26 เมษายน 2549 16:38 น.
เรียงร้อยเป็นเรื่องราว
"ครูขา..หวานเขาเป็นอะไรหรือเปล่าคะ พวกหนูไม่เห็นเขามาเรียนตั้งสามวันแล้ว" ไอซ์ชวนตุ๊กตาเข้ามาถามภาวิณีที่กำลังตรวจการบ้านนักเรียนอยู่ที่โต๊ะ
"หวานเขาแค่ไม่สบายนิดหน่อย ไม่เป็นไรมากหรอกจ๊ะ" ภาวิณีให้คำตอบที่ทำให้นักเรียนทั้งสองของเธอคลายกังวล
"เลิกเรียนแล้วไปเยี่ยมหวานก็ดีเหมือนกันนะจ๊ะ ไปกับครูนี่แหละ"
"ดีเหมือนกันคะครู" ตุ๊กตากล่าวขึ้นมา
กำลังตาที่เริ่มถดถอยไปตามอายุที่มากขึ้น ได้มองข้าวของเครื่องใช้ในห้องนี้ที่ยังคงเดิม เพียงไร้กายของคนเคยอยู่ ทิ้งไว้แค่ความทรงจำที่เจ็บปวด น้ำตาเอ่อล้น เมื่อภาพของผู้จากไปเข้ามาฉายในห้วงคำนึง
. . .
ดวงตาคู่โศกทอดออกไปนอกหน้าต่าง กำลังคอยใครสักคนด้วยความรู้สึกร้าวราน ช่วงเวลาที่ผ่านไปเนิ่นนาน แต่ทางข้างหน้าที่ทอดมอง ยังไร้คนซึ่งเฝ้าคอย ร่างโปร่งบางที่อยู่บนเตียงได้ไหวตามแรงสะอื้น น้ำตาไหลอาบแก้มพร้อมใจที่จวนเจียนแตกสลายเป็นเสี่ยง ๆ
"ทัศคะปรางค์กำลังรอคุณอยู่นะคะ!!!"
. . .
"ยายจ๋า!" ภาพต่าง ๆ เลือนหาย เมื่อถูกเสียงเรียกของหลานสาวปลุกให้ตื่นจากอดีต
"ยายจ๋า..หวานคิดถึงแม่จ๋า! คิดถึงเหลือเกิน!" หวานเดินร้องไห้เข้ามาหาผู้เป็นยาย
"ยายจ๋า ได้โปรดช่วยปลุกให้หวานตื่นจากฝันร้ายนี้ทีได้ไหม หวานกลัวเหลือเกินจ๊ะยายจ๋า!!!"
"โถ! หลานยาย" ผู้เป็นยายร้องอุทานพร้อมเข้ากอดหลานด้วยความเวทนา
"หวานกลัว! ยายจ๋าช่วยหวานด้วย! มันรู้สึกเจ็บปวดทรมานเหลือเกิน!"
"โอ๋! ไม่ต้องกลัวนะลูก ยายอยู่นี้แล้ว ขวัญเอ๊ยขวัญมา"
"หวาน หนูต้องเข้มแข็งให้ได้นะลูก แล้วหนูก็จะได้ตื่นจากฝันร้ายนี้เอง" อุษาที่เดินเข้ามาเห็นพอดี รู้สึกหดหู่เวทนาหลานอย่างจับจิต
"เป็นอะไรไปหรือเปล่าครับผู้จัดการ" นายพงษ์เอ่ยถามเมื่อเห็นสีหน้าทัศนัยดูไม่สดใสเท่าที่เคย
"ผมไม่เป็นไรหรอกพี่พงษ์" ทัศนัยบอก แต่ดูเหมือนนายพงษ์จะรู้ว่าคำตอบที่เขาได้นั้นมันไม่ตรงกับใจของผู้จัดการคนนี้สักเท่าไร
"ถ้าไม่มีก็ดีครับ แต่ถ้ามีแล้วมัวมานั่งกลุ้มอย่างนี้ไม่ดีแน่ ปัญหาเขามีไว้ให้แก้ ไม่ได้มีไว้มานั่งกุมขมับอย่างนี้นะครับ" นายพงษ์พูดทิ้งท้ายก่อนเดินออกจากห้องทำงานของทัศนัย
"หวานอยู่บ้านหลังนี้หรือคะครู" ตุ๊กตาถามอย่างแปลกใจ เมื่อบ้านที่เห็นไม่เหมือนกับที่หวานเคยเล่าให้ฟัง
"นี่เป็นบ้านยายของหวานน่ะจ๊ะ" ภาวิณีตอบข้อสงสัยให้ลูกศิษย์
"นั่นคงจะเป็นยายของหวานแน่เลยคะ" ไอซ์พูดเมื่อมองเข้าไปเห็นหญิงชรากำลังรดน้ำต้นไม้อยู่
"คุณยายขา! คุณยาย!" หญิงชรามองไปที่ประตูอย่างแปลกใจว่าใครกันมาเรียกตน
"หนูสองคนกับคุณครูมาเยี่ยมหวานน่ะคะคุณยาย" ตุ๊กตาส่งเสียงบอก....หญิงชรายิ้มให้แขกผู้มาเยือนพร้อมเปิดประตูต้อนรับ
"สวัสดีคะคุณยายหนูชื่อภาวิณีเป็นครูประจำชั้นของหวาน วันนี้พาเด็ก ๆ มาเยี่ยมหวานน่ะคะ" ทั้งไอซ์และตุ๊กตาต่างยกมือไหว้หญิงชราตามคุณครูของพวกเธอ
"หนูชื่อไอซ์นี่ตุ๊กตาคะคุณยาย เราสองคนเป็นเพื่อนร่วมห้องของหวาน เห็นเขาหยุดไปนานก็เลยเป็นห่วง" หญิงชรายิ้มให้กับความน่ารักของเด็กทั้งสอง
"หวานอยู่ในบ้านน่ะจ๊ะ" หญิงชราบอกแล้วเดินนำคนทั้งสามเข้ามาในบ้าน เมื่อเข้ามาในบ้านทั้งภาวิณีและเด็กทั้งสองต่างยกมือไหว้อุษาที่นั่งอยู่..อุษาเองก็ยกมือไหว้ตอบตามมารยาทอันควร
"ตามสบายกันนะจ๊ะ" หญิงชราบอกแล้วเดินออกไปจากห้องรับแขก
"เดี๋ยวฉันไปตามยัยหวานมาให้นะครู" อุษาบอกแล้วเดินออกไปเช่นกัน
"บ้านคุณยายน่าอยู่ดีนะคะ ต้นไม้เต็มไปหมดเลย ดูร่มรื่นดี" ตุ๊กตาพูดกับจังหวะที่หญิงชราเดินเข้ามาพร้อมกับน้ำหวานเย็น ๆ กับส้มโอที่ผ่านการแช่เย็นมาอย่างดี
"อุ๊ย!ส้มโอน่าทานจังคะ" ไอซ์พูดขณะช่วยรับถาดจากหญิงชรา แล้วกล่าวพร้อมเพื่อนว่า
"ขอบคุณนะคะ" หญิงชรายิ้มอย่างเอ็นดูและชื่นชมในมารยาทของเด็กทั้งสองที่คงถูกอบรมเลี้ยงดูมาอย่างดี
"ขอบคุณมากนะคะคุณยาย ส้มโออร่อยมากเลยคะ" ภาวิณีเองก็กล่าวขึ้นเช่นกัน
"ตามสบายเลยนะจ๊ะ เดี๋ยวทานข้าวเย็นด้วยกันที่นี่เสียเลยสิ" หญิงชราเอ่ยปากชวนขณะที่อุษาพาหวานเข้ามาพอดี....หวานยกมือไหว้ภาวิณี ก่อนพาตัวเองไปนั่งรวมกับเพื่อนทั้งสอง
"เป็นอะไรมากหรือเปล่าหวาน ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า" ไอซ์กับตุ๊กตาต่างแย่งกันถามเพื่อนด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
"ไม่เป็นไรมากหรอกจ๊ะ แค่เป็นไข้นิดหน่อย"
"พวกฉันเอาการบ้านและงานช่วงที่เธอขาดไปมาให้ทำด้วยนะ" ตุ๊กตาบอกพลางยิ้มสมุดออกจากกระเป๋านักเรียนส่งให้หวาน
"ชวนเพื่อนขึ้นไปทำการบ้านบนห้องด้วยกันสิหวาน" อุษาบอก
"คะน้าษา" แล้วหวานก็นำเพื่อนทั้งสองออกไป
"สภาพจิตใจยัยหวานตอนนี้เป็นไงบ้างคะ" ภาวิณีอดที่จะเอ่ยปากถามอย่างเป็นห่วงไม่ได้
"ยังแย่เหมือนเดิมคะครู ไม่รู้จะทำยังไงกันดีแล้ว" อุษาพูดอย่างจนใจ
"ทุกสิ่งทุกอย่างมีทางแก้ไข อย่าวิตกไปเลยคะคุณษา ยังไงเราต้องร่วมมือช่วยยัยหวานกันนะคะ" ภาวิณีพูดแกมให้กำลังใจ
"แต่ตัวยัยหวานเองก็ต้องช่วยเราอีกแรงด้วยนะครู" อุษาพูดพลางถอนใจ....
"แล้วมันจะยอมหรือเปล่าน่ะสิ เพราะความแค้นมันฝังรากลึกออกอย่างนี้"
25 เมษายน 2549 17:40 น.
เรียงร้อยเป็นเรื่องราว
"โถ!คนดีของน้า" ขณะที่หวานสะอึกสะอื้นร่ำไห้อย่างปวดร้าว ขณะนั้นอุษาก็เจ็บปวดเช่นเดียวกันที่ต้องเห็นสภาพเช่นนี้ของหลานสาว มันทำให้เธอรู้สึกสงสารอย่างจับใจ
"หวานจ๊ะ" อุษาเชยคางที่เรียวได้รูปของหวานขึ้น ปลายนิ้วค่อย ๆ บรรจงเกลี่ยน้ำตาให้
"น้าว่าหนูทนทุกข์ทรมานจากการทำเพื่อตัวเองมามากแล้วนะ
ทำไมถึงไม่ทำให้ตัวเองมีความสุขสักทีล่ะ"
"ทำยังไงล่ะคะ" หวานถามด้วยน้ำเสียงปนสะอื้น
"อภัยให้พ่อเขาไงล่ะ"
"อภัยให้งั้นหรอ!" หวานส่งเสียงอยู่ในใจ เธอจะให้อภัยได้อย่างไร ในเมื่อเขาไม่เคยมาเหลียวแลแม่ของเธอสักครั้ง
"น้าษาคะหวานอภัยให้เขาไม่ได้หรอกคะ!" หวานพูดโดยไม่สบตาน้าสาวสักนิด
"แล้วหนูจะปล่อยให้ตัวเองทนทุกข์อยู่อย่างนี้เรื่อยไปหรือหวาน"
"น้าษาคะหวานอยากอยู่คนเดียวคะ"
"ตามใจนะ ถ้าการอยู่คนเดียวมันจะทำให้หนู
คิดอะไรดี ๆ ให้ตัวเองขึ้นมาได้"
หวานปิดเปลือกตาทั้งสองข้างลง เมื่อน้าสาวพาร่างออกจากห้องนี้ไป ไฟแค้นที่มันสั่งสุมมานาน ความทรงจำที่ยังเก็บภาพในอดีตอันขมขื่นของแม่ไว้ มันทำให้ยากเกินอภัยเชียวหรือ
"หลานเป็นอย่างไรบ้าง" อุษาไม่ตอบผู้เป็นแม่ เธอส่ายหน้าไปมาพร้อมทรุดนั่งลงบนโซฟาอย่างอ่อนแรง
"โธ่!หวานของยายทำไมหนูถึงไม่รู้จักปล่อยวางบ้างล่ะลูกเอ๊ย"
ทันทีที่ทราบเรื่องภาวิณีรีบมาหาทัศนัยที่ทำงานทันที โดยได้พาพนัศที่กำลังลาพักร้อนอยู่มาด้วย ซึ่งตอนนี้เธอและพนัศกำลังคุยกับทัศนัยอยู่ในห้องทำงานของเขา
"ภาไม่อยากเชื่อเลยว่าที่คุณปรางค์ฆ่าตัวตาย มันเกี่ยวข้องกับคุณด้วย!" ภาวิณีพูดออกมาด้วยความตกใจ แทบไม่น่าเชื่อเลยว่า สิ่งที่
เธอคิดวิตกมันคือความจริง
"ผมนี่มันเลวกับปรางค์เขาจริง ๆ เลยนะ สมควรแล้วล่ะที่โดน
ยัยหวานกล่าวว่า ๆ เป็นฆาตกรน่ะ!"
"อย่าโทษตัวเองเลยว่ะ" พนัศเอ่ยขึ้นมา
"ถ้าหลายปีก่อนกันไม่ถือทิฐิ แล้วกลับไปหาปรางค์เขา
เรื่องมันคงไม่ลงเอยแบบนี้เป็นแน่" ทัศนัยยังคงกล่าวโทษตัวเองอย่างเสียใจ
"จริงอยู่ที่แกทำร้ายจิตใจคุณปรางค์ แต่เธอก็ไม่ได้ตายเพราะแก"
"จริงอย่างที่นัศพูดนะทัศ" ภาวิณีพูดออกมาอย่างเห็นด้วยกับพนัศ
"คุณปรางค์เธอไม่ได้ตายเพราะคุณ เธอตายเพราะทุกข์ที่ไม่รู้จักปล่อยวางต่างหาก"
"ฉันว่าแทนที่แกจะห่วงเรื่องของตัวเอง ฉันว่าแกควรห่วงยายหวานมากกว่านะ
เพราะคนที่น่าเป็นห่วงตอนนี้ไม่ใช่แก แต่เป็นลูกสาวแกต่างหาก" คำพูดของพนัศได้สร้างความงุนงงให้กับทัศนัยขึ้นมา
"ทำไมแกถึงพูดอย่างนี้ว่ะไอ้นัศ" เขาเอ่ยถามด้วยความสงสัยและอยากรู้
"เพราะตอนนี้ลูกสาวแกกำลังแบกความทุกข์เหมือนกับที่คุณปรางค์เคยแบกเอาไว้ยังไงล่ะ"
แม้เรื่องเมื่อคืนมันผ่านพ้นไปแล้ว แต่มันยังคงวนเวียนอยู่ในสมองของทัศนัย ยิ่งต้องมารับรู้กับสภาพจิตใจของลูกสาวตอนนี้ ยิ่งทียิ่งปวดร้าวหัวใจ เป็นเพราะความคิดเห็นแก่ตัวของเขาทีเดียว ที่ทำร้ายจิตใจของคนถึงสองคนด้วยกัน ยิ่งกว่านั้นคือคนที่เขารักด้วยกันทั้งคู่ ต่อให้พนัศกับภาวิณีพูดว่าการที่นวลปรางค์ฆ่าตัวตายไม่ได้เป็นเพราะเขา แต่ถ้าเขาไม่มีความคิดที่เลวร้ายกับเธอ เธอก็คงไม่ด่วนจากเขาไป และลูกสาวคงไม่ต้องมามีสภาพผูกใจเจ็บเช่นทุกวันนี้ เขานึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อคืน ยิ่งคิดเหมือนยิ่งถูกเข็มทิ่มแทงลึกลงไปถึงขั้วหัวใจ
"ปรางค์!!คุณช่วยบอกผมที ผมควรจะช่วยลูกของเราให้หลุดพ้นจากสภาพเช่นนี้อย่างไรดี"
24 เมษายน 2549 21:19 น.
เรียงร้อยเป็นเรื่องราว
"ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ หวานมีความสุขดีแล้วหรือ!" หวานทวนคำถามของน้าสาวอยู่ในใจหลายรอบ แววตาของเธอที่เคยถูกน้าสาวมองว่าเต็มไปด้วยแรงแค้น ณ. ช่วงเวลานี้กลับฉายแววแห่งความสับสน
"ว่าไงล่ะหวาน" หวานรีบก้มหน้าลงทันที เมื่อถูกน้าสาวรุก ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตา ไม่รู้ว่าจะตอบน้าสาวเช่นไรดี ตลอดเวลาที่ไฟแห่งแรงแค้นของเธอลุกโชติช่วงอยู่ในหัวใจ ตลอดเวลานั้นเธอไม่เคยรู้สึกว่าสุขหรือทุกข์ คิดอย่างเดียวคือการแก้แค้น
"ตอนนี้หวานได้แก้แค้นพ่อเขาสำเร็จแล้วนะลูก" คำพูดของอุษาทำให้หวานต้องเงยหน้าขึ้นมองอย่างสงสัย
"เรื่องเมื่อคืนพ่อเขาเล่าให้น้าฟังหมดแล้ว และพ่อเขาก็สำนึกได้ด้วยตัวเองแล้วนะลูก"
"ทำไมน้าษาถึงคิดว่าเขาสำนึกแล้วล่ะคะ" หวานถามอย่างไม่มั่นใจ
"เพราะพ่อเขามองเห็นความผิดที่เขามองข้ามไปตลอดจากอดีตที่พรั่งพรูมาจากปากของหวาน ไงล่ะลูก"
"งั้นก็หมายความว่า เขารับรู้ได้ด้วยตัวเองแล้วใช่ไหมคะน้าษา เขารู้แล้วใช่ไหมคะว่า
เพราะความคิดที่เห็นแก่ตัวของเขาทำให้แม่จ๋าต้องตาย"
"หวานจ๊ะฟังน้าให้ดีนะ" อุษากล่าวพร้อมกับจ้องลึกลงไปในดวงตาของหลานสาว
"แม้ว่าพ่อเขาผิดที่ทำร้ายจิตใจแม่จ๋า แต่แม่จ๋าไม่ได้ตายเพราะพ่อ แม่จ๋าตายเพราะทำร้ายตัวเอง
แม่จ๋าของหวานสร้างความทุกข์ให้กับตัวเอง ๆ นะลูก หนูลองคิดให้ดีสิว่าเป็นอย่างที่น้าพูดไหม"
หวานไม่พูดอะไรออกมา เมื่อภาพอดีตที่เธอย้อนไปมันเห็นได้ชัดเจนอยู่แล้ว ในช่วงเวลานั้นที่เธอเห็นแม่ต้องทนทุกข์ทรมาน ร่ำไห้คร่ำครวญเสียอกเสียใจ กับการรอคอย ไม่ใช่เพราะพ่อ แต่เป็นแม่ของเธอเองต่างหากที่ทำร้ายตัวเอง อย่างที่ผู้เป็นน้าพูดไว้ เพราะตลอดเวลาที่เธอเห็นแม่ต้องมีสภาพเช่นนั้น ตลอดเวลานั้นพ่อเองไม่ได้มาอยู่ตรงนั้นเพื่อรับรู้ความทุกข์ของแม่แต่อย่างใด
"ไม่ใช่แต่แม่จ๋าของหวานเท่านั้น ตัวหวานเองก็กำลังสร้างความทุกข์ให้กับตัวเองอยู่นะลูก"
"หวานนี่หรือคะน้าษาที่สร้างความทุกข์ให้กับตัวเอง!"
"จ๊ะ ความทุกข์ที่หนูต้องการแก้แค้นพ่อเขาให้ได้ไงลูก และน้าก็เชื่อว่าต่อให้หวานแก้แค้นสำเร็จ หวานก็ยังคงทุกข์อยู่ดี"
ใช่แล้ว เป็นอย่างที่อุษาพูดไม่ผิด ถึงหวานจะรับรู้ว่า พ่อได้สำนึกกับความผิดที่ตัวเองทำไปแล้ว แต่ในใจของเธอยามนี้ ยังคงมีแต่ความทุกข์ เมื่อรู้ว่าเธอแก้แค้นสำเร็จ เธอกับไม่มีความรู้สึกดีใจแต่อย่างใด มันเป็นเพราะอะไรกันหรือ
"เป็นเพราะหนูไม่สามารถทำให้แม่จ๋ารับรู้ในสิ่งที่หนูทำได้ไงล่ะหวาน หนูรู้ว่าคนตายไปแล้ว
ไม่สามารถรับรู้อะไรได้ แต่หนูก็ยังดึงดันที่จะแก้แค้นพ่อเขาให้ได้เพื่อแม่ แต่จริงแล้วหนูทำเพื่อตัวหนูเองต่างหาก!!!"
"น้าษา!!!"
"เพราะคนที่หนูรักต้องมีสภาพแบบนี้ มันทำให้หนูต้องเจ็บปวด และความเจ็บปวดนี้ไง ที่ทำให้หนูรู้สึก
โกรธ เกลียด และคิดแก้แค้นพ่อเขา"
"โฮ....!!!!" หวานปล่อยโฮออกมาอย่างสุดกลั้น พร้อมกับโผเข้ากอดน้าสาว
"ตอนนี้อยากร้องไห้แค่ไหนก็ร้องออกมาให้พอ ร้องมันออกมาให้สะใจเลยลูก"
22 เมษายน 2549 21:15 น.
เรียงร้อยเป็นเรื่องราว
"สวัสดีคะคุณพ่อคุณแม่" พวกเด็ก ๆ ต่างยกมือไหว้คุณเกรียงไกรและคุณวัลภาพร้อมกับเสียงทักทายอย่างสดใส
"สวัสดีจ๊ะเด็ก ๆ " คุณวัลภารับไหว้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม คุณเกรียงไกรเองก็เช่นกัน แถมยังพูดจาแซวแม่กระเทยสาวอย่างเป็นกันเองอีกต่างหาก
"ไม่เห็นหนูตั้งนานดูสวยขึ้นเยอะนะเดนนี่"
"อุ๊ย! คุณพ่อปากหวานจังคะ เดนนี่ช๊อบ ชอบ คุณพ่อเองก็ยังดูนุ๊มมมหนุ่มอยู่เลยนะคะ
ดูหุ่นคุณพ่อสิคะยังเฟิร์มอยู่เลย"
"แม่เขาถึงได้หลงมาจนถึงทุกวันนี้ไง" คุณเกรียงไกรพูดแล้วก็หันไปส่งแววตาเป็นประกายให้ภรรยา
"แหม! คุณเนี่ยอายเด็ก ๆ เขานะคะ" คุณวัลภาพูดอย่างเหนียมอาย ภาพหยอกล้อของคนวัยผู้ใหญ่ สร้างรอยยิ้มให้พวกเด็ก ๆ ได้ยิ้มกันอย่างสุขใจ
"พอดีเพื่อน ๆ มาทำรายงานกันน่ะคะ" ชีสบอกพ่อและแม่ขึ้นมา
"งั้นตามสบายนะจ๊ะ เดี๋ยวแม่ยกขนมและน้ำหวานขึ้นไปให้"
"ขอบคุณคะ แต่พวกหนูเกรงใจน่ะคะ" แอนนี่กล่าวขึ้นมา ซึ่งเป็นที่ชื่นชมอยู่ในใจของคุณวัลภาไม่น้อย แม้เป็นลูกครึ่ง แต่เด็กสาวนัยน์ตาสีน้ำขาวกับมีความเกรงอกเกรงใจเฉกเช่นเดียวกับนิสัยคนไทย
"ขออนุญาตจัดการกันเองได้ไหมคะ" แอนนี่กล่าวถามด้วยท่าทางนอบน้อม ยิ่งเพิ่มความเอ็นดูให้คุณวัลภาเข้าไปอีก
"ตามสบายจ๊ะ ถือว่าเป็นบ้านของพวกลูก ๆ ก็แล้วกันนะจ๊ะ"
"เนี่ยหรอบ้านหลังนี้ที่พี่เรียวอยู่ บ้านหลังใหญ่จัง ถ้าคงรวยน่าดู" บิวพูดออกมา
"รวยสิทำไมจะไม่รวย แม่เป็นเจ้าของร้านเพชรอยู่ที่อเมริกา ส่วนพ่อพี่เรียวเป็นโปรแกรมเม่อร์แถมยังเปิดโชว์รูมขายเบนซ์อยู่ที่โน้นอีก" พอชีสสาธยายมาเท่านั้นแหละ ต่างพร้อมใจกัน
"โอ้โฮ้!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!"ออกมาอย่างตะลึงกันเลยทีเดียว
"แต่โทษทีนะ เห็นพี่แกคาบช้อนทองออกมาจากท้องแม่อย่างนี้ ทำตัวยังกะยาจก ไม่รู้ว่าทุกวันนี้รู้ตัวเปล่าไม่รู้ว่าเป็นลูกคนรวย"
"ดีแล้วนี่คนติดดินแบบนี้ ถ้าทำตัวฟุ้งเฟ้อหล่อนก็คงไม่ชอบพี่เขาหรอก"เดนนี่พูดขึ้นมาอย่างรู้ใจเพื่อน
"แน่นอน..มารีบ ๆ ทำรายงานกันเถอะ"
"ดีเหมือนกันมัวชักช้าเดี๋ยวกลับบ้านดึกกันพอดี" โรสพูด
"เดี๋ยวลงไปเอาขนมกะน้ำหวานมาให้ ปะ เดนนี่ไปช่วยกัน" แล้วชีสกับเดนนี่ก็ลงไปเอาขนมกับน้ำหวานกันข้างล่าง
"บ้านอยู่ติดกันดีนี่หว่า" กวางพูด และนี่เป็นการบังเอิญ หรือเพราะสวรรค์ลิขิตมิอาจหยั่งรู้ได้ เมื่อนายเรียวได้พานายต้นและนายกวางที่ร่ำร้องอยากเจอหน้าว่าที่แฟนเพื่อนให้ได้มาที่บ้าน
"อยู่ติดกันอย่างนี้สิ มันถึงได้ปีนหน้าต่างมาหาข้าน่ะ"
"เฮ้ย!"ต้นและกวางต่างส่งเสียงร้องออกมาเกือบพร้อมกัน
"ไม่ต้องเฮ้ย บอกแล้วไงว่ามันน่ะแก่นแก้วเกินใคร เรื่องปีนป่ายโลดโผนขอให้บอก แม่คุณเชี่ยวชาญนักหนา
เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาก็ขึ้นไปซ่อมหลังคาด้วยตัวเองเชียวนะเว้ย" ยิ่งฟังนายเรียวเล่าเช่นนี้ทำให้เพื่อนทั้งสองยิ่งอยากเจอชีสมากขึ้นทุกที
"ดูเหมือนพี่เรียวจะกลับมาแล้วนะชีส"บิวพูดเมื่อเห็นไฟในห้องนายเรียวเปิด
"ไหน เอ่อจริงด้วย" แล้วแม่สาวน้อยก็ลุกไปที่หน้าต่าง ตะโกนเรียกนายเรียวอย่างอาจหาญ
"พี่เรียว..พี่เรียวจ๋าาาาาาาาาาาาาาา"
"นี่ไงเสียงนี้แหละคนที่ข้ากำลังนินทาให้พวกเอ็งฟัง" นายเรียวบอกแล้วก็ลุกไปที่หน้าต่างตามด้วยนายต้นและนายกวาง
"พี่เรียวสองคนนั่นใครน่ะไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย" แม่สาวน้อยเล่นเอานายต้นกับนายกวางแทบอึ้ง เมื่อมาเจอกับการถามซึ่ง ๆ หน้าแบบนี้ แถมยังมองพวกตนโดยไม่มีการหลบสายตาอีกด้วย
"เพื่อนพี่"นายเรียวบอกขณะเดียวกับที่เดนนี่ บิว โรส และแอนนี่โผล่หน้ามาพอดี
"อ้าวนี่พวกโรสก็มาด้วยหรอ"
"คะพี่เรียวคิดถึงจังคะ" พอเจอหน้าแม่กระเทยสุดสวยก็ปากหวานขึ้นมาทันที
"จะตะโกนคุยกันอย่างนี้หรอว่ะ" ต้นถามเมื่อรู้สึกเกรงใจเพื่อนบ้านขึ้นมา
"เดี๋ยวพี่กะเพื่อนไปหาที่บ้านนะ"
"ดีคะจะได้ปรึกษาเรื่องรายงานด้วย"
"พวกลูก ๆ เอารายงานมาทำข้างล่างกันสิจ๊ะ ออกไปทำกันที่ม้านั่งตรงหน้าบ้านก็ได้จ๊ะ อากาศกำลังเย็นสบายเลย" คุณวัลภาเสนอ ซึ่งพวกเด็ก ๆ เองก็ไม่ขัดข้องในความหวังดีแต่อย่างใด
"พี่ต้นนี่เก่งจังนะคะ" บิวกล่าวชม เมื่อนายต้นอธิบายเรื่องรายงานอย่างคนเชี่ยวชาญ
"ไม่หรอกน้องบิว พอดีช่วงที่พี่เคยอยู่ม.ปลายเคยทำรายงานเรื่องนี้มาเหมือนกัน"
"อ้าวหรอคะบังเอิญดีจังเลยนะคะ"ชีสพูดขึ้นมา
"แต่น้อง ๆ ครับอย่าหาว่าพี่โอ้อวดเพื่อนเลยนะครับ ไอ้ต้นเพื่อนพี่คนนี้
เรื่องรายงานได้ที่หนึ่งตลอด" นายกวางกล่าวออกมา
"จริงหรอคะ" แอนนี่หันมาทางนายต้น
"ครับ" นายต้นกล่าวอย่างภาคภูมิใจ
ถ้าว่าความหวังที่จะได้แรงสนับสนุนจากเพื่อน ๆ ของชีสสำหรับนายเรียวนั้น คิดว่าไปได้สวยเลยทีเดียวเชียวคะคุณผู้อ่านที่น่ารักของดิฉันขา แบบว่าเด็ก ๆ เขาสนิทสนมกันรวดเร็วปานสายฟ้า น่ายกย่องเนอะคะ ผูกมิตรฉันท์เพื่อน ดีกว่าสร้างศรัตรูให้เพิ่มพูน แหม..อีกฝ่ายก็ตั้งใจทำรายงาน อีกฝ่ายก็ตั้งใจอธิบาย เครียดนักก็พากันพูดคุยกระเซ้าเหย้าแหย่กัน น่ารักคะ น่ารักม๊ากกกก และดูท่าว่านายเรียวมีหวังอย่างแน่นอน คนเขียนอย่างดิฉัน ขอฟันธงคะ!!!! อย่าคิดว่าพวกเพื่อน ๆ ของน้องชีสเอาแต่คุยกับนายเรียวนะคะ แอบศึกษาและสังเกตพฤติกรรมรวมไปถึงนิสัยเบื้องต้นของนายเรียวไปด้วยคะ มาแอบมีใจให้เพื่อนรักอย่างนี้ จะปล่อยคนสะเปะสะปะเข้ามาเป็นแฟนเพื่อนได้ไงล่ะคะ มันก็ต้องคัดสรรคนดี ๆ เพื่อเพื่อนกันหน่อย และนายเรียวนี่แหละคะที่ทำให้เพื่อน ๆ ของชีสต่างมั่นใจว่า คนนี้แหละใช่ของเพื่อนเลย
22 เมษายน 2549 13:22 น.
เรียงร้อยเป็นเรื่องราว
เห็นไหมนั่น..พวกเธอดูดิสายตาแบบนั้นมันชัดเจนอยู่แล้วว่าพี่เรียวคิดยังไง
กะยายชีส โรสพูดในเช้าวันหนึ่ง ขณะชวนเพื่อนให้ดูเรียวที่กำลังคุยอยู่กับ
ชีส
มันแตกต่างจากที่มองเธอในผับวันนั้นมากเลยนะยายโรส บิวพูดออกมา
โรสมันสวยของธรรมดาที่จะถูกมอง เดนนี่พูดขึ้นมา
วุ้ยยย!!! ดูดิ..ฉันชักหมั่นไส้ยายชีสแล้วนะนี่ มันจะรู้ตัวหรือเปล่าเนี่ย แอ
นนี่พูดขึ้นมา
เธอก็ลองถามมันดูดิ นั่นไงเดินยิ้มแฉ่งมาโน้นแล้ว โรสพูดพร้อมกับที่ชีสกำลัง
เดินยิ้มเข้ามา
ไงยะ เดี๋ยวนี้มีคนขับรถส่วนตัวแล้วหรอ โรสพูดเป็นแกมแซว แต่คนถูกแซว
กับไม่รู้ตัวสักนิด พยักหน้าหงึก ๆ แล้วก็พูดออกมาว่า
อือ..ไหน ๆ ก็ต้องมาทางเดียวกันแล้ว เลยขออาศัยมาด้วยเลย
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ดิฉันขี้เกียจขับรถด้วยน่ะคะ
อีกอย่างหล่อนจะได้ใกล้ชิดพี่เรียวเขาด้วยน่ะดิ เดนนี่พูดขึ้น
อืมม์ใช่
ถามอะไรหน่อยสิชีสบิวเอ่ยปากขึ้นมา
ถามมาดิ ตอบได้ก็ตอบ ตอบไม่ได้ก็ไม่ตอบ
เธอชอบพี่เรียวป่ะ
ชอบ ไม่ต้องแปลกใจคะ นางเอกเรื่องนี้ของดิฉันเป็นอย่างงี้แหละคะ พูดจาตรง
ไปตรงมา ใจคิดอะไรก็พูด สีหน้าตอนนี้ความเหนียมอายไม่มีสักนิด เฉยแบบ
สุด ๆ
ไอ้ที่บอกว่าชอบน่ะชอบแบบไหนย่ะแฟนหรือว่าแค่พี่ชาย แอนนี่ถาม
แฟนดิ
เป็นคนเก็บอะไรไม่มิดอย่างยายชีสมันเนี่ย พวกหล่อนคิดว่าพี่เรียวจะรู้ป่ะ แอ
นนี่หันหน้ามาถามความเห็นกะโรส บิว และเดนนี่
โอ๊ย! ไม่รู้หรอก ชีสส่งเสียง
ชีสไม่บอก พี่เรียวเขาไม่รู้หรอก
นี่ยายชะนีน้อย เรื่องพวกนี้ไม่จำเป็นต้องบอกเขาก็รับรู้กันด้วยใจได้ย่ะ เดน
นี่พูดเป็นเชิงสอนสั่ง
อ้าวหรอ!
ใช่สิย่ะ ใครเขาจะโจ่งแจ้งแบบหล่อนล่ะ แม่กระเทยสาวยังพูดต่อ
ฉันว่าพี่เรียวเขารู้อยู่แล้วล่ะว่าเพื่อนเลิฟเรามันคิดไง
ว่าแต่มันเถอะจะรู้หรือเปล่าว่าพี่เรียวเขาคิดยังไงกะมัน บิวพูดขึ้นมา
ไม่รู้เหมือนกัน ชีสพูดแล้วพูดต่อไปว่า
เงียบ ๆ ขรึม ๆ อย่างพี่เรียวดูไม่ออกหรอก แล้วที่พวกเธอพูดมาเนี่ย
รู้หรอว่าพี่เรียวคิดไงกะชีส"
"ของอย่างนี้มาถามคนอื่นมันไม่มีความหมายหรอกนะชีส
มันต้องรับรู้ด้วยตัวเองถึงจะมีความหมายและมีค่าในตัวมันเอง" โรสพูดขึ้นมา
ณ. ม้าหินใต้ต้นหูกวางแถว ๆ คณะวิศวกรรม
"ไอ้ที่เคยบอกว่ายังไม่มีแฟน เพราะแอบชอบน้องแถวบ้านอยู่หรอว่ะ" กวางพูด
ด้วยความสนใจ แต่เรื่องแบบนี้คงไม่ได้มีแต่นายกวางคนเดียวที่สนใจ
"ชื่ออะไรว่ะน้องที่เอ็งแอบชอบน่ะ แล้วสวยไหม หุ่นล่ะเป็นไง" ต้นถามด้วยความ
อยากรู้
"หน้าตาก็ดี ไม่จัดว่าสวย แต่นิสัยเอาเรื่องทีเดียว" เรียวบอกขึ้นมา
"ไงว่ะที่ว่าเอาเรื่องเนี่ย" ต้นถามต่ออย่างสนใจ
"พวกเอ็งเคยดูละครน้ำเน่าสไตล์นางเอกเป็นลูกสาวกำนันป่ะ
ละครแก่นยังไง ยายชีสของข้า ก็แบบนั้นเลย"
"ฮ่า..ฮ่า..ฮ่า..ก็น่ารักไปอีกแบบนะเว้ย ชื่อชีสเสียด้วย
ชื่อน่ารักดีนี่ แล้วแอบ ชอบน้องเขาแบบนี้ แล้วน้องเขาล่ะมีแฟนหรือเปล่า
ไม่ใช่ไปแอบชอบสุ่มสี่สุ่มห้าเข้านะเว้ย" ต้นพูดพลางถามขึ้นมา
"ไม่มีใครกล้าจีบหรอก นอกจากข้า"
"แล้วนี่น้องเขารู้เปล่าว่าเอ็งมีใจให้เขา"
"ไม่รู้หรอก แต่ข้าน่ะรู้ว่าเขามีใจให้ข้า"
"อ้าววว! นี่น้องเขาก็มีใจให้เอ็งเหมือนกันหรอ"
"เอ่อ ตอนแรกข้าไม่รู้หรอก แต่นิสัยน้องเขาเป็นคนตรง ๆ เปิดเผย
ก็เลยดูออกว่าเขาคิดยังไง"
"ในเมื่อน้องเขาชอบเอ็งเหมือนกัน ก็บอกความรู้สึกกะเขาน้องเขาไปเลยสิว่ะ
จะได้ตกลงเป็นแฟนกันเสียที"
"ข้าจะไม่บอกเขาหรอกว่ะ"
"อ้าวววว!!!! ทำไมล่ะว่ะ" นายกวางที่เงียบอยู่นานส่งเสียงถามอย่างแปลกใจ
"ข้าอยากให้เขารับรู้ด้วยตัวเองว่ะ"
"ก็ดี อีกอย่างเอ็งจะได้ไม่เสียฟอร์ม เกิดน้องเขาเปลี่ยนใจ say noขึ้นมาด้วย
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เราสองคนก็มากุ๊กกิ๊กกันไปพลาง ๆ ก่อนก็ได้นะฮ้า"
แล้วนายกวางก็ไม่วายที่จะตบท้ายด้วยคำพูดและสีหน้าเป็นเชิงหยอกเล่นกะ
นายเรียว
"แต่เอ็งก็ไม่ควรปล่อยไว้เนิ่นนานนะเว้ย ดีไม่ดีมีม้ามืดมาจากไหนไม่รู้
เดี๋ยวก็ได้กินแห้วหรอก" ต้นพูดอย่างเป็นห่วง
"ข้าก็กลัวอยู่เหมือนกัน"
"เอางี้ช่วงที่ดู ๆ กันไปก่อนนี้ เราก็ค่อย ๆ หาวิธีที่จะให้น้องเขารับรู้ให้ได้
โดยที่เอ็งไม่ต้องเสียฟอร์มแต่อย่างใด" ต้นกล่าวขึ้นมา
"เฮ้ยพาน้องชีสเขามาแนะนำให้พวกข้ารู้จักบ้างสิ เอาเพื่อน ๆ น้อง
เขาที่ไปผับด้วยกันมาด้วยก็ได้" นายกวางส่งเสียงบอกด้วยความที่อยากเห็น
หน้าคนที่เพื่อนแอบชอบว่าจะเป็นยังไง
"เอ่อ พวกเรารู้จักเพื่อนน้องเขาด้วยก็ดีเหมือนกัน ถ้าเพื่อนน้องชีส
เขาเชียร์เอ็ง จะได้มีพวกรวมหัวกันช่วยเอ็งด้วย"
"แล้วถ้าเกิดพวกเพื่อนชีสเขาไม่เชียร์ข้าขึ้นมาล่ะว่ะไอ้ต้น"
"ของอย่างนี้มันก็ต้องขึ้นอยู่กับเอ็งแล้วเว้ยว่าทำไงจะให้เพื่อน ๆ
น้องชีสเขาเชียร์เอ็งน่ะ"