31 มีนาคม 2549 23:12 น.
เรียงร้อยเป็นเรื่องราว
"อรุณสวัสดิ์จ๊ะ"
ทัศนัยส่งเสียงทักทายลูกสาว ขณะกำลังตักข้าวต้มกุ้งที่เพิ่งเสร็จใหม่ ๆ ถ่ายใส่ชามใบใหญ่ หวานไม่ได้ทักตอบ พาตัวเองเข้ามานั่งในห้องครัวด้วย อาการที่เศร้าซึม ดวงตาทั้งสองข้างที่บวมเปล่ง แสดงให้เห็นว่าผ่านการร้องไห้มาทั้งคืน
"นี่หนูร้องไห้ทั้งคืนเลยหรอลูก!"
ทัศนัยส่งเสียงออกมาด้วยความตกใจ แววตาที่มองมายังลูก เต็มไปด้วยความเป็นห่วงเหลือคณา แต่ไฉนเลย แววตาดวงน้อยที่สะท้อนกลับ ดูช่างไม่แยแสนัก
"กินข้าวต้มร้อน ๆ กันดีกว่า พ่อทำเองเชียวนา"
เขาจงใจพูดเพื่อให้น้ำเสียงฟังดูร่าเริง หวังลูกสาวได้คลายความเศร้า แต่เหมือนเปล่าประโยชน์ เมื่อหวานยังคงแสดงสีหน้าเฉยชา
"อร่อยไหมครับ"
"คุณทำอะไรมาหนูกินได้ทั้งนั้นแหละ"
"ทำไมหนูถึงไม่เรียกพ่อว่าพ่อล่ะหวาน"
"ไม่จำเป็น!"
"ทำไมจะไม่จำเป็น!เมื่อพ่อคือพ่อของหนู"
คราวนี้น้ำเสียงของทัศนัยฟังดูเข้มขึ้น
"กับคนที่ไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อน มันก็ไม่ต่างอะไรจากคนอื่นนักหรอก"
เขาไม่อยากเชื่อเลยว่า ประโยคทั้งหมดที่ได้ยินเมื่อครู่ จะมาจากคำพูดของเด็กวัยเพียงเฉียด9ขวบ ยิ่งกว่านั้นก็คือลูกของเขาเอง
"กินเสร็จเดี๋ยวเตรียมอาบน้ำแต่งตัวนะ พ่อจะพาหนูไปสมัครเรียน"
เขาเปลี่ยนบทสนทนาทันที เพื่อไม่ให้บรรยากาศตึงเครียดมากไปกว่านี้
. . .
ณ.โรงเรียนประถมแห่งหนึ่ง
"ดูแกยังซึม ๆ อยู่นะคะ"
หญิงสาวที่มีนามว่าภาวิณีพูดออกมา ขณะสายตาที่มองไปยังสนามเด็กเล่น ที่มีหวานกำลังนั่งไกวชิงช้าอยู่ เธอคือครูคนหนึ่งในจำนวนครูหลายคนของที่นี่ หนำซ้ำเธอยังเป็นทายาทเพียงคนเดียวของเจ้าของโรงเรียนแห่งนี้อีกด้วย
"ดูท่าว่าแกจะไม่ยอมรับผมเป็นพ่อ"
ภาวิณีหันไปมองหน้าเขา ผู้ชายที่เคยทิ้งแม่ของหวาน เพื่อมาเป็นแฟนกับเธอ แต่ในที่สุดเขาก็ต้องทำลายจิตใจเธอ ด้วยความรู้สึกของเขาที่เพียงแค่หลงเธอเท่านั้น เพราะแท้จริงนั้นตลอดเวลาที่เคยคบกันมา หัวใจของผู้ชายคนนี้ มีเพียงแต่แม่ของหวานคนเดียว ถึงกระนั้น เขาก็ยังคงเลือกเส้นทางของคำว่า 'ไม่รู้จักพอ'ต่อไปเรื่อย ๆ แทนที่จะกลับไปหาแม่ของหวาน และตอนนี้เธอเอง ไม่อาจทราบว่า เขามีคนใหม่หรือไม่
"แกยังคงปรับตัวไม่ทัน ให้เวลาแกหน่อยสิคะ อีกอย่างคงยังไม่หายสะเทือนใจ
กับภาพที่แม่ของแกต้องตายไปต่อหน้าต่อตา"
เธอพูดเป็นเชิงให้เขาได้ตรอง
"ผมลืมนึกถึงข้อนี้เลย ผมนี่แย่จริง ๆ เลยนะ"
คำพูดของทัศนัยทำให้หญิงสาวรู้สึกแปลกใจเป็นยิ่งนัก ด้วยนิสัยที่คิดว่าตัวเองนั้นถูกเสมอ หรือถ้าเขาผิด ใครหน้าไหนก็อย่าได้มาพูดเป็นเชิงสั่งสอนเชียว เพราะเขาพร้อมที่จะต่อต้านจนถึงที่สุด แต่เวลานี้เขากับยอมรับโดยสดุดี เวลาหลายปีที่เธอไม่ค่อยได้เจอเขา ๆ เปลี่ยนไปมากขนาดนี้เชียวหรือ
"ยิ้มอะไรของคุณน่ะภา"
ทัศนัยถามออกมาด้วยความแปลกใจ ที่จู่ ๆ หญิงสาวก็ยิ้มออกมา
"คุณดูเปลี่ยนไปนะทัศ"
"ผมคงโตขึ้นมั้ง"
เขาพูดเป็นเชิงติดตลก พลางยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู
"ผมทำให้ภาเสียเวลามานานแล้ว ขอตัวกลับเลยแล้วกัน จะได้พาเจ้าหญิงน้อย
ไปซื้อชุดนักเรียนและอุปกรณ์การเรียนด้วย... หวานครับพ่อจะไปแล้วนะลูก"
หวานลุกจากชิงช้าเดินเข้ามาหาพ่อด้วยสีหน้าแม้คิดที่จะยิ้มก็ไม่มีสักนิด
"สวัสดีจ๊ะ"
ภาวิณีรับไหว้ เมื่อหวานยกมือไหว้อย่างสวยงามในความคิดของเธอ
"ไปนะว่าง ๆ จะหาเวลามาหาคุณอีก"
ทัศนัยพูดพลางเดินนำหน้าลูกสาวตรงไปยังรถที่จอดอยู่ ภาวิณีไม่ได้เดินตามไปส่ง เธอยังคงยืนอยู่ตรงนี้ ยืนจนรถคันสีเขียวเข้มแล่นหายลับไปจากตา
. . .
"อยากได้อะไรอีกไหมเจ้าหญิงน้อยของพ่อ"
ทัศนัยถามออกมาหลังจากที่ซื้อชุดนักเรียนและอุปกรณ์การเรียนให้ลูกได้ครบแล้ว
"ไม่คะ"
"งั้นไปกินพิซซ่ากันนะพ่อหิวแล้ว"
ความจริงเขาไม่ได้หิวสักเท่าไร แต่ตอนที่เดินผ่านร้านพิซซ่า เขาสังเกตเห็นว่า ลูกสาวมองเข้าไปยังร้านอย่างเนิ่นนาน ซึ่งพิซซ่าคงเป็นอาหารจานโปรดของแก และคงจริงตามที่คิด เพราะเขาได้รับการพยักหน้าตอบรับจากลูกสาว ว่าแล้วก็เดินนำลูกสาวตรงไปยังบันไดเลื่อน เพื่อขึ้นไปสู่ชั้น5ของห้าง
. . .
รอยยิ้มผุดขึ้นมาตรงริมฝีปากของผู้เป็นพ่ออย่างทัศนัย เมื่อตรงหน้าที่เขากำลังเห็นอยู่ตอนนี้ คือภาพของลูกสาวที่กำลังกินพิซซ่าอย่างเอร็ดอร่อย เขาเผลอยิ้มกว้างอย่างลืมตัว เมื่อพิซซ่าชิ้นที่สามถูกแยกออกจากถาดไปไว้ในจานของลูกสาว ตัวเขาเองชิ้นแรกยังไม่พร่องเลย มัวแต่มองความน่ารักของลูกสาวจนเพลิน เขาใช้เวลาเกือบถึง 2 ชั่วโมงที่อยู่ในนี้จึงได้พาลูกสาวกลับ
. . .
"รู้อะไรไหมหวาน ตอนที่พ่อเห็นหนูลองชุดนักเรียน หนูดูน่ารักมากเลยนะลูก"
ทัศนัยบอกออกมา หลังจากที่พากันกลับมาบ้านเป็นที่เรียบร้อย หวานไม่พูดอะไรออกมา รีบวิ่งขึ้นไปห้องของตัวเองทันที แต่มีสิ่งหนึ่งที่หวานทำให้หัวใจของผู้เป็นพ่อคนนี้ได้พองโต ที่เห็นหวานเผลอเปิดรอยยิ้มออกมาด้วยความเขินอาย เป็นความรู้สึกที่เขาอยากหยุดช่วงเวลานี้ไว้ให้นานที่สุด เพราะวันพรุ่งนี้ไม่อาจทำให้เขาคาดเดาได้ว่า เจ้าหญิงน้อยจะยังคงยิ้มให้เขาเช่นนี้อีกหรือไม่
--------------------------------------------------------------------------------
31 มีนาคม 2549 10:51 น.
เรียงร้อยเป็นเรื่องราว
ทันทีที่มาถึง หวานได้รีบวิ่งออกจากรถโดยเร็ว ไม่ยอมฟังเสียงของพ่อที่ร้องไล่ตามหลังให้ระวัง เพราะเป็นห่วงกลัวว่าจะหกล้ม ดวงตากลมโตอันสดใส จ้องมองบ้านหลังใหญ่นี้อย่างตื่นตา บ้านที่เคยถามแม่ว่า
"แม่จ๋า จะมีสักวันไหมจ๊ะที่เราสองคนจะได้อยู่บ้านหลังใหญ่ ๆ มีสนามกว้าง ๆ " แม่ไม่ได้ตอบคำถามของหวาน เพียงแต่ยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
"ชอบบ้านหลังนี้ไหมลูก" หวานสะดุ้งด้วยความตกใจ เมื่อเสียงของพ่อมาทำลายมโนภาพระหว่างหวานกับแม่ที่สร้างขึ้นเมื่อกี้ให้ดับลง
"ถ้าหนูเห็นในบ้าน หนูต้องชอบกว่านี้แน่จ๊ะ" ทัศนัยพูดขึ้นมา พลางเตรียมจะจูงมือลูกสาวให้เดินมากับตน แต่ก็ต้องถูกปฏิเสธ
"ไม่ต้องมาจูง หนูเดินเองได้" ว่าแล้วหวานก็รีบวิ่งเข้าบ้านไป
. . . .
"ห้องหนูอยู่ชั้นบนด้านในสุดทางขวามือนะลูก"
ทัศนัยบอกขณะที่ลูกสาวกำลังกวาดตามองไปรอบบ้านด้วยความสนใจ ถึงจะไม่ยินดีที่ได้มาอยู่กับพ่อ แต่ด้วยความเป็นเด็กช่างอยากรู้อยากเห็นของหวาน จึงทำให้ต้องรีบวิ่งขึ้นไปดูห้องของตัวเองว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง
ความตื่นตามาเยือนหวานอีกครั้ง ขณะกำลังกวาดตามองไปทั่วห้อง ๆ ที่ติดวอลล์เปเปอร์สีชมพูสดใส มีดวงดาวประดับประดาอย่างสวยงาม และไม่ว่ามองไปมุมไหน ก็เห็นมีแต่ตุ๊กตาน่ากอดเต็มไปหมด แม้กระทั่งบนเตียงก็ตาม หวานพาร่างอันบอบบางเดินไปยังมุมนึงที่มีตู้โชว์ขนาดย่อมวางอยู่ ในนั้นมีตุ๊กตาบาร์บี้ในชุดต่าง ๆ วางเรียงกันอยู่ หวานเอื้อมมือไปหยิบตัวใดตัวหนึ่งพร้อมกับรอยยิ้ม
"สวยจัง"
"ตอนแรกพ่อคิดว่าหนูจะไม่ชอบห้องนี้เสียอีก แต่พ่อก็คิดผิด" ทัศนัยพูดแล้วยิ้มให้ลูกสาว ขณะที่เดินเข้ามาใกล้ลูกสาว แต่ยิ่งใกล้ หวานก็ยิ่งถอยหนี
"เราสองคนจะมาคุยกันดี ๆ ไม่ได้หรือลูก" เขาถามด้วยแววตาอันเรียกร้องความเห็นใจ ไม่มีเสียงพูดใด ๆ
ออกมาจากปากอันบางเฉียบของหวาน ทำเป็นไม่ได้ยินด้วยซ้ำ ไม่สนใจว่าพ่อจะมองด้วยสีหน้าเช่นไร สนแต่ตุ๊กตาบาร์บี้ที่อุ้มอยู่ในมือเท่านั้น
"งั้นพ่อไม่รบกวนหนูแล้วนะ เจอกันพรุ่งนี้เลยก็แล้วกัน" ทัศนัยพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงความน้อยใจนิด ๆ แล้วก็พาตัวเองออกจากห้องไป
. . . .
ร่างของหวานนอนนิ่งอยู่บนเตียง บนตัวมีกรอบรูปอันหนึ่งวางอยู่ ซึ่งในนั้นคือรูปแม่ หวานหยิบมันขึ้นมามองด้วยหัวใจอันร้าวราน มืออันเรียวยาวได้รูป ค่อย ๆ ลูบไล้รูป ราวกับว่าได้สัมผัสกับแม่จริง ๆ "แม่จ๋า!!!" เสียงอันสั่นเครือกับน้ำตาที่ไหลริน เปลือกตาที่อยู่ภายใต้ขนตาอันงอนยาวนั้นปิดลง พร้อมกับเรื่องราวในอดีตที่ผุดขึ้นมาในห้วงความทรงจำ
ทุกเย็นเมื่อกลับบ้าน หวานจะรีบตรงไปกอดแม่หอมแก้มแม่ และตามด้วยประโยคที่ว่า "คิดถึงแม่จ๋าจังเลย" ทุกครั้งไป หวานกับแม่นอนด้วยกันทุกคืน ถึงจะนอนบนที่นอนเล็ก ๆ แต่ก็เต็มไปด้วยความสุข แม่ชอบร้องเพลงให้หวานฟังทุกคืน เสียงของแม่นั้น ช่างไพเราะจับใจยิ่งนัก ไม่เพียงแค่นี้ แม่ยังทำอาหารและขนมแสนอร่อยให้หวานได้กินทุกวัน ยามว่างแม่มักจะพาหวานไปเที่ยวอยู่เสมอ......ยิ่งคิดเหมือนเรื่องที่คิดคือความจริง แต่ทว่า โลกใบนี้ คือโลกแห่งความจริง มิใช่โลกในนิทาน จึงไม่มีปฏิหารย์มาทำให้ภาพในอดีตได้หวนคืนมาสู่หวาน ด้วยความง่วงบวกกับความอ่อนเพลีย ทำให้หวานหลับไป พร้อมคราบน้ำตา
. . . .
"ครับแม่ ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ แล้วผมจะพายัยหวานไปค้างกับแม่วันศุกร์และเสาร์...."
ทัศนัยวางหูโทรศัพท์ เมื่อการสนทนาสิ้นสุดลง เขาหย่อนก้นลงไปบนเก้าอี้ที่ตรงหน้ามีโน๊ตบุ๊คที่กำลังเปิดหน้าจอวางอยู่บนโต๊ะทำงาน กายที่ดูแข็งแรงทอดลงไปตามแนวโน้มของพนักเก้าอี้ ดวงตาที่เรียวเล็กแต่ดูดี ทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง ถึงดูว่ามองออกไปอย่างไร้จุดหมาย แท้จริงแล้วในดวงตาคู่นี้กับมีอดีตซึ่งไม่ต่างอะไรจากลูกสาวนัก จะต่างกันก็ตรงเรื่องราวที่เคยสัมผัส เสียงฮึดขึ้นในจมูก เมื่อเขาเกือบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ภาพของหญิงสาวที่ไม่มีเค้าของความสวย มีแต่ความน่ารักมายืนอยู่ตรงหน้าต่าง ดวงตาที่ดูแสนเศร้า มันกำลังตัดพ้ออะไรบางอย่างจากเขา
"ปรางค์คุณช่วยบอกผมทีได้ไหม ผมทำอะไรผิด ทำไมยัยหวานถึงได้เกลียดผมถึงเพียงนี้ บอกผมทีได้ไหม"
เขาพูดกับตัวเองด้วยน้ำเสียงอันแหบพร่า เหมือนกับมีอะไรมาจุกอยู่ที่ลำคอ
--------------------------------------------------------------------------------
31 มีนาคม 2549 10:46 น.
เรียงร้อยเป็นเรื่องราว
"แม่จ๋า หวานกลับมาแล้วจ๊ะ" เด็กสาวส่งเสียงเจื้อยแจ้วดังก่อนที่ตัวจะเดินเข้ามาในบ้าน
"วันนี้หวานมีอะไรมาอวดด้วยนะจ๊ะ"
เสียงใส ๆ เปล่งออกมาอย่างร่าเริง พร้อมกับรอยยิ้มที่ผุดขึ้นมาบนดวงหน้าอันเรียวเล็ก ทว่า...รอยยิ้มเมื่อสักครู่กับเลือนหายในทันใด เมื่อภาพตรงหน้าทำให้หัวใจดวงน้อยแทบมลาย
"แม่!!!"
ร่างน้อย ๆ ถลาเข้าไปหาผู้เป็นแม่ ที่กำลังนอนจมกองเลือดอยู่ด้วยความตกใจ
ข้างตัวของแม่มีมีดที่เต็มไปด้วยคราบเลือดติดอยู่ เสียงร้องตะโกนเรียกหาแม่ดั่งกู่ก้อง ราวดั่งเสียงฟ้าที่ผ่าลงมาตรงกลางใจ เด็กสาวกอดร่างซึ่งบัดนี้ไร้ซึ่งวิญญาณของผู้เป็นแม่ ร่างทั้งร่างสั่นสะท้านด้วยความกลัวและตกใจอย่างสุดขีด
. . . .
ขณะกำลังนั่งเอามือกอดอกสั่นสะท้านด้วยความหนาวอยู่ในตอนนี้ ทัศนัยไม่แน่ใจว่า เป็นเพราะความเย็นของเครื่องปรับอากาศบนเครื่องบินที่เขากำลังนั่งมา หรือเป็นเพราะความตื่นเต้นที่เขาจะได้เจอลูกสาว ๆ ที่เขาไม่เคยเห็นหน้าค่าตามาก่อน หรืออาจจะพูดได้ว่า ลูกสาวที่เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่ามี เขาเบือนหน้าไปทางหน้าต่าง มองดูไอน้ำที่จับตัวกันเป็นปุยเมฆ ซึ่งบังเกิดภาพของใครบาง
คน ที่ทำให้ลำคอของเขาเหมือนมีอะไรมาตีบตัน ใครบางคนที่ด่วนตัดสินใจจากเขาไป ด้วยการทำร้ายชีวิตตัวเอง
. . . .
ท่ามกลางความโศกศัลย์ มีเสียงร่ำไห้คร่ำครวญร้องเรียก "แม่จ๋า! แม่จ๋า!" ของเด็กน้อยดังขึ้นอย่างน่าเวทนา
" ทำไมแม่ต้องทิ้งหวานไปด้วย แล้วหวานจะอยู่กับใครล่ะจ๊ะ" ร่างน้อย ๆ ที่กำลังกอดร่างอันไร้วิญญาณของผู้เป็นแม่ สั่นสะท้านไปตามแรงสะอื้นไห้
"ไหนว่าแม่เคยสัญญากับหวานว่า แม่จะไม่ทิ้งหวานไปไหน ทำไมแม่ต้องผิดสัญญากับหวานล่ะจ๊ะ" น้ำใส ๆ ไหลรินลงอาบแก้ม พร้อมกับเสียงตัดพ้อ ที่ใจมันกำลังจะขาดรอน ๆ
"แม่ตื่นขึ้นมาสิจ๊ะ หวานมีอะไรมาอวดด้วยนะจ๊ะ หวานสอบได้ที่ 1 ของห้องอีกแล้วนะจ๊ะ แม่ได้ยินไหมจ๊ะ แม่ตื่นสิจ๊ะ แม่อย่าทำให้หวานกลัวสิจ๊ะ..." ภาพของเด็กน้อยที่ตอนนี้ราวกับว่าหัวใจของเธอกำลังจะแตกสลายเป็นเสี่ยง ๆ ตอกย้ำความเศร้าของทุกคนที่อยู่ในนี้ ปล่อยน้ำตาให้ไหลรินไปกับเธอ
"แม่เขาไปสบายแล้วนะลูก หวานมานั่งกับพ่อดีกว่านะ"
ทัศนัยพาร่างของตนลุกจากเก้าอี้ ตรงเข้ามาหาบุตรสาว เขาพยายามฝืนน้ำตาไม่ให้ไหล ขณะที่เดินเข้ามา แม้ว่าช่วงอารมณ์ในตอนนี้มันจะยาก แต่ก็ต้องทำ
"ไปนั่งกับพ่อตรงนั้นดีกว่านะคนดี" เขากล่าวพร้อมกับค่อย ๆ พยุงร่างของบุตรสาวขึ้นมา
"ไปให้พ้นอย่ามาแตะต้องตัวหนูนะ!" หวานแผดเสียงดังลั่นใส่หน้าผู้เป็นพ่อ พร้อมกับสะบัดร่างหนีด้วยความชิงชัง
"หวาน! อย่าทำตัวเกเรอย่างนี้สิลูก ไปนั่งกับพ่อเขาดีกว่านะ" ผู้เป็นยายส่งเสียงเอ็ดออกมา ในขณะตรงเข้ามาหาหลานสาว
"เขาไม่ใช่พ่อของหนู! และเขาก็ไม่มีสิทธิ์มาเรียกตัวเองว่าพ่อกับหนูด้วย" คำพูดที่โพลงออกมาเหมือนดั่งเจ็บแค้น ทำให้ทุกคนต่างพากันมองด้วยความตกใจและเกิดความสงสัยไปตามกัน
"ไปนั่งกับพ่อเขาดีกว่านะหลานรักของยาย" คราวนี้เสียงของผู้เป็นยายเบาลง เพราะเข้าใจและเวทนาหลานที่กำลังเสียใจกับการจากไปอย่างไม่มีวันหวนคืนของผู้เป็นที่รักยิ่งดั่งดวงใจ
"ยายจ๋า...ทำไมยายต้องให้หวานไปนั่งกับผู้ชายคนนี้ด้วยล่ะจ๊ะ ยายจำไม่ได้หรือจ๊ะ ว่าเขาเป็นคนใจร้าย เขาทิ้งแม่จ๋าของหวานไป เขาทำให้แม่จ๋าของหวานต้องนอนร้องไห้ทุกคืน เขาเป็นคนฆ่าแม่ ได้ยินไหม! ว่าเขาฆ่าแม่!!!"
หวานแผดเสียงขึ้นมาดังลั่นพร้อมน้ำตาที่ร่วงพรู ทัศนัยยืนนิ่งชาอยู่อย่างนั้น ร่างสูงใหญ่ของเขาแทบทรุดลง อยากจะร้องถามบุตรสาวที่
ยืนอยู่ตรงหน้าว่า "พ่อทำอะไรผิดไปหรือ" แต่ก็เพียงแค่ได้คิด
"โถ! คนดีของยาย" ผู้เป็นยายโผเข้าไปกอดหลานสาวที่ตอนนี้กำลังจ้องมองผู้เป็นพ่ออย่างโกรธแค้น
. . . .
"แม่ฝากยัยหวานด้วยนะทัศ"
หญิงชรากล่าวออกมา น้ำเสียงที่เปล่งออกมา ฟังดูดั่งเอ็นดูว่า ทัศนัยนั้นก็ไม่ต่างจากบุตรของตนอีกคน
"ครับแม่"
แม้จะเป็นคำตอบสั้น ๆ แต่ดวงตาที่มองหญิงชรา กับฉายแววอย่างจริงจังและมั่นคง หญิงชราพาร่างไปหาหลานสาวที่กำลังยืนร้องไห้อยู่ไม่ไกลนัก
"หวานต้องไปอยู่กับพ่อเขานะลูก"
"ให้หวานอยู่กับยายเถอะนะจ๊ะ หวานรับปากว่าจะเป็นเด็กดี จะไม่ดื้อกับยาย"
"ไปอยู่กับพ่อเขาเถอะหวาน"
หญิงชราคิดว่าพูดแค่นี้คงเพียงพอแล้ว ไม่ต้องอธิบายว่าลำพังตนไม่มีปัญญาที่จะเลี้ยงหลานคนนี้ให้อยู่สบายเหมือนกับพ่อของแกเอง เพราะสักวันหลานคงเข้าใจ อีกอย่างการให้ไปอยู่กับพ่อ สักวันความใกล้ชิดมันคงทำลายความเจ็บแค้นที่มีอยู่ในใจหลานสาวคนนี้ลงได้ หญิงชราจูงมือหลานสาวตรงไปหาผู้เป็นพ่อที่กำลังยืนคอยอยู่
"ไม่มีทางที่หวานจะไปอยู่กับเขาหรอก"
หวานสะบัดมือจากการจูงของผู้เป็นยาย แต่ยังไม่ทันที่จะวิ่งหนี ก็ถูกผู้เป็นพ่ออุ้มขึ้นมาได้ทันควัน
"ปล่อยหนูนะ! ปล่อยหนูลงเดี๋ยวนี้นะ หนูไม่ไปกับคุณ ไม่ได้ยินหรือไง ว่าไม่ไป"
หวานส่งเสียงโวยวายลั่น พร้อมกับร่างที่พยายามต่อสู้ขัดขืนอย่างสุดฤทธิ์
"ผมขอตัวเลยนะครับแม่ สวัสดีครับ แล้วผมจะรีบติดต่อมา เมื่อยัยหวาน
ถึงบ้าน"
ทัศนัยไม่ยอมปล่อยให้เสียเวลาไปมากกว่านี้ รีบร่ำลาหญิงชรา แล้วพาร่างของบุตรสาวตรงขึ้นรถยนต์ราคาเหยียบล้านของเขาทันที
"หนูคงหิว เดี๋ยวก่อนกลับบ้าน เราแวะไปกินอะไรอร่อย ๆ กันก่อนดีไหม"
ทัศนัยพูดพร้อมกับหันมายิ้มให้บุตรสาวอย่างเอ็นดู
"ถึงคุณจะได้ตัวหนูไปอยู่กับคุณ แต่จงรู้ไว้เถอะ ว่าคุณได้แต่ตัว แต่หัวใจของหนู คุณไม่ได้!"
หวานกล่าวออกมา เด็กน้อยจะรู้หรือไหมว่า คำกล่าวที่ช่างไร้เยื้อใยนี้ มันทำให้หัวใจพ่อคนนี้เจ็บเหลือเกิน
28 มีนาคม 2549 20:03 น.
เรียงร้อยเป็นเรื่องราว
มีรุ้งที่ไหนย่อมมีฝนที่นั่น ดูเหมือนประโยคนี้ คงใช้ไม่ได้ผลกับพวกเธอสองคน เมื่อความเป็นเพื่อนต้องหยุดลง ฝนเองมีกลุ่มเพื่อนใหม่ ส่วนรุ้งนั้นต้องเดียวดาย เพราะไม่มีใครอยากยุ่งกับเธอ แต่อย่างไรฝนก็ยังคงแอบเป็นห่วงอยู่ห่าง ๆ
"เป็นห่วงใช่ไหม" เสียงเพื่อนในกลุ่มถามออกมา ฝนละสายตาจากรุ้ง หันมามองเพื่อนคนนี้ด้วยแววตามีคำถาม
"สายตาที่เธอมองยัยนั่นมันฟ้องไง ฉันว่านะตัดใจจากแม่นั่นเสียเถอะ ไม่เห็นหล่อนจะมาแยแสอะไรเธอเลย ดู
สิ ทำเป็นเชิดใส่ วิเศษตายล่ะ!"
ฝนเพียงรับฟังคำพูดของเพื่อน ไม่ได้แสดงความคิดเห็น หรือโต้ตอบอะไรออกมา คิดแต่ว่า เหตุการณ์วันนั้นที่เพื่อนทำ มันยากเกินที่เธอจะก้าวเข้าไปหา
_ _ _ _
"สมน้ำหน้ายัยนั่น ดูสิ ไม่มีใครเขาคบค้าสมาคมด้วยเลย" เหมี๊ยวพูดออกมาขณะกำลังนั่งทานข้าวกับกลุ่มของตัวเองอยู่ในโรงอาหาร
"ก็ทำตัวอย่างงี้ ใครเขาอยากจะคุยด้วยล่ะ จริงไหมว่ะไอ้โบ" ดิ๊บพูดพลางหันไปทางโบที่กำลังมองรุ้งอยู่
"แต่ข้าว่าทุกคนทำเกินไป" โบพูดออกมา
"จะไปสงสารทำไม๊กับผู้หญิงอย่างนั้นน่ะ" ดิ๊บทำเสียงสูง และทันทีที่เขาพูดจบ จึงได้มีเสียงวี้ดว้ายของพวกนักศึกษาสาวร้องดังขึ้นมาอย่างตกใจ ขณะที่ร่างของใครบางคนได้ฟุบลงไปต่อหน้าต่อตา
จู่ ๆ เหตุการณ์ที่ทำให้เพื่อน ๆ ต้องเกลียดรุ้งกับหายไปอย่างฉับพลัน เมื่อร่างของรุ้งทรุดลงไปกับพื้น พร้อมกับมือที่กุมท้อง ส่งเสียงร้องโอดครวญอย่างเจ็บปวด แม้จะทำอะไรกันไม่ถูก เพราะความตกใจ แต่สายตาเหล่านั้นก็เปี่ยมไปด้วยความเป็นห่วง
"รุ้ง! เป็นอะไรหรือเปล่า" โบส่งเสียงถามด้วยความตกใจแกมเป็นห่วง หลังจากที่แหวกผู้คนเข้ามาได้
"ฉะ...ฉันปวดท้อง!" เสียงของรุ้งที่ตอบออกมาแผ่วเบาแทบจะไม่ได้ยิน ร่างของเธอค่อย ๆ ถูกโบอุ้มขึ้นมา
"รุ้งต้องไม่เป็นอะไรนะ" เขาหันไปพูดกับฝนที่ตอนนี้น้ำตาเอ่อล้นแทบไหลริน ก่อนจะพาร่างรุ้งแหวกผู้คนไปยังห้องพยาบาล ตามด้วยฝนที่เดินตามมาติด ๆ
"เป็นอะไรมากหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ" มีเสียงหนึ่งที่แฝงไว้ด้วยความเป็นห่วงดังขึ้น
_ _ _ _
ณ.โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง
"ขอบใจนายมากนะ ถ้าไม่ได้นายไส้ติ่งฉันคงต้องแตกก่อนถึงมือหมอแน่" รุ้งกล่าวพร้อมกับสีหน้าอันเศร้าสร้อย
"ยังปวดท้องอยู่หรอ" โบถามอย่างห่วงใย รุ้งส่ายหน้าก่อนจะพูดว่า
"ฉันทำไม่ดีกับนายและทุกคนไว้ แต่ฉันก็ยังได้รับความช่วยเหลือจากทุกคนอย่างเต็มใจ ฉันต้องขอโทษนายด้วย
นะ"
"ขอโทษฉันคนเดียวไม่พอหรอก ต้องไปขอโทษฝน และเพื่อนทุกคนด้วย"
"ได้สิจ๊ะ และฉันก็จะบอกกับทุกคนว่า ต่อไปฉันจะไม่ทำตัวน่ารังเกียจอีกแล้ว แต่ต้องรอให้ฉันออกจากโรงพยาบาลก่อนนะ" รุ้งยิ้ม และโบก็ยิ้มตอบ ทั้งสองต่างมองหน้ากัน ปล่อยให้ความเงียบปกคลุมห้องนี้ไป
"รบกวนแค่นี้แหละ เธอจะได้พักผ่อน หายเร็ว ๆ นะ" โบกล่าวพลางลุกจากเก้าอี้ แล้วก่อนที่เขากำลังจะเดินออกจากห้องนี้ไป ก็ยังไม่ลืมที่จะหันมายิ้มให้รุ้งอีกครั้ง ซึ่งรุ้งเองก็ยิ้มตอบอยู่ก่อนแล้วเช่นกัน
ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่านกันจนจบ
23 มีนาคม 2549 20:51 น.
เรียงร้อยเป็นเรื่องราว
หลายสัปดาห์ผ่านไป เรื่องอับอายที่ไม่เป็นมูลความจริงของนายโบ ได้เลือนหาย
ไปตามกาลเวลา ไม่มีใครพูดถึงมันอีก นายโบเองจึงไม่จำเป็นที่จะต้องไปเรียก
หาความเป็นชายชาตรีที่ไหนแต่อย่างไร ทุกครั้งที่เขาเจอหน้ายัยลูกคุณหนู
ยโสคนนี้ทีไร เป็นต้องมีปากมีเสียงกันทุกทีสิน่า
"อ้าว ๆ วิ่งตาหลีกตาเหลือกเลยนะแม่คุณ ว่าไงจ๊ะ สายล่ะสิ มัวแต่รับของเซ่นไหว้
ที่คนเขาถวายขึ้นหิ้งเพลินสินะ"
นายโบแซวรุ้งขึ้นมาในยามสายของวันหนึ่ง ที่วันนี้ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นเพราะความ
ตั้งใจหรือเปล่า ที่เขาชวนเพื่อน ๆ มานั่งแถว ๆ ตึกที่หญิงสาวเรียนอยู่
"อีตาบ้า!" รุ้งแหวเข้าใส่ด้วยความโกรธ
"ถึงจะบ้าก็บ้ารักน้องนะจ๊ะ" นายโบพูด พร้อมกับเสียงเพื่อน ๆ ตัวดีที่ส่งเสียงผสม
โรงอย่างคะนองปากไปด้วย ซึ่งสร้างความโกรธให้กับรุ้งขึ้นไปอีก
"เชอะ! ฐานะอย่างนาย ฉันไม่เอาหรอก" รุ้งหยุดพูดพลางกอดอกมองนายโบ
ตั้งแต่หัวจรดเท้า ด้วยสายตาที่ดูแคลนเป็นอย่างมาก
"มีปัญญาสร้างฐานะให้ได้เสียก่อนเถอะ พูดอะไรไม่ดูสารรูปตัวเลยเลยนะ คน
อะไรไม่เจียมตัวเอง" คำพูดของรุ้งได้ทำให้สีหน้าของโบเปลี่ยนไป แววตาที่มอง
มายังเธอตอนนี้ ช่างน่ากลัวยิ่งนัก แต่เธอก็ไม่สน สะบัดหน้าแล้วเดินหนีไปจาก
ตรงนั้นทันที
"ถือเสียว่า ไม่ได้ยินที่น้องเขาพูดละกัน" มันเป็นคำปลอบที่พวกเพื่อนต่างคิดว่า
มันดีที่สุดสำหรับเขาแล้ว..........และหลังจากวันนั้น ทั้งโบและรุ้งก็ไม่ได้ทะเลาะ
อะไรกันอีกเลย จะมองหน้ากันสักนิดก็แทบไม่มี
_ _ _ _
" กรี๊ดดด!!!!! เสียงหวีดร้องดังขึ้น เมื่อร่างของดิ๊บอาบเลือดเข้ามาในห้องเรียน
"ดิ๊บ!! ใครทำอะไรนายน่ะ ว้าย! ตายแล้ว หัวนายเลือดออกเต็มเลย" เหมี๊ยวระ
ล่ำระลักถามออกมาพร้อมกับเสียงวีดว้าย เพราะความตกใจและเป็นห่วงเพื่อน
"ไอ้พวก....." ยังไม่ทันที่ดิ๊บจะบอกอะไรออกมา เขาก็หมดสติล้มลงไปต่อหน้าต่อ
ตาเพื่อน ๆ สร้างความตกใจและทำอะไรไม่ถูกให้กับทุกคน
"เฮ้ย! พามันไปหาหมอเร็ว" ดูเหมือนว่าโบจะได้สติก่อนใครเพื่อน เขาค่อย ๆ
แบกร่างเพื่อนพร้อมกับเพื่อนอีกคน พาดิ๊บออกไปยังห้องเรียนโดยเร็ว
" อ้าวนี่เป็นอะไรกันล่ะนี่!" อาจารย์ท่านนึงซึ่งเดินผ่านมาทางนี้พอดีเอ่ยถามขึ้น
ด้วยความตกใจและเป็นห่วง
"ไม่รู้เหมือนกันครับ อย่าเพิ่งถามอะไรตอนนี้เลยครับ'จารย์ ผมว่ารีบพาไอ้ดิ๊บไป
หาหมอก่อนดีกว่า" โบพูด
"ขอโทษทีครูตกใจไปหน่อย เอ้านี่ พวกเธอใครก็ได้ช่วยไปเรียกแท็กซี่มาเร็ว
หรือใครก็ได้ที่มีรถ ช่วยพาเพื่อนไปโรงพยาบาลที"
" 'จารย์คะ เพื่อนคนนี้ของหนูเขามีรถคะ เดี๋ยวให้เขาพาไป" นักศึกษาสาวใน
ชุดรัดรูปบอกออกมา พลางหันไปเรียกรุ้งที่กำลังเดินผ่านมาดูเหตุการณ์
กับฝนทันที
"รุ้ง เธอช่วยพาไปโรงพยาบาลทีสิ" รุ้งมองดิ๊บที่ตอนนี้ไม่รู้สึกตัวแต่อย่างใด ด้วย
สายตาและสีหน้าที่บ่งบอกว่า สะอิดสะเอียนเต็มที
"แหวะ! ไม่เอาด้วยหรอก เดี๋ยวเลือดมาเปื้อนรถฉัน ยิ่งราคาแพง ๆ อยู่ด้วย ไป
ขอให้คนอื่นช่วยละกัน "
"รุ้ง!!" ฝนร้องเรียกชื่อเพื่อน พร้อมกับสายตาที่มองเพื่อนเป็นเชิงตำหนิ ซึ่งไม่
ต่างอะไรกับโบที่ตอนนี้แววตาของเขาดูชิงชังในตัวผู้หญิงคนนี้เหลือเกิน และเขา
เองคงไม่มัวรีรอให้เพื่อนต้องตายไปต่อหน้าต่อตา จึงตัดสินใจอุ้มดิ๊บขึ้นมา
แล้วรีบเดินไป ๆ เพื่อให้พ้นหน้าผู้หญิงใจร้ายคนนี้เสียที
"เดี๋ยวฉันจะรีบไปเรียกแท็กซี่มาให้" ฝนอาสาแล้วรีบวิ่งไปจากตรงนี้โดยเร็ว
แต่ก่อนไป เธอไม่ลืมที่จะหันไปมองรุ้งด้วยสายตาที่กำลังบ่งบอกว่า "เธอนี่มันแย่
จริง ๆ "
_ _ _ _
นับจากเหตุการณ์ในวันนั้น ทำให้รุ้งเป็นที่ชังของใครต่อใคร เพราะ
ความเห็นแก่ตัวของเธอ รวมทั้งฝน ที่ตอนนี้ไปอยู่กับเพื่อนอีกกลุ่ม ไม่ยอมมา
สนิทกับเธอเหมือนเก่า ด้วยความหยิ่ง รุ้งเองจึงไม่งอนง้อเพื่อนเช่นกัน และเธอ
ก็ไม่แคร์ว่าใครจะรู้สึกอย่างไรกับเธอ หรือเพื่อนที่เคยสนิทอย่างฝน จะตีตัวออก
ห่าง เธอก็ยังคงชูคออยู่ด้วยตัวคนเดียวได้