ในกาลครั้งหนึ่งยังมีพระราชาที่มีพระราชธิดา ผู้ทรงมีความสวยสดงดงามจนเป็นที่เลื่องลือหากแต่ว่าพระธิดา
กลับเป็นผู้มากไปด้วยความหยิ่งทะนงในตนเองและถือดีเกินกว่าที่จะยอมรับใครได้ว่ามีความเหมาะสมและดี
สำหรับเธอ หลายต่อหลายคนถูกเธอปฏิเสธแล้วปฏิเสธเล่า มิหนำซ้ำพระธิดายังทำให้พวกเขาเหล่านั้นต้องถูก
หัวเราะเยาะอย่างน่าขบขัน
คราวหนึ่งพระราชาได้จัดให้มีงานเลี้ยงอย่างยิ่งใหญ่ เพื่อเชื้อเชิญชายหนุ่มทั้งหลายที่ปรารถนาจะแต่งงานจากทั่ว
สารทิศทั้งใกล้และไกลมาร่วมงาน ชายหนุ่มเหล่านั้นก็จะถูกจัดให้นั่งเป็นแถวตามลำดับยศถาบรรดาศักดิ์ นับตั้ง
แต่พระราชา เจ้าชาย ขุนนางตามลำดับชั้นยศ และพ่อค้าคหบดีตามลำดับ จากนั้นเจ้าหญิงก็เสด็จทอดพระเนตร
ต่อหน้าเหล่าชายหนุ่มทั้งหลาย แต่ละคนก็ล้วนแต่ถูกพระธิดาล้อเล่น มีคนหนึ่งรูปร่างอ้วนท้วน
“โอ่งน้ำ อะไรกันนี่!” เธอพูด อีกคนรูปร่างสูงมาก
“ยาวแล้วผอมถนัด ดูขัดตา!” เธอตำหนิ อีกคนหนึ่งรูปร่างเตี้ย
“อ้วนและเตี้ยเสียบุคลิก” เธอพูด อีกคนหนึ่งผิวซีดมาก
“ซีดเป็นหัวไก่ต้ม!” แต่อีกคนหน้าแดงเธอก็เรียกเขาว่า
“แดงเป็นหัวไก่ชน!” อีกคนที่ดูไม่ค่อยทะมัดทะแมงเธอก็เรียกเขาว่า
“ไม้ตายซาก!” ด้วยเหตุนี้ทุกคนก็จะมีลักษณะเฉพาะตัวที่ถูกพระธิดาทรงเรียกล้อเลียน แต่มีเจ้าชายคน
หนึ่งที่ถูกเธอล้อเลียนด้วยความประทับใจ ด้วยเจ้าชายรูปร่างสูงสมส่วนและที่คางมีเครากำลังขึ้นไม่มาก
“นั่นดูสิ!” เธอร้องลั่น พร้อมกับหัวร่องอหงาย
“เขามีคางยังกะรังนกกระจอกแน่ะ!”
เหตุนั้นคนทั้งหลายจึงได้ขนานนามเจ้าชายพระองค์นั้นว่าเจ้าชายเครานกกระจอก ครั้นพระราชาทรงเห็นว่า
พระธิดาของพระองค์เอาแต่พูดล้อเลียนชายหนุ่มทั้งหลายเหล่านั้นอย่างไม่ไว้หน้าใครเลย พระองค์ก็ทรงกริ้ว
มากและกล่าวเป็นคำขาดให้กับตนเองว่าพระธิดาจะต้องได้สามีเป็นชายขอทานที่เซซังมายังประตูของพระราชวัง
เป็นคนแรก
สองสามวันต่อมาก็มีวณิพกเร่ร่อนผ่านมา เขาเข้ามาร้องเพลงเพื่อแลกเปลี่ยนกับเสื้อผ้าและอาหารเล็กๆน้อยๆ
อยู่เบื้องล่างหน้าต่างปราสาทของพระราชา ครั้นพระราชาได้ยินเสียงเพลงของวณิพก พระองค์ก็ให้นำตัวชาย
ขอทานเข้าเฝ้า เขาเข้าไปในพระราชวังด้วยเครื่องนุ่งห่มอันสกปรกมอมแมมและได้ร้องเพลงต่อพระพักตร์
พระราชาและพระธิดา เมื่อชายขอทานร้องเพลงเสร็จเขาก็ได้กล่าวขอรับรางวัลเล็กๆน้อยๆต่อพระราชา
แต่พระองค์กลับพูดว่า
“ด้วยเพลงของท่านไพเราะยิ่งนัก ข้าขอมอบบุตรสาว คือพระราชธิดาให้เป็นศรีภรรยาท่าน”
เจ้าหญิงถึงกับหน้าซีดด้วยความตระหนกตกพระทัย แต่พระราชาก็ยังพูดสำทับอีกว่า
“ด้วยข้าได้ให้สัตย์ปฏิญาณแล้วว่าข้าจะมอบเธอให้กับชายขอทานคนแรกที่มายังปราสาทของเราเหตุนั้นจึงสม
ควรให้เป็นไปตามนี้”
ด้วยกษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำ การแต่งงานของเจ้าหญิงกับชายขอทานจึงได้ถูกกำหนดขึ้นอย่างไม่อาจจะหลีก
เลี่ยงได้ และเมื่อพิธีการต่างๆได้ผ่านพ้นไปแล้วพระราชาก็ได้พูดขึ้นว่า
“เอาล่ะ บัดนี้เธอได้เป็นภรรยาของคนขอทานแล้ว ฉะนั้นเธอจึงไม่มีสิทธิ์ที่จะอยู่อาศัยในมหาปราสาทอีกต่อ
ไป แต่จงตามไปอยู่กับสามียาจกของเธอนั้นเสีย”
ชายขอทานจึงพาภรรยาของเขาออกจากพระราชวัง และพระธิดาก็จำเป็นต้องติดตามสามีของเธอด้วยการเดิน
เท้ารอนแรมไปตามป่าเขา ครั้นถึงป่าไม้อันกว้างใหญ่แห่งหนึ่งเธอจึงเอ่ยถามชายขอทานขึ้นว่า
“โอ้โฮ! ใครกันหนอเป็นเจ้าของป่าไม้อันหนาทึบและอุดมสมบูรณ์เช่นนี้”
ชายขอทานก็ตอบว่า “มันเป็นของเจ้าชายเครานกกระจอกและสมควรที่น่าจะเป็นของเธอ”
เธอจึงกล่าวขึ้นด้วยความเสียใจว่า
“โอ! ฉันรู้สึกว่าฉันโง่อะไรอย่างนี้ ฉันน่าจะเลือกเจ้าชายเครานกกระจอกนะ!”
ต่อมาพวกเขาก็เดินผ่านมายังทุ่งหญ้าและดอกไม้ป่าอันสวยงาม เธอก็เอ่ยถามอีกว่า
“โอ้โฮ! ใครกันหนอเป็นเจ้าของทุ่งหญ้าอันเขียวขจีและแต้มแต่งสีด้วยดอกไม้ป่าอันงดงามเช่นนี้”
ชายขอทานก็ตอบว่า “มันเป็นของเจ้าชายเครานกกระจอกและสมควรที่น่าจะเป็นของเธอ”
เธอจึงกล่าวขึ้นด้วยความเสียใจอีกว่า
“โอ! ฉันรู้สึกว่าฉันโง่อะไรอย่างนี้ ฉันน่าจะเลือกเจ้าชายเครานกกระจอกนะ!”
ต่อมาพวกเขาก็เดินทางผ่านมายังเมืองใหญ่แห่งหนึ่งแล้วเธอก็เอ่ยถามขึ้นอีกว่า
“นี่เป็นเมืองของใครกันหนอช่างยิ่งใหญ่และสวยงามนัก”
ชายขอทานก็ตอบว่า “นี่คือเมืองของเจ้าชายเครานกกระจอกและสมควรที่น่าจะเป็นของเธอ”
เธอจึงกล่าวขึ้นด้วยความเสียใจอีกครั้งว่า
“ฉันรู้สึกว่าฉันโง่อะไรอย่างนี้ ฉันน่าจะเลือกเจ้าชายเครานกกระจอกนะ!”
ชายขอทานจึงเอ่ยขึ้นบ้างว่า “ฉันก็รู้สึกไม่สบายใจแล้วนะที่เธอเอาแต่พร่ำปรารถนาถึงสามีอื่น ตัวฉันไม่ดีพอ
สำหรับเธอหรืออย่างไร”
ในที่สุดพวกเขาก็เดินทางมาถึงบ้านหลังเล็กๆหลังหนึ่ง ทันทีที่เห็นเธอก็พูดขึ้นว่า
“ตายจริง! บ้านอะไรเล็กเป็นกระต๊อบดูยากไร้เช่นนี้ อาจจะมีแต่ช่องโหว่และรูรั่วเป็นแน่ อยากจะรู้เหมือน
กันว่าใครกันนะเป็นเจ้าของ”
ชายขอทานจึงตอบเธอว่า
“นี่ล่ะบ้านของฉันและของเธอด้วย ซึ่งพวกเราจะต้องพักอาศัยอยู่ที่นี่ด้วยกัน”
เธอต้องก้มตัวลงอย่างมากก่อนที่จะสามารถผ่านประตูบ้านเข้าไปได้
“คนรับใช้ไปไหนกันหมดล่ะนี่” พระราชธิดาของพระราชาถามขึ้น
“คนรับใช้อะไรกัน” ชายขอทานเอ่ยตอบ
“เธอต้องการทำอะไรเธอก็ต้องจัดการด้วยตัวเอง เอาล่ะ ก่อไฟขึ้นเร็วเข้า แล้วก็ต้มน้ำให้เดือด ทำอาหารอะไร
สักอย่างให้ฉัน ฉันรู้สึกเหนื่อยและหิวมาก”
แม้แต่จะก่อไฟและทำกับข้าวพระธิดาก็ทำไม่เป็น ชายขอทานจึงต้องลงมือทำด้วยตัวเองทุกอย่าง หลังจากพวก
เขารับประทานอาหารมื้อเย็นเสร็จไปอย่างอัตคัดแล้วก็เข้านอน ในวันรุ่งขึ้นชายขอทานก็ปลุกภรรยาของเขา
แต่เช้าตรู่เพื่อให้มาทำความสะอาดบ้าน พวกเขายังคงใช้ชีวิตประจำวันอย่างนี้ต่อมาอีกสองสามวัน จนกระทั่ง
อาหารที่สั่งสมไว้ร่อยหรอลง
“นี่เมียรัก” สามีเอ่ยขึ้น
“เลิกทำงานนี้ซะ มันไม่มีรายได้อะไรเลย เธอจะต้องสานตะกร้าแล้วล่ะ”
ดังนั้นเธอจึงออกไปหาตัดเอาเครือไม้แล้วก็นำกลับบ้าน จากนั้นเธอก็เริ่มสานตะกร้าแต่ปรากฎว่าเครือไม้ที่
แข็งและเหนียวเป็นเหตุให้บาดมืออันอ่อนนุ่มของเธอจนเป็นแผลและเจ็บปวด
สามีจึงพูดว่า “ฉันคิดว่าเธอไม่ต้องทำต่อแล้วล่ะ เธอลองไปทำปั่นด้ายน่าจะดีกว่า”
ดังนั้นเธอจึงนั่งลงแล้วก็พยายามปั่นด้าย แต่ความแข็งและคมของเส้นด้ายก็เป็นเหตุให้บาดนิ้วมืออันอ่อนนิ่ม
ของเธอจนเลือดไหล
“ดูสิ !” ชายขอทานพูดขึ้น
“เธอทำงานอะไรก็ไม่ดีไปเสียหมดเลยนะ ฉันไม่คุ้มเลยที่ตัดสินใจรับเธอมา คราวนี้ลองดูสิว่าฉันจะทำมาค้า
ขายพวกเครื่องปั้นดินเผาได้ไหม และเธอจะต้องไปนั่งเสนอขายของพวกนี้ในตลาดด้วย”
“โอ! ตายจริง!” เธอคิดในใจ
“ถ้าหากมีชาวเมืองของพระราชบิดามาเห็นฉันกำลังนั่งขายของอยู่ในตลาด พวกเขาจะไม่หัวเราะเยาะฉันแย่
เรอะ!”
แต่เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เพราะเธอจำเป็นต้องทำหรือถ้าไม่เช่นนั้นก็อดตาย
ในวันแรกทุกอย่างก็ดำเนินไปอย่างเรียบร้อยดี ซึ่งปรากฏว่าชาวเมืองต่างก็มาซื้อหาหม้อดินกันเป็นที่คึกคัก ทั้ง
นี้ก็เพราะความสวยงามของเธอ พวกชาวเมืองก็ไม่เกี่ยงที่จะจ่ายไม่ว่าเธอจะบอกขายราคาเท่าไหร่หรือต้องการ
อะไร บางคนจ่ายแล้วก็เดินหนีไปโดยไม่แตะต้องหม้อดินเลยเสียด้วยซ้ำ งานขายหม้อดินก็พอช่วยให้เธอและ
สามีเลี้ยงชีพไปได้อย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งวันหนึ่งสามีของเธอได้นำหม้อดินใหม่ๆจำนวนมากมายมาให้ขาย
ดังนั้นเธอจึงเลือกเอาหัวมุมตลาดเป็นที่นั่งและวางขายหม้อดิน แต่แล้วทันใดนั้นก็มีทหารเมาสุราควบม้าฝ่า
เข้ามาในตลาดและตรงมาเหยียบย่ำหม้อดินทั้งหลายของเธอที่ตั้งเรียงรายวางขายอยู่จนแตกละเอียดเสียหาย
หมด เธอก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากร้องห่มร้องไห้ด้วยความเสียใจ
“โธ่เอ๋ย! เป็นความโชคร้ายอะไรของฉันอีกล่ะนี่” เธอคร่ำครวญ
“แล้วสามีของฉันจะว่ากระไรกันหนอ”
แล้วเธอก็รีบเดินทางกลับบ้านและบอกเล่าถึงความโชคร้ายให้สามีฟัง
“ใครเขาทำกันล่ะ ที่ไปเลือกเอาหัวมุมตลาดเป็นที่วางขายหม้อดิน !” ฝ่ายสามีกล่าวขึ้น
“เอาล่ะหยุดร้องไห้ได้แล้ว ฉันว่าเธอไม่เหมาะกับงานเหล่านี้แน่ ฉันได้ไปสอบถามที่ปราสาทของพระราชบิดา
ของเธอมาแล้ว เผื่อเขาต้องการคนทำงานในห้องครัว ซึ่งปรากฏว่าเขาไม่รังเกียจที่จะรับเธอและยังจะให้ค่าจ้าง
พร้อมที่อยู่ที่กินฟรี”
ด้วยเหตุนั้นพระธิดาของพระราชาจึงได้กลายมาเป็นแม่ครัว ผู้ซึ่งพร้อมถูกเรียกใช้ได้ทุกเมื่อ และเป็นงานที่
แสนจะหนักที่สุด ทุกวันก่อนจะกลับบ้านเธอก็จะเก็บเอาอาหารต่างๆที่เหลือใส่หม้อดินเล็กๆแล้วก็รัดไว้กับกระ
เป๋าเสื้อและกางเกงทุกๆกระเป๋า เธอและสามีก็สามารถเลี้ยงชีวิตมาได้จากอาหารเหล่านั้น
ต่อมาได้มีการจัดงานเลี้ยงฉลองในพิธีอภิเษกสมรสของเจ้าชายองค์ใหญ่ขึ้น แม่ครัวผู้น่าสงสารจึงเดินขึ้นบันได
ไปยืนดูอยู่ข้างๆประตูห้องโถงที่ใช้จัดงาน ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ครั้นแสงสว่างถูกจุดขึ้นทั่วห้องโถง เหล่า
แขกเหลื่อผู้มีเกียรติทั้งหลายก็ทยอยเดินเข้ามา แต่ละคนที่เข้ามาทีหลังก็ดูสง่างามยิ่งกว่าคนที่เข้ามาก่อนหน้า
นั้น พวกเขาล้วนแล้วแต่เริดหรู ดูโอ่อ่าอลังการ ทำให้เธอหวนคิดถึงโชคชะตาของตัวเองด้วยความปวดร้าวใจ
กับทั้งรู้สึกเสียใจกับความหยิ่งทะนงและถือดีของเธอเองในอดีต ซึ่งทำให้เธอตกต่ำและกลายเป็นผู้ยากไร้ในที่
สุด เมื่อพนักงานถือถาดอาหารชั้นเลิศที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอันน่ากินผ่านไปผ่านมา พวกเขาก็จะโยนเศษอาหาร
มาให้เธอ แล้วเธอก็เก็บใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อและกางเกงเพื่อนำกลับไปรับประทานที่บ้านกับสามี
ครู่ต่อมาตัวเจ้าชายเองก็มาถึงงานในชุดผ้าไหมอันปราณีตและสวยงามมีสายสร้อยทองคำอันเหลืองอร่ามเป็น
เครื่องประดับคอ ครั้นเจ้าชายเห็นหญิงสาวผู้เลอโฉมที่กำลังยืนอยู่ทางเข้าประตู เจ้าชายก็ตรงเข้าไปจับมือเธอ
และขอเต้นรำ แต่เธอก็ปฏิเสธ ตัวสั่นเทาราวกับลูกนกตกน้ำเมื่อเห็นว่าคนที่อยู่ต่อหน้าเธอไม่ใช่ใครที่ไหนหาก
แต่เป็นเจ้าชายเครานกกระจอก ผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นชายหนุ่มมาให้เธอเลือกแต่ก็ตกไปแถมยังถูกเธอกล่าวล้อ
เลียน แต่ไม่ว่าเธอจะยืนกรานปฏิเสธอย่างไรเธอก็ยังไม่วายถูกเจ้าชายพาตัวเธอเข้าไปในห้องโถง
ทันใดนั้นเองเชือกรัดกระเป๋าเสื้อเกิดขาดลงเป็นเหตุให้หม้อดินร่วงลงแตก ทั้งน้ำซุปและเศษอาหารหล่นกระ
จัดกระจายไปทั่วพื้นห้อง ผู้มีเกียรติทั้งหลายที่มาร่วมงานก็เห็นเป็นเรื่องที่น่าขันและน่าหัวเราะเยาะกันเป็นที่สุด
เธอเองก็รู้สึกสุดแสนจะอับอายขายหน้า หากแทรกแผ่นดินหนีได้ก็คงจะไปให้ไกลเป็นพันโยชน์ เธอรีบวิ่งไป
ที่ประตูอย่างรวดเร็วราวกับบินได้ ทันทีที่ก้าวเท้าลงบันไดก็ถูกชายคนหนึ่งยึดแขนเธอไว้ เขาอีกแล้วเมื่อเธอ
เหลือบมอง เจ้าชายเครานกกระจอกนั่นเอง เจ้าชายกล่าวแก่เธอด้วยสุ้มเสียงที่นุ่มนวลและอ่อนโยนว่า
“อย่าได้หวาดวิตกไปเลย ฉันเองกับชายขอทานผู้ซึ่งอาศัยอยู่กับเธอ ในกระท่อมเล็กๆโกโรโกโสนั่นเป็นคนๆ
เดียวกัน เพราะความรักที่มีต่อเธอ ฉันจึงได้ปลอมตัว คนที่ไปทำให้หม้อดินเธอแตกเสียหายในตลาดก็ตัวฉันเอง
นี่แหละที่ปลอมเป็นทหารม้า ทุกอย่างที่ทำให้เธอรู้สึกต่ำต้อยก็ล้วนแล้วแต่เป็นการกระทำของฉันเอง ทั้งนี้ก็เพื่อ
ต้องการกำราบความหยิ่งทะนงและถือดี จนทำให้เธอพูดล้อเลียนฉันในคราวนั้น”
พระธิดาร้องห่มร้องไห้ด้วยความขมขื่นและกล่าวขึ้นว่า
“ฉันได้กระทำผิดอย่างใหญ่หลวง และไม่มีค่าพอที่จะคู่ควรเป็นภรรยาของท่านหรอก”
แต่เจ้าชายก็กล่าวว่า
“เอาล่ะ! จงเข้มแข็งเถิด วันแห่งความเลวร้ายได้ผ่านพ้นไปแล้ว และจงให้วันอภิเษกสมรสวันนี้เป็นของพวก
เรา”
จากนั้นเหล่านางกำนัลที่คอยทีอยู่ก็ได้ออกมา และนำเสื้อผ้าอาภรณ์อันสวยหรูมาสวมใส่ให้แก่พระธิดา ขณะ
เดียวกันพระราชบิดาก็ออกมาพร้อมกับเหล่าบริพารทั้งหลาย ทุกคนต่างร่วมอำนวยพรในโอกาสวันอภิเษก
สมรสระหว่างพระธิดากับเจ้าชายเครานกกระจอก ครั้นแล้วพระราชพิธีก็ได้เริ่มขึ้นอย่างยิ่งใหญ่และสมพระ
เกียรติ เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้