29 กันยายน 2548 15:39 น.

“สำนึกได้....ก็สายเกินไป”

เมฆสีหม่น

สำนึกได้....ก็สายเกินไป


                                               -  สิ่งที่อยากจะพูด  -

            วันที่เริ่มเขียนเรื่องนี้ตรงกับวันคล้ายวันเกิดของแม่ผู้เขียน ผู้ซึ่งมี
พระคุณยิ่งใหญ่ที่สุดจนยากที่จะหาผู้ใดมาเสมอเหมือนและแทนที่ได้ในชีวิต
ของผู้เขียน

            เรื่องนี้ตั้งใจเขียนขึ้นโดยมีแรงบันดาลใจมาจากคำพูดประโยคหนึ่ง
ที่แม่ผู้เขียนชอบพูดอยู่บ่อย ๆ เวลาน้อยใจ คือ ไม่มีแม่อยู่ด้วยแล้วเราจะรู้สึก 
ซึ่งตอนนั้นผู้เขียนไม่เคยได้รู้เลยว่ามีอะไรบางอย่างที่เริ่มคืบคลานเข้าสู่ตัวแม่
อย่างช้าๆ แล้วพรากเราสองแม่ลูกให้อยู่กันไกลห่างอย่างที่ไม่มีวันหวนคืน
ทำให้ผู้เขียนไม่สามารถที่จะเอ่ยเรียกใครว่า แม่ อย่างเต็มปากและภาคภูมิ
ได้อีกเลย

            ในตอนนี้ผู้เขียนอยากจะบอกกับแม่เหลือเกิน แต่ไม่มีโอกาสที่จะได้
บอกอีกแล้วว่า 
            ทุกวันนี้ผู้เขียนได้เรียนรู้ซึมซาบอย่างลึกซึ้งจนเข้าไปถึงก้นบึ้งส่วนที่
ลึกที่สุดของหัวใจและชีวิตกับคำพูดประโยคนี้ของแม่แล้ว   
            แม่   ผู้ซึ่งจากลูกไปยังดินแดนสวรรค์ชั้นฟ้านับได้ย่างเข้าสู่ปีที่ ๗
        	
            เจ็ดปีผ่าน ชีพแม่ดับ ลับสลาย      	สิ้นร่างกาย ลูกกอด นอนตักหนุน
อ้อมอกเคย อิงแนบ อุ่นละมุน                	กลิ่นกายกรุ่น หอมจรุง อุ่นดวงใจ
             ขอวิญญาณ แม่สถิต สรวงชั้นฟ้า	หากแม้นมี ชาติหน้า เป็นลูกใหม่
คำแม่พูด ลูกซึ้ง สุดหัวใจ		ด้วยอาลัย รักแม่ ตราบสิ้นลม	

                                                                                หนูรักแม่นะคะ
                                                                         ๒๘ กันยายน ๒๕๔๘




                                            -  สิ่งที่อยากจะบอก -

                      พ่อ...แม่....ผู้เป็นสิ่งประเสริฐที่สุดในชีวิตของลูก...

             พ่อ....แม่ คำเรียกซึ่งสั้นและง่ายต่อการจำของเด็กที่เพิ่งเรียนรู้ใน
การหัดพูด ไม่มีใครรู้ว่าทำไมผู้ที่คิดและบัญญัติจึงได้ออกมาเป็นคำนี้ แต่ทว่า
คำสองคำนี้กลับซ่อนความหมายอะไรบางอย่างไว้ได้อย่างมากมายมหาศาล 
ที่หลายคนคุ้นเคยเรียกมาตั้งแต่เด็กๆ จะเรียกได้ว่าตั้งแต่เริ่มจำความได้ 
เรามักจะเอ่ยคำใดคำหนึ่งนี้ก่อนเสมอที่เราจะเริ่มพูดประโยคใด ๆ ต่อไป 

	พ่อ....แม่......ผู้ซึ่งไม่เคยหวังเรียกร้องอะไรตอบแทนจากเรา
	พ่อ....แม่......ผู้ซึ่งรักและจริงใจกับเรามากกว่าใครในโลกนี้ 

             แต่ทำไมในสังคมมนุษย์ถึงได้เกิดคำพูดเปรียบเปรยว่า แม่คนเดียว
เลี้ยงลูกหลายคน     ได้แต่ลูกหลายคนเลี้ยงแม่คนเดียวไม่ได้ คำพูดนี้ยังคงมี
ปรากฏให้เห็นกันได้ทั่วไปตามบ้านพักคนชราทั้งหลายที่เปิดรองรับทั้งชายและ
หญิงผู้สูงอายุทั้งหลาย ที่นับวันจะยิ่งมีจำนวนผู้สูงอายุเข้าไปอาศัยเพิ่มมากขึ้น
เรื่อย ๆ

              พวกเขาไม่มีญาติพี่น้อง ลูกหลานเลยหรือ...?? คำถามที่หนุ่มสาว
หลายคนถาม  
              เมื่อก่อนมีเยอะ แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว...!!  คำตอบของผู้สูงอายุหลายคน
ปลงตกแล้วตอบ

              เวลาพวกท่านยังมีชีวิตอยู่ บางคนปล่อยทิ้งขว้างให้เผชิญชะตากรรม
โดดเดี่ยวอย่างลำบากบางคนก็นำไปฝากตามบ้านพักคนชรา และอีกมากหลาย
เหตุผลที่บรรดาลูกๆ ชายหญิงล้วนสรรหายกขึ้นมากล่าวอ้างเพื่อปัดความรับผิด
ชอบในการดูแลเลี้ยงดูท่านยามชรา 

              เมื่อถึงเวลาพวกท่านได้ลาลับดับไปจากโลกนี้ บางคนสำนึกได้ก็จัด
งานศพให้ท่านเสียใหญ่โต พร่ำรำพันความเศร้าโศกจวนเจียนจะขาดใจต่อ
หน้าศพ  สารพัดอาหารยกมาตั้งไว้ข้างโลงแล้วเคาะเรียกให้ท่านมากินอาหาร
ที่โปรด  มีมหรสพสามวันเจ็ดคืนอย่างเอิกเกริก พวกเขาคิดว่าการที่จัดงาน
อย่างยิ่งใหญ่นี้เพื่อชดเชยในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ทำในตอนที่ท่านมีชีวิตอยู่ และ
แสดงความรักที่มีให้ท่านอย่างท่วมท้น  แต่สิ่งที่ทำเหล่านั้นจะเกิดประโยชน์
อันใดเล่า ในเมื่อสำนึกได้ก็สายเกินไปแล้ว

              คำเปรียบเปรยนี้คงยังจะใช้ได้อีกยาวนานกับสังคมของมนุษย์ในยุค
ปัจจุบันที่เจริญขึ้นในด้านวัตถุ แต่จิตใจของมนุษย์กลับเสื่อมถอยลง

              น้ำนมอุ่น ข้าวอ่อน ใครป้อนเจ้า	    ใครที่เฝ้า เห่กล่อม เพลงขับขาน
ใครหนอใคร เอื้อนเอ่ย คำนิทาน	    ใครนะใคร วันวาน ในวัยเยาว์   
              ยามพ่อแก่ แม่ชรา คิดผลักไส	    ส่งท่านไป บ้านพัก ช่างน่าเศร้า
เจ็บป่วยไข้ เฝ้าคอย ไร้แม้เงา	    เมื่อสิ้นใจ ใยเจ้า พร่ำโศกครวญ



                                                -  สิ่งที่อยากจะเขียน -

                                             สำนึกได้....ก็สายเกินไป

           เมื่อสามสิบกว่าปีก่อนหน้านี้ชีวิตของยายอาบมีความสุขกับครอบครัวที่
อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาทั้งสามีและลูกสาว เวลาต่อมาไม่นานสามียายอาบก็
มาตายจากไป เพราะจมน้ำตอนออกไปหาปลาในคลองแถวบ้าน ตั้งแต่นั้นมา
ที่บ้านจึงเหลือแต่ยายอาบกับจันทร์ลูกสาวเพียงคนเดียวของแกที่อยู่ในวัยเด็ก 
ดังนั้นยายอาบจึงทุ่มเทความรักความผูกพันที่มีทั้งหมดให้กับจันทร์
            ยายอาบมีอาชีพพายเรือขายขนมหลายอย่าง เช่น ข้าวต้มมัดและขนม
กล้วย ไปตามคลองวันหนึ่ง ๆ  แกจะพายเรือออกขายของตั้งแต่เช้า จนตกตอน
เย็นถึงกลับบ้าน ส่วนลูกสาวยายอาบฝากคนข้างบ้านเลี้ยงไว้ตอนขากลับจึงแวะ
ไปรับกลับบ้านเป็นอย่างนี้เสมอมาจนเมื่อจันทร์โตขึ้นมาหน่อย ยายอาบจึงเอา
จันทร์ใส่เรือพาออกไปขายของด้วย

            ด้วยความที่จันทร์หน้าตาน่ารัก จิ้มลิ้ม ใครเห็นใครก็รัก และความ
น่ารักน่าเอ็นดูของจันทร์ที่ส่งเสียงร้องเรียกชวนให้คนซื้อของอยู่ที่ในเรือ
หลังจากนั้นยายอาบก็ขายของดีขึ้นทุกวัน ยายอาบเก็บหอมรอมริบเงินไว้ได้
จำนวนหนึ่งจึงเริ่มซื้อที่ดินสะสมไว้บ้าง จนเป็นที่รู้กันทั่วในละแวกนั้นว่า
ยายอาบมีฐานะดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก

        ถ้ามีใครถามกับยายอาบว่าจะเก็บเงินเก็บทองไปถึงไหน ยายอาบจะตอบว่า
        ที่หามาได้ก็เก็บไว้ให้ลูกนั่นแหล่ะ ลำพังตัวฉันจะตายวันตายพรุ่งยังไม่รู้ 
ห่วงก็แต่ลูกสาวกลัวจะลำบากถ้าไม่มีสมบัติอะไรทิ้งไว้ให้เลย ตอนที่ฉันไม่อยู่
ด้วยแล้ว

        ครั้นเมื่อจันทร์อายุได้ ๑๗ ปี ก็เริ่มรุ่นแตกเนื้อสาวด้วยความที่อายคน 
จึงไม่ได้ออกไปช่วยยายอาบขายของที่เรือเหมือนตอนเด็ก ซึ่งยายอาบไม่ได้
ว่าอะไร ด้วยตัวแกเองก็อยากให้ลูกเรียนหนังสือให้สูง ๆ มากกว่าที่จะมาช่วย
แกขายของ

        ในวันหนึ่งจันทร์พายเรือออกไปเที่ยวที่ตลาดเหมือนเคยทุกวัน ขณะที่
จันทร์เดินซื้อของก็เจอผู้ชายคนหนึ่งนั่งอยู่ในร้านขายกาแฟ ด้วยความที่จันทร์
เป็นเด็กที่หน้าตาดี ชายคนนั้นจึงมองจันทร์ด้วยความสนใจ ซึ่งจันทร์เองก็มีท่าที
สนใจ เมื่อชายคนนั้นเข้ามาทักทายจึงทำให้จันทร์รู้ว่าเขามาจากกรุงเทพฯ มาหา
เพื่อนในละแวกนั้น จากนั้นจันทร์และชายคนนั้นก็เริ่มสนิทสนมไปมาหาสู่กัน
เป็นประจำโดยที่ยายอาบไม่เคยได้รู้เรื่องของจันทร์เลย
	
         ยายอาบยังคงพายเรือออกขายของอยู่เหมือนเดิม แต่ในวันบ่ายหนึ่งขณะ
ที่เมฆฝนเริ่มตั้งเค้าดำมืด ยายอาบเงยหน้ามองฟ้าแล้วจึงรีบเร่งฝีพายเพื่อกลับ
บ้านให้ทันก่อนที่ฝนจะตกลงมา เมื่อกลับไปถึงบ้านยายอาบร้องเรียกลูกสาวให้
มาช่วยแกเก็บข้าวของในเรือเหมือนอย่างเช่นทุกวัน แต่วันนี้ไร้เงาของจันทร์
ออกมาช่วย ยายอาบจึงขึ้นไปบนบ้านไม่เห็นจันทร์จึงเดินลงมาตามหาข้างล่าง
แต่ไม่เจอ

          ยายอาบเดินไปถามเพื่อนข้างบ้านจึงได้ความว่า
          ฉันเห็นนังจันทร์มันถือกระเป๋าเสื้อผ้ารีบร้อนลงมาจากบ้าน แล้วก็นั่ง
รถออกไปกับผู้ชายคนหนึ่ง เพื่อนบ้านที่เห็นเหตุการณ์บอกกับยายอาบ
           ยายอาบได้ฟังแล้วยืนนิ่งเหมือนหุ่น ชาไปตามร่างกาย เมฆฝนที่ตั้งเค้า
ดำมืดอยู่แล้วนั้นก็ได้ตกลงมาอย่างไม่ขาดสาย ยายอาบรู้สึกเหมือนใจสั่น ขาสั่น 
วูบนั้นเองทุกอย่างในสายตาพลันดำมืดไปหมด แล้วร่างของยายอาบก็ล้มลง
กับพื้น 

            เมื่อเวลาผ่านไปยายอาบเริ่มแก่ตัวลงไปมาก จนออกพายเรือขายของ
ไม่ไหว เงินทองที่เคยเก็บหอมรอมริบสะสมไว้ก็เริ่มร่อยหรอไปทุกวัน แกได้
แต่นั่งซึมเศร้าหมดอาลัยกับชีวิต จะมีก็เพียงจดหมายฉบับเดียวที่จันทร์ส่งมา
ให้พร้อมรูปถ่ายของเธอที่พอให้ได้ชื่นใจเมื่อเห็น แต่ถึงกระนั้นทุกวันยายอาบ
จะนั่งอยู่หน้าบ้านคอยเฝ้ารอเวลาให้ลูกสาวคนเดียวของแกกลับคืนสู่อ้อมอก

            และในบ่ายวันหนึ่งจันทร์ก็ปรากฏตัวขึ้น ยายอาบเห็นเข้าก็กึ่งเดิน
กึ่งวิ่งปรี่เข้าไปหาตัวจันทร์ด้วยความดีใจที่ได้เห็นหน้าลูกสาวของแกอีกครั้ง 
ยายอาบน้ำตารินไหลด้วยความปลื้มปิติ มือทั้งสองข้างของแกกอดตัวจันทร์
เอาไว้แน่นเหมือนจะไม่ให้หลุดลอยไปไหนอีก

            ส่วนจันทร์ไม่ได้มีทีท่าดีใจเมื่อได้เจอกับยายอาบสักเท่าไหร่นักเธอ
มาเพื่อจุดประสงค์อะไรบางอย่างเท่านั้น ยายอาบรีบพาลูกสาวขึ้นบ้านจัดแจง
หาข้าว หาน้ำมาให้จันทร์กินและทึกทักไปเองว่าลูกสาวของแกจะกลับมาอยู่
ด้วยกันกับแกอีกครั้ง

             ยายอาบนั่งเฝ้ามองลูกสาวที่กำลังกินข้าว  ด้วยความรู้สึกอิ่มเอิบใจ
และหวนย้อนถึงวัน เก่า ๆ ที่แกนั่งเคยป้อนข้าวให้ลูกสาวซึ่งยังเป็นเด็กตัว
เล็ก ๆ 
             อิ่มไหมลูก 
             กินอีกนะ กินเยอะๆลูก ยายอาบคะยั้นคะยอลูกสาว
             อิ่มแล้วหรือลูก ประเดี๋ยวจะหิวนะ ยายอาบบอกด้วยความเป็นห่วง
             เดี๋ยวแม่ไปเอาน้ำมาให้นะลูก พูดจบยายอาบลุกขึ้นไปหยิบขันตักน้ำ
มาให้จันทร์
             จันทร์ยิ้มให้โดยไม่ได้พูดอะไรและวางช้อนลงในจานรับน้ำจากแม่
มาดื่ม และจันทร์ก็เริ่มพูดถึงวัตถุประสงค์ในการมาของเธอครั้งนี้
             แม่....ที่นาของเรามีอยู่ทั้งหมด ๕ ไร่ใช่ไหม
             วันนี้ที่ฉันมา ฉันไม่ได้กลับมาอยู่บ้านกับแม่นะ แต่ฉันจะมาขอยืม
ที่ดินแม่ไปจำนองกับธนาคารไว้ก่อน ตอนนี้ธุรกิจที่ฉันทำอยู่มันมีปัญหาใน
เรื่องเงิน แล้วถ้ามันดีขึ้นเมื่อไหร่ ฉันจะไปไถ่คืนให้แม่แล้วกัน จันทร์บอก
ยายอาบ
             ยายอาบฟังแล้วรู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรมาจุกอยู่ที่ลำคอ พูดไม่ออก
เมื่อได้ฟังคำพูดที่ออกจากปากลูกสาวสุดที่รักที่แกเฝ้าคอยให้กลับคืนสู่อ้อมอก
มานาน แต่เมื่อลูกเดือดร้อนก็ต้องให้ว่าแล้วยายอาบก็เดินไปหยิบโฉนดมา
ให้กับจันทร์

             หลังจากที่จันทร์ได้รับโฉนด จันทร์ก็บอกแม่ว่าจะกลับแล้ว เพราะตน
ยังมีธุระที่ต้องไปทำอีกเยอะ ยายอาบนั่งน้ำตาซึมและไม่นานน้ำตาก็เริ่มไหลริน 
ในใจยายอาบคิดว่าทำไมเวลาที่ได้อยู่กับลูกมันช่างแสนสั้นนัก แกอยากจะอยู่
และเห็นหน้าลูกให้นานกว่านี้ ให้สมกับที่แกเฝ้าคิดถึง และรอคอยการมาของ
ลูกอยู่เป็นเวลานาน

            ก่อนกลับจันทร์ไหว้ลาแม่และบอกว่าจะมาหาใหม่ถ้าเธอว่าง แล้วเธอก็
เดินลงจากบ้านไปโดยไม่ได้หันกลับมามองยายอาบที่กำลังเศร้าซึมยืนมอง
จันทร์เดินลับไปตรงบันไดบ้าน

เวลาผ่านไป ๒๐ ปี
            ที่กระท่อมมุงจากเล็กๆ ทุกวันยายอาบจะมานั่งอยู่ที่หน้าบ้านเพื่อรอคอย
การกลับมาของลูกสาวของแกอยู่เสมอเพื่อนบ้านหลายคนต่างสงสารและเป็นห่วง 
เนื่องจากยายอาบไม่เหลืออะไรแล้วที่ดินก็ถูกธนาคารยึดไป ลูกสาวคนเดียวของ
แกก็ไม่เคยกลับมาดูแลเลยตั้งแต่ที่ดินถูกยึดไปกระท่อมที่แกอยู่ก็เป็นที่ดินของ
เพื่อนบ้านที่ปลูกให้และแบ่งปันข้าวสารอาหารมาให้แกบ้างเท่านั้น

            ในเย็นวันหนึ่ง ยายอาบกำลังนั่งปอกลูกบวบใส่จานสังกะสีเสร็จแล้วจึง
แล้วเอื้อมมือใช้ทัพพีคนข้าวที่มีน้ำมากกว่าเมล็ดข้าวในหม้อที่เกรอะดำบูดเบี้ยว
บนเตา แกหย่อนชิ้นบวบใส่ลงในหม้อข้าวที่กำลังเดือดปุด ปุด และเดินไปหยิบ
ชามใส่น้ำปลาผสมพริกป่นติดอยู่ก้นถ้วยที่เหลือจากเมื่อวาน

            ยายอาบนั่งลงใช้ช้อนสังกะสีคนในชามข้าวที่มีควันสีขาวลอยกรุ่นขึ้นมา
จากไอของความร้อน ค่อยๆ ตักเข้าปากกลืนลงคออย่างกล้ำกลืน ดวงตาของยาย
อาบเริ่มฝ้าฝาง แต่ภายในแววตาที่ลึกลงไปแกซ่อนความ เงียบเหงา อ้างว้าง 
ขมขื่นเอาไว้โดยที่ไม่มีใครรู้เลย น้ำใสๆ เริ่มเกาะปริ่มอยู่ตามขอบตาและพร้อม
ที่จะรินไหลได้ทุกเมื่อ

           หลังจากกินข้าวและจุดตะเกียงเสร็จ  ยายอาบเริ่มรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว
หนาวสั่นเหมือนจะจับไข้ เพื่อนบ้านที่ไม่เห็นยายอาบออกมานั่งหน้าบ้านเหมือน
อย่างทุกวันจึงเดินไปดูเห็นยายอาบนอนซมเพราะพิษไข้จึงปันยามาให้และ
บอกว่าพรุ่งนี้จะเดินมาดูอาการใหม่  ยายอาบรับยามากินแล้วล้มตัวลงนอนและ
ไม่ลืมที่จะหยิบรูปจันทร์ขึ้นมาดูก่อนหลับไป สายลมเย็นเอื่อยที่พัดผ่านเข้ามาทาง
หน้าต่าง ทำให้แสงที่ตะเกียงเริ่มดับลงอย่างช้า ๆ 

           ในวันเดียวกันกับที่ยายอาบไม่สบายนั้นเอง จันทร์ได้ไปทำบุญที่วัดกับ
สามีและลูกชายวัย ๑๐ ขวบของเธอ เมื่อจันทร์ได้ถวายเครื่องอัฐบริขารกับหลวง
พ่อเสร็จแล้ว หลวงพ่อจึงเอ่ยถามจันทร์ว่าเด็กคนนั้นลูกชายจันทร์หรือเปล่า 
จันทร์ตอบหลวงพ่อว่าใช่พร้อมให้ลูกชายก้มลงกราบหลวงพ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า

           เจริญพรเถอะโยม เด็กคนนี้ท่าทางลักษณะดี โตขึ้นแล้วคงเป็นที่พึ่ง
เลี้ยงดูพ่อกับแม่ได้ เจ้าหนุ่มโตขึ้น....เจ้าจะต้องดูแลพ่อแม่เพื่อตอบแทนพระคุณ
ของท่านอย่าลืมเสียตั้งแต่ยังเด็กหล่ะ
            คนเราสมัยนี้ยึดติดกับวัตถุเสียมากกว่าจิตใจ พยายามดิ้นรนที่จะหา
เงินมาให้ได้มากเข้าไว้ทั้งนั้น คิดกันว่าเงินจะหาซื้อความสุขให้กับตัวเองได้ 
ต่างพากันเที่ยวมองหาซื้อความสุขไปทั่ว แต่ความสุขแท้จริงกลับไม่มอง 

            ความสุขแท้จริงคืออะไร  คือความสุขที่เราสามารถทำให้ผู้อื่นมีความสุข 
เมื่อเราสามารถเลี้ยงลูกให้เติบโตเป็นคนดีในสังคมได้ เราก็เป็นสุข ลูกเราก็
เป็นสุข  เมื่อเราสามารถตอบแทนพระคุณพ่อแม่ในยามชราหรือดูแลยามเจ็บไข้
ได้ป่วยได้เป็นอย่างดี เราก็เป็นสุข พ่อแม่ก็มีความสุข 

            มนุษย์เราไม่จำเป็นที่จะต้องพยายามดิ้นรนในการหาเงินอย่างมากมาย  
เพื่อไว้ซื้อหาความสุขไม่แท้เหล่านั้นเลย เมื่อตัวเราเองทำชีวิตให้มีความสุขคน
รอบข้างเราก็จะมีความสุขไป ด้วย เพียงแต่เราละเลยหรือมองข้ามสิ่งเหล่านี้ไป 
ชีวิตเป็นอนิจจังสังขารไม่เที่ยงนะโยม หลวงพ่อเทศนาจบก็ลาญาติโยมไปทำ
กิจอื่น

            จันทร์นั่งฟังหลวงพ่อเทศน์จบแล้วน้ำตาก็เริ่มซึม ทำให้เธอนึกถึงแม่ที่
ละเลยไม่ได้ไปดูแลมาตลอด ๒๐ ปีหลังจากที่ไปเอาที่ดินของแม่มาวันนั้น
จันทร์ตัดสินใจที่จะกลับไปเยี่ยมแม่ของเธอ

            เช้าวันรุ่งขึ้น เพื่อนบ้านเดินไปดูอาการของยายอาบและหยิบเอายามา
ด้วย เมื่อตะโกนเรียกไม่มีเสียงตอบรับจากยายอาบจึงเดินขึ้นไปบนบ้านเห็น
ร่างของยายอาบนอนตัวซีด จึงเอื้อมมือไปจับขาของยายอาบเขย่าเรียกเบา ๆ
แต่ปราศจากความเคลื่อนไหว ร่างนั้นยังคงนอนหลับตาพริ้ม เนื้อที่ขาของ
ยายอาบนั้นเย็นเฉียบและแข็ง จนทำให้เพื่อนบ้านรีบปล่อยมือออกและเอา
มือไปอังไว้กับจมูกยายอาบ ซึ่งบัดนี้ไร้ซึ่งลมหายใจแล้ว

            ชาวบ้านทุกคนที่ได้ยินข่าวต่างมายืนห้อมล้อมศพของยายอาบ และช่วย
กันนำร่างของยายอาบไปไว้ที่ศาลาวัด ในขณะเดียวกันจันทร์ก็เดินทางมาเพื่อ
เยี่ยมยายอาบแต่ไม่เห็นบ้านของยายอาบที่เคยอยู่เดิม จึงเดินไปถามเพื่อนบ้าน
ว่ายายอาบย้ายไปไหน และเธอก็ได้คำตอบด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยเต็มใจว่ายาย
อาบอยู่ที่วัด จันทร์นึกไปเองว่าแม่คงไปทำบุญที่วัด เธอจึงเดินตามไปที่วัดทันที

        เมื่อจันทร์ไปถึงศาลาวัด  ชาวบ้านทุกคนหันมามองเธอเป็นสายตาเดียวกัน 
เธอมองเห็นร่างหนึ่งมีผ้าขาวคลุมร่างเอาไว้ เธอเดินเข้าไปแล้วถามว่าใครเป็น
อะไร แต่ไร้ซึ่งเสียงของชาวบ้านมีเพียงสายตาที่จ้องมองเธออย่างชิงชัง จันทร์
เดินเข้าไปค่อย ๆ เอามือไปเปิดผ้าคลุมออกและสิ่งที่เธอไม่อยากจะเชื่อก็เกิดขึ้น

         ร่างที่ไร้วิญญาณของแม่นอนหลับตาอย่างสงบนิ่ง ซึ่งบัดนี้ไร้ซึ่งความรู้สึก
ใด ๆ เธอได้รับการบอกเล่าจากชาวบ้านว่าตอนขึ้นไปเจอยายอาบนอนตายนั้น 
ในมือของยายอาบยังถือรูปถ่ายของเธอไว้ด้วย จันทร์ได้ฟังน้ำตาก็ไหลรินออกมา
จากสองตารินรดสองข้างแก้มอย่างไม่ขาดสาย 

         เธอทรุดตัวลงแล้วก้มตัวช้อนร่างที่ไร้ความรู้สึกของแม่ขึ้นมากอดไว้ ร่างที่
ไม่สามารถโอบกอด พูดคุย  ยิ้ม หัวเราะ หรือบอกกับเธอว่าแม่รักลูกได้อีกต่อไป  
แล้วหลายสิ่งหลายอย่างก็เริ่มพรั่งพรูออกมาจากความคิดของเธอ ภาพของแม่ที่
อุ้มเธอมานั่งตักป้อนข้าวที่หน้าบ้าน แม่ที่คอยร้องเพลงเห่กล่อมเธอให้นอนหลับ
ฝันดี  แม่ที่คอยปลอบประโลมเธอในยามที่เธอร้องไห้ แม่ที่คอยหุงหาอาหารให้
เธอได้กิน  แม่ที่ยอมทำทุกสิ่งทุกอย่างเพียงเพื่อให้เธอได้มีความสุข 

         ต่อไปนี้ไม่มีแม่ที่คอยรักและห่วงใยเธออีกต่อไป  ความรู้สึกของจันทร์มี
แต่ความสูญเสียเข้ามาเกาะกุมจิตใจของเธอ  แต่เธอก็ไม่สามารถที่จะกลับไป
แก้ไขอะไรได้ เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันสายเกินไปเสียแล้ว

        ตะเกียงถูกจุดขึ้นอีกครั้งในมือของจันทร์ที่กำลังเดินนำหน้าชายสี่คนที่
ช่วยกันแบกโลง  ยายอาบเคลื่อนไปบนทางเดินรอบเมรุ แล้วโลงของยายอาบ
ก็ถูกนำไปวางไว้ในช่องเผาศพบนเมรุ ในขณะนั้น ไม่มีเสียงพูดคุยอะไรเลย
มีเพียงเสียงของจันทร์ได้แต่ยืนร้องไห้สะอึกสะอื้นคร่ำครวญปริ่มเจียนขาดใจ 
เมื่อเห็นสัปเหร่อกำลังจุดไฟเผาโลงที่ภายในบรรจุร่างของยายอาบ

         ชาวบ้านต่างทยอยนำดอกไม้จันทน์เพื่อร่วมเผาร่างของยายอาบเป็น
ครั้งสุดท้าย
         ฉับพลันนั้นก็มีเสียงหนึ่ง ดังแทรกขึ้นมาจากกลุ่มของชาวบ้าน

       เวลาที่เขามีชีวิตอยู่ไม่เคยมาดูแล พอเขาตายจะมายืนร้องไห้คร่ำครวญทำ
พระแสงอะไร
	
                                                 .. The end ..				
27 กันยายน 2548 13:15 น.

จานใบนั้น...ที่ร่วงหลุดมือ

เมฆสีหม่น

จานกระเบื้องขลิบทองใบหรู ที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่บนโต๊ะรับประทานอาหารโดยรอบบนตัวจานมีลวดลาย ที่ผู้ชำนาญการค่อย ๆ บรรจงจรดพู่กัน
แต่งแต้มสีวาดประดิดประดอยขึ้นเป็นรูปดอกไม้ดอกเล็กๆ สีม่วงโศกแล้ว
เรียงร้อยพิถีพิถันให้เข้ากันเป็นช่อพันเลื้อยรอบตัวพลิ้วไหวอย่างวิจิตรงามงดประดุจราวดอกไม้นั้นเป็นเสมือนของจริงที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติดูแล้วสดชื่น นิ่มนวล อ่อนหวานในคราวเดียวกัน ส่วนขอบจานถูกเคลือบเข้าด้วยทองคำ
ส่องแสงแวววาววิบวับอร่ามตา ดูเหมาะสมกับฐานะของผู้ที่ซื้อหาไปใช้

              จานใบนี้เป็นส่วนหนึ่งในอีกหลาย ๆใบของจานชามชุดใหญ่ที่บรรดาผู้มั่งคั่งร่ำรวยเป็นเศรษฐีมีอันจะกิน สั่งนำเข้าโดยตรงจากต่างประเทศ ราคาก็สุดแสนแพงระยับจับทรวง แต่ดูเหมือนจะไม่ได้เป็นที่สะทกสะท้านสำหรับพวกเขาสักเท่าใด เป็นเพียงแค่เงินส่วนน้อยนิดที่ไว้ซื้อหาใช้จ่ายของที่ดูดีมีระดับมา
เพื่อตกแต่งบนโต๊ะเวลาทานอาหารจะได้ดูเป็นที่เจริญหูเจริญตาหรือมีไว้ใช้
อวดโฉมรับรองแขกที่มาเยี่ยมเยือนเพื่อโชว์ฐานะของเจ้าของบ้านนั้นๆ แต่สำหรับคนทำงานหาเช้ากินค่ำอย่างเราๆ คงไม่ต้องพูดถึงไม่เคยแม้กระทั่ง
ได้เห็นและลองสัมผัส

             ณ บ้านหลังหนึ่ง ซึ่งโดยรอบของรั้วมีอาณาบริเวณที่กว้างขวาง ขนาดของตัวบ้านแลดูใหญ่โต ตั้งเด่นตระหง่าน สง่างาม เป็นที่สะดุดตาของผู้คนที่สัญจรผ่านไปมาในละแวกนั้นบริเวณใจกลางเมืองกรุงเทพมหานครเมืองหลวงของประเทศ  เมืองที่ขึ้นชื่อลือเลื่องว่าเป็นดินแดนศิวิไลซ์เจริญรุ่งเรือง  พรั่งพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกในทุกอย่างมากด้านหลายประการในยุคโลกาภิวัฒน์

             จนทำให้ผู้คนที่อยู่ห่างไกลทั่วทุกสารทิศต่างพากันหลั่งไหลเข้ามาเพื่อเผชิญโชคแสวงหางานทำในเมืองหลวงแห่งนี้  บางคนต้องลาจากถิ่นที่อยู่อาศัย  ลาจากพ่อแม่ พี่น้อง ลูกเมียที่รัก เมื่อเข้ามาแล้วต่างคนต่างต้องดิ้นรนกระเสือกกระสนหาหนทางเพื่อเลี้ยงชีพ ด้วยความหวังเพียงว่าชีวิตของพวกเขาคงจะดีขึ้นกว่าถิ่นอยู่อาศัยเดิมที่ตนต้องจำใจลาจากมา

              เพล้ง......!!!!  
              เสียงของจานที่เคยงดงามแสนสวยหรู ราคาแพงระยับใบนั้น ดังก้องขึ้น
              ท่าทางกระงกกระเงิ่นของหญิงสาวคนหนึ่งต้องหยุดชะงักจากสิ่งที่ทำอยู่ หลังจากเสียงนั้นสิ้นสุดลง
              เธอหยุดยืนนิ่งราวกับต้องมนต์สะกด ตอนนี้เธอรู้สึกได้ถึงความเย็นเยือกที่เริ่มแผ่ซ่านผ่านเข้าเกาะกุมหัวใจแล้วค่อยๆ ขยายไปทั่วทุกขุมขนตาม
ร่างกายเธอ แม้ในขณะนั้นจะไม่มีสายลมวูบใดพัดผ่านเข้ามาปะทะร่าง แต่ก็ทำให้เธอถึงกับสั่นสะท้าน จนหมดเรี่ยวแรงที่จะยืนอีกต่อไป 

              เธอทรุดตัวลงนั่งบนพื้น  จ้องมองดูจานใบงามแสนหรูที่เผลอทำมันหลุดจากมือเมื่อสักครู่ 
              บัดนี้มันได้ร่วงหล่นลงกระทบสู่พื้นตกแตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ เศษชิ้นเล็กชิ้นน้อยของมันกระจัดกระจายเกลื่อนกลาดอยู่ตามพื้นไปทั่ว มองดูเป็นการยากที่จะนำกลับมาต่อให้ใช้งานและสวยงามได้เหมือนเดิม มันดูหมดค่าและหมดราคาไปในเพียงพริบตาเดียว
              เธอนั่งมองมันอย่างคนหมดอาลัยตายอยากในชีวิต  แววตาที่หมองเศร้าฉายอยู่บนใบหน้าอันแห้งกร้านหมองคล้ำ มือเล็กๆ ของเธอที่แห้งหยาบกร้านเต็มไปด้วยริ้วรอยของแผลเป็น เผยให้เห็นถึงการตรากตรำทำงานผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างหนักหน่วง ทั้งที่อายุของเธอในตอนนี้เพียงแค่ยี่สิบสองปีเท่านั้น


               และฉับพลันแววตาที่เหม่อลอยก็เริ่มเปลี่ยนเป็นนัยน์ตาที่เหลือกลาน หวาดผวา หวั่นกลัวกับอะไรบางอย่างจนเห็นได้ชัด  แล้วเหงื่อกาฬเม็ดใหญ่ก็เริ่มทยอยผุดขึ้นออกมาจนท่วมท้นบนใบหน้า 
               เธอเริ่มมีอาการกระสับกระส่าย  เถลือกถลนเอื้อมมือไปเก็บเศษชิ้นส่วนของจานขึ้นมาไว้ในอุ้งมือ ซึ่งในตอนนี้ตัวเธอเองไม่สามารถบังคับควบคุมมือให้มันเป็นปรกติได้ 
               สองมือน้อยเริ่มสั่นเทาขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยความรีบร้อนเศษจานแตกทีแหลมคมทำให้มันบาดลึก เข้าไปในมือของเธอ พลันเลือดสีแดงข้นก็เริ่มไหลทะลักจากรอยแยกของเนื้อแล้วไหลย้อยออกมาตามอุ้งมือเล็ก ๆ  แต่ในตอนนั้นเธอกลับไม่รู้สึกเจ็บปวดที่มือแต่อย่างใด เธอกังวลอยู่กับการเก็บเศษชิ้นส่วน
ของจานใบหรูทิ้งให้หมดไปโดยเร็วเท่านั้น ในขณะที่เลือดจากมือก็ยังคงไหล
นองหยดลงสู่พื้นอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย


                แล้วสิ่งที่เธอหวั่นวิตก และหวาดกลัวมาโดยตลอดนั้น ก็ปรากฏมาตามเสียง
                นังดวง แกทำอะไรของฉันตกแตกอีกแล้ว เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น
                เจ้าของเสียงที่กำลังเดินมา หล่อนมีรูปร่างค่อนข้างอ้วนท้วน ผิวขาว แต่งหน้าสีฉูดฉาดเข้มจัดมาพร้อมด้วยเสียงก่นด่าดังโหวกแหวก  
                เธอเรียกชื่อผู้หญิงคนนั้นจนติดปากมาตลอดว่า คุณนาย
                หลังจากที่คุณนายเดินเข้ามาถึงมองเห็นเศษของจานชุดโปรดที่ตัวเองสั่งซื้อโดยตรงมาจากเมืองนอก ซึ่งในตอนนี้มันได้ตกแตกเกลื่อนผสมปนกับกองหยดเลือดที่ละเลงนองอยู่บนพื้นอยู่ตรงหน้าเธอ
 
                แล้วเสียงของคุณนายก็บ่นพึมพำคร่ำครวญขึ้น 
                หมด..หมดกัน..จานเนื้อดีชุดหรู ราคาแพงจากเมืองนอกของฉัน
                ก่อนที่คุณนายจะเดินมาถึงตัวเธอน้ำเสียงอันเกรี้ยวกราดของคุณนายก็ดังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
                นังดวง...แกทำของตกแตกอีกแล้วใช่มั๊ย คุณนายตวาดถามเธอ 
                ค่ะ...ค่ะ...คุณนาย... เธอตะกุกตะกักตอบคุณนายด้วยน้ำเสียงกระเส่าดังอ้อมแอ้มอยู่ในลำคอ


                ร่างของเธอเริ่มสั่นเทาขึ้นด้วยความหวาดกลัว ในตอนนี้เธอเหมือนกับกระต่ายตัวน้อยที่อยู่ตรงหน้าราชสีห์ซึ่งพร้อมที่จะใช้กรงเล็บอันคมกริบตะครุบกัดกินเหยื่ออันเป็นอาหารสุดโอชะ 
               เธอตอบแล้วก้มหน้านิ่งมองดูเลือดในมือที่ยังไม่หยุดไหล และเศษของจานชิ้นหนึ่งที่ยังกำอยู่ในมือเธอ
               ฉันจะทำยังไงกับแกดีนังดวง นี่มันกี่ครั้งกี่หนแล้ว ที่แกทำของแตกเสียหาย
               เมื่อไหร่แกจะหายโง่เสียที...นังดวง
               แกนี่มันเป็นตัวซวย...เป็นตัวอัปมงคลของบ้านนี้จริง ๆ ข้าวของราคาแพงของฉันถูกแกทำเสียหายพังย่อยยับป่นปี้คามือแกไปหมด คุณนายเริ่มพรั่งพรูคำผรุสวาทคำแล้วคำเล่าออกมาด้วยน้ำเสียงที่แหลมและฉุนเฉียวกว่าเก่า และสิ่งที่เธอต้องจดจำไปได้อีกนานแสนนานในชีวิตก็เกิดขึ้น หลังจากที่สิ้นเสียงคำพูดของคุณนาย


                ในวินาทีนั้นเอง มือข้างหนึ่งของคุณนายซึ่งอวบอูมดึงจิกกระชากเข้าที่ผมของเธออย่างแรงพร้อมลากร่างที่เล็กแคระแกร็นผอมแห้งของเธอถูลู่ถูกังปลิวขึ้นตามแรงมือไปในทันที ส่วนอีกมือหนึ่งก็คว้าไม้ขนาดเขื่องที่วางอยู่ใกล้ ๆ นั้นติดมือมาด้วย 
               แกมานี่...นังดวง...วันนี้ฉันต้องให้แกชดใช้ในสิ่งที่แกทำไป..ให้สาสมกว่าที่แล้วมา
              มือของคุณนายที่ดึงกระชากผมแล้วลากเธอออกไปตามทางเดินนอกห้องครัว และเหวี่ยงจนร่างเธอเซถลากลิ้งกระเด็นไปนอนขดตัวอยู่บริเวณส่วนกลางของบ้าน ร่างของคุณนายที่สั่นเทิ้มด้วยความโกรธจัด หน้าตาถมึงทึงจ้องหน้าเธอเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อเสียให้ได้ เพราะความเสียดายจานหรูใบนั้น

               ตอนนี้คุณนายไม่ได้สนใจมือของเธอที่เลือดกำลังหลั่งไหลออกมาคุณนายเดินตรงเข้าไปจิกผมของเธออีกครั้ง คราวนี้คุณนายจับอย่างถนัดแล้วฝ่ามือ
ก็เหวี่ยงเข้ามากระทบบนใบหน้าของเธออย่างเต็มเหยียดจนเห็นเป็นปื้นรอยของฝ่ามือจาง ๆ
               และอีกหลายครั้งที่คุณนายใช้ฝ่ามือและเริ่มเปลี่ยนมาเป็นไม้ขนาดเขื่องที่หยิบติดมือมาตีกระหน่ำถั่งโถมลงบนใบหน้าและบนตัวอันหยาบคล้ำของเด็กสาวอย่างไม่ปรานีปราศรัย และไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
              จนกระทั่งคุณนายเริ่มเหนื่อยหอบจึงหยุด และเดินไปนั่งทรุดบนโซฟาที่นุ่มบุด้วยพรมกำมะหยี่ ลวดลายลูกไม้สีทองอย่างดี


                ส่วนเธอค่อย ๆ ใช้มือยันกายลุกขึ้นนั่ง ความเจ็บปวดรวดร้าวก็ได้ประดังเข้ามาที่ศีรษะและตามใบหน้าของเธอ มันวิ่งแล่นแผ่ซ่านซึมไปทั่วร่างกาย หยดน้ำใสๆ จากสองตาก็เริ่มเอ่อล้นไหลแข่งกับเลือดที่ออกมาจากมืออย่างไม่ขาดสายเช่นเดียวกัน
                ในมือของเธอยังคงกำเศษจานที่แตกมาโดยตลอด รอยแยกของเนื้อที่ปริเปิดกว้างมากขึ้นเลือดเริ่มไหลทะลักนองออกมาอย่างท้วมท้นอีกครั้ง เธอกำเศษจานในมือของเธอแน่นขึ้นเรื่อย ๆ จนเกิดเป็นอีกรอยบาดแผลขึ้น แต่ครั้งนี้ไม่ได้เกิดกับมือ แต่ทว่ามันกลับบาดเป็นรอยร้าวลึกลงในหัวใจของเธอนั่นเอง
              หลังจากที่คุณนายหายหอบเหนื่อยแล้วก็ไล่ให้เธอไปเสียให้พ้นหูพ้นตา พร้อมกับกำชับให้เธอทำความสะอาดรอยคราบเลือดที่อยู่บนพื้นให้สะอาดอย่าทำให้ข้าวของเธอต้องเสียหายเปรอะเปื้อน เลอะเทอะอีก เธอไม่กล้าแม้จะสบตาขึ้นมองหน้าคุณนาย


               เมื่อคุณนายพูดจบแล้ว เธอค่อยๆ ลุกขึ้นเดินพยุงร่างกายที่ปวดร้าวและเจ็บช้ำเข้าไปในห้องครัว ทรุดตัวนั่งลงอย่างหมดแรง เธอคลายมือเอาเศษจานที่แตกออกจากมือ แล้วใช้ปลายของผ้านุ่ง สีขมุกขมัวถูเช็ดเลือดตามมือซึ่งยังไหลออกมาไม่หยุดหย่อน และมันก็เริ่มเหนียวเหนอะหนะเช็ดลำบากมากขึ้น
              เธอก้มมองดูผ้าถุงผืนนี้ที่แม่ให้เธอไว้ก่อนที่แม่จะกลับบ้านไป พร้อมทั้งกำชับเธอว่า เจ้านายบ้านนี้เขาร่ำรวยมาก ให้เธอทำตัวดี ๆ เขาเรียกใช้อะไรก็ต้องทำตามอย่างว่านอนสอนง่าย เจ้านายจะได้รักและเอ็นดูเพื่อจะได้มีเงินเหลือส่งกลับไปบ้าน ให้พ่อแม่น้องได้อยู่กันอย่างสบายขึ้นไม่ลำบากเหมือนแต่ก่อน

             แล้วน้ำตาเธอก็เอ่อรินไหลอีกครั้ง เธออยากจะบอกกับแม่เหลือเกินว่าสิ่งที่เธอเจอนั้นมันต่างจากที่แม่บอกอย่างมากมายเปรียบราวฟ้ากับนรก เธอค่อย ๆ ลุกขึ้นไปเปิดก๊อกน้ำเพื่อล้างคราบเลือด แววตาของเธอมองดูเลือดที่ไหลรินปนตามสายน้ำมันช่างเจือจางเหมือนกับสิ่งที่แม่บอกเธอเหลือเกิน
             เธอทำแผลให้ตัวเองอย่างทุลักทุเลด้วยมือเพียงข้างเดียว เมื่อจัดการกับแผลที่มือเสร็จเรียบร้อยแล้วเธอทำความสะอาดพื้นห้องครัวเก็บชิ้นส่วนของเศษจานที่เหลือ และบริเวณกลางบ้านให้สะอาดตามที่คุณนายสั่ง


             ฟ้าเริ่มมืดลง แต่แสงของตะวันสีแดงเข้มยังคงจับอยู่กับขอบฟ้าดวงอาทิตย์ค่อยๆเคลื่อนตัวลง ลาลับไป  แสงของดวงจันทร์สีนวลกระจ่างเริ่มทำหน้าที่ส่องสว่างในคืนที่มืดมนไร้ซึ่งแสงแพรวพราวของเหล่าหมู่ดาว
            ค่ำคืนนี้เธอยังไม่เข้านอนและนั่งเหม่อมองดวงจันทร์อยู่ข้างหน้าต่างแววตาเต็มไปด้วยความปวดร้าวขมขื่นที่เกิดขึ้นวันนี้ น้ำใส ๆ เริ่มเอ่อล้นไหลรินอาบสองข้างแก้มของเธออีกครั้ง แม่ของเธอจะรู้ไหมว่าลูกสาวของแม่คนนี้กำลังเผชิญชะตากรรมอันแสนโหดร้ายของคนร่ำรวยในเมืองใหญ่ ในตอนเธออยากรู้เหลือเกินว่าที่บ้านของเธอเป็นอย่างไรกันบ้าง หากในวันนี้เธอยังอยู่ที่บ้านกับครอบครัว เธอคงมีความสุขตามอัตภาพที่เป็นอยู่
         ในคืนที่เงียบสงัดไร้ซึ่งสรรพเสียงใด ๆ เธอนั่งรำพึงรำพันในใจคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในอดีตของเธอ

                                                      - @ -


            ยามเช้าในหมู่บ้านเล็ก ๆ จังหวัดหนึ่ง  ซึ่งมีระยะทางที่ห่างไกลกรุงเทพฯ เมืองกรุงใหญ่
            ดวงตะวันดวงกลมโตโผล่พ้นเส้นขอบฟ้าก็เริ่มส่องแสงสีส้มเรื่อเรืองประกายสีทอง ตัดกับสีขาวของสายหมอกที่ลอยตัวอยู่ในอากาศ  เสียงร้องของนกดุเหว่าและนกชนิดอื่นที่เริ่มออกหากินดังขึ้นเป็นระยะส่งสัญญาณบ่งบอกให้ผู้คนรู้กันว่าถึงเวลาเช้าแล้ว ดอกหญ้าสีขาวพลิ้วไหวโอนอ่อนลู่ตามแรงลมอยู่ตามสองฟากทางคันนา
             ส่วนในท้องทุ่งที่ชาวบ้านพากันหว่านเมล็ดข้าวไว้ช่วงต้นฝน ตอนนี้แตกยอดโตขึ้นเป็นสีเขียวขจีที่กำลังอ่อนลู่ตามกระแสลมกว้างไกลสุดสายตา ขณะที่หยดของน้ำค้างเล็ก ๆ ในยามค่ำคืนยังคงเกาะพราวตามใบรวงข้าวอยู่

             บรรยากาศตอนเช้าที่บ้านเดิมในครอบครัวของเธอ แม่มักจะง่วนอยู่ในครัว ข้าวที่อยู่ตั้งอยู่บนเตาถ่านในหม้อดินกำลังเดือดพล่าน พ่นเสียงดังปุด ปุด ตอนนี้น้ำข้าวเริ่มส่งกลิ่นหอมโชยฟุ้ง สักพักแม่ก็จัดการรินน้ำข้าวออกจากหม้อ ดงข้าวให้ทั่วแล้วยกขึ้นตั้งบนเตาอีกครั้งเพื่อให้ข้าวระอุสุกทั่วกัน จากนั้นก็ตระเตรียมกับและข้าวใส่ห่อสำหรับไปกินที่ทุ่งนา
              กับข้าวที่เธอกินอยู่ทุกวันคงจะหนีไม่พ้น น้ำพริกทุกชนิดรสชาติจัดจ้านฝีมือของแม่ที่คนในครอบครัวเธอกินกันอย่างเอร็ดอร่อยคุ้นลิ้นมานานและกินได้อย่างไม่รู้จักเบื่อ ผักเคียงจิ้มเป็นผักบุ้งยอดอวบงามขึ้นอยู่ตามริมคลองที่แม่มักจะเก็บติดมือก่อนกลับมาบ้านเสมอ อีกทั้งยอดฟักทองสีเขียวอ่อนที่แตกยอดไต่เลื้อยบนพื้นดิน แตงกวา มะเขือเปราะลูกงาม ๆ เก็บจากหลังบ้านที่พ่อปลูกไว้  ในบางวันแม่ก็จะทำแกงปลาแห้งใส่ยอดผักหวานให้ได้ลิ้มลอง


              ส่วนพ่อหลังจากล้างหน้าล้างตาเรียบร้อย ก็เริ่มหยิบอุปกรณ์ที่ต้องนำติดตัวไปทำนา จอบวางพิงเตรียมไว้ที่โคนเสาสำหรับถางหญ้าที่ขึ้นตามสองข้างคันนา หมวกงอบสานที่ใช้งานจนเก่าแห้งกรอบสองใบแขวนไว้ใต้ถุนบ้าน หลังจากนั้นพ่อจะหยิบกระติกตักน้ำฝนจากตุ่มเย็นชื่นใจใส่จนเต็ม และไม่ลืมจะเอาเจ้าบุญหลายควายเพศผู้ที่มีอยู่เพียงตัวเดียวของบ้านที่พ่อจะต้องจูงไปนาด้วยทุกครั้งให้มันได้ออกไปแทะเล็มกินหญ้าลงแช่ตัวตามปลักโคลนเลนเพื่อคลายร้อนในท้องทุ่งตามประสาของมัน
              เพียงครู่เดียวหลังจากที่ครอบครัวของเธอเจ็ดคนกินข้าวเป็นที่เรียบร้อย ต่างทยอยเดินเรียงแถวกันออกไปทำนาพ่อเดินนำหน้าในมือจูงเชือกเจ้าบุญหลาย แม่เดินตามหลังพร้อมกระติกน้ำ ส่วนด้านหลังแม่คือน้องๆ อีก 4 คนที่ช่วยกันถือห่ออาหาร เธอเป็นพี่สาวคนโตเดินถือจอบตามหลังน้องของเธออยู่  ห่าง ๆ  ช่วงชีวิตวัยเยาว์เธอไม่ได้สนุกสนานวิ่งเล่นหยอกล้อซุกซนกับเพื่อนเหมือนเด็กคนอื่น เธอต้องช่วยพ่อกับแม่ทำนากับช่วยแม่ดูแลน้องๆที่มักวิ่งซนไปตามประสาเด็ก


            ยามที่ฟ้าเริ่มยอแสงเย็นลงพ่อกับแม่ต่างชวนกันกลับบ้าน วันไหนที่พวกเธออยากกินปลา พ่อจะติดเอาแหมาด้วยและจะแวะทอดแหตรงชายคลองตามทางเดินก่อนถึงบ้าน ซึ่งปลาที่ได้จะพวกปลาตะเพียน และปลากระดี่เสียเป็นส่วนใหญ่  ในบางวันพ่อจะเอาสุ่มเพื่อไปจับปลาช่อนตัวเขื่องที่อยู่ตามท้องนาใส่ข้อง และจะให้แม่จะเป็นคนจูงบุญหลายกลับบ้านพร้อมลูก ๆ ก่อนเพื่อเตรียมทำอาหารเย็น
           หลังจากที่พ่อกลับถึงบ้านและได้ปลามาเต็มข้องแล้ว แม่กับเธอจะช่วยกันลงมือขอดเกล็ดปลาล้างทำความสะอาด แล่ตัวปลามาคลุกเคล้ากับเกลือป่นวางเรียงกันบนกระด้งผึ่งลมไว้ในบ้าน รอวันรุ่งขึ้นเธอจะเอาออกไปตากแดดเพื่อที่จะได้มีปลาตากแห้งเก็บไว้กินกันได้นาน ๆ

          ในเวลาที่ฟ้ามืดสนิทลงอย่างนี้ ที่บ้านเธอจะจุดตะเกียงเจ้าพายุที่ส่องแสงสว่างอย่างเพียงพอสำหรับคนในบ้าน พ่อของเธอจะชอบมวนยาสูบนั่งตากลมพ่นควันโขมงอยู่ที่ริมระเบียงบ้านอย่างอารมณ์ดี และคอยเฝ้าดูกองไฟที่จุดสุมไล่แมลงให้กับเจ้าบุญหลายหน้าคอกด้านล่างของบ้าน  แม่ก็จะนั่งอยู่ใกล้กับตะเกียงเย็บชุนซ่อมแซมเสื้อผ้าที่ขาดของคนในครอบครัว ส่วนน้อง ๆ ก็เริ่มทยอยหลับ อยู่ในมุ้งขดตัวอยู่ในผ้าห่ม  ส่วนเธอจะรอจนกว่าแม่จะเย็บเสื้อผ้าเสร็จแล้วค่อยเข้านอน

           เวลาผ่านไปรวงข้าวที่แก่จนเป็นสีเหลืองทองเปล่งอร่ามอยู่ทั่วทุ่งนารอเพียงแค่การเก็บเกี่ยว เพื่อส่งไปขายให้กับพ่อค้าที่มารับซื้อข้าวถึงโรงสีพ่อมัก บ่นกับแม่ให้เธอได้ยินอยู่บ่อยๆ ว่าข้าวที่ขาย ไม่ค่อยได้ราคา ถูกพ่อค้าคนกลางกดราคาจนแทบจะไม่เหลือกำรี้กำไรในการทำนาเลย
          แต่พ่อกับแม่ก็ยังคงทำนากันเรื่อยมาอีกหลายปี แต่มีอยู่ปีหนึ่งที่ฟ้าฝนไม่เป็นใจแล้งต่อเนื่องไม่ยอมตกลงมา ผืนดินที่เคยเขียวชอุ่มอุดมไปด้วยน้ำก็เริ่มแตกระแหงออกเป็นร่องๆ  ปลาที่เคยหากินได้ตามคลองก็เริ่มที่จะไม่มี เพราะน้ำที่เคยเต็มตลิ่งเริ่มแห้งขอด  พืชพันธุ์ที่อุดมสมบูรณ์ก็เริ่มแห้งเฉาตายลงไป เรื่อย ๆ 
           พ่อของเธอเริ่มที่จะคิดหาหนทางเพื่อความอยู่รอดของครอบครัว พ่อคิดว่าถ้าปล่อยอยู่อย่างนี้เรื่อยไปคงอดตายทั้งครอบครัว  หลังจากวันนั้นพ่อกับแม่ก็พาครอบครัวของเธอทั้งหมดทิ้งบ้าน ออกเดินทางมุ่งหน้าเข้าสู่กรุงเทพฯ เมืองที่พ่อกับแม่คิดว่าคงทำให้ชีวิตของครอบครัวดีขึ้น


            เมื่อมาถึงพ่อกับแม่ได้งานเป็นกรรมกรก่อสร้างบ้านในย่านหนึ่ง ส่วนเธอก็ช่วยทำงานด้วยการขนอิฐ ขนทราย ผสมปูนบ้าง สุดแล้วแต่หัวหน้างานจะสั่งให้เธอทำ ส่วนค่าแรงก็ถูกนายจ้างกดรวมกันสามคนเหลือไม่ถึงสามร้อยบาท ซึ่งพ่อแม่และเธอก็ต้องจำยอมทนทำไป ครั้นที่จะกลับไปบ้านเก่าก็ไม่มีอะไรเหลือ มีแต่
เพียงความแห้งแล้งรออยู่เท่านั้น
           เธออดทน ตรากตรำ ทำงานอย่างหนักเรื่อยมา จนกระทั่งงานก่อสร้างในหมู่บ้านเสร็จเรียบร้อยคนงานคนอื่น ๆ เริ่มทยอยเดินทางกลับถิ่นบ้านเกิดบ้าง บางคนก็เสาะหางานก่อสร้างบ้านใหม่ที่ตอนนี้เริ่มทยอยผุดขึ้นกันเหมือนดอกเห็ด ส่วนพ่อกับแม่ของเธอตัดสินใจกลับบ้าน
           แต่ก่อนจะกลับแม่ได้ฝากเธอให้เข้าทำงานที่บ้านหลังใหญ่  ซึ่งมีเพื่อนคนงานมาบอกกับแม่ของเธอว่าบ้านหลังใหญ่ที่ตั้งอยู่ปากทางเข้าหมู่บ้าน อยากได้เด็กทำงานบ้าน กินอยู่อย่างสบาย มีเงินเดือนให้ใช้ แม่จึงพาเธอไปที่บ้านหลังนั้นทันที


           เมื่อเธอกับแม่เข้ามาในบ้านหลังใหญ่ ร่างของคุณนายก็เดินนวยนาดเข้ามานั่งบนโซฟากลางบ้านพร้อมกับปรายตามองดูพวกเธอที่นั่งบนพื้นอย่าง เหยียด ๆ แล้วจากนั้นก็เริ่มซักถามว่าเป็นใครมาจากไหน ซึ่งตัวเธอเองไม่ได้สนใจฟังในสิ่งที่แม่เธอพินอบพิเทาตอบคุณนายเท่าไหร่นัก เพราะมัวแต่มองสิ่ง ที่หรูหราภายในบ้านอย่างที่เธอไม่เคยเห็น  สักพักแม่ของเธอก็สะกิดให้เธอไหว้คุณนาย และหันมากำชับเธอถึงสิ่งที่จะต้องทำ แม่พูดจบแล้วก็ขอตัวลาคุณนายกลับบ้าน
           ก่อนกลับที่แม่จะกลับเธอเดินไปส่งแม่ที่ประตูใหญ่ด้านหน้าของบ้าน แม่วางกระเป๋าลงใช้มือควานหาของอะไรบางอย่าง แล้วหยิบเอาผ้านุ่งสีขมุกขมัวที่มองไม่เห็นกระทั่งลายผ้าของแม่ผืนหนึ่งออกมาแม่ส่งมันซุกไว้ในมือของเธอ       สีหน้าและแววตาของแม่ที่ดูหม่นหมองซึมเศร้าลงไปอย่างมาก ด้วยความเป็น ห่วงเป็นใยตัวเธอที่ไม่เคยพรากจากอ้อมอกของผู้เป็นแม่ไปอยู่ที่ไหนไกลกันเลย แล้วน้ำตาของสองแม่ลูกเริ่มปริ่มเอ่อล้นจวนเจียนจะไหลจากดวงตาเสียให้ได้  แม่พูดกำชับกับเธออีกสองสามประโยคจึงรีบตัดบทบอกกับเธอว่าจะต้องกลับ
แล้วน้องกับพ่อคอยอยู่

               ส่วนเธอได้แต่ยืนมองแม่ที่เดินก้าวลับออกจากประตูบานนั้นไปน้ำตาที่ปริ่มเอ่อล้นอยู่แล้วก็ไหลพรั่งพรูออกมาจากสองตาของเธอ ในตอนนั้นคุณนายไม่ได้พูดอะไรมาก ได้แต่จ้องมองดูเธอที่กำลังยืนร้องไห้ และเรียกให้เธอมาคุกเข่าลงต่อหน้าและสั่งให้เธอเรียกว่า คุณนาย และบอกถึงกฏระเบียบที่ต้องปฏิบัติตัวในบ้านหลังนี้ให้ได้อย่างเคร่งครัด

               หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา เธอเฝ้าคอยปรนนิบัติรับใช้เป็นที่รองรับอารมณ์ของคุณนายทุกอย่างสารพัดในยามที่เธอทำผิดไม่ได้ตามใจสั่งหรือทำข้าวของคุณนายแตกเสียหาย เธอก็จะถูกหักเงิน แต่มีอยู่เพียงสิ่งเดียวที่ทำให้เธอกลายเป็นคนที่ระแวง หวาดผวา หวาดกลัวทุกครั้งคือการถูกเฆี่ยนตีอยู่เป็นประจำ แต่เธอก็จำยอมอดทน เมื่อนึกถึงประโยคที่แม่กำชับบอกกับเธอก่อนจากไปอยู่เสมอ และเธอใช้ชีวิตอยู่ในบ้านหลังนี้เป็นเวลานานเกือบ 6 ปี

                ในคืนวันหนึ่งท้องฟ้าที่มืดสนิท เมฆฝนก็เริ่มตั้งเค้าส่อดำมืดทมึนขึ้นท่ามกลางบรรยากาศที่ดูอึมครึมภายในตัวบ้าน มีเพียงแสงของเสาไฟจากภายนอกที่เล็ดลอดส่องเข้ามา แล้วเม็ดฝนก็เริ่มหลั่งไหลเทกระหน่ำ

               ขณะที่ฝนตกลงมาอย่างไม่ขาดสาย และภายใต้เสียงคำรามของฟ้าที่แผดร้องดังกึกก้องกัมปนาทไปทั่วบริเวณบ้าน ฉับพลันนั้นเองก็มีเสียงของหญิงคนหนึ่งกรีดร้องขึ้นอย่างโหยหวน น้ำเสียงนั้นราวกับคนที่เจ็บปวดทรมานอย่างแสนสาหัส ดังแว่วลอยมาอย่างลึกลับ ก่อนที่จะจมดิ่งเงียบหายไปพร้อมกับเสียงของฟ้าที่สงบลงในยามค่ำคืนที่สายฝนเทกระหน่ำลงมาอย่างบ้าคลั่ง

               หลายวันต่อมาบริเวณโดยรอบของบ้านหลังใหญ่ บัดนี้มีรถตำรวจหลายคันจอดเรียงรายอยู่ พร้อมกับรถของมูลนิธิ นายตำรวจหลายคนกำลังยืนมองเจ้าหน้าที่ ซึ่งขณะนั้นกำลังใช้ผ้าขาวดิบกางออกห่อหุ้มร่างที่ไร้วิญญาณของหญิงคนหนึ่งแล้วช่วยกันยกร่างนั้นไปไว้ที่ท้ายรถ

              ชาวบ้านที่มามุงดูถึงกับเบือนหน้าหนี เมื่อมองดูร่างนั้นด้วยความสยดสยอง ต่างพากันจับกลุ่มส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างอื้ออึงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับหญิงคนนั้นกันไปต่าง ๆ นานา

              และหลังจากนั้นไม่นานผู้คนที่มายืนมุงดูก็เริ่มทยอยแยกย้ายกันไปตามวิถีทางของชีวิต ในใจกลางเมืองหลวงใหญ่ ดินแดนที่ขึ้นชื่อลือเลื่องว่าเป็นแดนศิวิไลซ์สำหรับคนไกลแห่งนั้นนั่นเอง				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟเมฆสีหม่น
Lovings  เมฆสีหม่น เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟเมฆสีหม่น
Lovings  เมฆสีหม่น เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟเมฆสีหม่น
Lovings  เมฆสีหม่น เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงเมฆสีหม่น