ฉันเดินทอดน่องช้าๆ อยู่ที่ริมฟุตบาทในจังหวัดหนึ่งทางภาคเหนือ ที่บรรยากาศเงียบสงบในยามเย็น พ้อมเป้ใบเล็กๆที่สะพายอยู่กลางหลัง เสียงลมพัดกรูกราว ละอองไอเย็นของความหนาวมากระทบผิวกาย เป็นระยะห่างบ้างถี่บ้าง แต่สิ่งที่ปลิวปนลอยมาในอากาศ คือ ใบไม้ ที่เปลี่ยนจากใบสีเขียวสีเขียวสดใสเป็นสีน้ำตาล ใช้ร้องเท้าบูทสีดำที่สวมใส่เตะ ใบไม้ที่ร่วงหล่นลง มาอย่างมากมาย เสียงร้องดังออกมา จากใบไม้เหล่านั้น แล้วก็แยกแตกออกจากกัน กระจัดกระจาย ฉัน เผลออุทาน ขอโทษที่ทำให้ใบไม้เหล่านั้นเจ็บ เพราะฉันคิดเสมอว่าชีวิตทุกชีวิตมีค่า ฉันอาจจะเป็นคนแปลกที่ชอบพูดกับต้นไม้ นึกถึงต้นไม้หน้าบ้าน ที่ปลูกไว้ เช้าขึ้นมาต้องทักทายทุกวัน รดน้ำก็พูดคุยด้วย กลับจากที่ทำงานก็แวะเวียน คุยก่อนเข้าบ้าน ฉันดึงความคิดที่ตกอยู่ในห้วงภวังค์ กลับคืนมาช้าๆ ค่อยๆย่อตัวลง นั่งลงแล้วใช้มือข้างหนึ่ง จับใบไม้มาพินิจพิจารณาดู ใบไม้คงเหมือนและคล้ายบทเพลงแห่งชีวิต ที่ค่อยๆเติบโตและร่วงโรยตามกาลเวลา อาจที่ผิดกันแค่ว่า ใบไม้พูดไม่ได้ และส่วนมากจะมอบความสุขและความร่มรื่นให้แก่ผู้คน ให้หวนคิดว่า ผู้คนในโลกที่มากมาย อยู่และเข้าใจชีวิตความเป็นไปในโลกอย่างไร แต่ละคน ดำเนินชีวิต แตกต่างกัน ผ่านร้อน ผ่านหนาว มีสุขและทุกข์ เบื่อ เหงา เศร้า สับสน รอคอย หรือสิ้นหวัง อย่างไรกันบ้าง ความคิดย่อมแตกต่างกันเป็นธรรมดา เพราะคนเรานิสัยไม่เหมือนกัน ย่อมคิดต่างกัน แต่ก็มีคำถามผุดขึ้นมาในใจ อีกเป็นระลอก ว่า ที่ทุกข์ เพราะ ยังยึดติดกับอดีตหรืออย่างไร หรือ คิดไกลไปกับเรื่องอนาคต หลายคนคนถกเถียงในใจ การคิดถึงวางแผนอนาคตเป็นการวางแผนที่รอบคอบและรัดกุมเป็นเรื่องดี ไม่น่าจะทุกข์ แต่เคยคิดไหมว่าเราต้องดิ้นรน และแสวงหา เหนื่อยกับเรื่องนั้นเพียงใด สมหวังก็ดีไปแต่ถ้า ไม่ได้ดังใจความทุกข์จะถาโถมเข้ามาแทนที่ และเราหยุดความคิด ความอยากได้ ความอยากมี ความอยากเป็นได้จริงหรือ แต่สำหรับฉัน ใช้ชีวิตกับปัจจุบันให้ดีที่สุดก็พอ มีคนเคยบอกว่าการคิดให้เป็นบวกเป็นวิธีหนีปัญหา แต่นั่นไม่ใช่ ฉันคิดว่า เป็นวิธีการที่ทำให้เราสุขสงบขึ้นและไม่ไปทุรนทุรายกับเรื่องราวที่ทุกข์ใจมากกว่า แต่เราต้องคิดเป็น และคิดอย่างพอดี ตามหลักความจริง บทเพลงแห่งชีวิตของคนแต่ละคนแตกต่างกัน บางคน อาจจังหวะ ชะชะช่า บางคนอาจจะรุมบ้า ร็อกแอนโลว์ หรือแม้แต่จังหวะสโลว์ แต่ชีวิตย่อมมีเกิดแล้วดับตามวัฎสังขาร ขอเพียงไม่ทำให้ใครเดือดร้อนและเรียนรู้วิธีคิด มีจิตเมตตา และที่สำคัญไม่มีใครทำร้ายเราได้ตลอดไป นอกจากความคิด ของตัวเราเอง ก็เท่านั้นเอง เสียงลมพัดปลิวสะบัดใบไม้ไหว โยกกิ่งใบโอนเอนไหวใบไม้ร่วง ล้อดวงแดดระยิบยับจับดาวดวง เปรียบคล้ายห้วงบทเพลงแห่งชีวิต ในวันวานใบของเจ้าเขียวสดใส ฤดูกาลผันเปลี่ยนไปใครลิขิต สีเจ้าคล้ำเคลือบน้ำตาลยามมืดมิด หลับสนิทร่วงโรยโปรยเรียงราย เหมือนชีวิตที่ผ่านวันอันหนาวร้อน หลายบทตอนมีเรื่องราวหลากเหลือหลาย เกิดแล้วดับล่วงเลือนลับแล้วกลับกลาย เช่นใบไม้ที่เกลื่อนกลบซบธุลี ลมหายใจของวันนี้อยู่ที่ไหน ใช้ชีวิตอยู่อย่างไรในวิถี รู้ปัจจุบันความเป็นอยู่อย่างพอดี ทุกชีวีเกิดแล้วดับกับวันวาน
12 มิถุนายน 2552 14:06 น. - comment id 105400
มองคล้ายเส้นทางจากน้ำตกเจ็ดสาวน้อยไปเขื่อนป่สักชลสิทืธิ์ เป็นอุโมงต์ต้นกะถินยักษ์ แต่ที่นี่สวยกว่ามาก อยากไปมั่ง
12 มิถุนายน 2552 16:38 น. - comment id 105406
.....ยิ้มทักทายนะคะ
18 มิถุนายน 2552 11:47 น. - comment id 105479
อยากไปเหรอค่ะ คุณฤกษ์ ชัยพฤกษ์ ทำไมไม่โทรมาบอก แหมเสียดายแถมสมน้ำหน้าอิๆๆที่คุณไม่ได้ไปน่ะเจ้าค่ะ
18 มิถุนายน 2552 11:48 น. - comment id 105480
สวัสดีค่ะคุณฉางน้อย ส่งยิ้มมาก็ส่งยิ้มตอบค่ะ