การมาอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย มันเป็นฝึกฝนให้ฉันต้องทำทุกอย่างเอง ตัดสินใจเรื่องบางเรื่องเอง ดำเนินชีวิตเอง ช่วงแรกๆก็ยังไม่มีเพื่อนที่สนิทด้วย ทำให้ชีวิตมีแค่คณะกับหอ สองที่ พอตอนเย็นก็ซื้อกับข้าวมากินที่ห้องคนเดียว บอกได้เลยว่าเหงามาก บางวันกินไปร้องไห้ไป เพราะคิดถึงที่บ้าน เวลาที่บ้านโทรศัพท์มาหาก็พยายามทำน้ำเสียงให้หนักแน่เพราะกลัวว่าเค้าไม่สบายใจกัน แต่ในเมื่อชีวิตต้องดำเนินต่อไป เหตุการณ์ต่างๆจะคอยสอนให้เราเข้มแข็ง การได้เข้ามาอยู่คณะแห่งนี้ราวกับฉันที่ได้อยู่โรงเรียน เพราะกิจกรรมหนัก เรียนหนัก แต่สิ่งที่ฉันต้องทำตอนนี้คือ หาเพื่อนใหม่ เปิดเรียนวันแรกฉันเรียบร้อยมาไม่ค่อยพูดกับใคร นั่งยิ้มอย่างเดียว จนเพื่อนเข้ามาคุยด้วย ชวนไปกินข้าว ชวนไปเดินห้างสรรพสินค้า
วันหนึ่งหลังจาที่อาจารย์เช็คชื่อ จึงมีเพื่อนผู้ชายเปิดประตูห้องเข้ามาพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงหอบ
“อาจารย์ครับ ผมลานะครับ” ไอ้อ้วนพูดพร้อมกับสีหน้าที่ซีด
“เอ้า ! เป็นอะไรถึงลา ?” อาจารย์ถามกลับ
“รถล้ม ถนนลื่นครับ”ไอ้อ้วนชี้ไปที่หัวเข่า
อาจารย์จึงบอกว่า “รีบไปหาหมอเลย ลา ลา ”
หลังจากจบคาบเรียนฉันและเพื่อนในห้องจึงชวนกันไปเยี่ยมไอ้อ้วน ดูทุกคนตื่นเต้นเป็นพิเศษ เมื่อทุกคนพร้อมเราจึงเดินทางไปโรงพยาบาล ซึ่งอยู่ใกล้ๆมหาวิทยาลัย โดยฉันกับแว่นได้ตกลงกันว่า แว่นจะไม่เอารถมอเตอร์ไซด์ไป จะซ้อนท้ายฉัน เมื่อถึงลูกคลื่นที่สูงบริเวณก่อนถึงโรงพยาบาล แว่นได้ตกจากมอเตอร์ไซด์ และหมดสติไป ฉันตกใจมาก จึงรีบจอดมอเตอร์ไซด์พร้อมกับลงไปช่วยเพื่อน แว่นชักและกัดฟัดตัวเอง ฉันได้เพียงแต่เรียกสติเพื่อนกลับมาและพยายามงัดฟันเพื่อน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เหตุการณ์มันเกิดขึ้นเร็วมาก ดีที่แว่นฟื้นขึ้นมาแล้วทุกอย่างปกติ แค่รักษาตัว 2 อาทิตย์ หลังจาเกิดเรื่องใครจะรู้ละว่าแว่นกลายมาเป็นเพื่อสนิทฉัน
วันเวลาในมหาวิทยาลัยเร็วมาก ผ่านไปสองเดือนหลังจากที่เรียนมหาวิทยาลัย ฉันอ่านเฟสบุ้กของคนหนึ่งที่พยายามบ่นถึงเรื่องราวต่าง ๆ ไม่ใช่ใครที่ไหน น้องชายฉันเอง ฉันจึงตัดสินใจโทรหายายเพื่อขอทราบถึงปัญหาต่าง ๆ เรื่องมีอยู่ว่า “ตอนนี้บ้านของเราประสบปัญหาการเงินอย่างหนัก ทำให้การใช้จ่ายค่อนข้างลำบาก ให้ฉันประหยัดเงินขึ้น ” เมื่อฉันได้ยินฉันก็รู่สึกไม่สบายใจมาก แต่ก็พยายามไม่เก็บมาคิด เมื่อเรื่องนี้ถูกปิดมาเรื่อย ๆ ฉันจึงพยายามถามน้องชายของตนเอง น้องจึงเล่าเรื่องในฟัง “ว่าคนแถวๆบ้านมาหยิบยืมเงินไปเป็นจำนวนมาก ทำให้แม่ต้องไปกู้เงินรายวัน มาหมุนใช้จ่ายภายในบ้าน” เมื่อฉันได้ฟัง จึงตัดสินใจเดินทางกลับบ้านด้วยรถตู้ เมื่อถึงบ้านฉันก็รู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนไป แม่ไม่สามารถเข้าบ้านได้เพราะ พวกรายวันจะมาเก็บเงินทุกวัน แม่จึงต้องไปอาศัยอยู่บ้านญาติ ฉันทำอะไรไม่ได้นอกจากฟังปัญหาต่างๆ จากยาย แล้วเก็บมาคิด เมื่อเดินทางถึงมหาวิทยาลัย อาทิตย์นั้นเป็นช่วงใกล้สอบฉันไม่มีสมาธิที่จะอ่านหนังสือ ห้าทุ่มของวันหนึ่งฉันได้โทรหาเพื่อนเก่าสมัยเรียน นัดเจอกันที่บันไดหน้าหอสมุด สิ่งแรกที่ฉันทำได้ขณะเจอเพื่อนคือ ร้องไห้และโผลเข้ากอด เพื่อนได้แค่ปลอบใจและถามถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ฉันเลยเล่าให้เพื่อนฉันด้วยอาการที่เสียใจหนัก เพื่อนได้แต่ให้คำปรึกษาว่า “เราเป็นเด็กคงทำอะไรไม่ได้ นอกจากตั้งใจเรียน” ฉันไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร หลังจากวันนั้นฉันก็พยายามตั้งหลักให้ตัวเอง พยายามทำกิจกรรมของทางมหาวิทยาลัย เพื่อที่จะทำให้สบายใจมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ แต่แค่นั้นไม่พอ เรื่องดังกล่าวยาวนานมาจนเกือบถึงครึ่งปี บ้านเราต้องทุกทนกับการกระทำของคนที่เราไว้ใจ หนทางเริ่มเหลือน้อย แม่ตัดสินใจเอารถยนต์ไปรีไฟแนช เอารถเก๋งไปจำนำอีกครั้ง แต่ทุกอย่างก็ไม่ดีขึ้น ฉันจึงตัดสินใจเดินทางกลับไปบ้านแต่คืนก่อนเดินทางกลับไป ฉันได้โทรหาแม่ แล้วถามด้วยน้ำเสียที่สั่นว่า “เราเป็นหนี้เท่าไหร่ ?” แม่ของฉันได้เพียงแค่ “ถามทำไม ถามไปแล้วหาเงินมาได้หรอ”ฉันพยายามถามแม่จนแม่บอกมาว่าเป็นหนี้กับคนนั้นเท่าไหร่ คนนี้เท่าไหร่ รวมๆ ก็หลายเกือบ ๆ ล้านได้ เมื่อฉันได้ยินสิ่งแรกที่คิดคือ โหย! ทำไมแม่ไม่เคยบอกเรา กลัวแต่เราไม่สบายใจ รับความทุกข์ไว้คนเดียว และตัดสินใจที่จะไปถามเรื่องเงินกับคนที่ยืมไปด้วยตัวเองรุ่งเช้าฉันได้เดินทางกลับบ้านโดยรถตู้ ระหว่างที่ฉันนั่งรถตู้ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ น้ำตาไหลตลอดทาง คิดประติดประต่อเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น เมื่อรถตู้จอดฉันได้นั่งรถประจำทางไปหาพ่อที่ทำงาน พอถึงที่ทำงานของพ่อ (พ่อย้ายที่ทำงานใหม่ จากการทำผลงานในการจับผู้ร้ายที่จี้เด็กผู้หญิง บริเวณหน้าโรงแรมแห่งหนึ่ง) ฉันได้เดินเข้าไปในที่ทำงานพ่อ พร้อมนั่งอยู่เก้าอี้ตรงหน้าแล้วเอามีค้ำใต้คาง และยิ้ม พ่อเงยหน้าขึ้นมาแล้วตกใจ แล้วคำถามแรกที่พ่อถามคือ “กินข้าวยัง ?” สิ่งที่ฉันคิดในใจคือ ขนาดไม่ได้เจอกันนานเกือบ 3 เดือน คำถามแรกยังมาเป็นห่วงเราด้วยคำถามนี้ ฉันจึงตอบว่า “ยัง” พ่อจึงชวนไปกินก๋วยเตี๋ยวข้างๆที่ทำงานของพ่อ พ่อได้ถามถึงการใช้ชีวิตที่มหาวิทยาลัยของฉัน ว่าเป็นอย่างไรบ้าง พ่อและฉันได้นั่งคุยกันไปเรื่อยๆ จนกระทั่งก๋วยเตี๋ยวหมด ต่อด้วยไอศกรีมโบราณ หลังจากทานข้าวเสร็จฉันก็ขอยืมมอเตอร์ไซด์ของพ่อ พร้อมกับอ้างว่าจะกลับไปเอาของที่บ้าน แต่หลังจากที่ฉันไปเอาของเสร็จ ฉันได้เดินไปที่ข้างบ้าน เพราะนี้คือตัวละครสำคัญทีทำให้บ้านเราต้องประสบปัญหาแบบนี้ ฉันยืนมองที่รั้วหน้าบ้านบ้านดังกล่าว ไม่กล้าที่จะเดินเข้าไป แต่เมื่อคิดย้อนกลับไปว่า เรามาที่นี้ทำไม นั้นเป็นแรงสำคัญที่ทำให้ฉันกล้าที่จะเดินเขาบ้านไป
ฉันได้เดินไปถามแม่บ้านประจำบ้านนี้ว่า
“ป้าสมัยอยู่ไหน ? คะ”
แม่บ้านตอบฉันว่า “ไม่อยู่ อยู่แต่ลุงหมาย ด้านในเลย”
ฉันจึงชะโงกหน้าเข้าไปในบ้านแล้วเรียก ชื่อลุงหมาย
“ลุงหมายคะ ลุงหมายอยู่ไหม ?”
ทันใดก็ได้มีผู้ชายคนหนึ่งออกมานั้นคือลุงหมายนั้นเอง ต่อจากนี้ไปจะเป็นบทสนทนาการพูดคุยระหว่างฉันและลุงหมาย
“สวัสดีค่ะ” ฉันพูดด้วยท่าทางที่โมโหและน้ำเสียงแข็งกร้าว
“อ้าว เป็นไงมาไง มีอะไร ?” ลุงหมายพูดด้วยสีหน้าที่แปลกใจ
“พอดี หนูจะมาถามเรื่องเงินคะ คือตอนนี้บ้านหนูประสบปัญหาหนัก เพราะเงินส่วนหนึ่งได้อยู่กับ ป้าสมัย คือตอนนี้ที่บ้านอยากได้คืนแล้ว รบกวนช่วยหน่อยนะคะ” ฉันพูดพร้อมน้ำตาคลอ
“เอ้า ! ตอนนี้ ผมก็พยายามช่วยอยู่นะ เนี่ยก็เจอเหมือนกันไปหยิบยืมมาให้หมด แล้วผมต้องมาใช้คืนให้ ” ลุงหมายพูด
“หรอคะ คือปกติหนูใช้เงินเดือนละ 5000-6000 แต่ตอนนี้ใช้เดือนละ 2000 ไม่ได้โทษใครหรอกนะคะ แต่มันนานไปไหมกับการไม่รับผิดชอบอะไรเลย ?” ฉันพูดด้วยน้ำสียงที่ประชดประชัน พร้อมกับปาดน้ำตา
ลุงหมายเงียบฟังฉันพร้อมกับตอบมาว่า “นั้นเป็นเรื่องของครอบครัวคุณที่ต้องบริหารจัดการ”
สิ่งแรกที่ฉันคิดหลังจากได้ยินคำพูดนี้คือ ก็บอกมาเหอะว่าจะไม่คืน ทำอะไรไม่รับผิดชอบ
หลังจากนั้นลุงหมายยังอ้างต่อว่า “เนี่ย ! ผมก็ต้องขอเงินลูกใช้เหมือนกัน ”
ฉันคิดในใจว่า จะมาบอกทำไม ? คือลูกก็มีเงินเดือน บางทีก็เป็นหน้าที่ที่ต้องดูแลพ่อแม่นิ !
ลุงหมายยังพูดต่ออีกว่า “เดี๋ยวผมบอกป้าสมัยให้นะ”
หลังจากจบคนพูดนั้น ฉันอยากจะผลักให้ลุงหมายล้มลงไปกองกับเพื่อน สำหรับผู้ชายที่ไม่รับผิดชอบการกระทำของครอบครัวตัวเอง แต่สิ่งที่ทำได้คือ เดินออกจาบ้านหลังนั้นไป พร้อมกับคราบน้ำตาและความโมโห หลังจากนั้นฉันก็ได้นำมอเตอร์ไซด์ไปคืนพ่อที่ทำงาน และแล้วเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น แม่โทรมา
“ฮัลโหล่ แม่ ” คำสนทนาแรกของฉัน
“อ้าว ถึงไหนแล้ว ทำไมไม่โทรหาแม่ละ ?” แม่ถามด้วยความสงสัย
“อ๋อ ๆ ไปเอาของมา กำลังจะโทรหาพอดี คะ ? ” ฉันตอบแม่
“ทำธุระเสร็จแล้วนั่งรถมาหาแม่หน่อยสิ ?” แม่ชวน
“ให้ขึ้นรถไปหาที่ไหน ? ” ฉันถาม
“กุมภวาปี ” แม่ตอบฉัน (กุมภวาปี เป็นอีกอำเภอหนึ่งของจังหวัดที่ฉันอยู่)
หลังจากนั้นฉันก็มายืนรอรถที่หน้าที่ทำงานพ่อ พ่อยืนรอส่งฉันขึ้นรถแล้วจึงเข้าไปทำงาน ความรู้สึกต่าง ๆ มันเกิดขึ้นเร็วมาก สิ่งนั้นคือ ความคิดถึงของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ออกจากบ้านมานานนับ 2 ปี แล้วไม่มีโอกาสที่จะกลับบ้าน ขณะอยู่บนรถประจำทางใครจะรู้ว่าความเป็นห่วงของแม่เกิดขึ้นมากมาย นั้นคือ กลัวฉันนอนหลับขณะนั่งรถประจำทางคอยโทรศัพท์เช็ค ไลน์ถามตลอดการเดินทาง จนกระทั่งฉันลงจากรถประจำทาง แม่รออยู่ที่ร้านล้างรถยนต์ฝั่งตรงข้าม ฉันอยากจะวิ่งไปหาแม่ แล้วโผลกอด แต่สิ่งที่ฉันทำได้เพียงแค่เดินไปแล้วยกมือไหว้แม่ และมานั่งคุยกันกับแม่ วันนั้นที่กลับไปจุดประสงค์หลักคือ ไปถามเงิน รองลงมาคือ คิดถึงทุกคนมาก ๆ หลังจากนั้นแม่ก็พาฉันไปกินก๋วยเตี๋ยว ถึงจะไม่หิวฉันก็ต้องบอกว่าหิว เพราะสงสัยแม่ยังไม่กินข้าว ขณะที่นั่งกินก๋วยเตี๋ยวเราไม่ได้คุยอะไรกัน นอกจากแม่พูดว่า “อร่อยไหม ? ราคาก็ถูก 20 บาทเอง แถวบ้านเราไม่มีหรอก ” ฉันได้แต่พยักหน้าและก้มหน้ากินต่อไปจนหมด หลังจากนั้นแม่จึงไปส่งฉันขึ้นรถเพื่อจะเดินทางกลับมหาวิทยาลัย “แม่ถามฉันว่ามีเงินใช้ไหม ?” ฉันยิ้มให้แม่แล้วตอบว่า “มีค่ะ” แม่หยิบเงินออกจากกระเป๋ากางเกงออกมา 400 บาท แล้วบอกว่า “ อ่ะ คนละ 200 เนาะ ” ฉันตอบกลับว่า “ไม่เอาแม่เก็บไว้ใช้เถอะ หนูมีอยู่ ” หลังจากนั้นรถประจำทางก็มา ฉันจึงยกมือไหว้แม่แล้วขึ้นรถไป ฉันเลือกที่จะนั่งแถวหน้า ๆ เพราะจะได้เห็นทาง หลังจากนั้นฉันก็หยิบกระเป๋าเงินออกมาพร้อมกับควักเงินที่ติดตัวออกมา ฉันเหลือเงินอยู่ 100 บาท ซึ่งก็เป็นค่ารถจำนวน 80 บาทแล้ว โหยอาทิตย์นี้เรามีเงินอยู่ 20 บาทเอง แต่ไม่เป็นไร เงินมีได้มันก็หมดได้เหมือนกันแหละ
## รบกวนแนะนำหน่อยค่ะ