บทหนึ่งของชีวิต
คมคายครบุรี
สายลมโปรยโชยอ่อน , แสงแดดในยามเช้าสาดส่องกระทบกระแทกความนุ่มนวลอ่อนโยนของหมู่ดอกไม้แรกแย้ม ยิ้มรับอรุณยามเช้า ดุจดั่งความไร้เดียงสาที่ผ่านเข้า
ปรากฎกายให้ชายชื่นชม หลงไหลคั่งใค้ลอาลัยหา แล้วจากลาไปโดยไม่เหลียวมา แสดงความปราณี ได ๆนางน้อยในคราบนางฟ้าย่างกายผ่านพริ้วลม ผมปลิวไสวดุจสายใยแห่งความหวัง ยื่นมือเข้ามาโอบไหล่ ปลอบประโลมยามสิ้นหวัง รอยยิ้มที่มีความหมายถูกส่งผ่านสายลมและแสงแดดตรงเป้าเข้าหัวใจ หากลาจากไกลคงต้องโหยหาเป็นอาจิณ........
.จิตใจฟุ้งซ่านปานภูเขาไฟไก้ลระเบิดลาวาทะลักจุกหนักที่อก..เฮ้อ ใครหนอช่างรังสรรค์ปั้นแต่ง ?.
.หากได้หมายปองน้องนางมาข้างกายแม้นชีวาวายก็มิหายอาลัยหา ( นั้น..ดูมันเพ้อ ) คุณคะ.เสียงของเธอดังข้างหู กระซิบเรียกดุจดั่งมนต์สะกดจิตใจอ่อนใหว
ดุจยอดหญ้าต้องลมพริ้วตามกระแสสั่ง.........
คุณคะ .ขอนั่งด้วยคนได้ไหมคะ, หากไม่ว่าอะไรเข้ามานั้งในหัวใจเลยก็ได้นะ
เธอเขิน เธอยิ้ม เธอ อาย สองมือกุมแน่นที่หน้าอกบิดไปมานิดหน่อยพลันนั่งลง
ให้ตายซิ! อบอุ่นเหมือนดั่งได้นั่งหน้าเตาผิงยามเมื่อถึงฤดูกาลของคุณซานต้าครอสแจกปลากระป๋องตอนเที่ยงคืน...ทั้ง ๆที่ป้ายรถประจำทางแห่งนี้ครึกครึ้นไปด้วยผู้คน ในเมืองหลวง ยามชั่วโมงเร่งด่วน............
จะไปไหนหรือครับคุณ. เป็นคำถามแรกที่ชายชาติทหารผ่านศึกอย่างเราใช้เป็นคำทักทาย .เธอชายตามองมาที่เราพร้อมแทรกมาด้วยเครื่องหมายคำถามต่าง ๆนา ๆ
( จะรู้ไปทำพระแสงของ้าวอะไร )
ที่ๆไหนใจอยากจะไป ก็จะไปตามใจฝัน. ปั่นป่วนรันจวรใจยิ่งนัก .นี่หรือคือคำตอบ
.จะขอเป็นเพื่อนใจไปทุกแห่ง แม้ตำแหน่งยังไม่ใช่ในใจนาง
จะขออยู่คู่เธอทุกเส้นทาง จะไม่ห่างขอตายไกล้ตัวเธอ
ให้ตายเถอะท่านนายกประเทศไทยของผม....ไอ้หมอนี่มันคิดได้ไง.. สุโค่ย
. บนเส้นทางชีวิตของแต่ละคนไม่มีทางที่จะเหมือนกันแน่นอน คุณว่าใหม บางคนเป็นเส้นตรง บางคนเป็นเส้นโค้ง บางคนเป็นเส้นมาม่า บ้างก็.. ไม่รู้ซิ .
แต่ดูเธอซิ ที่ไหนใจอยากจะไป ก็จะไปตามใจฝัน ! เส้นทางมันแสนยาวไกลนะคุณ
..อึ้ง..เธอทำสีหน้าครุ่นคิดเชิดหน้ามองฟ้านิดหน่อย....( ไม่ไช่หมามองเครื่องบินนะ )
พลันเธอก้มหน้าลงพร้อมถอนหายใจเฮือกใหญ่.. เฮ้อ ไม่รู้ซิ....ก็เดินมาตั้งไกลแล้วนี้
หากถอยกลับไป มันก็คงไม่มีความหมายกับย่างก้าวที่เดินผ่านมา .เธอก้มหน้าลงมองที่พื้น
พลันหันมาสบตาสีหน้าเป็นกังวล.ยิ้มนิดๆ.... คงต้องเดินต่อไป
.ให้เราช่วยสะพายเป้ให้นะ ดู่ ดู๋ ดู ดูมันทำ ไปกะเขาซะง้าน
( ร้องเพลง ) พรหมลิขิตบัลดาลชักพา ดลให้มาพบกันทันใด ก่อนนื้อยู่กันแสนไกลพรหมลิขิตดลจิตใจ ฉันจึงได้มาคู่กับเธอ...........กรู๊ววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววว
.การโดยสารไปกับวันเวลา มันช่างแสนทรหด อดทน อดกลั้น อดกิน อดนอน
พอแล้วครับ อดมากๆ เดี๋ยวผอมตาย..เฮ้อ ชีวิตต้องดำเนินต่อไป..
ขอเป็นพระเอกในหัวใจเธอ ได้ใหมเล่าเออ หากเธอหัวใจยังว่าง จะคอยปัดถู
ห้องใจไม่ให้ดำด่าง หนักเบาฉันเอาทุกอย่ง แล้วแต่เธอสั่งมา พอก่อน
สายน้ำไม่เคยไหลย้อนกลับฉันใด ชีวิตก็ยังคงต้องเดินหน้าต่อไป ณ .ฉันนั้น
ความรักความศรัทธา ที่มีให้กันและมันก็อยู่ในใจ มิมีวันเปลี่ยนแปลงดอก
.ทุ่งกว้างใหญ่หญ่าเขียวขจี ทอดยาวไปไกลสุดตา สิ่งประดิษย์ที่ทันสมัยที่
สุดเมื่อ สองพันปีที่แล้ว ยังคงเรียงรายอยู่ทั่วทุกสารทิศ ยากจะหาสิ่งใดมาทดแทนได้...
หากเปรียบดั่งจิตใจของมนุษย์เช่นปัจจุบัน..สิ่งๆนั้นคงแตกสลายไปเมื่อหลายพันปีแล้วละมัง.
.ต้นสนยืนต้นตระหง่านทัดทานแรงลมอย่างไม่แยแสได ๆ.ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น กิ่งก้านใบพริ้วปลิวไสวยามเมื่อลมพัดต้อง โอนเอนตามกระแสลมที่พัดผ่าน แต่ยังคงยืนหยัดทัดทาน อยู่ได้ไม่หวั่นเกรง..........โอวพระเจ้าช้วย ? ( ไม่ได้ลอกของใครมนะครับ )
ดื่มน้ำก่อนเถอะ เดี๋ยวหายเหนื่อยแล้วค่อยเดินต่อ ด้วยสัมภาระที่หนักอึ้งที่สุดนอกจากเป้แล้ว คือความหวัง จุดมุ่งหมายของชีวิตคงจะไม่ไกลเกินไป ที่จะเดินถึงภายในเร็ววันเรา เดินมาด้วยกัน หกล้มมาด้วยกัน ยามสุขเราสุข ยามทุกข์เราทุกข์
น้ำดื่มต่อให้ล้นกระติกที่พกพามาคงทำให้หายคลายเหนื่อยไปได้ไม่เท่าไหร่หรอก
สัมภาระที่ปลดออกจากบ่าชั่วคราวมันทำให้รู้สึกตัวเบาสบายคล้ายจะเป็นลม. ( เฮ้ยไม่ใช่)
เหนื่อยไหม คำถามที่จะดูว่าจะเชยสุดแต่สำหรับคนสองคนแล้วมันดูดีนะ
สายลมที่หอบเอาสิ่งต่าง ๆถาโถม เข้าใส่อย่างไม่ปราณีหวังเพียงให้เกิดการขุ่นเคืองหัวใจและนัยน์ตา
ชีวิตความเป็นอยู่ในป่าซีเมนมันช่างยากเย็นแสนเข็นยิ่งนัก หากแต่ไม่ระวังรังแต่จะทำให้เสียใจ เพราะความไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมลมลวงของสิ่งทันสมัยที่ยั่วยวนชวนให้ลุ่มหลง
อีกทั้งมุษย์บ้าอำนาจ ไหนจะอีกนานา มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในโลกของการหลอกลวง
ใส่หน้ากาก ปากก็เหม็น ( เอาเข้าไป ยังกะตัวเองเป็นเทวดา ) พอแล้วเบื่อ
มีใหมน้ำใจงาม ๆ ยิ้มงาม ๆ ตอนเห็นหน้ากัน ให้อภัยกันบ้างยามผิดใจกัน
จะมองหาใครได้บ้างในยามหม่นหมองขุ่นข้องใจในยามที่เดียวดายไร้ที่พึ่ง
ไปซ๊ะ ไปที่ไหนก็ได้ตามที่ใจอยากจะไป ( สุโค่ย และ พระเจ้า และ อูยยย )
...........................................................................................................................................
ความหวังที่ยัดใส่กล่องหอบมาจากบ้านนอก ตีตั๋วเที่ยวเดียวเข้าสู่เมืองหลวงเพียงเพื่อความอยู่รอดของตัว และการรอคอยของคนอยู่หลัง.. ขวากหนามที่วางขวางอยู่ข้างหน้านั้น มันฝากรอยข่วนระยับทั่วร่างกายไปหมด ( บางรอยมันคงนึกขำกระมัง มันขีดเครื่องหมาย ถูก มาให้ด้วยนะ )
ร่องรอยบาดแผลที่ฝังลึกในใจเป็นสิ่งคอยบ่งบอกและย้ำเตือนอยู่เสมอว่า
จิ้งจอก เหลือบ ไร แลน มันไม่เคยมีความซื่อสัตย์ไม่จริงใจ ไส่ไค้ล ซ้ำเติม
ความรักความศรัทธาความปราณี ที่ท่านครูอาจารย์ท่านพร่ำสอนมันหดหายไปจากสมองแล้วหรือ รันทดหดหู่ อดสูใจยิ่งนัก
อาชาหนุ่มผู้ไม่เคยละพยศต่อสิ่งรอบข้าง เดินเดียวดายในสายลมและแสงแดด ภายในใจครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา หนทางข้างหน้าอาจต้องเจอผาชัน สายน้ำที่เชี่ยวกราด หากจะกระโจนข้ามไปโดยขาดสติยั้งคิด การสูญเสียอาจตามมา เพียงแต่หวังว่าโชคชะตาจะหันมาเข้าข้างบ้างซั๊กครั้ง
ค่ำคืนที่หนาวเหน็บเจ็บเข้าถึงข้างใน ยากที่จะข่มตาลง นึกสมน้ำหน้าตัวเองไม่น่าคิดเช่นนี้เลย อ้อมกอดที่อบอุ่นวงแขนแห่งความรัก มันอาจไม่ได้สร้างความแข็งแกร่งทางจิตใจมากนัก ไม่ได้ตีจากเพียงเณรคุณไออุ่นที่เคยได้ เพียงจากไปเพื่อการกลับมาที่ดี กัดฟันอดทนกับคืนที่โหดร้าย แล้วสุดท้ายมันก็ผ่านไป
แสงตะวันเพิ่งจะโผล่พ้นขอบฟ้า มีเวลาให้คนเราอีกมากมาย พาชีวิตก้าวไปสู่ยังจุดหมาย ถึงเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายก็น่ารอง( ขอยืมท่อนหนึ่งนะครับพี่แอ๊ด )
ลุกขึ้นเถอะคนดี เราต้องเดินต่ออีกไกล ความเมื่อยล้าจางหายไป สัมภาระที่ถูกวางไว้ชั่วคราวกลับขึ้นมาอยู่บนบ่าอีกครั้ง ยื่นมือมาเถอะฉันจะประคองเธอเอง
สายลมไม่คอยท่า นาฬิกาไม่เคยคอยใคร ( ถ้ามันไม่หมดลานหรือหมดถ่านเสียก่อน )
สายลมโชยโบยโบก พัดผ่านซากของความหม่นหมองที่พึ่งปล่อยให้มันจ่อมจมอยู่กับความระทมตรมเศร้าของตัวมันเอง ( หากเรามิได้หยิบติดมือเรามด้วย.).
การเดินทางมิเพียงแต่จะใช้ขาแต่อย่างได หากแต่เพียงมีใจหนทางคงจะไม่ไกลเกินหวัง