19 พฤษภาคม 2549 21:23 น.
เมฆฟ้า
สักพัก ไอ้สืบ มันก็สงบลง เพื่อนๆพากันแบกไปนอนพักแล้วกินเหล้ากันทั้งคืนเฝ้ามันกลัวว่ามันจะลุกขึ้นมาอาละวาดอีกพร้อมทั้งวิจารณ์ วิเคราะห์เหตุที่เกิดขึ้นไปต่างๆนานา
พอตอนเช้ารุ่นพี่สืบได้ว่ามีการเล่นผีถ้วยแก้วกัน เราสามคนโดนลงโทษกันเป็นแถวๆ โดยเฉพาะ เพื่อนที่ชื่อ นนท์ โดนพี่พจน์ ตบหน้าไป 1 ที มันก็ร้องไห้แต่ก็ไม่กล้าที่จะพูดคำใดๆออกมาจากปากเลย ประมาณว่ายอมรับผิดแต่โดยดี
ตอนนั้นประมาณ สิบโมงเช้า ทุกคนเตรียมตัวจะกลับบ้านจึงได้ให้คนไปปลุกไอ้สืบ ซึ่งยังไม่ตื่น เพื่อเตรียมตัวกลับบ้าน ไอ้สืบตื่นขึ้นมางัวๆ เงีย ๆล้างหน้าล้างตา พร้อมกับถามว่าเมื่อคืนมันเป็นไรหรือเปล่า รู้สึกเมื่อยมาก แต่ตามคาดครับ ไม่มีใครยอมพูดให้มันฟังซักคน บอกแต่เพียงว่ามันเมามาก เลยน็อกไปก่อนเพื่อน มันถามต่อไปว่า นี่รอยอะไร
( มันเป็นรอยที่เกิดจากการฟัดเหวี่ยงกันเมือคืนนั่นแหละ ) พี่คนหนึ่งบอกว่าจะไปรู้เหรอะ
เองไปฟัดอะไรมาเอ็งยังไม่รู้ตัว แล้วคนอื่นจะรู้ได้ไง ถามแปลก
ก็เลยทำท่าว่ากลายเป็นเรื่องโจ๊กไปเลย มีรอยเต็มตัวแต่ไม่รู้ว่ารอยอะไร คนหัวเราะกันใหญ่เหมือนกับว่าเมื่อคืนไม่ได้เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นเลย
ขากลับเราพากันไปไหว้พระตามวัดต่างๆ หลายที่ พี่อ๊าครุ่นพี่คนที่เป็นเจ้าถิ่นคนนึง บอกว่าจะพามาดูของดี ไอ้เราก็นึกว่านึกว่าอะไร ที่แท้ก็ร่างทรงนี่เอง
พอเราเข้าไปยังไม่ได้พ้นแม้แต่ธรณีประตูก็ต้องหยุดชะงัก เพราะว่ามีเสียงๆหนึ่งตวาดด้วยความดังอย่างมากว่า
ไอ้พวกจัญไร ! พวกมึงไม่ต้องเข้ามาในบ้านกู ออกไป
ชาวบ้านคนนึงถามว่ามีอะไรเหรอครับ
ร่างทรงร่างนั้นตอบมาว่า พวกนี้มันกินเนื้อหมามา มันเป็นเสนียด
พวกเราประมาณ 6 - 7 คนก็เลยต้องรออยู่ข้างนอก ปล่อยให้คนส่วนใหญ่เข้าไปข้างใน พร้อมกับงงเล็กน้อย ผมได้ถามตัวเองเบาๆว่ากูกินหมาแต่เมื่อไหร่ว่ะ
รุ่นพี่คนนึงตอบว่า เนื้อที่มึงกินเมื่อคืนนั้นแหละ เนื้อหมา
อ้าว ไหนบอกเนื้อกระจง พี่เค้าเอามาให้
กระจง จงใจจะหลอกมึงไง
จากนั้นแหละ น้ำตาแทบไหล เหมือนว่ามันจะอ๊วก ซะให้ใด้เลย แต่มันก็อ๊วกไม่ออกซะงั้น
สักพักก็เอะใจได้ พร้อมอุทานขึ้นมาว่า เขารู้ได้ไงว่าเรากินหมามา ขนาดเรากินเรายังไม่รู้เลย
ไม่มีคำตอบจากใครเลย นอกจากใบหน้าอัน มีเครื่องหมายคำถามแทบทุกคน
พวกเรารอได้สักพัก ไอ้สืบ ก็เดินออกมา พร้อมกับบ่นเล็กน้อย เพื่อนก็เลยถามว่าเป็นอะไรมันตอบว่า
ร่างทรงตวาดกูว่ะ บอกวากูปากเสียให้ระวังตัวไว้ แม่งโม้ชัดๆ
รุ่นพี่คนนึงบอกว่า เชื่อไว้มั่งก็ดีไม่เสียหาย เดี๋ยวออกจากนี่ไปทำสังฆทานร่วมกันไหนๆก็มากันแล้ว
หลังจากตระเวนทำบุญกันอยู่หลายวัดก็กลับมาที่กรุงเทพอันเป็นที่พำนัก ของพวกเรา ก็ฉลองกัน อีก 1 คืนเต็มๆ น็อกกันไปตามๆกัน
หลังจากนั้น 3 วัน ต่อมาสืบ รู้สึกว่าจะไม่สบาย เพื่อนๆก็พากันดูแลกันไป นึกว่าไม่มีอะไร แต่ที่รู้สึกแปลกก็คือวันที่ 5 หลังจากกลับจากรับน้อง สืบ มันมีอาการเพ้อในเวลาหลับ เวลาตื่นก็เงียบไม่ค่อยพูดอะไร ผิดกับสืบคนเดิมคนเดิมอย่างมาก หลังจานั้นอีก 1 วัน สืบลุกขึ้นเก็บกระเป๋า เพื่อนถามว่าจะไปไหน มันบอกว่า
กูจะกลับบ้าน กูอยากกลับบ้าน
รอหายก่อน ดิ ค่อยกลับ
กูหายดีแล้ว
เพื่อนๆพากันทัดทาน อย่างไรก็ไม่ฟังบอกอยากกลับบ้านอย่างเดียว ก็เลยสุดจะทัดทาน จะไปส่งก็บอกว่าไปเองได้โตแล้ว พวกเราก็เลยต้องปล่อยไปทั้งๆที่ไม่อยากไห้ไปสักเท่าไหร่
หลังจากนั้นประมาณ 1 เดือนแม่สืบได้โทรมา ถามข่าวลูกชาย เป็นอย่างไรมั่งไม่โทรกลับบ้านเลย
พวกพี่ได้ตอบกลับไปว่า สืบกลับไปบ้านแล้วที่ครับ ไปตั้งนานแล้ว 1 เดือนได้แล้วมั้ง
แม่ พวกเธอเอาอะไรมาพูด สืบกลับมาก็ต้องเห็นสิ
หลังจากนั้นก็เป็นเรื่องราวใหญ่โต แม่ของบสืบได้ขึ้นมาจาก นครสวรรค์ ก็ได้สอบถามพวกเราเป็นการใหญ่
ผมก็สุดที่จะตอบได้ เพราะ สืบเขาได้กลับบ้านไปแล้วจริงๆ ก็เลยพากันไปแจ้งความกับตำรวจไว้ ตอนนั้นผมตอบตัวเองได้อย่างเดียวว่า พี่ไม่น่าปล่อยสืบกลับบ้านเลย ผมรู้สึกแย่มาก แย่ขนาดว่ากินข้าวไม่ได้ไปหลายวันเลย
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ เวลา มันก็ค่อยๆสานความรู้สึก ให้กลับมาเป็นปกติ ถ้า วิทย์ เพื่อนคนนึงซึ่งอยู่จังหวัดเดียวกันกับ สืบ ได้บอกข่าวว่า เจอ สืบแล้ว ที่โรงพยาบาลบ้าแห่งหนึ่ง ได้ข่าวว่าถือมีด ถือไม้ไปไล่ฟันชาวบ้าน ตำรวจก็เลยจับส่งโรงพยาบาลบ้า แม่เขาพึ่งรู้เมื่ออาทิตย์ที่แล้วนี่เองตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล ผมใจมากจะเป็นไปได้อย่างไร ตอนไปเขาก็ดีๆอยู่ บอกตามตรงว่าผมแทบจะเป็นลม ล้มทั้งยืน 1 ปี เศษ ที่สืบหายไป เขาหายไปไหน พี่เกือบจะลืมไม่แล้วด้วยซ้ำ พี่บอกตัวเองว่ามันเป็นไปไม่ได้ ผมพยายามถามตัวเองว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร เป็นไปได้หรือ มันเกี่ยวอะไรกับคืนรับน้องใหม่หรือไม่ หรือว่าแค่ความบังเอิญเท่านั้น และสิ่งที่ได้ยินมาในคืนนั้นมันเชื่อได้แค่ไหน หรือว่าแค่ นนท์ต้องการแกล้งเพื่อนเล่นเฉยๆหรือเปล่า แล้วนนท์เขาจะรู้สึกอย่างไรถ้ารู้ว่าเรื่องว่าสืบหายไปไหนใน 1 ปีนี้ กับเหตุการณ์ในคืนนั้นมันเกี่ยวข้องกัน แต่คงจะถามนนท์ไม่ได้ แล้วเพราะหลังจากสืบหายตัวไปได้ไม่นานนนท์ก็เกิดอุบัติเหตุทางถยนต์ ต้องเข้าโรงพยาบาลและหลังจากนั้นก็ไม่มีใครได้เจอนนท์อีกเลย
17 พฤษภาคม 2549 08:57 น.
เมฆฟ้า
ผมได้แต่คิดในใจไม่กล้าที่จะบอกหรือปรึกษาใครวันนั้นที่นอนเราแทบไม่มีเลย ที่ที่สามารถนอนได้ก็ต้องสละให้พวกผู้หญิงเขานอนกัน หลายคนต้องยืน บางคนก็ยังพอได้นั่งบ้างพวกเราอดทนจนถึงประมาณตีสองเกือบตีสามฝนก็เริ่มซาลงแต่กระนั้นก็เถอะเราก็ยังนอนกันไม่ได้บางคนก็ออกไปเดินเล่นแก้เมื่อยแต่ก็ยังดีพอฝนหยุดเราก็ยังพอมีที่วางเหล้ากันแล้วถึงจะไม่ได้ นอนแต่มันเป็นเรื่องที่ชินเสียแล้วเวลาอยู่ในมหาลัยเราก็ไม่ค่อยได้นอนกลางคืนกันอยู่แล้ว ตกลงเป็นว่า คืนนั้นเราไม่นอนกันทั้งคืนเลย
พอรุ่งเช้าเราทำตามแผนการที่กำหนดเอาไว้ทุกคนเข้าไปตามฐานที่ได้ตกลงกันการรับน้องเป็นไปแต่โดยดีไม่ได้มีใครเป็นอะไรมากตามที่วิตกกันอย่างที่พี่พจน์คิดไว้ กิจกรรมดำเดินมาเรื่อยจนของค่ำคืนของอีกวัน พี่พจน์แกยังคงเป็นห่วงเรื่องเมื่อคืนอยู่กระมังเห็นนำเครื่องเซ่นไหว้มาไหว้เจ้าที่อีกครั้ง แต่ครั้งนี้ดูยิ่งใหญ่กว่าเมื่อคืนนี้มากอลังการเหมือนกับว่าเจ้าที่เจ้าป่าเจ้าเขาพากันทานของไหว้กันทั้งป่าอย่างนั้นแหละและก่อนที่เดินทางไปไหว้เจ้าที่กันแกได้ประชุมด้วยตนเองโดยกำชับมากเกี่ยวการปฏิบัติขณะทำพิธี อย่าได้ทำเล่นกันเป็นอันขาด โดยแกยกเหตุการณ์เมื่อคืนมาเป็นตัวอย่าง ไม่ว่าใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามแต่ว่าคืนนี้พิธีกรรมสงบมาก เงียบมากจนวังเวงแม้ว่าที่ตรงนี้จะมีคนเกือบ60ชีวิตก็ตาม คงได้ยินแต่สรรพสำเนียงเสียงของธรรมชาติเท่านั้น
เรากลับจากสถานที่นั้นแล้วยังคงมีกิจกรรมในตอนกลางคืนกันอีกเราเล่นรอบกองไฟกันจนดึกบางคนหาที่นอน บางคนยังคงเล่นกันอยู่โดยเฉพาะคอทองแดงทั้งหลายเห็นว่าไม่มีใครถอยกันเลยผมรู้สึกเบื่อก็เลยเข้ามานอนเล่นที่เต็นท์นอนได้สักพักก็มีเพื่อนที่นอนเต็นท์เดียวกับผมมาเพิ่มอีกสองคนมันไม่ได้มานอนหรอกมันมาลากตัวผมไม่กินเหล้าตากหากกำลังต่อรองกันได้สักพัก เจ้านนท์เพื่อนของผมก็เข้ามาคุยเล่นหัวกันได้ไม่นาน
นนท์ : เรามาเล่นอะไรกันสนุกๆดีกว่า
ต้อม: เล่น ไรของมึงที่ว่าสนุกน่ะ
นนท์: รอเดี๋ยวๆกูมา
สักพักมันหอบกระดาษมาแผ่นหนึ่งในกระดาษมีอักษร บ้านหลังเล็ก แล้วก็เขียนอะไรอีกหลาย อย่างและถ้วยแก้วใบเล็กใบหนึ่ง ดูรู้ว่ามันคือ อุปกรณ์การเล่นผีถ้วยแก้ว
หวัน: มันจะดีเหรอ เ อาของพวกนี้มาเล่นป่าน่ะ
ต้อม: ไช่ ข้าว่าบรรยากาศที่นี่มันเสียวๆไงไม่รู้
นนท์: แล้วมึงว่าไง สืบ
เพื่อนสืบของผมกำลังนอนสูบบุหรี่อยู่อย่างสบายใจ กล่าวขึ้นบ้างว่า
ไร้สาระว่ะ มันจะเชื่อได้เ หรอ
นนท์: ของพวกนี้ไม่ลองไม่รู้นะเฟ้ย อย่าลบหลู่เป็นอันขาด
สืบ: อ๋อไม่เชื่ออย่าลบหลู่ คำนี้ใช้ได้ตลอดเลยนะ ข้าว่าเอาไปหลอกเด็กแถวบ้านเองดีกว่ามั้ง
นนท์: แกก็พูดเกินไป ข้าอุตส่าห์หาของมาให้ลองสนุกกันไม่เล่นก็ไม่น่าจะว่ากันขนาดนี้นี่นา แล้วเอ็งว่าไง ต้อม
ต้อม: ไม่รู้สิ ถึงข้าไม่ค่อยจะเชื่อเรื่องผีถ้วยแก้ว แต่ข้าก็กลัวผี อึ๋ยย พูดแล้วเสียว
สืบ: ไอ้ห่าโตเป็นควายแล้วยังกลัวผีอีกเหรอ
แต่ข้าว่าไม่น่าเล่นว่ะ มันไม่เหมาะยังไงก็ไม่รู้ที่นี่มันไม่ไช่ที่บ้านเรานะเว้ย หวันออกความเห็นบ้าง
นนท์: ก็ได้ไม่เล่นก็ไม่เล่นกูอุตส่าห์หอบมาจากบ้าน
สืบ: เอาๆๆ เล่นก็เล่นพูดนิดพูดหน่อยทำเป็นงอน เฮ้ไอ้ต้อม หวันเล่นให้มันหน่อย
นนท์: กูไม่ได้งอนนะเว้ย ถ้าไม่เชื่อก็ไม่ต้องเล่นถึงเล่นไปก็คงไม่เห็นผลอยู่ดี ต้องเล่นด้วยความศรัทธารู้ป่าวศรัทธาน่ะ
สืบขำแย่เส็กน้อยพร้อมกับพูดขึ้นมาว่าเออน่ากูก็เล่นแล้วไง พวกมันก็เล่นเหมือนกันไช่ป่ะต้อม
ผมยิ้ม แต่ไม่ได้ตอบอะไร
สืบ: หวันมืงว่าไง
หวัน: มันจะดีเหรอ
สืบ: ลองดูน่า ไม่เป็นไรหรอก นนท์ เตรียมอุปกรณ์
นนท์: เฮ้ย ตั้งใจหน่อยนะเว้ยก่อนเล่นทำสมาธิ กันก่อนคาถาจะได้ขลัง
คิ๊กๆๆสืบมันขำเล็กน้อย
นนท์: ไอ้สืบแมร่งกวนตีนว่ะ
พอพวกเราทำสมาธิกันได้สักพักผมรู้สึกว่าบรรยากาศรอบนอกเรามันเงียบมากเสียงพวกที่กินเหล้าก็แทบจะไม่ได้ยินเพราะอยู่ไกล เสียงแมลงกลางคืนหรือเสียงธรรมชาติของป่าก็คงหายไปด้วยชวนขนลุกนานๆครั้งคงได้ยินเสียงของนกที่หากินกลางดังมาเป็นพักๆแต่ผมก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาทำเสียบรรยากาศของเพื่อนซึ่งกำลังทำสมาธิกันอยู่
นนท์: เอาหล่ะเอามือมาวางไว้ที่ถ้วยแก้วนี่แล้วพูดคำว่า พุท โธ ธา ยะ คนละคำพูดให้ครบสามจบนะเว้ยและห้ามทำเล่นด้วย
ขณะที่พวกเรากำลังท่องคาถาที่นนท์ให้มานั้นผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นใจผมมันเต้นแรงมาก เหมือนมีแรกกดดันมหาศาลที่ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไรมาบีบหน้าอกของผมอย่างนั้นแหละมันทำให้ผมหายใจไม่เป็นจังหวะ อาจเป็นเพราะความกลัว ความตื่นเต้น หรือมีอำนาจของอะไรบางอย่างที่ผมสัมผัสได้กันแน่ เมื่อท่องคาถาครบสามรอบ เจ้านนท์ผู้มีความอยากรู้อยากเห็นของผมถามไปก่อนเลยว่า วิญญาณที่สิ่งสถิตอยู่ ณ ที่นี้ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดเมื่อได้เข้ามาแล้วจงเดินไปรอบของกระดานนี้ด้วยเถิดพอสิ้นเสียงของเพื่อนผมถ้วยแก้วใบเล็กก็ไหลไปรอบกระดานอย่างรวดเร็วจนผมไม่อาจระงับความตื่นเต้นไว้ได้
เฮ้ยนนท์มันไหลเร็วไปหรือป่าวข้าว่ามันเร็วไปนะเก่งแกล้งป่ะเนี๊ย ผมถามนนท์อย่างไม่ค่อยมั่นใจ
นนท์: เฮ้ยกูป่าว ไอ้สืบแน่เลยแม่งยิ่งไม่เชื่ออยู่
สืบ: พูดงี้ก็กวนตีนดิหาว่ากูแกล้งได้ไง ไม่มึงก็ไอ้หวันนั่นแหละ ทำมาพูดดี
หวัน: หวันไม่ได้แกล้งนะครับ ต้องเป็นคนใดคนหนึ่งในที่นี้แหละที่แกล้ง
นนท์: เอาหล่ะใครจะแกล้งหรือไม่แกล้งก็ช่างเถอะลองมาถามดูดีกว่า
วิญญาณที่เข้าสถิตอยู่นะที่นี้บอกผมหน่อยเถิดว่าท่านมีชื่อว่าอะไร เป็นใครมาจากไหนและตายได้อย่างไร
ถ้วยแก้วใบนั้นลอยวนไปวนมาตามตัวอักษรต่างๆได้เรื่องมั่งไม่ได้เรื่องมั่งแต่สรุปได้ว่าวิญญาณที่มาสถิตอยู่นั้นมีชื่อว่า แฮ่น
แฮ่น: กูคือชื่อว่าแฮ่นเป็นทหารรับใช้ในพระองค์ต้นโดยไอ้อีมันร่วมมือกันฆ่า
นนท์ถามต่อไปว่า ทำไมต้องฆ่าด้วยเหรอครับ
มันลักได้เมียกูกูจับได้มันก็เลยฆ่ากูกูรอมันมานานแล้ว
เฮ้ยนนท์ถามเรื่องอื่นเถอะหวันบอก
แล้วท่านพอจะบอกได้ไหมครับว่าเมื่อชาติที่แล้วเราเป็นใคร
เอาสิเดี๋ยวกูจะบอกให้
ไอ้นนท์ เป็นนางทาส ในเรือนเจ้านายคนหนึ่งตกน้ำตาย
หวัน เป็นทาส ชื่อว่า แฮ่น ริลักลอบกับเมียเจ้านายโดนฆ่าตาย
สืบ ผีตนนั้นมันบอกว่า เจ้าคือ เจ้าพระยาเทพทินกรไกรภพแห่งอโยธยา
และผม เป็นทหารรับใช้ในสมเด็จพระเจ้าตาก มีชื่อว่า ขอน
แค่นั้นแหละไอ้ สืบ มันเอามือออกจากแก้วแล้วบอกว่า
ไอ้ห่าใครแกล้งว่ะ แม่งมั่วว่ะ พระเจ้าเฮี้ยอะไร ไอ้นนท์มึงแกล้งแน่ผีถ้วยแก้วอะไรว่ะแม่งโม้เป็นเรื่องเป็นราว
เฮ้ สืบพูดอะไรก็ระวังมั่งแล้วถ้าเกิดกูไม่ได้แกล้งมันจะไม่ดีนะ
กูไม่เชื่อต้องมีใครสักคนอธิบายเรื่องนี้
แกล้งไม่แกล้งแล้วมึงเป็นเฮ้ยอะไรนักหนาว่ะ
กูไม่ชอบกูไม่ชอบให้ใครทำอย่างนี้นะโว้ย เอาสิว่ะผีห่าซาตานตนใดถ้ามีจริงก็ออกมาสิว่ะแม่งโกหกชัดๆเจ้าพระยงเจ้าพระยาบ้าที่สุด ถ้ากูเป็นเจ้าพระยาแล้วพวกเองมิได้เป็นพระราชาเลยรึ
ซักพักรุ่นพี่คนนึงก็เข้ามา (ชวนไปกินเหล้านั่นแหละ )ถามว่าทำอะไรกัน ผม บอก เล่นผีถ้วยแก้วพี่ พี่แกบอกว่า เก็บเลยๆ เล่นไม่ดูสถานที่เดี๋ยวก็เจอดีหรอก ทุกคนก็พากันออกมากินเหล้า ยังไม่ทันได้เมาเลย ไอ้ สืบ มันเหมือนคนเป็นลมบ้าหมูยังงั้งแหละลงไปชักน้ำลายฟูมปากต้องพากันปฐมพยาบาลกันใหญ่ แทนที่มันจะหาย กลับเกิดเหตูการณ์ไม่คาดคิดมันลุกขึ้นจับค้อนไล่ฟาดคนนู้นทีคนนี้ที ได้วิ่งกันกระเจิงสิครับ สักพักมีคนรวบตัวไว้ได้พากันปลอบเป็นอะไร ใจเย็น ค่อยพูดจากัน กลับมีสิ่งแปลกที่เกิดขึ้นมาคือ เสียงที่ออกมามันไม่ใช่เสียงไอ้สืบ อีกต่อไปมันเป็นเสียงของใครอีกคนซึ่งเราไม่รู้ เสียงนั้นน่ากลัวมาก ในตาแดงกล่ำ แทบจะเป็นเลือด เที่ยวด่าคนนู้นที คนนี้ที ว่ามันโดนลบหลู่กูอย่างแรง ถามว่าลบหลู่อย่างไรมันก็ไม่ยอมบอกบอกแต่เพียงว่า ปล่อยกู เดี๋ยวนี้ กูจะเอาไอ้นี่(สืบ)ไปอยู่ด้วยมันท้ากูมันอยากลองดีกูก็จะให้มันได้ลอง พร้อมทังดิ้นไปดิ้นมาไม่น่าเชื่อว่าไอ้สืบ เพื่อนพี่ซึ่งผอมๆ ตัวบางจะแรงเยอะได้ขนาดนี้ พี่พจน์ รุ่นพี่ผู้อาวุโสกว่าใครเพื่อน เข้ามาขอขมาแล้วสวมพระเข้าไปที่คอ พร้อมทั้งตะโกนว่า เจ้าป่าเจ้าตนใดหากน้องผมกระทำการอันใดผิดไปอภัยให้ลูกด้วยเถอะ
16 พฤษภาคม 2549 22:31 น.
เมฆฟ้า
ปีพุทธศักราช 4449 ช่วงรอยต่อแห่งพระอริยะเจ้าองค์ใหม่ตามคำทำนายแห่งพระศรีอาริย์
หลังเกิดสงครามนิวเคลียร์ครั้งใหญ่ มวลมนุษยชาติแทบสูญสิ้นพันธุ์ อรรยะธรรมต่างๆของมนุษย์ล่มสลาย ธรรมชาติเริ่มกลืนกินโลก มวลมนุษย์ในโลกนี้เหลือเพียงไม่กี่กลุ่มที่ยังคงรอดชีวิตและดำรงเผ่าพันธุ์ต่อมาได้ ไม่เหลือศาสนาใดไว้ในโลกหลักธรรมคำสอนของแต่ละศาสนาถูกทำลายไปเกือบสิ้นพร้อมๆกับสงคราม คงเหลือแค่ความทรงจำของคนที่ยังรอดชีวิตให้พอได้เล่าแก่ลูกหลานฟังบ้าง แต่ก็ไม่อาจจะลึกซึ้งถึงหลักธรรมนั้นได้ มีเพียงคำทำนายที่เล่าสืบต่อๆกันมาแห่งพระศาสดาองค์ใหม่ด้วยเหตุนี้จึงเกิดลัทธิต่างๆมากมายอ้างตัวว่าเป็นพระศาสดาองค์ใหม่ลงมาจุติ
ณ ก้นทะเลสาบที่ลึกลงไปมีวัตถุประหลาดสิ่งหนึ่งกำลังเคลื่อนที่ขึ้นมาอย่างช้าๆท่ามกลางความมืดของคืนที่แม้แสงจันทร์ก็ไม่อาจส่องแสงเมื่อพ้นท้องน้ำมันค่อยๆลอยเข้ามายังฝั่งแล้วก็เกยอยู่ ณ ที่นั้นเองประตูบานหนึ่งค่อยๆเปิดออกพร้อมๆกับก๊าชถูกพ่นออกมามีน้ำไหลออกมาเป็นระยะๆร่างๆหนึ่งเริ่มขยับอย่างช้าพร้อมกับสำลักน้ำอย่างรุนแรงมันพยามยามลุกขึ้นแล้วนอนพิงในที่นั้น เสียงหายใจแผ่วเบา มันค่อยๆลืมตาขึ้นแล้วพูดออกมาเบาๆว่า ที่นี่ที่ไหน แล้วร่างนั้นก็ค่อยๆสงบนิ่งลงอย่างช้าๆ
นะโมตัสสะ ภควะโต อรหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโมตัสสะ ภควะโต อรหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโมตัสสะ ภควะโต อรหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
เสียงสวดมนต์ยังคงกึกก้องอยู่ภายในบ้านหลังหนึ่งฟังดูเยือกเย็นสงบยิ่งนักชวนให้ใจเราเย็นสบายนิ่งสงบดุจน้ำใสที่อยู่ในแก้วที่ไร้แม้แรงกระเพื่อมเมื่อบทสวดมนต์จบลงได้ยินเสียงของคนที่คุยกันเล็กน้อยแล้วก็แยกย้ายกันออกจากบ้านหลังนั้นเหลือเพียงเด็กหนุ่มกับคนแก่คู่หนึ่งยังคงนั่งอยู่กับที่ไม่ยอมไปไหน
*ท่านผู้เฒ่า เราสวดมนต์บทนี้มาหลายรุ่นแล้วนะขอรับเมื่อไหร่คำนายจะเป็นจริงซะทีหล่ะขอรับเราจะรอไปจนถึงเมื่อไหร่กันขอรับ
*เมฆาเอ๋ย เจ้าว่าถ้าไม่มีบทสวดบทนี้หมู่บ้านเราจะเป็นเช่นไร กลับเข้าสู่ป่า เป็นมนุษย์ที่ไม่มีแม้จิตรสำนึกอย่างกระนั้นหรือ อยู่อย่างไร้จุดมุ่งหมาย เกิดมาหากินสืบพันธุ์แล้วก็ตายอย่างสัตว์สันดานเดรัจฉานอย่างนั้นหรือ
*แต่กระผมว่ามันหาเหตุผลไม่ค่อยได้นะขอรับ คำทำนายจะเป็นจริงหรือปล่าวหรือเป็นแค่เรื่องเล่าที่มนุษย์รุ่นก่อนแต่งขึ้นมันก็เป็นได้นะขอรับ
*เมฆาเอ๋ย แล้วเจ้าคิดว่าบทสวดมนต์บทนี้มาจากไหนกันหล่ะเป็นภาษาใดที่เจ้าเคยได้ยินบ้างหล่ะ
บทสวดมนต์เป็นแรงยึดเหนี่ยวให้หมู่บ้านเราสามัคคีกันให้คนในหมู่บ้านเราอยู่กันอย่างสงบสุขก็ดีแล้วพอแล้วมิไช่หรือแม้ไม่มีคำทำนายบทสวดก็ยังคงมีประโยชน์สำหรับพวกอยู่ เจ้าก็คงเห็นด้วยตาของเจ้าแล้วนี่
*ขอรับท่านผู้เฒ่า แต่กระผมเพียงแค่สงสัยนะขอรับ
*เมฆาเอ๋ย วันใดที่มีผู้แปลบทสวดมนต์นี้ได้ วันนั้นแหละที่คำทำนายเป็นจริง
แล้วนักสู้รุ่นนี้หล่ะมีใครน่าสนใจมั่งหล่ะเมฆาข้าไม่ค่อยได้ออกไปดูเลย
*รุ่นนี้เห็นจะมีเพียงคนเดียวที่โดนเด่นกว่าใคร ชิน เขาเป็นเด็กคนเดียวที่สามารถทำคะแนนได้โดดเด่นผ่านบททดสอบที่ยากและหาคนที่เทียบไกล้ไม่ได้เลย
*อือ....... ชิน ...เด็กที่รอดจากการฆ่าล้างตระกูลเมื่อสิบสองปีก่อนน่ะหรือ ข้าชักจะหวั่นใจซะแล้วสิ
*หวั่นใจเรื่องอะไรหรือขอรับ ข้าว่าดีเสียอีก ที่มีเด็กมีพรสวรรค์เกิดขึ้นที่หมู่บ้านเรา
*เขาเหมือนพวกที่วิวัฒนาการข้ามขั้นหรือปล่าวหล่ะ
*ไม่นี่ขอรับ
*ถ้าเขาคอยเป็นเรี่ยวแรงให้เราในอนาคตก็ดีสิ ในทางกลับกันถ้าเขาเป็นศัตรูหล่ะอะไรจะเกิดขึ้น
*ท่านกลัวประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยหรือขอรับถ้าท่านผู้เฒ่าเป็นห่วงเรื่องนี้ข้าจะดูแลเด็กคนนี้เป็นพิเศษเลยขอรับข้าจะไม่ให้มันเกิดขึ้นอีกเป็นอันขาดขอรับ
*ฝากด้วยนะ เมฆา
ณ ลานฝึกนักสู้
พวกเจ้าผ่านการฝึกการเรียนมาพอสมควรแล้วพวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าเราฝึกไปเพื่ออะไรกัน
ปกป้องหมู่บ้านจากศัตรูครับ
ปกป้องคนที่เรารักครับ
ต่อสู้กับพวก นีโอฮิว ครับ
อือ ใครมีความเห็นนอกจากนี้อีกไม๊
เพื่อเป็นผู้พิทักษ์ครับ
เมื่อสิ้นคำตอบของเด็กชายผู้หนึ่ง ทุกคน ณ ที่นั้นเงียบกริบอึ้งไปสักระยะหนึ่งแล้วก็หัวเราะออกมาพร้อมๆกันหัวเราะจนแทบกลิ้ง
นี่ จิน ครูว่าเธอต้องขยันกว่านี้นะไม่แน่หรอกความหวังที่จะเป็นผู้พิทักษ์อาจเป็นจริงขึ้นมาได้สักวันแต่ถ้ายังเป็นอยู่อย่างนี้หล่ะก็ครูว่ายาก
*นี่เธอดูสิอีตาจินน่ะหัวก็ทื่อ แถมการต่อสู้ก็ไม่เอาไหนริอยากเป็นผู้พิทักษ์ถ้าเป็นชินก็ว่าไปอย่างเน๊าะ
*นั่นสิไม่ได้ดูตัวเองเลย
แม้เสียงนินทานั่นจะเบาสักเพียงไหนก็ไม่อาจหลุดพ้นจากการได้ยินขอ จิน เด็กผู้ซึ้งไม่มีแม้พรสวรรค์ในด้านการต่อสู้เลยจะมีก็เพียงใจที่รักในการต่อสู้และฝันที่จะเป็นผู้พิทักษ์ให้ได้เขาพูดกับตนเองเบาๆว่าสักวันคนที่ดูถูกเขาจะต้องสยบต่อเขาในวันที่ความฝันนั้นมาถึงเขาเหลือบมองไปที่ชินเด็กผู้ซึ้งเปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์แห่งการต่อสู้ ท่าทางของชินสง่า สุขุมเยือกเย็นสมแล้วที่แม้นักแต่ครูยังยกย่องว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ เป็นอัฉริยะแห่งการต่อสู้เขาแอบอิจฉาชินมาโดยตลอดแต่เขาได้เพียงเก็บความลับนี้ไว้ในใจเรื่อยมาพร้อมฝึกฝนตัวเองตลอดมาโดยตลอดมิได้ขาดแม้ในยามว่าง
สักครู่นั้นเองที่จินกำลังนึกอยู่ในใจก็มีเสียงตะโกนมาแต่ไกล
มีคนตาย มีคนตายที่ท้ายหมู่บ้านทุกคนต่างลุกฮือวิ่งไปโดยที่ไม่ต้องมีใครเรียก
*เป็นอย่างไรบ้าง
*ดูจากสภาพศพแล้วถูกพวกนีโอฮิวฆ่าตายอย่างแน่นอน
*ท่านมันใจได้อย่างไร
*แขนทั้งสองข้างถูกหัก บนคอมีรอยถูกกัดไม่มีสัตว์หรือคนสามารถที่จะทำอย่างนี้ได้ที่สำคัญมันไม่ได้ฆ่าเพื่อเป็นอาหารท่านเมฆาท่านมีความเห็นว่าอย่างไร
*ถ้าเป็นเช่นเจ้าว่าจริง พวกมันมาทำอะไรแถวนี้ บอกทุกคนให้ระวังตัวและให้นักสู้ทุกคนวางเวรยามอย่างหนาแน่นจนกว่าเราจะแน่ใจข้าจะไปปรึกษาท่านผู้เฒ่าก่อน
เอาหล่ะเด็กๆเราไปฝึกกันต่อได้แล้วเรื่องนี้ปล่อยให้ผู้ใหญ่เขาจัดการกันเถอะครูฝึกบอกกับนักเรียนที่มามุงดูอยู่ ณ ที่นั้น
มีเสียงโจษจั่นระหว่างนักเรียนทั้งหลายถึงเรื่องการตายของคนในหมู่บ้าน
*จินนายว่าเรื่องนี้เป็นไง
*เรื่องอะไรหล่ะ
*ก็เรื่องที่มีคนตายในหมู่บ้านเราน่ะสิถ้าเป็นพวกนีโอฮิวหล่ะก็พวกเราแย่แน่ๆเลย
พวกเรามีนักสู้อยู่เต็มหมู่บ้านแล้วจะกลัวไปทำไมแล้วพวกนีโอฮิวไช่ว่าจะมีเยอะซะหน่อย
เขาว่าเมื่อแปดปีที่แล้วมีการต่อสู้กันนีโอฮิวหนึ่งคนสามารถล้มนักสู้ของเราไปแปดคนเชียวนะ เขาว่ามันเก่งมากเลย
*ตกลงพวกนี้เป็นปีศาษอย่างนั้นเหรอ
*ไม่รู้สิ
*ฉันว่าคนนั้นหน่ะน่ากลัวกว่าพวกนีโอฮิวเสียอีก
*ใครหรือ
*ข้างหลังนายไง
*นี่พวกนายไม่ฟังที่ฉันสอนเลยไช่ไหม
จึ๋ยยซวยแล้วเรา
โป๊กกกกเสียงหัวชนกันดังสนั่นพร้อมกับเสียงหัวเราะที่เพื่อนๆร่วมห้องเรียงหัวเราะ
มีเพียงคนเดียวที่ไม่ได้หัวเราะหรือมีอารมณ์ร่วมไปกับเพื่อนๆชินยังคงสงบนิ่งอยู่ในท่าเดิม
นี่ชินนายไม่กลัวพวกนีโอฮิวเหรอ
ชินเหลือบตามองนิดนึงแล้วพูดว่าถ้าฉันเลือกได้หล่ะก็ฉันยอมเป็นนีโอฮิวดีกว่าอยู่กับพวกไร้สาระพวกนี้เสียอีก
คำตอบที่ได้ทำให้ธิดาถึงกับอึ้งธิดาแอบชอบชินมานานแล้วและพยายามที่ทำตัวสนิทกับชินตลอดเวลา แต่ผลที่ได้คือความเย็นชาของชินนั่นเอง แต่ถึงอย่างไรชินก็เป็นคนที่ธิดาชอบมากที่สุด
**ท่านผู้เฒ่าท่านมีความเห็นว่าอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้
*เราอย่าพึ่งสรุปอะไรตอนนี้ดีกว่าบางทีมันอาจจะไม่ไช่อย่างที่เราคิดก็ได้
*ท่านหมายความว่าไม่ไช่พวกนีโอฮิวหรือขอรับ
*ข้าไม่ได้พูดอย่างนั้นซะหน่อยข้าบอกเพียงว่าอย่าพึ่งด่วนสรุปอะไรให้มากนักไม่งั้นเราอาจหลงกล
แผนของใครบางคนเข้าก็ได้ทางที่ดีเราควรสืบดูให้รู้แน่ชัดเสียก่อนก่อนที่จะสรุปอะไรลงไป
*ขอรับ เมฆารับคำของผู้เฒ่าผู้นำแห่งหมู่บ้านมาพิจารณา
ในห้องนอนของนักสู้รุ่นเยาว์กลุ่มหนึ่ง
เล่นอะไรกันทุกคืนไม่น่าเบื่อหรอกเหรอเสียงของหมูน้อยเพื่อนร่างใหญ่ใจเล็กของจิน
แล้วจะให้ทำอะไรเล่าจะนอนหรือก็ยังไม่ง่วง
นายบอกว่าอยากเก่งกว่านี้ไช่ป่ะเรามาทำอะไรสนุกๆกันดีกว่า
อะไร
ที่ห้องลับของหมู่บ้านไงเขาว่ากันว่าเป็นแหล่งรวมสุดยอดกันต่อสู้ที่นักสู้ระดับ4ขึ้นไปเท่านั้นนะที่จะมีสิทธิ์ได้เรียน สนป่ะสนไม๊
อือ น่าสนและน่าตื่นเต้นดีนายว่าไงชิน
ชิ ขนาดวิชาที่ครูให้เราเรียนพวกนายยังทำไม่ได้เลยประสาอะไรกับวิชาการต่อสู้ชั้นสูงอย่างนั้น
ไม่สนก็ไม่ว่านี่ไม่เห็นจะต้องพูดเรื่องนี้เลยขอให้นายเก่งไปคนเดียวก็แล้วกันอยู่กับสิ่งที่อาจารย์สอนน่ะดีแล้วไปกันเถอะหมูน้อยอย่าไปสนคนพันธุ์เลย
แล้วจินกับหมูน้อยก็เดินออกไปจากห้องนอน
เฮ้ ไปด้วยสิเสียงของชินตามหลังออกมา
เอ้าไหนบอกว่าไม่สนไง
ฉันแค่เบื่อวิชาที่ครูสอนเท่านั้นแหละซ้ำซากระดับชั้นนี่หาวิชาที่เหมาะและเจ๋งกว่านี้ดีกว่า
เขตต้องห้าม ห้ามเข้าก่อนได้รับอนุญาต
นี่หมูน้อยทำตามแผน
โอ้ยช่วยด้วยเสียงร้องของหมูน้อยดังไปถึงนักสู้เฝ้าหอหนังสือ
ใครเป็นอะไรไปดูซิ
อ้าวหมูน้อยเป็นอะไรน่ะ
สงสัยงูกัดครับปวดมากเลย
เฮ้ยมาช่วยกันหน่อยสิสงสัยหมูน้อยถูกงูกัดข้าคนเดียวแบกไม่ไหว
ได้รอเดี๋ยว
เมื่อทั้งคู่กำลังเป็นห่วงหมูน้อยพอได้โอกาสชินและจินจึงเข้าไปในห้องลับนั้นอย่างสบายพอทั้งสองได้เข้าไปในห้องลับนั้นทั้งสองต้องตกตะลึงไม่นึกว่าจะมีหนังสือเยอะขนาดนี้จินพูดออกมาว่าแล้วจะเอาเล่มไหนดี
ในนี้ไม่มีอะไรหรอกมันต้องมีมากกว่านี้สิชินมองไปรอบๆท่ามกลางความมืดมีเพียงแสงของพระจันทร์ที่ยังพอช่วยนำทางให้มองได้ในเวลาที่ดวงตาปรับสภาพในความมืดชินมองไปเห็นหนังสือเล่นหนึ่งมันแปลกตรงที่ว่าหนังสือเล่มอื่นจะหันหัวของตัวหนังสือไปด้านขวาแต่เล่นนี้กลับหัวไปด้านซ้ายชินนำหนังสือเล่มนั้นออกมาดูก็ไม่มีอะไรจึงได้นับกลับไว้ที่เดิมและได้หันหัวหนังสือไปทางด้านขวามตามหนังสือเล่นอื่นทันใดนั้นเองชั้นหนังสือก็เลื่อนออกเป็นประตูเข้าไปอีกทั้งสองได้เดินเข้าไปในนั้นเห็นกล่องๆหนึ่งวางไว้ตรงกลางห้องชินเข้าไปเปิดดูเห็นลูกแล้วลูกหนึ่งมันสามารถเรืองแสงสีฟ้าอ่อนๆดูแล้วสวยงานยิ่งนัก
เอาวางไว้ที่เดิมเถอะเราว่ามันไม่เหมาะเรามาหาตำราการต่อสู้ไม่ได้มาหาลูกแก้วซะหน่อยจินบอกกับชิน
ไม่ เราจะเอามันไปด้วยแล้วค่อยเอามาคืน
นายจะเอามันไปทำอะไรมันไม่มีประโยชน์กับเราหรอก
ไม่รู้สิแค่คืนเดียวน่าไม่เป็นไรหรอก
ในขณะนั้นเองชินรู้สึกถึงพลังของลูกแก้วกำลังวิ่งเข้าสู่ตัวเองมันเย็นอย่างบอกไม่ถูกแต่เป็นความกดดันอย่างมหาศาลยากที่ต่อต้านได้
นะนายเป็นอะไรไป
อะไรหรือ
ตานายเรืองแสงสีฟ้าด้วย
ไม่รู้สิคงเป็นเพราะลูกแก้วนี้ละมั้งแต่ช่างมันเถอะไม่หาตำราดีกว่าทั้งสองออกจากห้องนั้นชินได้นำหนังสิอไว้อย่างเดิมประตูลับปิดตัวลงทันใดนั้นเอง
มีคนมาหลบเร็ว
มีคนๆหนึ่งกำลังทำท่าหาของบางอย่างอย่างรีบร้อนจินและชินจึงแอบออกจากห้องนั้นโดยไม่ให้รู้ตัวทั้งสองเดินออกยังไม่ได้พ้นประตูก็สะดุดกับร่างๆหนึ่งชินก้มมองดูนี่มันนักสู้ที่เฝ้าประตูนี่
อะไรเหรอจิมถามด้วยความสงสัย
เขาตายแล้ว
หา!คนตาย จินร้องออกมาอย่างลืมตัว
อย่า! เสียงของชินพยายามที่ห้ามไม่ให้จินร้องออกมา
แต่สายไปเสียแล้ว
พวกแกมาทำอะไรแถวนี้ นั่นมันลูกแก้วมหาเวทย์นี่ไม่นึกเลยข้าหามาตั้งนานไม่เจอแต่พอจะเจอมันก็ง่ายเสียนี่กระไรถ้าไม่อยากตายก็เอามันมาให้ข้าเดี๋ยวนี้
จิน วิ่ง เสียงของชินตะโกนทำให้จินได้สติวิ่งออกไปจากที่นั่นทั้งคู่วิ่งออกไปอย่างไม่คิดชีวิตพร้อมด้วยร่างของนักสู้นิรนามผู้นั้นตามติดๆแต่เด็กสองคนมีหรือจะวิ่งเร็วเท่านักสู้ผู้นั้น
อ๊ากกกกกกเสียงของชินร้องออกมารู้ถึงความเจ็บปวดอย่างสาหัสจินหนีไป
แต่ไอ้โม่งผู้นั้นหาได้สนใจจินไม่สิ่งที่มันต้องการคือลูกแก้วนั่นต่างหาก
โอ้ๆๆๆๆนึกว่าใครที่แท้ก็ ชิน เด็กอัฉริยะแห่งหมู่บ้านนี่เองนึกว่าอนาคตจะไกลแต่ชะตาก็ดันมาขาดซะก่อนน่าเสียดาย
จินลุกขึ้นพร้อมกับเอามือกุมแขนซ้ายไว้มีเลือดสดๆไหลออกมาไม่หยุดอันเกิดจากรอยมีดที่ชายผู้นั้นขว้างใส่นั่นเอง
แกรู้จักชื่อฉันแกเป็นคนในหมู่บ้านนี้
ฉลาดมากสมแล้วที่เป็นเด็กอัฉริยะของรุ่นนี้แกน่าจะตายไปเสียเมื่อสิบสองปีก่อนแต่เป็นเพราะสวรรค์ยังเข้าข้างให้แกมาหาลูกแก้วให้ฉันก่อนตาย
เหตุการณ์เมื่อสิบสองปีก่อนแกรู้เรื่องอย่างนั้นหรือ
รู้เรื่องอย่างนั้นหรือฮึๆๆๆหัวหน้าน่าจะฆ่าแกไปเสียตั้งแต่สิบสองปีที่แล้ว
หัวหน้า หมายความว่าอย่างไรมันเป็นใคร
อยากรู้อยากนั้นเหรอไปถามพ่อกับแม่ที่นรกสิแล้วข้าจะสงเคราะห์ให้ ตาย
ชายผู้นั้นฟันดาบลงไปที่ร่างของชินหวังสังหารแต่ได้ชื่อว่าเด็กอัฉริยะแห่งหมู่บ้านมีหรือจะจัดการได้ง่ายๆชินวางแผนไว้ตั้งแต่ตอนคุยกันแล้วเขาหลบคมดาบออกด้านข้างพร้อมกับกำดินเขวี้ยงใส่หน้าของนักฆ่า
นักฆ่าร้องโอยแสบตาพร้อมกับเอามือกุมหน้าชินไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดรอดกระโดดขึ้นเตะที่ก้านคอของนักฆ่าอย่างจัง นักฆ่าล้มลง ชินตามซ้ำอย่างไม่ปล่อยโอกาส
เราทำอะไรลงไปเราทิ้งเพื่อนอย่างนั้นเหรอเราไฝ่ฝันมาตลอดว่าจะเป็นผู้พิทักษ์แต่เราทิ้งชินๆไว้ข้างหลังนี่คุณสมบัติผู้พิทักษ์อย่างนั้นหรือเราทำไม่ได้ เราทำอย่างนี้ไม่ได้แล้วเราจะทำอย่างไรสู้ก็สู้ไม่ได้เราจะทำอย่างไรดี จินหยุดวิ่งไปครู่หนึ่งยื่นนิ่งบอกกับตัวเองว่าถึงแม้เราไม่ได้เป็นผู้พิทักษ์ ถึงแม้ว่าเราจะจบชีวิตลงตรงนี้แต่เราทิ้งชิน ไม่ได้ตายเป็นตายว่ะแล้วจินก็วิ่งย้อนกลับไปเพื่อช่วยชิน
29 เมษายน 2549 22:16 น.
เมฆฟ้า
รถทัวร์ยังคงวิ่งไปเรื่อยๆ ตามสองข้างทางยังคงสลับไปด้วยป่า และหมู่บ้านเรียงรายสองข้างทางผมยังคงใจลอยมองออกนอกตัวรถไปเรื่อยๆมิได้สนว่าบนรถนั้นจะเต็มไปด้วยผู้คนเสียงเพลง บรรยากาศของการรับน้องใหม่สำหรับผมแล้วมันไม่ได้ดึงดูดความสนใจผมสักเท่าไหร่เลย คงมีในบางครั้งที่เพื่อนนำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาให้แล้วกระเซ้าให้ผมสนุกไปกะมันด้วยซึ่งผมก็รับมาดื่มแต่โดยดีและยังคงนั่งอยู่ที่เดิม รถแล่นมาได้สักพักก็ถึงที่หมายโดยที่ผมแทบไม่รู้ตัวเพราะมัวแต่ใจลอยอยู่นั่นเองผมคิดว่าการอยู่บนโลกส่วนตัวมันก็ดีไปอีกอย่างไม่ต้องสนใจใครอยู่แต่กับตัวเองเป็นในสิ่งที่ตังเองอยากเป็นได้เสมอ
เมื่อถึงสถานที่รับน้องต่างคนต่างทำกิจกรรมของตนเองตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายส่วนตัวผมเองยังคงสำรวจสถานที่ไปเรื่อยๆ มันเป็นรีสอร์ทร้างที่ถูกทิ้งไว้มานานแล้ว บ้านที่ปลูกไว้ทุกหลังถูกต้นไม้เถาวัลย์เรื้อยเสียจนมองแถบไม่เป็นบ้านแม้ในบางครั้งผมเองยังรู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมาเฉยๆในเวลาที่มองไปในบ้านเก่าๆเหล่านั้นมันคงเป็นความวังเวงของสถานที่นั้นนั่นเอง ผมนำสัมภาระไปเก็บคงปล่อยให้เพื่อนๆและรุ่นพี่จัดการกะน้องใหม่ที่พึ่งเข้ามาเรียนรู้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยและแน่นอนก่อนที่จะเรียนรู้ก็มาทำการสลายพฤติกรรมก่อนแม้บางครั้งจะดูป่าเถื่อนไปบ้างก็ตามแต่ก็ยังอยู่ในครรลองครองธรรม ผมจัดการกับสัมภาระและอุปกรณ์ต่างที่จำเป็นต้องใช้ในการใช้ชีวิตในป่าเช่นนี้คงต้องเตรียมอะไรกันเยอะหน่อย
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจนถึงค่ำคืนของอีกวันหนึ่งเวลาสองทุ่มโดยประมาณ
เฮ้ ! ต้อม ธูปอยู่ไหนว่ะจะถึงเวลาที่ต้องไหว้เจ้าที่แล้วนะโว้ย ไอ้นนท์เพื่อนที่อยู่รุ่นเดียวกันของผมเองมันคงโดนรุ่นพี่ใช้ให้มาเอาธูปสำหรับไว้เจ้าที่ในคืนนี้
เออ เดี๋ยวกูเอาไปให้ ผมตอบมันไปพร้อมกับเดินไปเอาธูปที่เตรียมไว้
ต้อม: เฮ้ยนนท์ ถามจริงเหอะใครเป็นคนเลือกสถานที่รับน้องว่ะ แม่งโครตน่ากลัวเลยอย่างกะหมู่บ้านร้างในหนังสยองขวัญอย่างงั้นแหละ
นนท์: ไอ้เอกมันเป็นเสนอ มันบอกว่าที่นี่เหมาะมากที่สุดแล้วเพราะดูเหมือนอยู่ในป่า แต่ที่จริงแล้วห่างไปอีกประมาณ สองกิโลก็เป็นหมู่บ้านแล้วซื้อของก็สะดวกอีกอย่างเป็นบ้านญาติมันด้วยจะเอาอะไรก็ง่ายแล้วที่นี่ก็ไม่ไกลจากกรุงเทพฯเท่าไรนัก
ต้อม: ก็ดี แต่ยังไงข้าก็ยังอดที่จะคิดมากไม่ได้ว่ะ มันเหมือนมีลางสังหรณ์แปลกๆบอกไม่ถูกเหมือนกัน แต่ช่างเหอะ ไม่ต้องคิดมากตามข้านะ
นนท์: อือ แล้วเองก็เลิกคิดมากได้แล้วไม่มีอะไรหรอก เองดูดิว่ะดาวเต็มฟ้าเลยนี่มันบรรยากาศกินเหล้าชัดๆเลย
เวอร์ เองเลือกบรรยากาศกินเหล้าด้วยเหรอ ผมตอบแบบแย่มันเล่น
เราเดินกันสักพักก็ถึงสถานที่แห่งหนึ่งก็เห็นพี่พจน์และรุ่นพี่อีกสองสามคนรออยู่ก่อนแล้วพร้อมกับเครื่องเส้น มีศาลเพียงตาหลังหนึ่งค่อนข้างเก่าเอามากๆ มีผ้าหลากสีสันมัดอยู่ที่ตรงโคนเสา ซึ่งก็เก่ามากแล้วมีจอมปลวกขึ้นอยู่ข้างๆและมีกระถางธูปใบใหญ่อยู่ใบหนึ่งซึ่งเก่าไม่แพ้กัน
ทำไมมันนานจังว่ะก็บอกให้เร็วๆหน่อยเป็นรุ่นพี่มันทำงานกันยังไง ยังไม่พารุ่นน้องมาอีก ช้าจริงๆพี่พจน์ ซึ่งเป็นรุ่นพี่ที่อาวุโสที่สุดแกอยู่ในรุ่นที่ก่อตั้งซุ้มเลยก็ว่าได้ บ่นอย่างไม่สบอารมณ์เมื่อเห็นการทำงานของรุ่นน้อง
พี่ไก่: คนมันเยอะน่า กว่าจะรวมตัว เดี๋ยวก็คงมามั้ง
พี่อ๊อด: นั่นไงพูดถึงก็มาพอดี เฮ้ยไอ้ต้อม ไอ้นนท์ เดี๋ยวคอยช่วยแจกธูปให้น้องๆมันด้วยนะ
ครับ ผมกับนนท์ตอบแทบจะพร้อมกัน
สักพักเมื่อรวมตัวรุ่นน้องเสร็จแล้วก็ได้อธิบายวิธีการ และความสำคัญของการทำพิธีในครั้งนี้แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ผลมีอยู่หลายคนที่ไม่สนใจการทำพิธีมีเสียงเซงแซ่ในขณะที่พิธีอยู่ตลอดเวลาและในบางครั้งก็มีอยอกล้อกันด้วยซ้ำแม้จะมีรุ่นพี่คอยบอกให้เงียบก็ยังคงมีเสียงคุยกันตลอดวลาจนกระทั่งทำพิธีเสร็จก็ให้รุ่นน้องอธิฐานเสร็จก็ให้ปักธูปไปที่กระถางธูปใบเก่านั้น
พิธีการไหว้ศาลเจ้าที่ เสร็จลงแล้วในขณะที่ทุกคนกำลังจะกลับนั่นเอง
โครม! จู่ๆเกิดเสียงดังสนั่น กระถางธูปใบเก่าใบนั้นนั่นเองบัดนี้มันได้พังลงมาพร้อมทั้งธูปที่เราได้ปักลงไปนั้นก็กระเด็นกระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น
พี่พจน์บอกว่าให้นำรุ่นน้องกลับไปก่อนที่เหลืออยู่เป็นรุ่นพี่ที่มาด้วยกันเกือบทั้งหมดพี่พจน์แกทำหน้าไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่นัก
พี่พจน์: มันเกิดขึ้นได้อย่างไร กระถางธูปมันพังลงมาได้อย่างไร หวังว่ามันคงไม่เป็นอย่างที่กูคิดนะ
พี่พจน์พูดแบบมีเลศนัยซึ่งผมก็ไม่ค่อยเข้าใจอะไรนัก
แล้วมีรุ่นพี่ผมหลายคนกระซิบกระซาบอย่างเครียดๆ
แล้วทุกคนก็พากันเก็บสถานที่นั้นจนเสร็จแล้วจึงกลับที่พัก
ผมได้ถามพี่น้องไปว่าที่พี่พจน์พูดนั้นหมายความว่าไง
พี่น้อง: เมื่อหลายปีก่อนได้เกิดเหตุการณ์ประมาณนี้แหละแล้วมีรุ่นน้องคนหนึ่งได้รับอุบัติเหตุจนต้องเข้าโรงพยาบาลเราต้องเลิกล้มการรับน้องใหม่ในปีนั้นไปเลย หลายคนสรุปว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นมันเกิดจากที่เราไม่เคารพหรือทำการอันไม่เหมาะสมต่อสิ่งศักดิ์ที่อยู่ ณ สถานที่นั้น นั่นเองและพี่พจน์ก็คงคิดเช่นกัน
พวกเรากลับถึงที่พักได้ไม่ถึงสิบนาทีจู่ก็เกิดลมพัดขึ้นอย่างหนักจนข้าวของเราหลายอย่างต้องปลิวกระจัดกระจายครู่ต่อมาฝนได้ตกลงมาอย่างหนักอย่างไม่ลืมหูลืมตาเต็นท์ของเราหลายหลังเละอย่างที่ไม่สามารถที่จะนอนได้เลยพวกรุ่นน้องซึ่งกำลังรวมตัวเพื่อที่จะทำกิจกรรมในตอนกลางคืนต้องวิ่งหาที่หลบฝนกันอลม่านเป็นเหตุการณ์ที่วุ่นวายยิ่งนัก จู่ๆความคิดหนึ่งของผมก็ผลุดขึ้นมาว่าเมื่อไม่ถึงชั่วโมงที่ผ่านมายังคุยกะไอ้นนท์มันอยู่เลยว่าดาวเต็มท้องฟ้าบรรยากาศน่ากินเหล้าแล้วก็ไม่มีทีท่าว่าจะมีเค้าฝนอยู่เลยแล้วฝนมันจะตกลงมาได้อย่างไร ทันทีที่คิดได้ผมก็รู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ค่อยดีขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับบอกกับตัวเอง แบบนี้มันไม่ไช่แล้วขออย่าให้เป็นอย่างที่พี่พจน์คิดเลย(กรุณาติดตามตอนต่อไป)