15 มกราคม 2557 15:50 น.

เรื่องที่สอนไม่ได้ด้วยปาก ว่าด้วยมารยาททางสังคมที่ขาดหายไป

เมต้าไซรัป

     
       คนดีคนเลวไม่ใช่ความจริง แต่เป็นนิทานเรื่องหนึ่งที่ผู้ใหญ่กำลังแสดงให้เด็กดูเพื่อบอกเงื่อนปมที่ซ่อนเอาไว้ว่า เหตุการณ์ทั้งหมดนั้นเกิดมาจาก สังคมกำลังโหยหามารยาททางสังคมกันอยู่ และผู้ใหญ่ก็ดูเหมือนจะอับจนปัญญากันไปหมดแล้ว จึงเปิดปากกันอย่างเต็มที่ เพื่อตอกย้ำว่า มารยาทมันไม่ได้ถูกสร้างด้วยถ้อยคำใดทั้งสิ้น
        ความหยาบคายและความรุนแรงมันบ่งบอกอะไรบางอย่าง บางอย่างที่มนุษย์ทั้งหลายต้องยอมรับด้วยความเจ็บปวดอย่างร้ายกาจ นั่นคือ ข้อมูลข่าวสารทั้งหลายแหล่มันถูกกระจายออกมาซึ่งยากต่อการควบคุม ข้อเท็จจริงบางอย่างลวง บางอย่างก็เถียงไม่ได้อย่างสิ้นเชิง ความหยาบคายที่เป็นคำพูดยังพอทน แต่พอสืบไปถึงต้นตอแห่งความหยาบคายคายนั้นแล้ว เอ๊ะมันมาจากอารมณ์ล้วนๆนี่หว่า มันคืออารมณ์ที่ไม่ได้ช่วยทำให้โลกนี้น่าอยู่ขึ้น เป็นอารมณ์ที่เต็มไปด้วยความมืดบอด ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าจะมีเห็นในตัวผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมืองที่อยู่เคียงข้างม็อบที่อ้างว่าตัวเป็นคนดี พอเสียทีเถอะ ทำไมมนุษย์ในดินแดนแห่งนี้ถึงมองผ่านความหยาบคายที่นับวันก็เพิ่มมากขึ้น ข้าพเจ้าบอกกับตัวเองอยู่ทุกวี่วันว่า คนดีนั้นไม่มีอยู่จริงหรอก และคนเลวก็เช่นกัน ฉะนั้นใครก็ตามที่อ้างว่าตัวเองเป็นคนดีันั้น น่าสงสัยมากที่สุดในแง่ที่ว่า พวกเขาสร้างความจริงขึ้นมาจากความว่างเปล่า คนดีที่มาจากความว่างเปล่านั้นจะยังมีคุณค่าได้อย่างไรกันเล่า มิหนำซ้ำ การอ้างคนดีของพวกเขากลับสร้างคนเลวขึ้นมาเพื่อเพื่อกลบเกลื่อนความกลวงเปล่าด้วยการขึงม่านแห่งความจริงกันขึ้นมา มันน่าคลื่นไส้ชะมัด คนดีงั้นหรือ มันเรื่องโกหกทั้งเพ ได้แต่หวังว่านี่จะเป็นยุคสุดท้ายแห่งดินแดนนี้ที่คนดีจะทำสงครามกับคนเลว ติดอาวุธด้วยเสียงด่าทอหยาบคายในร่างทรงของคนดีห่ำหั่นคนเลวที่เป็นใบ้ คนเลวที่ไม่ได้มองคนดีเป็นผู้ร้าย คนเลวที่ไม่ต้องการให้คนดีหมดไปจากสังคม คนเลวที่ให้เกียรติคนดีด้วยการอดทนและรอคอย คนเลวที่รู้ว่าตัวเองเป็นมนุษย์ที่ต้องการมีชีวิตรอดไปวันวัน คนเลวที่รู้ว่าความจริงก็คือความว่างเปล่า ดังนั้นคนที่อ้างตัวเป็นคนดีจะต้องตายและคืนกลับไปสู่จุดเริ่มต้นแห่งความว่างเปล่าเหมือนกับคนเลว พอทีเถอะสังคมมนุษย์ ได้โปรดอย่าสร้างความหยาบคายขึ้นมาอีกเลย โลกมันควรเป็นสถานที่สวยงาม เต็มไปด้วยการให้เกียรติซึ่งกันและกัน เรียนรู้ร่วมกัน เลิกแบ่งแยกคนดีคนเลวกันสักที ไม่มีอะไรดีขึ้นมาหรอกกับกระแสความคิดชั่ววูบแบบนี้ อย่าลืมว่า มนุษย์เลือกเกิดไม่ได้ ทุกคนเท่าเทียมกันในแง่ที่มาของชีวิต ต่อเมื่อเติบโตขึ้นก็เพื่อมองหาสิ่งที่บิดเบือนสิ่งที่ขัดขวางต่อความสงบสุขร่วมกันแล้วก็ขจัดมันให้ไกล จริงอยู่ที่ว่าความขัดแย้งมีอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคน แต่จุดหมายของความขัดแย้งนั้น มันก็คือการเดินทางไปสู่สิ่งที่ดีกว่า ไม่ใช่ความขัดแย้งที่บ่มเพาะความเกลียดชังและหยาบคายอย่างที่มีให้ได้ยินได้เห็นอย่างปัจจุบัน เชื่อเถอะว่าบรรดามนุษย์ที่เคยมีชีวิตอยู่มาเป็นพันปีนั้นเขายอมรับกันแล้วว่า ความดี-เลวนั้นเป็นเชื้อโรคร้ายในสังคมมนุษย์ และยาที่จะรักษาและขจัดความหยาบคายที่ลุกลามนี้ ก็คือ ตัวมนุษย์เองเท่าั้นั้น ดังประโยคอมตะสวยหรูที่ว่า "จงปฏิบัติต่อผู้อื่นเช่นเดียวกับที่ท่านต้องการจะให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อท่าน" 
				
18 สิงหาคม 2555 01:07 น.

ความดี เป็นปรนัย เหรือเป็นอัตนัย หรือความดีไม่มีอยู่จริง

เมต้าไซรัป

ขึ้นชื่อว่า ความดี แล้วคงไม่มีใครไม่รู้จัก แต่ข้าพเจ้าก็สงสัยเหลือเกินว่า ที่ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเราบอกว่า ประเทศนี้ต้องการคนดีมาปกครอง แล้วคนดีนะมีอยู่จริงไหม ทีนี้เมื่อมองประเทศเราตามสภาพความเป็นจริงมีความหลากหลายทางด้านเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ความเชื่อ ศาสนา คล้ายกับว่ามีเสรีภาพแทรกซึมทั่วทั้งท้องฟ้าสายน้ำและผืนดิน ซึ่งเป็นจุดเด่นอย่างหนึ่ง แต่ขณะเดียวกันเราก็รู้ว่าความเสมอภาคนั้นแทบจะหายไปเพราะความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยกับคนจน  มันเกี่ยวเนื่องกับหัวข้อตรงที่ หากความดีเป็นปรนัย นั่นหมายความว่าทุกคนรู้จักความดีเหมือนกันหมดทุกคน สังคมคงไม่จำเป็นต้องมีกฏหมาย ไม่ต้องมีอาชีพตำรวจ ทหาร (ข้าพเจ้าไม่ชอบเห็นอาวุธปืน) ทุกคนรู้ว่าความดีคืออะไร ความดีอยู่ที่ไหน ความดีได้มายังไง หรืออะไรที่เรียกว่าความดี ถ้าเป็นความดีแล้วละก็คิดตรงกันหมด นิยามความดีออกมาในรูปแบบเนื้อหาเดียวกัน คนดีก็คือความดีที่อยู่ในตัวมนุษย์ทุกคน ค่อนข้างจะเป็นสากล อะไรก็ตามที่ไม่เป็นไปในแนวทางความดีแห่งปรนัย เป็นผิดหมด ตัวอย่าง การไม่ฆ่าคนเป็นความดี เพราะฉะนั้นการฆ่าคนจึงเป็นสิ่งไม่ดี เป็นต้น ส่วนความดีเป็นอัตนัย คงไม่มีคำพูดใดจะตรงไปกว่า โปรทากอรัสที่บอกว่า มนุษย์เป็นเครื่องวัดสรรพสิ่ง  ( The man is measure of all thing) ซึ่งกลายเป็นว่ามนุษย์แต่ละคนจะมีความจริงหรือความดีเป็นของตัวเอง ไม่มีใครผิดใครถูก ตัวอย่างเช่น คนนั้นบอกว่า ดวงอาทิตย์ดวงเล็กนิดเดียว มันก็จริงในแง่ที่ว่าเขามองจากจุดที่ไกลจากดวงอาทิตย์ หรือตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ มนุษย์ที่มีอาชีพถกเถียงในสภา แต่ละคนก็คิดว่าตัวเองก็พูดความจริงทั้งนั้น ไม่มีใครผิดใครถูก ความคิดนี้ถ้ามีอยู่ในฐานะปัจเจคชนคงไม่เกิดปัญหาสักเท่าไหร่ แต่หากเป็นตัวแทนของประชาชนอันนี้ ข้าพเจ้าตอบไม่ได้แต่อย่างที่เห็นอยู่ ดังนั้นความดีแบบอัตนัยเป็นเสมือนดินน้ำมันที่แต่ละคนจะปั้นเป็นรูปร่างอย่างไรก็ได้ เพราะความดีไม่มีรูปแบบตายตัว เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ส่วนความคิดที่เชื่อว่าความดีไม่มีอยู่จริง อันนี้นักคิดบางส่วนที่สุดโต่งเขาคิดแล้วก็เชื่อเช่นนั้น ว่าคุณค่าทั้งหลายในโลกนี้นั้นเกิดมาจากมนุษย์ทั้งสิ้น ซึ่งข้าพเจ้าก็เป็นคนหนึ่งที่ยอมรับว่าความคิดนี้มีอิทธิพลต่อความคิดของข้าพเจ้าอยู่ไม่น้อย แต่ข้าพเจ้าก็ยังใจอ่อนในเรื่องของศาสนา อนึ่งความคิดนี้สังคมจะเป็นแบบไม่ต้องมีกฏมีระเบียบ หรือประเพณี อยู่ได้ก็อยู่อยู่ไม่ได้ก็ไป ไม่มีใครเตือนใครได้ ค่อนข้างกลับไปสู่สังคมที่ป่าเถื่อน ซึ่งในแง่ดีของมันก็คือ เป็นสังคมที่ไม่ยึดติดต่อกรอบหรือแบบแผน คล้ายกับสังคมตามชนบทของชนเผ่าต่างๆ ที่หาเช้ากินค่ำไปวัน ไม่เร่งรีบหาเงิน หรือหาความสุข
มากมายนัก อยู่ใกล้ชิดธรรมชาติ ข้าพเจ้าเคยแอบคิดว่า สงครามโลกครั้งที่สามจากคำพูดของไอสไตน์ที่ว่า มนุษย์จะสู้กันด้วยไม้กระบอง เป็นคำพูดที่น่าจะเป็นไปได้และหวังว่าคงเป็นเช่นนั้น แต่ตอนนี้เราก็ดูสงครามที่สู้กันด้วยเงินทองไปพลางๆก่อน อนึ่งทุกท่านใน thaipoem มีทัศนะในเรื่องความดีในมุมมองแบบใด เผื่อว่าจะได้เปิดมิติทางความคิดข้าพเจ้าให้กว้างขึ้น เพื่อจะได้หาที่ยืนพร้อมรับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดมีขึ้นของอาเซียน				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟเมต้าไซรัป
Lovings  เมต้าไซรัป เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟเมต้าไซรัป
Lovings  เมต้าไซรัป เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟเมต้าไซรัป
Lovings  เมต้าไซรัป เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงเมต้าไซรัป