20 กันยายน 2552 14:58 น.
เมลโล่
ตรู๊ดด
ตรู๊ดด
ฮาโหล ~
เฮ้ย เพื่อนมิว ชั้นเอง ๆ ปอนนะ
อ้าวไอ้ปอน พายุอะไรหอบแกโทรหาชั้นวะ แล้วที่เปลี่ยนเบอร์อีกแล้วเหรอ โทรหาก็ไม่เคยติด บลาๆๆๆๆๆๆ
เออ ๆ ใจเย็นเพื่อน ใจเย็น ชั้นจะโทรมาบอกแกว่าอีกสองสัปดาห์ ชั้นจะรับปริญญาแล้ว แกว่างมามั๊ย มาถ่ายรูปกันนะ
หืม เดี๋ยวขอดูก่อนนะ เอ่อ ... เสาร์ – อาทิตย์ ก็ว่างนะ มีงานวันพุธว่ะ
เอ้อ ชั้นซ้อมใหญ่วันอาทิตย์น่ะ มานะแก ๆ ชั้นอยากเจอแกว่ะ
เออ ๆ ไปก็ไป หาที่นอนให้ด้วยล่ะ เดี๋ยวจะไปถ่ายรูปให้ดีมั๊ย
เฮ้ย จริงเหรอ ขอบใจมากว่ะเพื่อน นี่ยังไม่มีช่างภาพเลย จะขอแกก็เกรงใจ ขอบใจมากนะ เดี๋ยวจะโทรหาอีกทีนะ บายๆ
ตู๊ด ~ ตู๊ด ~
อ้าว ไอ้นี่ มาไว ไปไวจริง
.....
ไอ้ปอน จบแล้วเรอะ นี่ไม่ได้เจอมันมา 5 ปีแล้วสิ ตั้งแต่จบมัธยม จนวันนี้ จบแล้วมันทำอะไรอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้เลย
ว่าไปเราก็เป็นเพื่อนซี้กันแปลก ๆ ไม่เคยถามข่าวคราวกันให้วุ่นวาย ผมเรียนต่อปริญญาโทนี่ มันก็คงยังไม่รู้
ถึงจะห่าง ๆ กันไปบ้าง แต่ก็ไม่เคยหาย ..
......
กว่าผมจะเดินทางไปถึงมหาวิทยาลัยก็ค่ำแล้ว ความจริงผมจะมาถึงเร็วกว่านี้ก็ได้ แต่ด้วยความที่ทางมามหาวิทยาลัยนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเยอะเหลือเกิน เดินทางไป ถ่ายรูปไป ก็เลยเป็นอย่างนี้ล่ะ
ไอ้มิว
เฮ้ย ปอน !!
มันโผเข้ากอดผมแบบไม่อายประชาชี เอาเถอะ จะอายหาอะไรก็ไม่รู้ เจอกันทั้งทีนะ
หลังจากคุยกันไปซักพัก มันก็พาผมขึ้นไปที่ห้องพัก
แกนอนห้องนี้นะ มีรุ่นน้องชั้นอยู่ด้วยคนนึง
อ้าว แล้วคนอื่นล่ะ (เห็นมันบอกว่าอยู่กับเพื่อนหลายคน)
อยู่ห้องถัดไปว่ะ จะแต่งหน้า แต่งตัวกันห้องนั้น กลัวจะเสียงดัง เลยเปิดห้องให้ญาติอีกห้อง ฮ่า ๆ
เออ ไงก็ได้ว่ะ (ลืมไป รับปริญญาก็ต้องแต่งหน้านี่นะ ชักอยากเห็นไอ้เพื่อนคนนี้ตอนสวยซะแล้ว ฮ่ะๆ)
แกเก็บข้าวของเหอะ แล้วเดี๋ยวไปกินข้าวกัน อยากถ่ายรูปกลางคืนมะ เดี๋ยวพาไปเดินถ่าย
อืม ก็ดีว่ะ
ผมโยนกระเป๋าเสื้อผ้าไปบนเตียง คว้าแต่เจ้า EOS 5D ติดตัว
ระหว่างที่เพื่อน ๆ เตรียมตัวกัน ผมก็เดินลงมาถ่ายรูปข้างล่างโรงแรม
แชะ !
อุ้ย (อุ้ย)
ผมกับใครคนหนึ่งอุทานขึ้นพร้อมกัน
เงยหน้าขึ้นจึงเห็นว่าผู้หญิงคนหนึ่งเดินผ่านกล้องผมตอนกดชัตเตอร์พอดี
ขอโทษค่ะ ไม่ทันเห็น
ไม่เป็นไรครับ .. มีคนมาประดับฉาก สวยดีออก
เธอยิ้มหวานให้หนึ่งที ก่อนจะโค้งเพื่อขอโทษ แล้วเดินขึ้นโรงแรมไป
....
เสียงเจี้ยวจ้าวดังขึ้นแถวทางเข้าโรงแรม ผมหันไปก็เห็นปอนกับเพื่อน ๆ กลุ่มหนึ่งเดินลงมา
ผมเห็นมันหยุดคุยกับผู้หญิงคนนั้น
แล้วมันก็หันมากวักมือเรียกผม
นี่ก้อย ไอ้มิว ที่เคยคุยกันไง จำมันได้ป่าว
จำได้ ๆ ^_^
ผมได้ยินชื่อ ก้อย .. ก็ยืนนิ่ง .. ทำอะไรแทบไม่ถูก
จนกระทั่งเธอยิ้มให้ผมทีนึง ผมจึงยิ้มตอบและโค้งให้เป็นการสวัสดี
ไปกินข้าวกัน .. ผมพูดขึ้น
เอาเลยค่ะ เรียบร้อยแล้ว ขอตัวก่อนนะ
....
แกจำก้อยไม่ได้เหรอ ที่เคยคุยกะแกตอนปีสองไง
หืม .. จำได้สิ
เรอะ เห็นยืนทำหน้างง ๆ นึกว่าจำไม่ได้
.....
ทำไมผมจะจำไม่ได้ ... มันก็แค่ความรักวัยรุ่น
ตอนนั้นผมกับเธอรู้จักกันผ่านไอ้ปอนนี่แหละ ไม่เคยเห็นหน้าหรอกครับ มหาวิทยาลัยของผมกันปอนนี่อยู่คนละภาคกันเลย แต่คุยโทรศัพท์กันมาก็นาน ก็ยอมรับครับ ว่ารู้สึกดีกับเธอไม่น้อยเลย จนวันหนึ่งไอ้ปอนก็บอกว่าเจ้าเพื่อนรักผมอีกคนมันจีบก้อยไปเรียบร้อยแล้ว จะโกรธก็ไม่ร้ฃู้จะโกรธใคร คนนึงก็เพื่อน อีกคนเราก็ชอบ ครั้งนึงที่เจ้าเพื่อนผมคนนี้มันมาเล่นกับผมที่มหาวิทยาลัย แล้วไปกินเหล้าเมาแอ๋ ก้อยโทรมาต่อว่าผมเสียยกใหญ่ ว่าไม่ดูแลมันบ้าง .. นั่นแหละครับ สาเหตุที่ผมโมโหจนเลิกคุยกับเธอไปเลย (หาเรื่องตัดใจมากกว่านะ)
อ้อ แล้วเจ้าเพื่อนรักผมคนนั้นเหรอ ... แต่งงานกับสาวต่างชาติไปแล้วครับ ... ฮ่ะ ๆ
....
กินข้าวเรียบร้อย เพื่อน ๆ ก็แยกย้ายไปพักผ่อน ไอ้ปอนพาผมไปนั่งคุยกันต่อที่ร้านเหล้าเล็ก ๆ บรรยากาศสบาย ๆ
นี่ผมกับมันไม่ได้คุยกันมานานแค่ไหนแล้วไม่รู้ นั่งคุยกันจนดึก แอลกอฮอล์ในกระแสเลือดคงเริ่มได้ที่
ปอน
หือ
ชั้นชอบก้อยว่ะ
ห๊ะ .. ว่าอะไรนะ
อย่างที่ได้ยิน
เฮ้ย ..
....?
แกอย่าไปยุ่งกะมันเลย แฟนผู้ชายมันก็มี แถมกิ๊กอยู่กะทอมอีกคน
เออ ๆ ชั้นก็บอกแกเฉย ๆ นี่ล่ะ
ผมดื่มต่ออีกหน่อย เห็นว่าเพื่อนผมมันเงียบ ๆ ไป ก่อนที่จะทำให้มันลำบากใจกว่านี้ ผมเลยไล่มันกลับโรงแรม เห็นว่าต้องแต่งตัวแต่เช้า
....
ไอ้ปอนหอบข้าวของมานอนห้องผม ความจริงผมไม่เห็นมันจะได้นอนหรอก งีบไปพักนึงก็เห็นลุกไปอาบน้ำแล้ว
ก๊อก ๆ
ผมลุกไปเปิดประตู ก็เห็นก้อยยืนอยู่หน้าห้อง
ปอนล่ะ
อาบน้ำ
งั้นฝากบอกว่าช่างมาแล้วนะ ไปแต่งตัวที่ห้องนั้นได้เลย
อื้ม .. ได้ ๆ
ผมกำลังจะปิดประตู
เอ่อ
หืม ? ผมเปิดประตูอีกครั้ง
เปล่า
ผมยังเอ๋อ ๆ เลยเคาะประตูหองน้ำบอกไอ้ปอน แล้วก็ล้มตัวลงนอนหลับเป็นตาย
....
ผมตื่นขึ้นมาก็ไม่เห็นวี่แววใครอยู่ในห้อง เลยลุกอาบน้ำแต่งตัว
ซักพักก็มีคนเปิดประตูเข้ามา ผมอึ้งไปได้ซัก 5 วินาทีมั๊ง .. กว่าจะรู้ว่าไอ้นั่นมันเพื่อนผม สวยจนจำไม่ได้เลย ฮ่ะ ๆ
ก่อนที่ผมจะโดนมันตื๊บเอา ผมเลยชวนมันลงไปถ่ายรูป
ผมกดชัตเตอร์เต็มที่ เก็บทุกอิริยาบถ ทั้ง portrait candid หรือถ่ายรวมกับเพื่อน ๆ หลังจากมันลงจากแสตนด์ถ่ายรูปหมู่แล้ว พวกเพื่อน ๆ ก็พากันไปที่ตึกคณะ ผมรับงานถ่ายรูปรับปริญญามาบ่อย พอจะรู้วิธี entertain เพื่อน ๆ ได้บ้าง ถ่ายไป เฮฮากันไป
แม้ว่าก้อยจะมาถ่ายรูปรวมกับเพื่อน ๆ ด้วย แต่ผมเห็นเธอมากับทอมอีกคน ผมเลยไม่ค่อยกล้าที่จะเล่นกับเธอมากนัก ความจริงแล้ว ผมไม่ได้พูดอะไรกับเธออีกเลยตลอดเช้านั้น
ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร ... หลาย ๆ ครั้งที่ผมแอบมองเธอ แล้วเห็นเธอมองมาที่ผม
ผมไม่อยากเข้าข้างตัวเองหรอก .. ผมรู้ตัวเองว่าผมชอบเธอ .. แต่เธอล่ะ ?
สายตาของเธอ มันเหมือนกับมีคำพูดอะไรอยู่ในนั้น .. ซึ่งมันคืออะไร ผมก็ไม่รู้
เราเคยรู้จักกันมาแล้ว ... แต่ราวกับว่าผมไม่รู้จักเธอเอาเสียเลย
ถึงเวลาเข้าแถวเข้าห้องประชุม ผมเดินตามไอ้ปอนไปถ่ายรูปด้วย
ผมเหลือบมองไปที่ก้อย .. ผู้ติดตามคนนั้นไม่ได้มาด้วยแล้ว
มิว ..
ผมหันไปตามเสียงเรียก
ถ่ายรูปให้ก้อยหน่อยได้มั๊ย
อ้อ .. ได้สิ
ขอบใจนะ
ไม่เป็นไร มีอะไรก็เรียกนะ อยู่แถวนี้ล่ะ
อื้ม
….
พอเหล่าบัณฑิตเข้าซ้อมใหญ่ ผมก็กลับมาพักผ่อนที่ห้อง เช็ครูป เช็คกล้อง
ผมแทบไม่รู้ตัว ว่านอกจากรูปไอ้ปอน .. ผมยังแอบถ่ายรูปก้อยไว้ไม่น้อยเลย
...
หลังจากซ้อมเสร็จ ผมก็ไปถ่ายรูปต่ออีก พวกเพื่อน ๆ นี่ไม่เหนื่อยกันหรือไงก็ไม่รู้ ผมงี้เดินตามจนขาลาก
ผมกับก้อยคุยกันแทบนับประโยคได้ ทั้ง ๆ ที่ผมคุยสนุกสนานกับเพื่อน ๆ คนอื่น แต่ผมก็กล้าที่จะถ่ายรูปเธอตรง ๆ มากขึ้นหน่อย จากที่เอาแต่แอบถ่ายมาเมื่อเช้านี้
ค่ำวันนั้นเราก็ไปกินข้าวกันโดยไม่มีก้อยเหมือนเดิม รู้มาว่าเธอไปกับผู้ติดตามคนเมื่อเช้า ผมก็เลยออกจะหงอย ๆ ผมอ้างว่าเหนื่อยไปกับเพื่อน ๆ แต่ว่ามีคนเดียว ที่รู้เหตุผลของผม
.....
เช้าวันรุ่งขึ้น ผมตื่นขึ้นเพราะเสียงใครบางคน ลืมตาขึ้นก็เห็นก้อยกำลังคุยโทรศัพท์อยู่ .. ผมลุกขึ้นสะลึมสะลือ กล่าวอรุณสวัสดิ์ แล้วลุกไปล้างหน้าล้างตา ด้วยความที่ทั้งห้อง มีผมกับก้อยเท่านั้นที่ตื่นแล้ว ผมจึงออกไปที่คอฟฟี่ชอป ขอเวลาหนีหน้าทำใจหน่อย ...
ผมดื่มกาแฟไป นั่งดูรูปที่ถ่ายไป จนกระทั่งเห็นเพื่อน ๆ ลงมาเหมือนกัน ผมยิ้มให้เป็นการทักทาย แล้วก้อยก็พูดขึ้นมา
มิว
หืม ?
ขอดูรูปที่ถ่ายหน่อยได้ป่าว
...ไม่ได้...
อ้าว .. ทำไมล่ะ
มีรูปต้องห้ามอยู่น่ะ
อ่า .. เหรอ ..
ฮ่ะ ๆ .. ล้อเล่นน่ะ
ว่าแล้วผมก็ตัดสิใจยื่นกล้องไปให้ก้อย ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้วล่ะ ผมไม่อยากจะปิดบังความรู้สึกอะไรอีกแล้ว มันทรมานเกินไป ถ้าเธอไม่ปิดใจเกินไปนัก เธอก็คงจะรับรู้มันได้บ้าง อีกอย่าง คืนนี้ผมก็จะกลับแล้ว ถ้าเธอจะไม่สนใจผม ไม่สนใจความรู้สึกดี ๆ ของผม เราก็คงจะไม่ได้พบกันอีกต่อไปแล้ว ... ก็เท่านั้น
ครู่หนึ่งเพื่อน ๆ ของเธอก็มาดูรูปของผมด้วย ผมเลยเดินเลี่ยงออกไปที่ระเบียงของร้าน
มิว
อ้าวไอ้ปอน ตื่นแล้วเหรอแก
อือ
พวกนั้นดูรูปอยู่ข้างในน่ะ
อืม ... แกจะทำยังไงต่อ
ทำอะไร
เรื่องก้อยน่ะ
เอ่อ .. ชั้นก็ไม่รู้เหมือนกันว่ะ .. นี่ชั้นทำแกลำบากใจหรือเปล่าวะเนี่ย
ชั้นไม่อยากให้แกไปยุ่งกับมันนักหรอก เหตุผลชั้นก็บอกแกไปแล้ว
เออ รู้แล้วเพื่อน รู้แล้ว ชั้นก็แค่รู้สึกดี ๆ กับเค้าเท่านั้นเอง ผิดหรือเปล่าวะ
อะไรมันจะเกิดก็ต้องเกิดสินะ
ขอเบอร์ก้อยหน่อยสิ
หืม ? เอาโทรศัพท์ไปเมื่อวาน ยังไม่ได้เหรอ
ชั้นไม่ทำอะไรโดยไม่บอกแกหรอก แกเป็นเพื่อนเค้านี่หว่า
แล้วแกก็เพื่อนชั้นด้วย
ฮ่ะ ๆ .. ไปเหอะ กินข้าวกัน
เราเดินไปที่กลุ่มเพื่อน ๆ กำลังดูรูปกันอยู่ บังเอิญได้ยินเสียงเพื่อนคนหนึ่งพูดออกมา
ยังกะกล้องไอ้ก้อยเลยว่ะ .. ฮ่ะ ๆ
ผมยิ้มนิด ๆ ก่อนจะรับกล้องจากก้อยมา
ครู่หนึ่ง ผมก็ได้ยินเสียงก้อยพูดขึ้นกับเพื่อน ๆ
แก ชั้นงานเข้าแล้วล่ะ
อะไร อย่าบอกนะว่าเมื่อคืนเสียงแกคุยน่ะ
อืม .. ชั้นเลิกกับโอ้แล้ว (ชื่อของผู้ติดตามคนเมื่อวาน)
อ้าว แล้วไง ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ แกเองก็คืนดีกับบอยแล้ว เลิกกับโอ้ไป ไม่ดีเหรอ
.....
ประโยคต่อมาผมตั้งใจไม่อยู่ฟัง เลยทำเป็นลุกไปโทรศัพท์
ไม่รู้จะนั่งฟังไปทำไม .. ไม่รู้ว่าจะรู้ ..ไปทำไม
ผมกะเวลาให้เขาคุยกันจบเรื่อง แล้วจึงเดินกลับเข้าไปใหม่
เออมิว ไปข้างนอกด้วยกันนะ พอดีโบเอารถมา ว่าจะไปเที่ยวแถว ๆ นี้กัน ...
เอางั้นเหรอ
อื้อ เอางั้นล่ะ
แล้วจะไปกันหมดเหรอ ผมชี้ไปที่กลุ่มเพื่อน ๆ
หมดซี่ .. เยอะว่านี้ก็เคยไปมาแล้ว ฮ่า ๆ
กลายเป็นว่าเราทั้ง 8 ชีวิตนั่งอยู่บนรถฮอนด้าซีวิคได้ครบพอดี
ผมคิดว่าจะได้นั่งเบียดกับไอ้ปอนที่เบาะหลัง แต่กลายเป็นว่าคนที่นั่งข้าง ๆ ผมคือก้อย ..
นั่งได้ป่าวมิว
เอ่อ..ดะ..ได้ ๆ ไม่เป็นไร
ผมไม่อยากให้ก้อยคุยกับผมมากไปกว่านี้หรอก เธอหันมาทีนึง หน้าเราแทบจะชนกันอยู่แล้ว >_
เราไปกันที่แหล่งท่องเที่ยวที่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยมากนัก ปอนบอกผมว่าสมัยเรียนมาเที่ยวที่นี่กันบ่อย ผมรับหน้าที่เป็นช่างภาพเหมือนเดิม ..
อีกแล้ว สายตาอย่างนั้น แววตาอย่างเดิมนั้น .. ผมมองเห็นแค่ครั้งเดียว ผมก็ไม่อาจจะสบตาเธอได้อีกเลย
กลัวว่าทุก ๆ เรื่องราวในใจมันจะเผยออกไปเสียหมด ผมเลิกคิดที่จะทำอะไรแล้ว หลังจากที่ได้คุยกับปอนเมื่อเช้านี้ มันก็เหมือนกับคำสั่งห้าม ... ห้ามทำอะไรสักอย่างเดียว ไอ้มิว ...
ค่ำวันนั้น เหล่าบัณฑิตที่เหน็ดเหนื่อยจากการซ้อมมาหลายวัน จึงพร้อมใจพากันไปปลดปล่อยกันที่ผับในชั้นใต้ดินของโรงแรม แม้หลาย ๆ คนจะอยากไปที่ประจำกัน แต่เพื่อนคนหนึ่งปรามขึ้นว่า เมาแล้วขึ้นลิฟท์กลับห้อง ดีกว่าเมาแล้วขับเป็นไหน ๆ
กำหนดการเดินทางของผมคือตีสอง เพราะกลับไปถึงเช้าพอดี ผมยกแก้วเครื่องดื่มยังกับกินน้ำเปล่า ขอเมาเหล้าก่อนเมารักดีกว่า ... ดื่มจนได้ที่กันแล้ว เพื่อน ๆ ก็พากันลุกไปออกลีลากับจังหวะเพลงกันให้สนุก ผมเป็นพวกไม่ชอบเต้น เลยอาสานั่งเฝ้าโต๊ะให้ ระหว่างนั้นสาวสวยคนหนึ่งเดินมาชนแก้วกับผม และแวะคุยกันเป็นนานสองนาน ฤทธิ์เหล้าทำให้ผมคุยกับเธอ (ใครก็ไม่รู้) อย่างออกรส จนกระทั่งเสียงก้อยดังขึ้นข้างหูผม
มิว
ผมแทบสะดุ้ง ใบหน้าชมพูเรื่อ ๆ จากแอลกอฮอล์ของเธอห่างผมไม่ถึงนิ้ว สาวสวยคนนั้นเห็นเข้าจึงขอตัวลุกออกไป
พาก้อยไปห้องน้ำหน่อย เดินไม่ไหวอ่ะ ..
อ่ะ .. เอ่อ .. ไปสิ ..
ห้องน้ำของผับคนเยอะเหลือเกิน ก้อยหันมาหาผม
พาไปห้องหน่อยสิ ขี้เกียจรอ
ผมไม่ขัด .. จึงพาเธอเดินไปขึ้นลิฟท์ .. ระหว่างรอเธอในห้อง ผมตรวจความเรียบร้อยกับข้าวของ เพื่อให้พร้อมเดินทาง
ผมได้ยินเสียงเปิดประตู เห็นก้อยออกมา จึงเตรียมกลับไปที่ผับ
ผมได้ยินเสียงร้องไห้เบา ๆ จึงหันกลับไปมอง
ก้อยเป็นไรป่าว
ทำไมมิวทำอย่างนั้น
ทำ? ทำอะไร
คุยกับใครก็ไม่รู้ข้างล่างนั่น
เอ่อ เค้ามาคุ....
มิวไม่รู้เลยเหรอว่าก้อยคิดยังไงกับมิว
??
....
.. เราพบกันช้าไปก้อย ..
ก้อยรู้ มิวก็มีคนของมิว .. ก้อยก็เหมือนกัน
เราไม่น่าพบกันเลยนะ
เมื่อสามปีก่อน .. มิวคิดยังไงกับก้อย
มิวชอบก้อย
แล้ววันนี้ล่ะ
มิวชอบก้อย
ก้อยรักมิวนะ
……
ก้อยไม่รู้ว่าสามปีที่แล้วมันเกิดอะไรขึ้น อยู่ ๆ มิวก็เงียบหายไป ถ้าเป็นเรื่องของไนที่มาเล่นกับก้อย ก้อยไม่เคยคิดอะไรกับเค้าเกินกว่าเพื่อนเลย ก้อยรอมิวมาตลอด รอจนไม่รู้จะทำยังไง จนแฟนคนนี้ของก้อยเข้ามา ก้อยพยายามจะลืมมิว และรักเขา .. จนเมื่อวานนี้ .. ก้อยเห็นหน้ามิว .. ก้อยก็รู้ว่าไม่เคยลืมมิวคนนั้นได้เลย ...
แต่
ก้อยรู้ค่ะ เราไม่มีสิทธิ์จะทำให้ใครเสียใจ
....
....
ขณะนี้รถของเราได้นำท่านผู้โดยสารถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพแล้ว ขอขอบคุณที่ใช้บริการค่ะ
ผมสะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงประกาศของพนักงานบริการบนรถ มองออกไปนอกหน้าต่าง ก็เห็นว่าฟ้าเริ่มสางแล้ว ..
.. ผมยังงัวเงีย เหมือนยังอยู่ในความฝัน พลันคิดว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับผมนั้น คงเป็นความฝันกระมัง ..
เมื่อผมหยิบเจ้ากล้องคู่ใจขึ้นมาเปิดดูอีกครั้ง จึงเห็นภาพถ่ายเหล่านั้น .. เหมือนเป็นสิ่งเดียวที่บอกผมว่า นั่นเป็นความจริงที่เกิดขึ้นกับผม ... เป็นช่วงเวลาเพียงน้อยนิด เมื่อเทียบกับเวลาในชีวิตของผม ...
เป็นเวลาที่ผมไม่อาจแยกความฝันออกจากความจริงได้เลย
ราวกับว่าผมย้อนเวลากลับไปในอดีต
อดีต ที่ไม่ควรแตะต้อง
อดีต ที่เป็นเพียงเวลาที่คนเรานึกหวนหา
และคิดได้แค่ว่า หากวันนั้น เราได้ทำอย่างนั้น ก็คงจะดี
หากแม้แต่คิดที่จะเปลี่ยนแปลงอะไร
แน่นอน มันมีแต่ความเจ็บปวดเท่านั้นที่หลงเหลืออยู่
ผมไม่รู้ว่า ต่อจากนี้ไปผมจะคิดถึงเธอไหม
หรือเธอจะลืมผมไปหรือเปล่า
เราต่างคนก็ต่างกลับไปสู่ชีวิตของเรา
ชีวิตที่ไม่มีผม
และชีวิตที่ไม่มีเธอ
แล้วผมจะทำอย่างไรต่อไปดี
เราไม่น่าพบกันในวันนี้เลย
น่าจะเจอกันมาตั้งนาน
ก่อนที่เธอจะเป็นของใคร
อยากให้มันมีปาฏิหาริย์
ให้ตัวฉันย้อนเวลากลับไป
จะไม่ยอมให้เราพรากกัน
ฉันคงจะพบรักเธอก่อนใคร
พบกันช้าไป .. มันน่าเสียดาย
ปาฏิหาริย์ไม่มีจริง
5 ตุลาคม 2549 02:58 น.
เมลโล่
"ไปแล้วนะไอ้หมาดื้อ"
หญิงสาวพูดพลางลูบหัวเจ้าสุนัขสีน้ำตาลอ่อนที่นอนอยู่หน้าประตูบ้าน
"หงิง~"
เจ้าหมาน้อยทำเสียงออดอ้อน
"เดี๋ยวก็กลับมาแล้วล่ะ ไม่ต้องอ้อนไป"
แต่มันยังคงจ้องหน้าหญิงสาวไม่กระพริบ
ราวกับจะจดจำภาพเธอเอาไว้ให้ได้มากที่สุด
เธอเป็นเจ้านายใจดี
เธอเก็บผมมาจากข้างถนน
ที่ผมเดินซัดเซพเนจรอยู่นานแค่ไหนก็ไม่รู้
ผมเห็นเธอทุก ๆ วัน
เธอจะออกจากบ้านในตอนเช้า
แต่กลับมาไม่เป็นเวลา
สายบ้าง เที่ยงบ้าง บ่ายบ้าง
บางวันก็เย็น บางคืนก็ดึก
ทุกครั้งที่เจอกัน
เธอจะมองมาที่ผมและส่งยิ้มให้
เหมือนกับที่ผมกระดิกหางให้อย่างเป็นมิตรเมื่อเจอเธอ
แล้ววันหนึ่ง
วันที่ฝนเทกระหน่ำลงมาราวกับโกรธเกรี้ยวสิ่งใดอยู่
ผมนอนซุกกายใต้แผงขายสินค้าเก่า ๆ
ผมสะดุ้งตัวสั่นเทาเมื่อได้ยินเสียงฟ้าร้องครืนใหญ่
สายน้ำเย็นเฉียบที่หยดลงบนหลังสีน้ำตาลอ่อนของผม
ทำให้ผมต้องนอนขดตัวกลมเพื่อรักษาความอบอุ่นเอาไว้
แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก
และแล้ว
ผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้า กับเสียงเรียกที่ดูอบอุ่น
หญิงสาวผมยาว สวมแว่นตากรอบใสที่มีละอองฝนเกาะอยู่
เธอชะโงกหน้าเข้ามาในแผงสินค้า แล้วค่อย ๆ อุ้มผมขึ้น
เธอมากับร่มคันเล็ก ๆ พอดีตัว
ผมหนาวสั่นและกลัว
จึงซุกกายไว้ในอ้อมแขนที่อบอุ่น...ของเธอ
ที่นอนของผมเปลี่ยนจากใต้แผงสินค้า
เป็นกล่องใบเล็ก ๆ ที่มีผ้าหนา ๆ ปูเอาไว้
เธอเอาชามใส่นมอุ่น ๆ มาวางไว้ที่หน้ากล่อง
ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้าหมาขี้ระแวงอย่างผม
จึงเดินออกมาเลียนมจนหมดชามต่อหน้าต่อตาเธอได้อย่างไร
เธอหัวเราะชอบใจ
แล้วค่อย ๆ เอามือเล็ก ๆ เช็ดคราบนมที่เลอะปากผมออก
นั่นหลังจากที่เธอจับผมไปอาบน้ำเสียสะอาดแล้วน่ะ
ตอนนี้ที่ประจำของผมก็คือหน้าประตูบ้าน
แทนที่จะเป็นแผงขายของในตลาด
เมื่อไรที่ได้ยินเสียงฝีเท้าเธอจากในบ้าน
และเสียงหมุนลูกบิดประตู
ผมจะเด้งตัวลุกขึ้นกระดิกหางรอท่า
เธอจะเข้ามาลูบหัวทักทาย พร้อมวางอาหารไว้ให้
ก่อนจะออกจากบ้านไป
"รู้ว่าจะได้กินข้าว ก็ระริกระรี้ดีใจเชียวนะเจ้าหมาน้อย"
เธอพูดกลางหัวเราะพลาง แล้วเอามือนิ่ม ๆ ขยี้ลงบนหัวเจ้าหมา
"หงิง"
มันได้แต่ตอบเบา ๆ แล้ววิ่งล้อมหน้าล้อมหลังไปส่งเธอที่หน้าประตูบ้าน
มองดูเธอจนลับสายตาแล้วจึงกลับเข้าบ้านมากินอาหารที่เธอวางไว้ให้
ผมไม่ได้ดีใจเพราะได้กินข้าวหรอก
ผมดีใจที่ได้เล่นกับเจ้านาย ได้ยินเสียงเจ้านาย
ได้เห็นรอยยิ้มของเจ้านายต่างหาก ^^
"นี่"
เสียงหญิงสาวดุเบา ๆ
เจ้าหมาสะดุ้งตัวตื่นจากภวังค์
"ฝันกลางวันอยู่หรือไง ไอ้หมาดื้อ"
"หงิง ... "
"ฮ่ะ ๆ ชั้นไปแล้วนะ"
เธอพูดลาเจ้าหมาที่ได้แต่นั่งจ้องหน้าเธออยู่
"อย่าซนนักล่ะ" หญิงสาวพูดพลางเดินไปที่หน้าประตู
...
"อ้าว ไม่มาส่งเค้าเหรอ"
เธอหันหน้ากลับมาถามเจ้าหมา ราวกับจะรอคำตอบ
...เจ้าหมาได้แต่ทรุดตัวหมอบลง เมินสายตาไปทางอื่น
"ตามใจ ๆ อย่าซนนักนะ "
แต่พอสิ้นเสียงของเธอ มันก็ชะโงกหน้าขึ้นมามอง
และวิ่งลงไปที่หน้าประตูบ้าน
แอบเดินตามเธอไปจนถึงถนนใหญ่
"โฮ่ง"
เมื่อเห็นเธอขึ้นกล่องใบใหญ่ที่เคลื่อนได้ลับหายไป
มันจึงเดินโซซัดโซเซกลับบ้าน
รอ
และรออยู่อย่างนั้น
...
...
...
...
...
...
...
...
...
...
ครืน !!!!
เจ้าหมาสะดุ้งตัวกับเสียงคำรามของท้องฟ้ามืดสนิท
สายฝนอันหนาวเหน็บกระหน่ำเทลงมาอย่างบ้าคลั่ง
แทนที่จะเป็นหน้าประตูบ้าน
เจ้าหมากลับมานอนใต้แผงขายสินค้าเก่า ๆ
คืนนี้เหน็บหนาวเหมือนกับคืนนั้น
แต่ต่างกันตรงที่ ไม่มีมือที่แสนอบอุ่นมาโอบกอดอีกแล้ว
เจ้านายใจดีอยู่ที่ไหน
ภาพผู้หญิงผมสีน้ำตาลเข้มยาวเลยบ่า
มือเรียกเล็กที่แสนบอบบาง
แววตาอบอุ่นที่มองมันผ่านเลนส์แว่นสายตา
รอยยิ้มที่ทำให้มันสดใสได้ทุกครั้งที่เห็น
ภาพเหล่านั้นค่อย ๆ เลือนลาง
ราวกับถูกน้ำตาจากฟากฟ้าชะให้จางหายไป
พร้อม ๆ กับลมหายใจสุดท้ายที่ยังคงมีแต่เธอ
2 มกราคม 2547 00:49 น.
เมลโล่
หลังจากที่ทักทายกันตามปกติซึ่งทำเอาผมดีใจแทบตาย พี่สาวก็ขับรถกลับบ้าน ทิ้งผมไว้ข้างหลังกับคำพูดที่เธอชวนผมไป countdown ที่ห้างแห่งหนึ่ง ผมกะอยู่แล้วว่าจะไป แต่ว่าจะให้ผมไปกะพี่เค้ายังไง ใครจะกล้าไปล่ะแค่ยืนคุยด้วยยังสั่นเกือบตาย ผมก็เลยยังลังเลอยู่
คืนวันที่ 31 ธันวาคม พวกเพื่อน ๆ มาจัดงานปีใหม่ที่บ้านของผม ผมก็เลยชวนพวกมันไป Countdown กัน พอถึงเวลาจริง ๆ พวกมันดันกลับไปซะหมด เหลือเพื่อนอยู่คนเดียว เอาน่ายังไงผมก็ลากมันไปจนได้
ผมเดินเข้าไปในบริเวณที่เค้าจัดงาน มีการแข่งเชียร์หลีดเดอร์ คนยืนดูแน่นไปหมด ผมพยายามมองหาพี่เค้า เพราะเค้าบอกว่าจะมาดูการแข่งด้วย แต่ก็หาไม่เจอ แล้วผมก็มองเห็นคน ๆ หนึ่งเหมือนพี่เค้าจังเลย แต่ก็ยังไม่แน่ใจนัก ก็เลยตัดสินใจลากเพื่อนเข้าไปดูใกล้ ๆ ซะเลย ตอนนั้นแข่งเชียร์เสร็จแล้ว คนก็เลยบางตาลงบ้าง พอเดินเข้าไปใกล้ ๆ ก็รู้ว่าใช่พี่เค้าจริง ๆ ด้วย ผมก็เลยยังยืนงง ๆ ว่าจะไปคุยกับพี่เค้ายังไงดี เพื่อนมันก็ผลักผมไป ผมก็ไปยืนอยู่ข้างหลังพี่เค้า ยังไม่กล้าทักอยู่ดีอ่ะ แล้วเค้าก็หันมา
อ้าว ตกใจที่เห็นผมอ่ะนะ
แฮะ ๆ ผมก็ทำไรไม่ถูกได้แต่ยืนยิ้มให้
ทีพี่ชวนมาน่ะก็ไม่มา
แหม..ก็..
ผมกับพี่เค้ายืนคุยกันตั้งแต่ประมาณ 5 ทุ่ม จนในที่สุดก็เริ่ม Countdown กัน
10 9 8 7 6 5 ผมยืนนับถอยหลังอยู่ข้าง ๆ กับพี่เค้า เป็นความบังเอิญที่ผมตั้งใจอยากให้เป็นแบบนี้อยู่แล้วน่ะ
4 3 2 1 . . เฮ . . . เสียงยินดีโห่ร้องดังสนั่น
ผมหันไปพูดกับเค้า สวัสดีปีใหม่ครับ
จ้า เช่นกัน พี่เค้าตอบกลับมา
ซักพักเสียงพลุก็ดังขึ้น พร้อมกับสีสันสวยงามเมื่อพลุแตกออก ผมกับพี่เค้ายืนดูพลุด้วยกันจนกะทั่งงานเลิก แล้วผมก็ขอตัวกลับ เราแยกกันที่งาน พี่เค้ามากับน้องชายของเธอ ผมก็กลับบ้านกับเพื่อนของผม
ผมก็มัวแต่ดีใจกว่าจะหลับได้ก็เกือบ ๆ ตี 3 แล้ว ยังไงถึงตอนนี้เรายังเป็นแค่พี่ น้อง กัน แต่ผมก็ดีใจที่เราได้อยู่ countdown รับปีใหม่ด้วยกัน อย่างน้อยก็ทำให้ผมได้มีช่วงเวลาดี ๆ ร่วมกับพี่เค้า ก่อนที่พี่เค้าจะจบไป
-------- ขอบคุณสำหรับมิตรภาพดี ๆ ที่มีให้ผมนะครับ พี่สาวของผม ---------
9 ธันวาคม 2546 22:44 น.
เมลโล่
ขอแค่ได้รักข้างเดียว ได้ฝันอยู่คนเดียว แค่นี้ก็พอใจ
ไม่ได้อยากจะให้เขารู้ เพราะคิดไปว่าเราอาจต้องผิดหวัง
รู้สถานะของเราเอง ที่ไม่ได้คู่ควรกับเขาเลยแม้แต่น้อย
หรือว่าเหตุผลที่แสนปวดใจ *เขามีแฟนแล้ว*
จึงขอรักอยู่ข้างเดียวดีกว่า ยังไง ๆ ก็ไม่ต้องช้ำ (มากนัก)
แม้จะเป็นความสุขที่มีอยู่คนเดียวก็เถอะ
แต่บางทีมันก็ทุกข์ได้เหมือนกันนะ
เวลาที่เห็นเขาเดินไปกับใครก็ไม่รู้
ดูท่าทางสนิทสนมกันซะเหลือเกิน
ทั้งที่จริงเค้าอาจเป็นพี่ชายแท้ ๆ ของเธอ
หรือน้องสาวสุดหวงของเขาก็ตามเถอะ
แหม ถ้าเราไม่รู้แน่ ๆ ว่าเป็นใครละก็
ใจจะขาดเสียให้ได้เลย
บางที ทั้ง ๆ ที่เขาไม่รู้จักเราเสียหน่อย
แต่เวลาเจอหน้า หรือเดินผ่านเราทีไร
ก็เป็นต้องมุดหัวงุด ๆ หนีไปทุกทีแหละน่า
เหตูผลสามัญประจำบ้านก็คือ กลัวเค้ารู้เอาน่ะ !!
โธ่ ทั้ง ๆ ที่บางคนเขาไม่เคยสนใจมองด้วยซ้ำ
แต่ถ้าเค้ารู้ซะแล้วล่ะ ว่าเราน่ะคลั่งเขามากขนาดไหน
แบ่งอาการได้ 2 แบบ
1. หนีหายจ๋อยไปเลย เจอหน้าก็ไม่มอง บ้า ๆ เกิดวันไหนเขาทักให้ก็เขินแย่เลย [แล้วมันไม่ดีเหรอ]
2.สานต่อซะเลย แบบนี้ก็ดีนะ ชนให้รู้ดำรู้แดงกันไป
[แต่ถ้าเกิดเค้าไม่สนก็แห้วตามระเบียบ]
แต่ว่ามีอีกพวกที่มากับดวงจริง ๆ
ก็คือ เขาก็สนใจเราตอบกลับซะนี่
อ้าว แบบนี้ก็โดนอิจฉากันระนาวสิ
ก็ลงทุนแบบไม่ขาดทุนน่ะ ดีมั๊ยล่ะ
เป็นใครใครก็อิจฉาละครับ
แต่กรณีผมเนี่ย ผมก็ยังไม่รู้อนาคตเลยครับ
แต่ผลออกมาเป็นอย่างไร ผมก็คิดว่าผมรับได้นะ
เพราะยังไง ผมก็ทำใจตั้งแต่ไปหลงรักเธอเข้าแล้วล่ะครับ
ช่วยไม่ได้นี่นา ดันไปรักดาวโรงเรียนขนาดนั้น
ไม่ต้องอ่านตอนจบ ก็รู้ครับว่าจบยังไง ^^
9 พฤศจิกายน 2546 00:01 น.
เมลโล่
ผมเป็นคนกวีคนหนึ่งครับ กวีบทเก่า ๆ ที่ผมเคยได้อ่าน เมื่อก่อนผมก็แค่อ่าน แล้วก็ไม่ได้รู้สึกอะไร บางครั้งก็ไม่เข้าใจว่า เขาแต่งออกมาเพื่อสื่อความหมายอะไรกับคนอ่าน ไม่นาน ผมก็ได้เข้าใจความหมายของมัน อย่างถ่องแท้เลยทีดียว
ผมได้เจอะเจอกับคำว่ารัก แทบจะเป็นรักที่เป็นไปไม่ได้ เธอเป็นรุ่นพี่ของผมครับ เธอน่ารัก รุ่นพี่รุ่นน้องหลาย ๆ คนก็คงชอบเธอ ผมได้รู้จักกับเธอตอนผมอยู่ ม.2 ผมชอบเธอมาตั้งแต่ตอนนั้น เราเคยคุยกัน เล่นหัวกัน เคยไปเข้าค่ายด้วยกัน จนผมรู้สึกชอบเธอ
เธอแสดงท่าดีมีไมตรีกับผม ไม่ตัดเยื่อใยเจอกันก็ทัก ตามประสาคนรู้จัก แต่พี่เค้าคงไม่รู้ล่ะมั๊ง ว่าผมชอบเธอมากขนาดไหน ตัวผมเองเป็นคนขี้อายครับ ไม่ค่อยกล้าพูดอะไร กลัวครับกลัวว่าถ้าพี่เค้ารู้เค้าจะไม่ชอบผม ผมก็เลยตัดสินใจไม่บอกดีกว่า คิดว่ามิตรภาพแบบนี้มันคงยาวนานกว่า
จนผมขึ้นม.4 งานผมยุ่งมาก ๆ ผมเรียนสายวิทย์ (เหมือนพี่เค้าแหละ) ต้องเรียนพิเศษ งานก็เยอะ ไม่รู้ว่าทำไม ผมลืมพี่เค้าไปได้อย่างไรถึง 1 ปี
หนึ่งปีเต็ม ๆ ครับ ผมไม่มีเรื่องของพี่เค้าอยู่ในหัวเลย (ผมทำได้ยังไงกันเนี่ย)
แต่ตอนนี้ ผมอยู่ ม.5 แล้วครับ แล้วพี่เค้าก็อยู่ม.6 วันเปิดเทอม ผมก็เจอพี่เค้า แล้วผมก็นึกขึ้นมาได้ว่า ..... พี่เค้าอยู่ ม.6 แล้วนะ อีกไม่นานพี่เค้าก็ไปแล้วนี่นา . . . . ทำไงดีล่ะทีนี้ หลังจากนั้น ผมก็เริ่มมีความกล้าขึ้นมา (ตามอายุ) ผมเริ่มเขียนจดหมายไปให้พี่เค้าโดยไม่ลงชื่อ ฝากเพื่อนไปให้ ซื้อขนม ซื้อซีดีให้พี่เค้าฟัง โดยที่ผมใช้ชื่อ "เมลโล่" นี่และ (ด้วยความคิดโง่ ๆ ของผมว่าพี่เค้าคงไม่รู้หรอกว่าเป็นผม) แล้ววันหนึ่ง เพื่อนมันก็มาบอกผมว่า พี่เค้ารู้แล้วล่ะ ว่าเป็นผม..
ไม่น่าเลยครับ เมื่อผมได้รู้ว่าพี่เค้ารู้ตัวจริงของผม ผมก็กลายเป็นคนละคน ผมเดินหนีทุกครั้งที่เจอเธอ ไม่สบตา ไม่มองเวลาเธอเดินผ่าน แม้ว่าใจของผมมันอยากจะมองเธอเพียงใด ผมเป็นอะไรไปเนี่ย . . วันหนึ่งพี่เค้าเขียนจดหมายเล็ก ๆ มาหาผมว่า ' มาคุยกันบ้างก็ได้นะ พี่ไม่ทำอะไรเราหรอก ' เท่านั้นหัวใจผมก็พองโต หยิ่งผยองไปเลยล่ะว่าพี่เค้าชอบผม
หลังจากนั้น ผมก็กล้าที่จะหันไปยิ้มให้เธอ ผมคุยโม้ไปใหญ่เลยล่ะ จนพวกเพื่อน ๆ มันเบื่อที่จะฟังเวลาผมเล่า
ลืมไปครับ ลืมไปว่าผมกับเธอมันคนละชั้นกัน ไม่มีทางจะเป็นได้มากกว่าคนรู้จัก ที่เธอมีไมตรีให้กับผมนั้น ก็เหมือนเธอมีให้กับคนอื่นทั่ว ๆ ไป เธอเป็นคนที่มีมนุษยสัมพันธ์ดี ใคร ๆ ก็คงได้รับจากเธอเหมือนที่ผมได้รับ ผมพยายามทำใจครับ ทำใจรับเรื่องราวที่ผ่านมา คิดถึงความรู้สึกดี ๆ ที่ผมมีให้พี่เค้าตลอด 4 ปี ผมจะไม่พยายามลืมนะครับ ผมไม่ยอมลืมเรื่องราวพี่ดี ๆ เป็นอันขาด แม้เมื่อผมจะนึกถึงมันแล้วทำให้ผมเสียใจก็ตาม ....
อีกไม่นานพี่เค้าก็คงจะจบ ม.6 ไปแล้ว ขอให้โชคดีนะครับ พี่สาวที่ผมรัก