฒ่าคว้าไม้เท้าฟาดตีผู้สาว สาวลำพองหลบไม้เท้าทัน สาวโพระดกกระโจนหนีตกกุฏิ สาวกระจ้อนแล่นไปฟ้องญาซาบุญเติมว่า อ้ายเณรอุ่นดื้อมือไวจับนมผู้สาว จึงพากันไล่ต้อนจับเณรน้อยแก้ผ้าเหลือง ญาซาหนุ่มยิ้มเป้ยๆ บอกแม่ออกสาวให้พาพ่อแม่แต่งขันธ์ ๕ มาขอขมาเณรอุ่น... ค่ำแลงลง เณรอุ่นน้อยเกิดอาการร้อนๆ หนาวๆ ปานเป็นจับไข้สั่น คลานต้อยๆ เข้าสิมกลางน้ำสวดมนต์ปลงอาบัติ พอทำวัตรแลงแล้ว พวกหมู่ผู้เฒ่าก็เก็บดอกพุดหอมใส่พาน พาลูกสาวมาขอขมาลาโทษเณรอุ่น พร้อมนำฝ้ายเส้นขาวมาผูกแขนเณรน้อย เจ้าหัวซาบุญเติมปรารภขึ้นว่า ถ้าสองฝ่ายสองจิตบ่คิดอกุศลต่อกัน อาบัติกรรมนั้นแม่นบ่มี อาทิกรรมที่ทำนั้นจึงขอยกไว้ จากนั้นเรื่องบาดหมางใจระหว่างเณรน้อยกับแม่ออกสาว ก็คลี่คลายไปด้วยดีจากการชำระคดีของเจ้าหัวซาหนุ่ม ผู้เป็นดวงแก้วดวงธรรม เป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านสืบมา นับแต่ญาซาบุญเติมมาครองวัดบ้านโคกใหญ่หลายพรรษา ญาท่านได้สืบสานฮีตคองประเพณี สืบต่อก่อสร้างวัดจนฮุ่งเฮือง เมืองบ้านสุขสงบร่มเย็นตลอดมา ภิกษุหนุ่มนี้ผ่านพิธีสรงน้ำมาแล้วสองครั้งสองครา ปีนี้อเนกนำค้ำจุนบุญมหาสงกรานต์ ญาซาผู้มีภูมิธรรม จะได้เข้าพิธีสรงน้ำอีกครั้ง เพื่อเลื่อนสมณศักดิ์เป็นญาครู ปะรำพิธีสรงน้ำ ที่ชาวบ้านตกแต่งขึ้นด้านหน้าบันไดทางขึ้นหอแจกนั้น งามตานัก ผู้เฒ่าผู้แก่ได้ตระเตรียมดอกไม้ห่วงหอม เครื่องบริขาร เช่น ผ้าไตรจีวร ๑ ตาลปัตร ๑ ไม้เท้า ๑ รองเท้าแตะ ๑ คู่ แล้วตั้งแต่งโฮงไม้พญานาค ซึ่งทำจากไม้จันทน์หอมแกะสลักเสลา แต้มสีเป็นฮูปพญานาคางามวิจิตร ประดับประดาดอกไม้เก้าสี ตรงกลางเป็นร่องฮางยาวจากหางถึงอกคอนาค เจาะเป็นฮูน้อยๆ เพื่อให้น้ำอบน้ำหอมไหลย้อยอาบร่างภิกษุที่จะเข้าพิธีสรง เปิดเปิ๊ง...เปิดเปิ๊ง...เปิ๊ง...เปิ๊ง...เปิ๊ง เสียงกลองยาวแห่แหนญาซาหนุ่มรอบหมู่บ้าน ดังไกลมาแต่ตีนบ้าน บนถนนหนทางชาวบ้านนำเสื่อสาดมาปูเป็นทางยาว ให้ขบวนแหนแห่เหยียบย่างผ่านไปยังปะรำพิธีสรงน้ำ ... เมื่อขบวนแห่มาถึงบริเวณปะรำพิธี พ่อจารย์คำหมอพราหมณ์ใหญ่ ถือพานสลาธูปเทียนดอกไม้ มาอาราธนานิมนต์ญาซาบุญเติมจากเสลี่ยงไม้ไผ่ ลงมานั่งอยู่ใต้เศียรพญานาค ผินหน้าไปทางบูรพาทิศ ญาครูโซ้นนำใบลานทองมาจารจารึกคำประกาศแต่งตั้งญาซาบุญเติมเป็นญาครู จากนั้นเจ้าหัวเฒ่าก็นำใบลานจารชื่อ ไปวัดรอบท้ายทอยพระผู้พรรษาน้อยกว่า วางไว้บนพานบายศรี แล้วพ่อใหญ่จารย์คำ ก็เริ่มเอื้อนโอมเอิ้นขวัญด้วยคำร่ายแก้วว่า... ศรีๆ ศรีวันนี้เป็นวันดี งานสรงศรีสรงสา ญาครูผู้เพียรธรรมสืบสร้าง แม่ฮ้างเอ้ย อย่าได้มาแกมผู้สาว นางขาวเอ้ย อย่าได้มาแกมเจ้าหัว ขอญาครูเจ้า มีชื่อเสียงโด่งดัง ปานพลุปานตะไล บั้งไฟแสนบั้งไฟล้าน ขวัญเจ้าท่องทางไกลบ่ทันมาฮอด ลางทีขวัญเจ้ากอดลูกน้อยให้กินนมเมีย ลางทีเจ้าชมนมเมียบ่ทันแล้ว ลางทีเจ้าย้อมผมแล้วบ่ทันดำ ลางทีเจ้าทาน้ำมันจันทน์อยู่ลูบไล้ ลางทีเจ้ายังทัดดอกไม้สวยสะ ไปไหว้พระเจดีย์ใหญ่ชัยมงคล ขวัญเอ้ย ขวัญเจ้าอยู่ไส ขอให้มามื้อนี้วันนี้ ให้มาอยู่เฝ้าวัดสอนธรรม ให้มาน้อมนำจิตนำใจชาวบ้านโคกใหญ่ อย่าได้หลงโลกโลกีย์... น้ำอบน้ำหอมที่เจ้าหัวโซ้น และญาติโยมชาวบ้าน สรงผ่านหางนาคน้อยไหลไปตามร่องรางผ่านฮูน้อยๆ ที่อกคอนาค ย้อยหยาดอาบสรงร่างญาครูหนุ่ม ผู้นั่งพนมมือ สวมกระโจมหัวงาม รับการสรงน้ำอย่างสงบงาม น้ำอบน้ำหอมชื่นเย็นนัก ดับไฟกามร้อนรุ่ม ที่เผารุมอยู่ในเนื้อใจพระหนุ่ม ผู้อุดมด้วยเลือดเนื้อวิญญาณ ลามลวกด้วยแรงปรารถนา เฉกเช่นลูกชายชาวบ้านทุกคืนค่ำ...ให้ฉ่ำเย็นลงประหลาดล้ำ น้ำอบน้ำหอมที่ญาติโยมนำมาหดครั้งสรงนี้ ครอบญาครูบุญเติมไว้ปานฟ้าครอบเดือนแลดาว ฟ้าบ่มีวันหงาย ร่ำๆว่าให้รำลึกถึงคุณแกงฮ้อนแลข้าวขาว ที่ชาวบ้านได้มาจากการไถนาหว่านกล้า ปักดำนาหลังคดหลังโก่ง กว่าจะได้เก็บเกี่ยว หนักเหนื่อยกันตลอดทั้งปี ยามเช้าพวกผู้เฒ่านึ่งข้าวเหนียวใหม่ ปิ้งปลามันมาใส่บาตร แม่จังหัน แม่จังเพลหิ้วปิ่นโตมาวัดบ่เคยขาด ญาครูหนุ่มหวนนึกถึงกลิ่นสไบผืนผ้าสาวจันดา ลูกสาวหล่าแม่ทุมมาแม่ออกค้ำ ยังร่ำรอมหอมจับจิตอยู่บ่จาง แม้นว่ายามออกบิณฑบาต สายตาพระเสเลี่ยงหลบตานาง สงบเสงี่ยมหลุบตาต่ำแทบใต้ตีนซิ่นนาง ซิ่นไหมงามแม่ทุมมามัดหมี่ยาวกรอมเท้า สายตาญาครูเจ้าก็อดเหลือบแลมือแม่งามน้อยบ่ได้ ใจจดจ่อจดจำปั้นข้าวเหนียวใหม่ใส่บาตรปั้นนั้นบ่ปลงวาง มันเป็นเพรงกรรมแต่ปางใดหนอ มากวนธรรมใสให้ข้นขุ่น หรือเป็นเพราะว่าบุพเพสันนิวาส ดึงสายมิ่งสายแนนมาแนบเหนี่ยวเกี่ยวพันกันไว้ อันว่าเนื้อนาบุญนั้น พระบุญเติมเคยสืบสร้างสืบมาครอบอยู่ เนื่องจากชาวบ้านโคกสะอาด ชาวบ้านโคกใหญ่เลื่อมใสศรัทธา เทิดทูนให้ครองวัดวาอารามยืนยาวสืบไปในภายภาคหน้า นึกจะหนีจากวัดไปปลดปลงจีวรห่มตอไม้ ก็หวนเห็นภาพเก่าคราวหลังที่พวกผู้เฒ่าแลชาวบ้าน พากันเดินลัดขึ้นโคกสูง ลงโคกต่ำ ผ่านโคกผีตาหลอก โคกผีปูย่า ไปอาราธนานิมนต์มาจำพรรษาอยู่ ณ วัดแห่งนี้ ปางก่อนนั้น บริเวณท้ายบ้านโคกใหญ่ อุดมด้วยแมกไม้หลายหลากหนาแน่น มีทั้งต้นจิก ต้นกุง ต้นเต็ง ต้นรัง ต้นคัดเค้าเป็นตุ่มเป็นหนามแหลม เติบโตแผ่ผายกิ่งก้านปกป้องป่า ยามเมื่อฟ้าย่ำเย็นน้ำค้างพรม คัดเค้าผลิดอกขาวเต็มต้น ส่งกลิ่นหอมไกลถึงหัวบ้าน แลยังมีเถากระเช้าสีดาเลื้อยเลาะเกาะก่ายต้นรัง ปานว่าผูกสมัครรักต้นรังมานับร้อยนับพันปี กระเช้าสีดาออกฝักรักเถาเป็นกระเช้าน้อยๆ ยามเมื่อฝักแก่จัดก้านบนผลปริแตก กางก้านแยกเป็นสาแหรกหิ้วกลีบน้อยนั้น แสงแดดแลสายลมบ่มฝักจนแห้งกรังคาก้าน ยามเมื่อสายลมพานพัดมา เมล็ดพันธุ์เล็กๆ ในกระเช้าน้อยๆ กระทบฝักเสียงดังกราวๆ ปานว่าเพลงป่าไพรขับลำนำผสานเสียงลำไผ่เสียดสีออดอ้อนดังกังวานหวาน กอไผ่บงป่งแซมซ้อน แตกกิ่งเกี่ยวกอ แขนงหนามแหลมทิ่มแทงน่องสาวน้อยนมตั้งเต้า ในยามเช้าหมู่สาวขึ้นใหม่ มักจะหลบไปนั่งยองๆ อยู่หลังกอไผ่สีสุก เพื่อถ่ายทุกข์บนขอนไม้ผุเก่า พอฝนลงสองฝนสามฝน ก็เกิดเป็นเห็ดขอนขาว ขาวปานกกขาสาวผู้ถ่ายทุกข์ เมื่อนั้นชาวบ้านจึงได้เก็บไปแกงใส่ผักหวานไข่มดแดง ผู้ใหญ่เม้าผู้นำชุมชน ผู้แปลงป่าเป็นบ้าน มีความประสงค์สร้างวัดน้อย ไว้คอยเจ้าหัวผู้มีบุญกว้างแผ่ผาย เป็นร่มโพธิ์ร่มธรรมของหมู่ลูกหลานสืบไป เฒ่าจึงนำชาวบ้านหักร้างถางพง ปรับผืนป่าเป็นลานดินกว่ากว้าง สร้างศาลาหอแจก ยกพื้นสูงลมโกรก ต้นเสาสองคนโอบจำนวนสิบสองต้น พร้อมกุฏิหลังน้อยมุงใบตองตึง แล้วนำพาผู้เฒ่าผู้แก่ไปนิมนต์ญาครูอิน วัดบ้านดินดำ มาเป็นเจ้าวัดบ้านโคกใหญ่ ญาครูอินยังอยู่ในวัยฉกรรจ์ขยันขันแข็ง บ่นิ่งนอนดูดายตายเปล่า พอว่างจากท่องพระคัมภีร์ ท่านก็จับจอบถางไม้ขุดหัวตอ ปลูกกล้วยอ้อยหมากพลู ปลูกขนุน หมากพร้าว แลปลูกตาลอ้อมอาณาเขตวัด ลานดินกว้างด้านหลัง ญาครูอินขุดดินพอร่วน โรยเมล็ดฝ้ายเป็นแถวเป็นแนว จนกระทั่งฤดูฝนก็แทงหน่อผลิใบ ฤดูแล้งร้อนสองปีถัดไป ต้นฝ้ายก็ผลิดอกลานตา ดอกฝ้ายแก่แตกเปลือกปุยหนา สำลีขาวแตกปุยขาวเกลี้ยง ก่อนเพลาฉันเพล ญาครูอินแบกกระทอออกไปเก็บฝ้ายทุกวัน จนได้สัก ๒๐ กระทอฝ้าย ขนใส่เกวียนพ่อเฒ่าจูมสี นำไปขายที่ตลาดเก่าเมืองแวง ได้เงินมาใส่ไหขุดหลุมฝังใต้กุฏิ เก็บออมเงินไว้หวังสึกไปแต่งเมีย เฒ่าจูมสีได้เงินค่าขนฝ้าย ๕๐ สตางค์ เฒ่าก็ซื้อเหล้าโรงไปนั่งกินที่ชานเฮือน พอเหล้าเข้าปากความทุกข์ยากก็บ่มี ความลับต่างๆ พรั่งพรูออกจากปากดำๆ เหม็นๆ ของเฒ่าขี้เมา เมื่อความล่วงถึงผู้ใหญ่เม้า เคยเลื่อมใสศรัทธาเจ้าวัดจึงเสื่อมสิ้น สมภารอินผู้ทะเยอทะยานสะสมทรัพย์ บ่ควรคู่วัดคู่บ้าน ลูกหลานบ่ควรกราบไหว้ ผู้ใหญ่เม้าตีกลองร้องป่าวประชุมชาวบ้าน ร่วมกันขับไล่สมภารโลภไปจากวัดบ้านโคกใหญ่ สมภารอินฮ้อนฮนหลาย คันก้นขี้กลากกิน รีบหอบไหเงินแลห่อผ้าไตรกระโจนจากกุฏิ แล่นหนีไปจากวัดบ้านโคกใหญ่แต่บัดนั้น หลังจากญาครูอินจากไปแล้ว วัดบ้านโคกใหญ่ก็รกร้างว่างเปล่า ฝูงหมาขาว กาดำ แลอีแฮ้งบินเวินอ้อมตอมกุฏิ ยามค่ำเงียบเชียบ ลมเหงา หมาบ้านเห่านกเค้าแมวบินมาจับขื่อคา เสียงมันฮ้องดังแจๆ ฮุ๊กๆ กุ๊กๆ แจๆ บางคืนหมาจอกลักลอบเข้าหมู่บ้าน ตะกุยกินเศษซากรกเน่า ที่พ่อลูกอ่อนนำไปฝังกลบไว้ใต้พงหนามเล็บแมว หลายคืนมาแล้วผีปอบยายสา เข้าสิงร่างกินตับไตยายเป้งยามตะวันตกดิน หมู่ชาวบ้านบ่กล้าออกไปจับกบจับเขียด เพราะกลัวผีโพงผีเป้าล้วงก้นกินตับ ผีโพงผีเป้าเหล่านั้นจึงจับกบจับเขียดกินอยู่ตามทุ่งนา มันเลือกกินแต่ขาแลตัว เสียบหัวกบหัวเขียดประจานไว้ตามหนามไหน่ไผ่แห้ง แลงหนึ่งแดดดับ แม่เฒ่ากองแลนตาเข หาบขนมจีนน้ำยาปลาซ่อนข้ามโคกไปขายที่ตลาดเก่าเมืองแวง เนื่องจากมีงานฉลองไหว้ศาลเจ้าปู่ ตกดึกกลับบ้านลัดผ่านลานวัด แม่เฒ่าตาบ่สามัคคีกัน พลันเหลือบเห็นผีเปรตสูงขายาวเก้งก้าง แขนยาวห้อยต่องแต่ง แม่เฒ่ากองแลนตกใจกลัวตาเหลือกลาน ทิ้งตะกร้าขนมจีนวิ่งเข้าหมู่บ้านนอนจับไข้หนาวสั่น ขี้เยี่ยวใส่ซิ่นเหม็นคลุ้งทั่วเฮือน เดือดฮ้อนถึงผู้ใหญ่เม้า ผู้เฝ้าดูแลทุกข์สุขชาวบ้าน เฒ่าเกรงว่าลูกบ้านจะเป็นบ้าเสียสติตายเพราะผีหลอกผีหลอน วัดจะฮ้างฮ้ายกลายเป็นวัดผี จึงนำความทุกข์ใจไปปรึกษาพ่อใหญ่จารย์คำ เชิญพ่อเฒ่าอาวุโสไปอาราธนานิมนต์เจ้าหัวซา เจ้าหัวเล็กหัวน้อยจากบ้านอื่น มาจำวัดจำวาบ้านโคกใหญ่ เป็นที่พึ่งทางใจแก่ชาวบ้าน เฒ่าจารย์คำหมอพราหมณ์ใหญ่ แต่งดอกไม้ขันธ์ ๕ ใส่พานไม้งามตั้งแต่ยามฟ้าสางตะวันแดง พอฟ้างายผู้ใหญ่เม้าจึงนำผู้เฒ่าผู้แก่ ย่างไปอาราธนานิมนต์ญาซาบุญเติมวัดบ้านโคกสะอาด ยายหนูนามาจ๊ะ แม่เฒ่าปากหวานจ้วยๆ หาบตะกร้าข้าวปลาอาหาร ปิ่นโต บั้งน้ำเต้าปากกว้างใส่น้ำกิน อ้ายทิดเคนน้อยเป่าแคนนำทางขึ้นโคกป่ากุง ลิ้นแดดเลียดอกคัดเค้าโชยกลิ่นหอมมาตามสายลมอ่อน ยายกองแลนหายไข้วายป่วง เคี้ยวหมากหยับๆปากแดง ได้ยินเสียงแคน แลนแตร๋ แลนแต แตะแลนแตร... แม่เฒ่านึกสนุกถลกผ้าถุงเหน็บพุงล้อนจ้อน รำฟ้อนแอ่นหน้าแอ่นหลัง พ่อใหญ่จารย์คำเหลียวมองแล้วหัวเราะเอิ๊กอ๊าก แม่เฒ่าได้ใจเลิกชายซิ่นพันเอว ฟ้อนรำเฉิบๆ เด็กน้อยตาเปียกแล่นตามเป็นพรวน บักโม่งขี้มูกเขียวชี้นิ้วท้วงก้นดำด่างของแม่เฒ่า ขี้ไก่ดำติดก้นผู้เฒ่า ขี้ไก่ขาวติดนมผู้สาว บักโม่งฮ้องยั่วหยอกแม่เฒ่า จ้องมองก้นเหี่ยวแม่เฒ่าตาบ่วาง ยายกองแลนหน้าลาย ตาเข หันมาแยกเขี้ยว ถลึงตาใส่หมู่เด็กน้อย บักห่ากินหัวมึงเอ้ย...เป็นเด็กเล็กเด็กน้อย มาท้วงก้นผู้เฒ่า ยายกองแลนด่าตวาด พวกเด็กๆ พากันแตกกระเจิงหนีไปคนละทิศละทาง แตะ...แลนแต... แลนแตร๋...แลนแต แตะแลนแต ....แลนแตร๋...แลนแต เสียงแคนอ้ายทิดเคนน้อย เป่าทำนองแมงภู่ตอมดอกไม้ นำพาหมู่ผู้เฒ่าผู้แก่ เดินขึ้นโคกสูง ลงโคกต่ำ พอพ้นโคกป่าจิก ก็เห็นโคกป่าฮังมาบังอยู่เบื้องหน้า พวกผู้เฒ่าลัดเลาะโคกป่าติ้ว โคกดอกกระเจียว โคกเห็ดไค โคกผีตาหลอก โคกผีปู่ตา จนล่วงสู่วัดบ้านโคกสะอาด ยามเณรน้อยตีกลองเพลพอดิบพอดี ญาติโยมพากันมาธุระอีหยังกันหนอ มากัน มากมายหลายหน้า เจ้าหัวเฒ่าปรารภถาม หลังจากฉันภัตตาหารเพลเสร็จแล้ว บ่ได้มาขอข้าวขอแกงดอก ญาท่าน พ่อจารย์คำยกพานขันธ์๕ เหนือศีรษะ พวกข้าน้อย มานิมนต์ญาซาบุญเติมไปสืบสร้างศาสนาทางบ้านโคกใหญ่พู้น ญาครูอินไปจำวัดอยู่ไสแล้วล่ะ เพิ่นญาครูหอบไหเงิน หอบผ้าไตรหนีกลับบ้านไปแล้ว ตอนนี้วัดบ้านโคกใหญ่บ่มีพระ บ่มีเณร มีแต่ผีเฝ้าวัด หมาเฝ้ากุฏิ ดวงหน้าอิ่มบุญของท่านเจ้าหัวเฒ่า สงบเย็น ตาเล็กๆ เปล่งประกายแจ่มใสมีเมตตาน่าศรัทนานัก ท่านดึงเซี่ยน หมากมาวางตรงหน้า มือเหี่ยวย่นหยิบใบพลูขึ้นมาเด็ดหางเต่า แต้มปูนแดง หยิบหมากสดหั่นเป็นแว่นๆ แก่นคูนสับละเอียดและยาเส้นวางบนใบพลู ม้วนเป็นมวนกลมๆ เหมือนเหมือนมวนบุหรี่ แล้วยัดใส่ปากเคี้ยวหยับๆ อยู่นาน ญาครูเฒ่าถ่มน้ำหมากแดงเถือกลงกระโถน แล้วก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเมตตาว่า ซาบุญเติมเพิ่งสรงน้ำเป็นซาเมื่อปีก่อน พรรษายังบ่แก่กล้าหน้าบานเท่าใด บ่ฮู้ว่าสิเป็นสมภารเพ็งได้บ่ อาตมาสิลองถามความสมัครใจเพิ่นเบิ่งก่อนเด้อ ถ้าประสงค์ไปอยู่สืบสร้างศาสนาทางบ้านโคกใหญ่ อาตมาก็บ่ขัดศรัทธาดอก ญาติโยมเอ้ย ............................................................ (โปรดติดตามตอนต่อไป)
26 กรกฎาคม 2552 12:00 น. - comment id 106763
ฟ้าบ่หงาย ก็จับคว่ำเด้.......
26 กรกฎาคม 2552 12:06 น. - comment id 106766
คว่ำบ่ได้ เหมือนกะลามะพร้าวดอก แม่นางฉางน้อย ผู้เลอโฉม...
26 กรกฎาคม 2552 12:12 น. - comment id 106769
2.....กะลามะพร้าว บ้านฉางน้อยเรียกว่า ... ........ พรก .........555555
26 กรกฎาคม 2552 12:20 น. - comment id 106772
พรก. ฉุกเฉิน หรือเปล่าฮับ
26 กรกฎาคม 2552 12:28 น. - comment id 106774
พรกย่ะ อ่านว่า พอ รอ กอ พรกๆๆๆ คำเดียวสั้น ๆๆ
26 กรกฎาคม 2552 16:56 น. - comment id 106780
อิอิ พี่ปรางอ่านแล้วสงสัย จะต้องเว้าภาษากับน้องละไมฝน เลยนะเนี่ย เป็นบทความที่ดีค่ะ ได้รู้ถึงขนบธรรมเนียม อีกแบบหนึ่ง เยี่ยมค่ะ
26 กรกฎาคม 2552 18:55 น. - comment id 106789
กำลังอ่าน ฟ้าบ่หงาย แต่สงสัยว่าทำไมถึงชื่อนี้ เหมือนตอนจบ "ญาซาบุญเติม" จะไม่บรรลุธรรม ภาวนาขอให้ ญาซาบุญเติม ปลงกิเลสได้ ด้วยเถิด อิ อิ อิ อย่าเหมือน ญาครูอิน เลยกิเลสฝั่งลึก ถึงญาซาบุญเติม จะผ่านมาแค่ สองพรรษา อ่านแล้ว จิตท่านก็แกร่ง อิ อิ อิ จะรออ่านต่อไปค่ะ จะว่าไปภาษาขนบทมาก แต่ก็ปราณีตดีในการสื่อค่ะ
27 กรกฎาคม 2552 12:38 น. - comment id 106799
ขอบคุณมากครับ ที่แวะมาอ่านและวิจารณ์กัน รออ่านตอนต่อไปนะครับ อ่านไปสัก2-3 ตอนก็จะตระหนักว่า เรื่องนี้ใช้ภาษานี้ชนบทล้วนๆครับ