4 เมษายน 2549 21:25 น.
เรียงร้อยเป็นเรื่องราว
"พี่เรียว"
"เฮ้ย!ชีสยะ..
ยังไม่ทันที่เรียวจะขยับปากห้ามไว้ทัน ร่างสมส่วนของแม่สาวน้อยวัยกระเตาะก็หล่นดังตุ๊บ!ลงมาบนที่นอนจากทางหน้าต่างของอีกฝั่ง
"เพี๊ยะ!"
"โอ๊ย!เจ็บนะพี่เรียว มาตีก้นชีสทำไมน่ะ"
"ก็ตีให้เจ็บน่ะสิ ประตูมีไม่รู้จักใช้ เดี๋ยวเหอะ สักวันแข้งขาจะหักเอา
"อะโด่..ชีสสะอย่าง"
"ชีสสะอย่าง แหม!มันน่านัก ขออีกสักทีเถอะ"
คราวนี้แม่สาวน้อยไม่ยอมให้โดนอีกง่าย ๆ เบี่ยงตัวหลบทันทีด้วยความเร็วจี๋ แถมยังยักคิ้วหลิ่วตาล้อเลียนอีกต่างหาก แต่แทนที่เรียวจะโกรธ กับรู้สึกขันขึ้นมา กับท่างทางเป็นลิงเป็นค่างของเจ้าหล่อน
"เจ้าเด็กทะเล้น!"เรียวพูดพร้อมกับส่ายหน้าอย่างขำ ๆ
"แก่นกระโหลกอย่างนี้เดี๋ยวไม่มีใครขอแต่งงานหรอก"
"ไม่มีใครขอ ชีสก็ขอพี่เรียวแต่งงานเองก็ได้"
แม่สาวน้อยลอยหน้าลอยตาพูดออกมา โดยไม่เอะใจสักนิดว่า ได้ทำให้หัวใจของผู้ฟังนั้นรู้สึกหวาบหวิวอยู่ลึก ๆ
"แล้วนี่มาเอาอะไรอีกล่ะ"
"เห็นพี่เรียวบอกว่าซื้อเกมส์มาใหม่เลยมาขอยืมน่ะ"
"ซื้อมาหลายเกมส์เหมือนกัน เดี๋ยวหยิบมาให้เลือก"
ว่าแล้วเรียวจึงเดินไปยังตู้โชว์ที่ตอนนี้ถูกดัดแปลงเป็นตู้เก็บแผ่นเกมส์เป็นที่เรียบร้อยไปแล้ว
"เอ้านี่เลือกเอาตามใจชอบเลย เฮ้ย!ทำอะไรน่ะ!"
"ถามได้ ดูหนังสืออยู่น่ะสิ"
ดูเหมือนแม่สาวน้อยไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับเขาเลย ยังคงดูหนังสือที่ไร้ตัวอักษร มีเพียงภาพเหล่าสาวงามที่อยู่ในท่วงท่าอิริยาบทต่าง ๆ ทว่าเครื่องอาภรณ์ที่สวมใส่กับน้อยชิ้นนัก เรียวไม่อยากเชื่อเลยว่า แม่สาวน้อยคนนี้จะนั่งดูได้อย่างหน้าตาเฉย แถมบางทียังยิ้มออกมาอีก แค่นี้ยังไม่พอ ไม่รู้ไปเปิดเจอภาพไหนถูกอกถูกใจเข้า ถึงได้หัวเราะร่าออกมา อย่างชอบใจ
"เฮ้ย!นี่วางได้แล้ว ไม่ใช่หนังสือที่ควรจะดูเลย"
"ทีพี่เรียวยังดูได้"
"พี่เป็นผู้ชาย แต่ชีสเป็นผู้หญิง"
"ผู้ชาย ผู้หญิงแล้วไง ผู้ชายทำอะไรได้ ผู้หญิงก็ทำได้เหมือนกัน"แม่สาวน้อยพูดพร้อมกับย่นจมูกอย่างขัดใจนิด ๆ
"เอ้านี่ เชิญเลือกตามสบายครับองค์หญิง"
ขณะที่ชีสกำลังเลือกแผ่นเกมส์อยู่นั้น เรียวเองก็ได้ใช้ช่วงเวลานี้ แอบมองพร้อมรอยยิ้มอย่างสุขใจ ไม่ว่าด้วยหน้าตา สีผิว สาวน้อยคนนี้ช่างเหมือนเด็กญี่ปุ่นเหลือเกิน ครั้งแรกที่ได้เจอ เขาเองเคยเข้าใจผิดคิดว่า เป็นเด็กญี่ปุ่นจริง ๆ เสียอีก
"ชีสเอาสองอันนี้แหละ"
แก้มที่แดงตามธรรมชาติของมันอยู่แล้ว กับยิ่งแดงขึ้นอีก เมื่อพบว่าตัวเองกำลังถูกมองจากสายตาคมเข้ม ที่ทำให้ผู้ถูกมองไม่เข้าใจว่า เหตุใดจึงรู้สึกประหม่าและหวั่นไหวยิ่งนัก
"ชีส..เฮ้!อยู่กับพี่เรียวเปล่า"
ความรู้สึกของชีสต้องหยุดชะงักลงพร้อมกับเสียงเรียกเธอจากใครสักคนดังอยู่ข้างล่าง เป็นเสียงของนายเบิ้มนั่นเอง ที่กำลังเรียกเธออยู่ สาวน้อยลุกไปดูที่หน้าต่างเห็นนายเบิ้มยืนอยู่กับเพื่อนอีกสองสามคน ซึ่งกำลังเงยหน้าขึ้นมาบนนี้
"ไปเล่นเตะบอลกันเปล่าลูกเพ่สุดสวย"เบิ้มส่งเสียงชวน
"ไป ๆ รอแป๊บนะ พี่เรียวไปเตะบอลกันไหม"ชีสส่งเสียงบอกพลางหันมาชวนเรียว
"ไม่ล่ะ"เรียวปฏิเสธตามด้วยเหตุผลที่ว่า
"วันนี้พี่มีรายงานพรึ่บเลย ต้องส่งอาทิตย์หน้าด้วย"
"งั้นคนสวยไปแล้วนะ"พอคล้อยหลังแม่สาวน้อย เรียวก็ได้เอ่ยปากถามตัวเองอย่างข้องใจว่า
"คิดผิดเปล่าว่ะเรา"แต่ก็เผลอยิ้มอย่างสุขล้น
"ว่าไงนะเมื่อกี้บอกแม่ว่าจะไปไหนนะ"คุณวัลภาเอ่ยถามลูกสาวอีกครั้ง เพราะไม่แน่ใจว่าเมื่อสักครู่ที่ตนได้ยินนั้นผิดหรือเปล่า
"ไปเตะบอลคะ"โดนลูกสาวตอบเท่านี้แหละ ร่างของคุณวัลภาแทบล้มทั้งยืน
"ต๊าย!ตายจริงแม่ลูกสาวคนเดียวของฉัน"คุณวัลภาร้องออกมาพลันเอามือทาบลงไปบนอก
"จะเล่นอะไรให้มันเป็นกุลสตรีหน่อยไม่ได้หรอลูก"
"ไม่ได้คะ"ชีสตอบผู้เป็นแม่อย่างหน้าตาเฉย ทำเอาผู้เป็นพ่อที่ยืนอยู่แถวนี้ด้วยต้องหัวเราะออกมา
"นี่!คุณขำอะไรคะ"คุณวัลภาหันไปถามผู้เป็นสามีด้วยอารมณ์ขุ่นนิด ๆ
"จะขำอะไร ผมก็ขำแม่ลูกสาวจอมแก่นของเราน่ะสิ
ท่าว่าช่วงที่ผมไปดูงานที่อเมริกาตอนนั้น คุณคงต้องแอบเล่นชู้
กับท่านหนุมานแน่ ๆ"คุณเกรียงไกรพูดเป็นทำนองตลกออกมา พลางหันไปทางลูกสาว
"แล้วอย่ากลับให้มืดนะลูก พรุ่งนี้ต้องไปเรียน"
"คะพ่อ"ชีสรับคำแล้ววิ่งไปจากตรงนี้อย่างเร็ว ด้วยกลัวที่ว่าแม่จะไม่ยอมให้ไปเล่น
"เอ๊ะ!นี่คุณแทนที่จะห้ามลูกกับสนับสนุนนะคะ ฉันไม่พูดกับคุณด้วยแล้ว เข้าบ้านดีกว่า"คุณวัลภาอดที่จะลอบค้อนสามีไม่ได้ก่อนพาร่างเจ้าเนื้อนิด ๆ ของตนเข้าบ้านไป
4 เมษายน 2549 11:49 น.
เรียงร้อยเป็นเรื่องราว
ยายจ๋า! หวานส่งเสียงร้องเรียกผู้เป็นยายอย่างดีใจ พร้อมกับวิ่งเข้าไปหา
คิดถึงยายจังเลย ร่างน้อย ๆ โผเข้ากอดยายด้วยความรู้สึกคิดถึงเกินจะห้ามใจ
ยายคิดถึงหวานหรือเปล่าจ๊ะ เด็กน้อยถามแกมประจบ ทำให้ผู้ที่อยู่ในบ้านอีกคน ต้องส่งเสียงกระแอมขึ้นด้วยความหมั่นไส้แกมเอ็นดู ก่อนจะโผล่ออกมาให้เห็น
อะ! น้าษา ทันทีที่เห็นน้าสาว หวานรีบผละจากยายไปกอดน้าสาวทันที
แหม!ช่างออดอ้อนฉอเลาะจริงนะ แม่หลานสาวตัวจ้อยของฉัน ไม่พูดเปล่าอุษายังขยี้ผมหลานสาวไปด้วยความเอ็นดู ทัศนัยที่ยืนอยู่โดยยังไม่พูดอะไรออกมาสักคำ เปิดยิ้มอย่างสุขใจกับภาพอันแสนอบอุ่นนี้
พี่ษากลับมาจากต่างจังหวัดเมื่อไรกันครับ ทัศนัยเอ่ยถามขณะเดินเข้าบ้านกับทุกคน
เมื่อคืนวาน
แล้วหนนี้จะอยู่นานแค่ไหนครับ
ตลอดชีวิต..ฉันทำเรื่องขออยู่ที่นี่เรียบร้อยแล้ว เป็นห่วงแม่น่ะ อุษาพูดพลางหันไปถามหลานสาวที่กำลังพูดกับยายอยู่ว่า
คืนนี้หวานนอนกับยายนะจ๊ะ
แล้วน้าล่ะหวานไม่อยากนอนกับน้าด้วยหรอ
เวรน้าษาพรุ่งนี้จ๊ะ
กิจการงานเป็นอย่างไรบ้างล่ะ อุษาเอ่ยถามขึ้นมา ตอนนี้ทั้งเธอและทัศนัยกำลังอยู่ตรงแปลงต้นโป๊ยเซียนหลังบ้าน ปล่อยให้หวานกับยายช่วยกันทำกับข้าวไป
เรื่อย ๆ ครับพี่ ๆ ษาครับผมพอจะถามอะไรพี่หน่อยได้ไหม
ว่ามาสิ
ช่วงที่ปรางค์ยังอยู่ ยัยหวานมีปัญหาอะไรหรือเปล่า
ไม่มีนี่ ยัยปรางค์มันเลี้ยงลูกของมันดีจะตาย รักราวกับไข่ในหิน
มันเคยงอนฉันอยู่เป็นนาน เพราะไปตีลูกมันนี่แหละ แล้วว่าแต่
แกเหอะมาถามฉันทำไม ยัยหวานมันดื้ออะไรกับแกงั้นหรือ
แกมีปฏิกิริยาต่อต้านผมน่ะครับ
แล้วได้ถามสาเหตุกับแม่เขาเปล่าล่ะ
ถามครับ แต่แม่บอกว่าผมจะรู้ได้ด้วยตัวผมเอง
อือ..แม่เขาก็พูดถูกแล้ว เมื่ออุษาพูดจบ จึงได้มีเสียงแจ๋ว ๆ ของแม่หลานสาวเรียกให้ทานข้าว
น้าษาจ๋า! ยายเรียกทานข้าวจ๊ะ
ณ. ที่โต๊ะอาหาร..
อร่อยจัง! หวานกล่าวออกมา
เอ..แล้วระหว่างฝีมือยายกะพ่อของใครจะทำอาหารอร่อยกว่ากันนะ คำพูดของผู้เป็นยายทำให้หวานนิ่งเงียบโดยฉับพลัน
ยายถามทำไมไม่ตอบล่ะหวาน อุษาถามหลานสาวด้วยน้ำเสียงฟังดูดุนิด ๆ แต่หวานยังคงไม่ตอบ ก้มหน้าก้มตาเคี้ยวข้าวอยู่อย่างนั้น
ทำตัวไม่น่ารักเลยนะเรา จะเกลียดพ่อเขาไปถึงไหน อดีตมันผ่านไปแล้วนะ
อีกอย่างมันไม่ใช่เรื่องที่เด็กอย่างเราจะเข้าไปยุ่ง อุษาส่งเสียงดุหลานสาวที่ขณะนี้กำลังน้ำตาคลอหน่วย
เป็นเด็กควรอยู่ส่วนเด็กอย่าทำตัววุ่นวายให้มากความ!
แต่คนที่ตายเป็นแม่ของหนู! หวานโพลงใส่หน้าน้าสาวทั้งน้ำตา ก่อนจะลุกพรวดพราดขึ้นจากเก้าอี้
ยัยหวาน!
แม่ไม่ต้องตามไปโอ๋มันหรอกเคยตัว
ท่ามกลางบรรยากาศที่ตึงเครียด มีเสียงของทัศนัยถามออกมาว่า
เป็นเพราะผมใช่ไหมครับ
3 เมษายน 2549 20:43 น.
เรียงร้อยเป็นเรื่องราว
ทัศนัยครุ่นคิดไปถึงคำพูดของแม่ยายเมื่อหลายวันก่อน ด้วยความไม่เข้าใจนักว่า เหตุใดนางจึงพูดเช่นนั้น ตัวเขาน่ะหรือที่จะให้คำตอบตัวเองได้ ทั้งที่เขายังไม่รู้เลยว่า เพราะอะไรที่ทำให้ลูกสาวจงเกลียดจงชังเขามากมายขนาดนี้ ทำไมเมื่อตอนวันงานศพ เขาถึงได้ถูกลูกสาวตราหน้าว่าเป็นฆาตกร เขาน่ะหรือทำให้นวลปรางค์ต้องนอนร้องไห้ทุกคืน มันจะเป็นไปได้อย่างไร เมื่อตอนจบกัน เขาทำเลวกับเธออย่างที่อยากให้อภัย จึงไม่มีทางที่เธอจะร้องไห้เพื่อผู้ชายอย่างเขาแน่นอน แล้วอะไรล่ะที่เป็นสาเหตุทำให้เธอต้องฆ่าตัวตาย
"ก๊อก! ก๊อก!"
เขาสะดุ้งเมื่อเสียงเคาะประตูทำลายความคิดเขาให้หยุดชะงักลง ร่างที่แบกน้ำหนักที่เขาเดาว่า 70กว่ากิโล เดินนวยนาดพร้อมกับแฟ้มเอกสารตรงเข้ามาหาเขา
"มีเอกสารมาให้ผู้จัดการเซ็นคะ"
ด้วยความเป็นคนรอบคอบของเขา ทัศนัยจึงอ่านรายละเอียดทั้งหมดของเอกสาร ก่อนที่จะลงมือเซ็น
. . .
"นี่..พวกเธอวิ่งให้ช้าลงหน่อยได้ไหม"
หวานส่งเสียงบอกเพื่อน ๆ ขณะกำลังวิ่งไล่จับกันอยู่
"ขีนวิ่งช้าเธอก็จับพวกฉันได้สิจ๊ะคุณชมพู"
ตุ๊กตาส่งเสียงพูดออกมา ตามด้วยฉายาของหวานที่เพื่อน ๆ ช่วยกันตั้งตามสีผิวที่เด่นชัดของหวาน
"อ้าว! นี่หวานกำลังไล่จับพวกเธออยู่หรอนี่"
คำพูดของหวานทำให้ไอซ์ต้องหยุดวิ่ง แล้วหันมามองอย่างสงสัย
"ก็ใช่น่ะสิยะ แล้วคุณเธอคิดว่ากำลังไล่จับอะไรอยู่ล่ะ"
ไอซ์ยืนท้าวสะเอวพูด ท่าทางของแม่หนูตอนนี้ ช่างน่ารักน่าหยิกนักเชียว
"ลิง!"
พอสิ้นเสียงของหวาน จากที่เป็นผู้ไล่ก็ได้กลายเป็นผู้หนีโดยอัตโนมัติ
"หนอยแน่..มาให้พวกเราจับเสียดี ๆ"
"ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า!"
หวานไม่รู้ตัวเลยว่า ความร่าเริงและเสียงหัวเราะอันสดใสของเธอยามนี้ ได้อยู่ในสายตาของภาวิณีตลอดเวลา
มันคงจริงอย่างที่พนัศเคยพูดไว้ บางทีกับสิ่งที่ภาวีณีเคยเห็น คือความรู้สึกที่คิดไปเอง วันใดที่เด็กน้อยปรับตัวได้ วันนั้นทัศนัยจะได้เห็นความสดใสของเจ้าหญิงน้อย ๆ คนนี้เหมือนกับที่เธอกำลังเห็นอย่างแน่นอน
. . .
"นี่พวกเธอเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเห็นผู้จัดการควงสาวคนไหนให้เห็นเลยเนอะ"
"อืมม์ นั่นน่ะสิ เอ..หรือว่ายังไม่ยอมเปิดตัว เพราะหมู่นี้ผู้จัดการพอแก
เลิกงานปุ๊บก็กลับปั๊บ สงสัยคงไปหาเด็ก"
"อืมม์ ใช่ไปหาเด็ก และถ้าว่าคนนี้ ผู้จัดการรักมากกว่าคนไหน ๆ
เสีย ด้วย"
"จริงหรือพี่พงษ์"
คำพูดของนายพงษ์สร้างความสนใจให้พวกสาว ๆ ที่กำลังนั่งนินทาทัศนัยไม่น้อยทีเดียว
"แล้วพี่พงษ์รู้เปล่าว่าเป็นใคร"
"ก็ลูกสาวไงล่ะ"
. . .
"ไปแล้วนะ พรุ่งนี้เจอกัน"
หวานส่งเสียงบอกเพื่อน ๆ พร้อมกับโบกไม้โบกมือ ก่อนจะวิ่งไปหาพ่อที่จอดรถรออยู่ และทันทีที่มาถึงหวานก็หุบยิ้มอันสดใสของเธอลงทันที
"เมื่อไรพ่อถึงจะมีโอกาสเห็นหนูยิ้มเหมือนที่หนูยิ้มให้เพื่อน
สักทีล่ะหวาน"
ทัศนัยถามเมื่อลูกสาวเข้ามานั่งในรถเป็นที่เรียบร้อย ไม่มีคำตอบจากหวาน เธอมองหน้าพ่อนิ่ง สักพักจึงหันหน้าหนีไปทางหน้าต่างรถ
"ไม่เป็นไร พ่อจะอดทนรอวันที่หนูยิ้มให้พ่อนะครับ"
หวานเม้มริมฝีปากตัวเองแน่น ดวงตาทั้งสองข้างเปลี่ยนเป็นกร้าวแข็งอย่างฉับพลัน
"ไม่มีวัน..ไม่มีวันที่หวานจะให้คนใจร้ายที่ทำลายจิตใจ
แม่จ๋ามีความสุขตลอดเวลาที่หวานยังอยู่กับเขาแน่นอน
แม่จ๋าเจ็บแค่ไหน เขาก็ต้องเจ็บกว่าแม่จ๋าเป็นล้านเท่า!"
2 เมษายน 2549 17:58 น.
เรียงร้อยเป็นเรื่องราว
"เดี๋ยวตอนเย็นพ่อมารับนะครับ"
ทัศนัยยื่นหน้าออกมาบอกทางหน้าต่างรถ หวานพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ ยกมือไหว้พ่อแล้วจึงเดินเข้าโรงเรียนไป
. . .
"นักเรียนคะวันนี้ครูมีเพื่อนใหม่มาแนะนำให้รู้จักด้วยนะคะ"
ภาวิณีบอกกับนักเรียนประจำชั้นของเธอ พลางหันไปพยักหน้าให้นักเรียนใหม่ที่ยืนอยู่ข้างนอกเดินเข้ามาในห้อง
"แนะนำตัวกับเพื่อน ๆ สิจ๊ะ" ภาวิณีบอกพร้อมกับยิ้มให้
"สวัสดีคะ ชื่อเบญจลักษณ์ หรือจะเรียกว่าหวานก็ได้นะ"
หวานแนะนำตัวเองออกมา น้ำเสียงที่พูดออกมาฟังดูเขินอายนิด ๆ แต่สายตาของหวานกับหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ หวานกล้าที่จะกวาดตามองเพื่อนทุกคนที่นั่งอยู่ ด้วยสายตาที่บ่งบอกความเป็นกันเองของเธอที่มีต่อเพื่อนทุกคน
"หวานมานั่งกับไอซ์สิ"
เด็กสาวผมบ็อบสั้นหน้าตาน่าเอ็นดูลุกขึ้นบอกเพื่อน หวานเดินเข้าไปนั่งตามคำเชิญของเพื่อน ท่ามกลางสายตาของเพื่อนทุกคนที่อยากรู้จักเธอมากกว่านี้
"ชื่อไอซ์นะจ๊ะ"ไอซ์บอกพลางยิ้มให้ และหวานก็ยิ้มตอบ
"ไอซ์จ๊ะครูว่าเรียนกันก่อนดีกว่าไหม ถึงเวลพักแล้ว
ค่อยชวนหวานเขา คุย" ภาวิณีส่งเสียงบอก เมื่อเธอเห็นว่าไอซ์กำลังจะชวนหวานคุย
"คะคุณครู"
. . .
"เฮ้ย!ฉันได้ข่าวว่าไอ้ทัศมันเอาลูกมาเข้าโรงเรียนแกหรอว่ะภา"
พนัศกรอกเสียงไปตามสายทันทีที่ทางนั้นรับ
"อือ"ภาวิณีส่งเสียงอยู่ในลำคอ แต่ก็พอทำให้ทางนั้นได้ยิน
"แล้วมันเป็นยังไงบ้าง"
พนัศถามเป็นทำนองคิดถึง เนื่องจากเป็นเวลานานมากแล้วที่เขาไม่ได้เจอทัศนัย
"ก็ดีนะและเขาเองดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นด้วย"
"นั่นมันแน่อยู่แล้ว อายุเกือบ30แล้วนี่"
พนัศพูดแล้วจึงถามไปถึงลูกสาวของทัศนัยขึ้นมา
"แล้วลูกสาวมันเป็นไงบ้าง"
"ก็ดีนะ แต่รู้สึกว่าจะมีปัญหากับทัศเขา"
"อ้าว!ทำไมล่ะ"
"แกคงยังปรับตัวไม่ได้น่ะ"
"นั่นน่ะสิ ไม่เคยเจอหน้าพ่อมาตั้งแต่เกิด จู่ ๆ ต้องมาเจอ
เป็นใครก็ต้องเป็นแบบนี้ทั้งนั้นแหละ เดี๋ยวอีกหน่อยคงปรับได้เอง"
"ถ้าเป็นอย่างนั้นได้ก็ดีสิ"
"มีอะไรหรือเปล่าว่ะแก"
พนัศถามราวกับจะรู้ว่าเพื่อนมีอะไรบางอย่างที่ทำให้ไม่สบายใจ
"ฉันคิดไปเองหรือเปล่าไม่รู้ ว่าแววตาที่ยัยหวานมองทัศเขาน่ะ
มันเต็ม ไปด้วยแรงแค้น"
"ไม่หรอกน่า...เด็กตัวแค่นี้จะแค้นอะไรเป็น แล้วแกล่ะภา
ความรู้สึกของแกที่มีต่อไอ้ทัศ ที่ยังไม่ยอมมีใคร
เพราะยังรักมันอยู่ใช่ไหม"
"รักหรอ"
ภาวิณีทวนคำพร้อมกับนึกไปถึงอดีตที่ทัศนัยเคยทำร้ายจิตใจเธอ เพราะความหลงเพียงตัวเดียวของเขาแท้ ๆ เธอเงียบไปสักพักก่อนจะพูดออกมาว่า
"ความรักที่มีให้ทัศเขามันไม่มีเหลืออยู่ในหัวใจฉันแล้วล่ะ
ความรู้สึกที่มีให้เขาตอนนี้คือความเป็นเพื่อนสนิทเท่านั้น
และที่ฉันยังไม่มีใครก็เพราะยังไม่เจอใครที่คิดว่ารักฉันจริง
เจอแต่พวกหลงในรูปฉันเท่านั้นแหละ"
จริงอย่างที่เพื่อนพูด เท่าที่รู้จักกับภาวิณีมา ในชีวิตเธอมีผู้ชายมากหน้าหลายตาวนเวียนเข้ามาไม่ขาดสาย ด้วยความสวยระดับที่ประกวดนางงามแล้วต้องได้ที่หนึ่งอย่างแน่นอน ทำให้ใครต่อใครหลายคนพากันหลงใหล และหนึ่งในนั้นเองก็เคยมีทัศนัยรวมอยู่ด้วย
"แค่นี้แล้วกันนะภา เดี๋ยวสักพักฉันต้องเข้าประชุมด้วย"
"จ้า งั้นบายเลยนะ"
. . .
"กิ๊งก่อง! กิ๊งก่อง!"
เสียงกริ่งหน้าประตูบ้านดังขึ้น ทำให้หญิงชราต้องละสายตาจากจอโทรทัศน์ เพื่อลุกไปดูว่าผู้ที่มานั้นเป็นใคร และทันทีที่รู้ว่าเป็นใคร หญิงชราจึงพาร่างที่ค่อนข้างท้วมของตนเดินไปประเปิดตูให้ผู้ที่มาเยือน
"สวัสดีครับแม่"
"ไหว้พระเถอะลูก แล้วยัยหวานล่ะไม่ได้มาด้วยหรอกหรือ"
"แกเปิดเทอมแล้วน่ะครับแม่"
"อย่างงั้นหรอกหรือ มา...เข้ามาในบ้านก่อน"
"ขอบคุณครับแม่"
ทัศนัยกล่าวเมื่อหญิงชรานำน้ำที่ผสมน้ำยาอุทัยเดินเข้ามาให้ในห้องรับแขก
"ยัยหวานเป็นอย่างไรบ้างตาทัศ"
หญิงชราเอ่ยถามถึงหลานสาวด้วยความคิดถึง
"ก็สบายดีครับแม่"
ทัศนัยตอบ เขามองหญิงชรานิ่งด้วยแววตาอันเศร้าสร้อย ก่อนตัดสินใจพูดอะไรบางอย่างออกมา
"แต่ดูท่าว่าแกจะไม่ยอมรับผมเป็นพ่อเอาเสียเลย"
สีหน้าของหญิงชราที่เปลี่ยนไป เมื่อได้ยินคำพูดของเขา ทำให้ทัศนัยสงสัยเป็นอย่างยิ่ง
"แม่พอจะรู้ไหมครับว่าทำไมยัยหวานถึงได้จงเกลียดจงชังผมขนาดนี้"
แทนที่หญิงชราจะให้คำตอบเขา นางกับพูดขึ้นมาว่า
"ทัศเอ๊ยสักวันตัวแกเองนั่นแหละที่จะเป็นคนให้คำตอบตัวเอง"
31 มีนาคม 2549 23:12 น.
เรียงร้อยเป็นเรื่องราว
"อรุณสวัสดิ์จ๊ะ"
ทัศนัยส่งเสียงทักทายลูกสาว ขณะกำลังตักข้าวต้มกุ้งที่เพิ่งเสร็จใหม่ ๆ ถ่ายใส่ชามใบใหญ่ หวานไม่ได้ทักตอบ พาตัวเองเข้ามานั่งในห้องครัวด้วย อาการที่เศร้าซึม ดวงตาทั้งสองข้างที่บวมเปล่ง แสดงให้เห็นว่าผ่านการร้องไห้มาทั้งคืน
"นี่หนูร้องไห้ทั้งคืนเลยหรอลูก!"
ทัศนัยส่งเสียงออกมาด้วยความตกใจ แววตาที่มองมายังลูก เต็มไปด้วยความเป็นห่วงเหลือคณา แต่ไฉนเลย แววตาดวงน้อยที่สะท้อนกลับ ดูช่างไม่แยแสนัก
"กินข้าวต้มร้อน ๆ กันดีกว่า พ่อทำเองเชียวนา"
เขาจงใจพูดเพื่อให้น้ำเสียงฟังดูร่าเริง หวังลูกสาวได้คลายความเศร้า แต่เหมือนเปล่าประโยชน์ เมื่อหวานยังคงแสดงสีหน้าเฉยชา
"อร่อยไหมครับ"
"คุณทำอะไรมาหนูกินได้ทั้งนั้นแหละ"
"ทำไมหนูถึงไม่เรียกพ่อว่าพ่อล่ะหวาน"
"ไม่จำเป็น!"
"ทำไมจะไม่จำเป็น!เมื่อพ่อคือพ่อของหนู"
คราวนี้น้ำเสียงของทัศนัยฟังดูเข้มขึ้น
"กับคนที่ไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อน มันก็ไม่ต่างอะไรจากคนอื่นนักหรอก"
เขาไม่อยากเชื่อเลยว่า ประโยคทั้งหมดที่ได้ยินเมื่อครู่ จะมาจากคำพูดของเด็กวัยเพียงเฉียด9ขวบ ยิ่งกว่านั้นก็คือลูกของเขาเอง
"กินเสร็จเดี๋ยวเตรียมอาบน้ำแต่งตัวนะ พ่อจะพาหนูไปสมัครเรียน"
เขาเปลี่ยนบทสนทนาทันที เพื่อไม่ให้บรรยากาศตึงเครียดมากไปกว่านี้
. . .
ณ.โรงเรียนประถมแห่งหนึ่ง
"ดูแกยังซึม ๆ อยู่นะคะ"
หญิงสาวที่มีนามว่าภาวิณีพูดออกมา ขณะสายตาที่มองไปยังสนามเด็กเล่น ที่มีหวานกำลังนั่งไกวชิงช้าอยู่ เธอคือครูคนหนึ่งในจำนวนครูหลายคนของที่นี่ หนำซ้ำเธอยังเป็นทายาทเพียงคนเดียวของเจ้าของโรงเรียนแห่งนี้อีกด้วย
"ดูท่าว่าแกจะไม่ยอมรับผมเป็นพ่อ"
ภาวิณีหันไปมองหน้าเขา ผู้ชายที่เคยทิ้งแม่ของหวาน เพื่อมาเป็นแฟนกับเธอ แต่ในที่สุดเขาก็ต้องทำลายจิตใจเธอ ด้วยความรู้สึกของเขาที่เพียงแค่หลงเธอเท่านั้น เพราะแท้จริงนั้นตลอดเวลาที่เคยคบกันมา หัวใจของผู้ชายคนนี้ มีเพียงแต่แม่ของหวานคนเดียว ถึงกระนั้น เขาก็ยังคงเลือกเส้นทางของคำว่า 'ไม่รู้จักพอ'ต่อไปเรื่อย ๆ แทนที่จะกลับไปหาแม่ของหวาน และตอนนี้เธอเอง ไม่อาจทราบว่า เขามีคนใหม่หรือไม่
"แกยังคงปรับตัวไม่ทัน ให้เวลาแกหน่อยสิคะ อีกอย่างคงยังไม่หายสะเทือนใจ
กับภาพที่แม่ของแกต้องตายไปต่อหน้าต่อตา"
เธอพูดเป็นเชิงให้เขาได้ตรอง
"ผมลืมนึกถึงข้อนี้เลย ผมนี่แย่จริง ๆ เลยนะ"
คำพูดของทัศนัยทำให้หญิงสาวรู้สึกแปลกใจเป็นยิ่งนัก ด้วยนิสัยที่คิดว่าตัวเองนั้นถูกเสมอ หรือถ้าเขาผิด ใครหน้าไหนก็อย่าได้มาพูดเป็นเชิงสั่งสอนเชียว เพราะเขาพร้อมที่จะต่อต้านจนถึงที่สุด แต่เวลานี้เขากับยอมรับโดยสดุดี เวลาหลายปีที่เธอไม่ค่อยได้เจอเขา ๆ เปลี่ยนไปมากขนาดนี้เชียวหรือ
"ยิ้มอะไรของคุณน่ะภา"
ทัศนัยถามออกมาด้วยความแปลกใจ ที่จู่ ๆ หญิงสาวก็ยิ้มออกมา
"คุณดูเปลี่ยนไปนะทัศ"
"ผมคงโตขึ้นมั้ง"
เขาพูดเป็นเชิงติดตลก พลางยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู
"ผมทำให้ภาเสียเวลามานานแล้ว ขอตัวกลับเลยแล้วกัน จะได้พาเจ้าหญิงน้อย
ไปซื้อชุดนักเรียนและอุปกรณ์การเรียนด้วย... หวานครับพ่อจะไปแล้วนะลูก"
หวานลุกจากชิงช้าเดินเข้ามาหาพ่อด้วยสีหน้าแม้คิดที่จะยิ้มก็ไม่มีสักนิด
"สวัสดีจ๊ะ"
ภาวิณีรับไหว้ เมื่อหวานยกมือไหว้อย่างสวยงามในความคิดของเธอ
"ไปนะว่าง ๆ จะหาเวลามาหาคุณอีก"
ทัศนัยพูดพลางเดินนำหน้าลูกสาวตรงไปยังรถที่จอดอยู่ ภาวิณีไม่ได้เดินตามไปส่ง เธอยังคงยืนอยู่ตรงนี้ ยืนจนรถคันสีเขียวเข้มแล่นหายลับไปจากตา
. . .
"อยากได้อะไรอีกไหมเจ้าหญิงน้อยของพ่อ"
ทัศนัยถามออกมาหลังจากที่ซื้อชุดนักเรียนและอุปกรณ์การเรียนให้ลูกได้ครบแล้ว
"ไม่คะ"
"งั้นไปกินพิซซ่ากันนะพ่อหิวแล้ว"
ความจริงเขาไม่ได้หิวสักเท่าไร แต่ตอนที่เดินผ่านร้านพิซซ่า เขาสังเกตเห็นว่า ลูกสาวมองเข้าไปยังร้านอย่างเนิ่นนาน ซึ่งพิซซ่าคงเป็นอาหารจานโปรดของแก และคงจริงตามที่คิด เพราะเขาได้รับการพยักหน้าตอบรับจากลูกสาว ว่าแล้วก็เดินนำลูกสาวตรงไปยังบันไดเลื่อน เพื่อขึ้นไปสู่ชั้น5ของห้าง
. . .
รอยยิ้มผุดขึ้นมาตรงริมฝีปากของผู้เป็นพ่ออย่างทัศนัย เมื่อตรงหน้าที่เขากำลังเห็นอยู่ตอนนี้ คือภาพของลูกสาวที่กำลังกินพิซซ่าอย่างเอร็ดอร่อย เขาเผลอยิ้มกว้างอย่างลืมตัว เมื่อพิซซ่าชิ้นที่สามถูกแยกออกจากถาดไปไว้ในจานของลูกสาว ตัวเขาเองชิ้นแรกยังไม่พร่องเลย มัวแต่มองความน่ารักของลูกสาวจนเพลิน เขาใช้เวลาเกือบถึง 2 ชั่วโมงที่อยู่ในนี้จึงได้พาลูกสาวกลับ
. . .
"รู้อะไรไหมหวาน ตอนที่พ่อเห็นหนูลองชุดนักเรียน หนูดูน่ารักมากเลยนะลูก"
ทัศนัยบอกออกมา หลังจากที่พากันกลับมาบ้านเป็นที่เรียบร้อย หวานไม่พูดอะไรออกมา รีบวิ่งขึ้นไปห้องของตัวเองทันที แต่มีสิ่งหนึ่งที่หวานทำให้หัวใจของผู้เป็นพ่อคนนี้ได้พองโต ที่เห็นหวานเผลอเปิดรอยยิ้มออกมาด้วยความเขินอาย เป็นความรู้สึกที่เขาอยากหยุดช่วงเวลานี้ไว้ให้นานที่สุด เพราะวันพรุ่งนี้ไม่อาจทำให้เขาคาดเดาได้ว่า เจ้าหญิงน้อยจะยังคงยิ้มให้เขาเช่นนี้อีกหรือไม่
--------------------------------------------------------------------------------