สตางค์ใต้กอหญ้าฯ
ภูวเชวง
ทุก ๆ วัน เด็กกลุ่มหนึ่งเดินไปตามเส้นทางเล็ก ๆ ท่ามกลางดอกไม้ใบหญ้าที่ล้อมรอบระหว่างทาง ข้างที่ว่าการอำเภอ ซึ่งพวกเธอเดินแบบนี้เป็นปกติทุกเช้า-เย็นทั้งขาไปและขากลับจากโรงเรียน เด็กคนโตเดินนำหน้าพรรคพวกซึ่งเขาก็ชื่อโตเสียด้วยช่างโตสมชื่อจริง ๆ เพราะรูปร่างอ้วนจ้ำม่ำสูงใหญ่กว่าเด็กวัยเดียวกันที่กำลังเรียนประถมปลาย กอปรกับเธอเป็นเด็กผู้ชายที่ใจกว้างรักพวกพ้อง หากใครในกลุ่มถูกรังแกเธอเป็นต้องออกหน้าปกป้องตีเป็นตีต่อยเป็นต่อย ดังนั้นเธอจึงได้รับฉายาว่าพี่สิงโตแห่งบ้านนาอ้อม ส่วนเด็กอีก 5-6 คนที่เดินตามมีสัดส่วนความสูงไล่เลี่ยกันทั้งชายและหญิง ยกเว้นคนสุดท้ายที่มีหุ่นสูงโปร่งทะมัดทะแมง ผิวพรรณดีหน้าตาสดใส บุคลิกชอบคลี่ยิ้มอย่างไม่ถือตัว ผู้ได้รับฉายาจากเด็กในกลุ่มว่าคุณโย่ง ที่มีคำนำหน้าว่าคุณเนื่องจากเธอเป็นลูกปลัดอำเภอ คุณแม่เป็นครูสอนภาษาไทย ป.5 มีอยู่คนเดียวที่สามารถขานชื่อคุณโย่งว่าไอ้โย่งได้คือพี่สิงโตนั่นเอง พี่โตบอกว่าวันไหนถ้ามนุษย์โย่งเอานมผงมาแบ่งให้พรรคพวกได้กินเขาก็จะได้รับเกียรติเรียกคุณโย่ง แต่ถ้าวันใดไม่เอานมผงติดมือมาด้วย คุณโย่งก็จะกลายเป็นไอ้โย่งทันที (หรือพวกเราห็นแก่กินไหมนี่) อย่างไรก็ดีพี่สิงโตให้เหตุผลตามที่คุณครูทองศรีมารดาของคุณโย่งเคยสอนไว้ว่า ถ้าเด็ก ๆ ดื่มนมทุกวันจะทำให้เติบโตเร็ว เพราะฉะนั้นพี่สิงโตจึงอยากให้พวกเราเจริญวัยและแข็งแรงอย่างคุณโย่ง กระนั้นก็ตามที่ให้คุณโย่งเดินรั้งท้ายคนอื่นก็เพื่อคุ้มกันความปลอดภัยไม่ให้หมาบ้านพักนายอำเภอกัดก้นพวกเรา เหตุผลง่ายนิดเดียวก็คือคุณโย่งคุ้นเคยกับหมาตัวนั้น เพราะคุณพ่อปลัดพาเขาไปบ้านนายอำเภออยู่บ่อย ๆ จนหมาจำกลิ่นเขาได้ มันจึงไม่กล้าตอแย แต่หมาตัวนั้นคงกลัวเสียศักดิ์ศรีความเป็นเจ้าถิ่น ก่อนที่จะพ่ายหนีมันจะเค้นคำจากลำคอเห่าพอเป็นพิธีแล้วชูหางโด่ยั่วให้เห็นตูดดำวิ่งเตลิดไป
เด็ก ๆ ในกลุ่มมีผู้หญิงเพียงคนเดียวคือน้องแตมท่าทางก๋ากั่นเอาการ เธอพูดภาษาท้องถิ่นได้ไม่ค่อยชัดนัก
เพราะเพิ่งย้ายมาจากกรุงเทพฯ อาศัยอยู่กับคุณย่า เธอเป็นลูกกำพร้าแม่ ส่วนคุณพ่อยังอยู่แต่ทำงานที่กรุงเทพฯ แตมเรียนชั้น
ป.5 ห้องคุณครูทองศรี ซึ่งสอนภาษาไทยให้แก่พวกเรา การใช้ภาษาไทยต้องยกให้หนูแตม สำหรับพวกเราพูดไม่ถนัดคำ
พี่สิงโตบอกว่าอึดอัดที่สุดเมื่อถูกให้ออกไปพูดรายงานตัวหน้าห้องเป็นภาษาคนภาคกลาง เขาบ่นว่ามันหยังมายากใบ้ยากง่าว
และมักจะถูกหญิงแตมพยักยิ้มเยาะอยู่บ่อยครั้งเมื่อเขาพูดเพี้ยนปะแล่ด บางทีเธอก็เหน็บแนมพี่สิงโตว่าให้รีบ ๆโตกว่านี้
แล้วไปอยู่กรุงเทพฯ จะได้พูดจาคล่องแคล่วเป็นน้ำไหลไฟดับแบบนักการเมืองหาเสียง
ระหว่างทางน้องแตมชอบแจกเมล็ดมะขามคั่วให้เพื่อน ๆ คนละ 4 เมล็ด โดยก่อนแจกใส่กำมือเธอจะกำชับว่า
ให้แกะเปลือกบางสีดำที่หุ้มเมล็ดออกแล้วอมไว้ 5 นาที มิเช่นนั้นถ้าใครขืนใส่ปากแล้วเคี้ยวฟันจะบิ่นจะบอกวิธีให้ ทุกคนในกลุ่มเชื่อแตม เพราะเมล็ดมะขามคั่วแข็งโป๊กจริง ๆ แต่พอโดนน้ำลายเพียง 5 นาทีก็เคี้ยวได้ทั้งเหนียวนุ่มและมันเขี้ยวขบตุบ ๆ
ให้สมองตื่นสั่งพลังตีนก้าวเดินเดาะเวลาท่ามกลางต้นหญ้าบานสะพรั่งริมทาง
ต้นหญ้าหลายชนิด บางต้นกำลังระบัดใบ บางช่อก็ชูดอกบานไสวเป็นพุ่มสวยละลานตาเต็มสนามตามทางเดินซึ่งสวย
กว่าภาพถ่ายทิวทัศน์ที่ติดอยู่ข้างฝาห้องเรียน ดอกหญ้าดอกน้อย ๆ หลายดอกปลิวไปติดแต่งแต้มชายกระโปงสีน้ำเงินของน้องแตม ฉันชอบดอกบานไม่รู้โรยทั้งสีขาวและสีม่วงแดงพวกเราดูสิสีสวยประดับกระโปงของฉัน แตมชี้ให้พวกเราดูและชวนหยุดพักสักครู่ให้หายเหนื่อยพร้อมชมดอกไม้ใบหญ้าอันงดงาม
ฉันคิดต่างไปจากหญิงแตม ฉันไม่ชอบดอกตะล่อมหรือบานไม่รู้โรยเหล่านั้นหรอก สิงโตแสดงความเป็นผู้นำออกมา
ที่เชื่อมั่นในตัวเองสูง ซึ่งไม่ยอมคิดตามใครง่าย ๆ แต่เขาก็มีเหตุผลอธิบายได้เสมอ
ช่างเถอะ แตมไม่ได้บังคับผู้อาวุโสตลอดกาลอย่างพี่โตให้เห็นคล้อยตาม หญิงแตมพูดค่อนแคะแลออกงอนนิด ๆ
แล้วนั่งทับกระโปงบานแบบสบายอารมณ์ตรงที่ว่างข้างกอหญ้า
ครูสอนพวกเราไม่ใช่เหรอที่บอกว่า คนเราคิดต่างกันได้แต่อย่าแตกแยก ฉันก็คิดอย่างที่ฉันชอบหญ้าหนวดแมวมากกว่า
ดอกหญ้าอื่น ๆ เหตุผลเพราะเวลาสายลมพัดพลิ้วแผ่วมันก็ลู่ใบบางเบาไปตามสายลมดูสะสวย พอลมหยุดมันก็คล้ายหนวดแมว แต่ไม่ถึงกับร้องเหมียว ๆ อีกทั้งคุณปู่เคยบอกฉันว่ามันเป็นยาสมุนไพรใช้ต้มกินขับเม็ดนิ่วในไตได้ดีนักแล
แล้วคุณโย่งมีความเห็นอย่างไรกับดอกหญ้าพวกนี้หรือคะ น้องแตมหยอดยิ้มทักทาย ขณะที่คุณโย่งฉีกยิ้มอย่างมี
เอกลักษณ์พลางกล่าวว่า ฉันชอบความหลากหลายของชีวิต
ทำไม รึ ขยายความหน่อยดิ หนูแตมผู้ช่างสงสัยใคร่รู้ยื่นหน้ากลม ๆ เข้าใกล้คุณโย่ง
แม่ฉันเคยบอกว่า ความหลากหลายช่วยให้ชีวิตมีสีสันไม่จืดชืดและพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันได้ในโลกนี้
ใช่แล้ว ไอ้โย่ง เอ๊ย คุณโย่งพูดถูก ถ้าไม่มีคุณโย่งพวกเราก็ไม่ได้แลบลิ้นเลียนมผง ขณะเดียวกันถ้าไม่มีพวกเราคุณโย่ง
ก็คงไม่มีเพื่อนเล่นและร่วมเดินทางด้วยใช่ไหมล่ะ สิงโตนั่งตบเข่าแบบภาวะผู้นำในกลุ่มพร้อมกล่าวชื่นชมคุณโย่ง
พรุ่งนี้เช้าคงได้กินนมผงเพิ่มอีกสัก 3 ถุงล่ะกระมังพวกเรา หนูแตมสอดคำพูดแล้วสบตาคุณโย่งอย่างมีความหวัง
เออ! ว่าแต่ใครมีการบ้านวิชาภาษาไทยบ้างถามแตมได้นะ แตมปรารภกับเพื่อน ๆ ด้วยความเต็มใจที่จะตอบคำถาม
ดีแล้วล่ะที่เอ่ยถึงเรื่องนี้ ฉันไม่เข้าใจคำประสม มีวิธีสังเกตอย่างไงว่าคำนั้น ๆ เป็นคำประสม
โถ! พี่โตก็ คำประสมคือคำที่เกิดจากคำมูลตั้งแต่ 2 คำขึ้นไปนำมารวมกันให้เป็นคำใหม่ซึ่งอาจมีความหมายใหม่หรือมี
เค้าของความหมายเดิมอยู่บ้าง คำประสมเกิดจากคำไทยแท้ ๆ หรืออาจประสมกับภาษาต่างชาติบ้างก็ได้ เช่น พวกเรา
เรียกพี่โตว่า ลูกพี่ ซึ่งมีคำว่าลูกกับพี่เมื่อประสมกันแล้วได้ความหมายใหม่อันหมายถึงผู้เป็นหัวหน้า และอีกคำหนึ่งคือ
คำว่าลูกน้อง ก็จัดว่าเป็นคำประสมด้วยเพราะได้ความหมายใหม่ซึ่งหมายถึงผู้ใต้บังคับบัญชาหรือผู้ตาม ดังนั้นคำว่าลูกพี่
และลูกน้อง จึงจัดเป็นคำประสมนะจ๊ะจำไว้ให้ดี
ลูกพี่ขอขอบคุณลูกน้องเป็นอย่างมากที่ช่วยอธิบายให้เข้าใจ ต่อไปลูกพี่จะจดจำไปจนโตถึงแก่ตาย แต่ขอถามอีกข้อหนึ่งเถอะ
คำซ้อนเป็นอย่างไรหรือแตม
คำซ้อน คือการนำเอาคำมาเรียงซ้อนกัน ซึ่งอาจเกิดความหมายใหม่หรือใกล้เคียงความหมายเดิมก็ได้ แต่เราต้องแยกแยะ
ระหว่างคำซ้อนเสียงกับซ้อนความหมาย คำซ้อนเสียงเช่น หยุกหยิก ยุ่งเหยิง แจ่มแจ้ง จุกกจิก คุ้ยเขี่ย คำซ้อนความหมายเช่น
ต่อยตี โต้แย้ง กักขัง ขัดแย้ง ที่กล่าวมานี้พอเข้าใจหรือยังคะ หนูแตมกล่าวสำทับภายหลังอธิบาย
ลูกพี่ พอเข้าใจแล้วครับหนูแตม พวกเราต่อไปนี้ถ้าใครมีปัญหาเกี่ยวกับภาษาไทยต้องยกให้คุณหนูแตมเป็นผู้นำตอบ
เพราะเธอสันทัดกรณี เอ๊า พวกเราปรบมือให้เธอหน่อย เย้
แล้วอีก 4-5 คนรวมทั้งคุณโย่งที่นั่งฟังอย่างเดียวหวังว่าทุกคนคงเข้ใจนะคะ เธอแสดงเจตจำนงด้วยแววตาที่เปี่ยมสุข
ขณะที่ใครคนหนึ่งในกลุ่มบอกว่าเมื่อทุกคนหายเหนื่อยแล้วได้เวลาเดินทางต่อได้แล้วล่ะ
อุ๊ย! สตางค์ของฉันหล่นหายไปไหน 3 เหรียญ เมื่อกี้ก่อนนั่งยังมีอยู่เลย หนูแตมตกใจเมื่อควานหาเหรียญห้าสิบสตางค์
ในกระเป๋ากระโปงไม่เจอ
เธอแน่ใจนะว่าหล่นหายบริเวณนี้ สิงโตยืนเอามือไขว้หลังทำท่าพูดจาขึงขัง
แน่ยิ่งกว่าแน่เสียอีก มันต้องหล่นอยู่ใต้กอหญ้าแถวนี้แหละ แตมบ่นอุบอิบพร้อมกับก้มหน้าจิกสายตาเสาะหาสตางค์
ด้วยความเสียดาย เพราะแตมอุตส่าห์ขยักไว้หยอดกระปุกออมสินทุกวัน อย่างน้อยวัน 1 บาท ซึ่งคุณย่าให้เป็นค่าขนมวันละ 10
บาท คงไม่มีใครล้วงกระเป๋าเธอหรอก ฉันว่ามันน่าจะซ่อนอยู่ใต้กอหญ้าบริเวณนี้แหละ คุณโย่งทำหน้าไม่สบายใจเจือ
ความกังวลกับสิ่งที่เกิดขึ้น
พวกเรา ช่วยกันหาให้ทั่วซิ ใครก็ได้ช่วยดูใต้พุ่มบานไม่รู้โรยดอกสีแดงกลุ่มนั้นหน่อย สิงโตผู้เป็นลูกพี่สั่งการให้ลูกน้อง
ทุกคนปฏิบัติตามคำบัญชาขณะที่ตัวเขาเองกำลังม้วนยอดต้นหนวดแมวแล้วขู่ให้สารภาพโทษฐานแอบบดบังเหรียญน้อย ๆ ไว้
มิเช่นนั้นจะถูกหนังยางรัดหนวดให้เจ็บนาน
ลูกพี่และเพื่อน ๆ คะ ระวังมือหน่อยนะจ๊ะ ฉันเกรงว่าจะโดนช่อดอกไม้ที่งดงามเหล่านี้หักได้ หนูแตมเจ้าของเหรียญกล่าว
ขอร้องพลางประคับประคองช่อดอกมิให้โดนอารมณ์พวกผู้ชายที่กำลังหงุดหงิดในการค้นหาเหรียญ
พวกเรา โน้มช่อดอกบานไม่รู้โรยเข้าชิดกันแล้วรัดด้วยหนังยางให้แน่นทรมานมันไว้แบบนี้สัก 1 คืน พรุ่งนี้เช้ามาโรงเรียน
ค่อยแก้มัด นี่ถือเป็นมาตรการโต้ตอบต่อหัวขโมย เขากำชับลูกน้องด้วยบุคลิกของผู้นำที่รับผิดชอบ
ไม่เอา ฉันไม่ชอบวิธีปฏิบัติเช่นนี้มันไม่ยุติธรรมสำหรับต้นหญ้าและดอกไม้พวกนี้ แตมทำหน้ายู่ยี่ทั้งขอร้องพรรคพวก
เกิดเป็นผู้หญิงก็อย่างนี้แหละชอบใจอ่อน สิงโตไม่มองหน้าขณะพูดขึ้นลอย ๆ
ฉันกลัวมันจะเจ็บปวดทรมานทั้งคืน ดูสิ เพียงโดนเล็บนิดเดียวดอกก็ร่วงพวงไสวหล่นลงดินแล้ว เธอบ่นทั้งคัดค้านการรัด
หนังยาง
นี่แหละนะที่คนเขาว่ากันว่าคนเก่งภาษาไทยชอบคิดมากละเอียดเชียวกับอีแค่ต้นหญ้าไม่กี่ต้นมันมีคุณค่าอะไรกันนักหนา เถอะพรุ่งนี้เช้าจะเหน็บมีดมาด้วย ฉันจะถางให้เตียนทั้งเส้นทางเดิน แล้วจะได้รู้รสชาติความเจ็บปวดมากกว่านี้ ลูกพี่สบถบ่นดวงตาดุดันจ้องจิกจับความผิดพืชพันธุกรรมพวกนั้น
ไชโย ๆ ฉันเจอแล้ว 2 เหรียญ นอนอยู่ใต้กอหญ้านี่ไง คุณโย่งชูเหรียญห้าสิบสตางค์ขึ้นด้วยความดีใจ
เย้ ๆ ฉันก็เจอเช่นกัน มันซ่อนอยู่ที่กลีบดอกดาวเรืองนั่นไง ว่าพลางหนูแตมทำนิ้วมือเป็นตะเกียบค่อย ๆ คีบเอาเหรียญ
ในกลีบดอกอย่างระมัดระวัง
เป็นอันว่าได้ครบทั้ง 3 เหรียญแล้ว ดังนั้นฉันขอประกาศให้พ้นความผิดแก้มัดพวกมันออกเดี๋ยวนี้ สิงโตผู้เป็นลูกพี่สั่งการ
ด้วยน้ำเสียงแห่งผู้มีอำนาจ
ดอกไม้จ๋า เพราะฉันแท้ ๆ ที่เป็นต้นเหตุให้เธอต้องเจ็บปวด ฉันขอโทษโปรดอภัยให้แก่พวกเราด้วย ที่ล่วงเกินชีวิตความสวยงามของพวกเธอ ต่อไปพวกฉันจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว
หนูแตมนั่งคุกเข่าตระกองดอกหญ้าทั้งน้ำตาเล็ดระคนดีใจที่ไม่เกิดการทรมานดอกไม้ใบหญ้าให้นานไปมากกว่านี้
ตะวันใกล้จะตกดินแล้ว พวกเรารีบกลับกันเถอะ คุณโย่งยืนรั้งท้ายบอกให้พรรคพวกเร่งก้าวเดินกลับบ้าน
แสงแดดสีคล้ายผิวส้มเขียวหวานสุก ทอแสงอ่อน ๆ เหนือภูเขาฉาบไล้ระบายแมกไม้นานาพันธุ์ที่ขับผิวเขียวครึ้มคลุมแผ่นดินเสมือนว่าปกป้องขุนเขาแห่งต้นน้ำน่านมานานยิ่งนัก นกปรอดหัวจุกส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวแจ้งให้บริวารบินหวนคืนกลับรวงรัง ที่ไหล่เขาขุนน่านพวกเผ่าผีตองเหลืองซึ่งหากินอยู่กับธรรมชาติคงกลับเพิงพักที่มุงหลังคาด้วยใบตอง
ภายใต้ขุนเขาลงมา เด็กนักเรียนกลุ่มนั้นพากันยิ้มเริงร่าโบกมือลาเดินทางกลับบ้านอย่างมีความสุขท่ามกลางไอดินกลิ่นหญ้าที่ยืนหยัดสร้างลมหายใจอันบริสุทธิ์ให้โลกนี้สูดดมเอาความดี โดยไม่รู้ว่าจะถูกถางให้โล่งเตียนไปในวันใดไม่รู้
pphoovadol@yahoo.com เขียนโดย ภูวดล ภูภัทรโยธิน