25 มิถุนายน 2548 00:10 น.
เมฆน้ำแข็ง
ดั่งพายุพัดพามหาโศก
วิปโยกสุดหยั่งเยี่ยงอาสันต์
ทะมึนใจมืดมัวร้าวแหลกราญ
มองรอบด้านมิอยากอยู่รู้ความจริง
ทุกข์ท่วมท้นล้นใจใครจะรู้
ที่เป็นอยู่เหมือนดั่งโดนคำสาปสิง
ผจงจิตคิดตายคลายประวิง
เพื่อจะทิ้งความทุกข์ขมุกมัว
คว้าผ้าต่วนสีขาวผืนยาวใหญ่
เดินเข้าในห้องไปใจสลัว
เอาผ้าพาดฟาดขึงคานร่างระรัว
คิดเจ็บชั่วเดี๋ยวด๋าวสุขยาวไกล
สายตาลาดกวาดไปเหมือนไร้ทิศ
สมองมิดมืดมนทนไม่ไหว
คิดจนมืด มืดจนว่างไร้ห่วงใย
ตั้งจิตไว้ตัดช่องน้อยแต่พอตัว
ผ้าคาดผึงดึงดูพอดีแน่น
มาดเหมือนแม้นผ้านี้ที่ขึงหัว
คิดจนตก ตกจนตันไม่พรั่นกลัว
สาวเท้านัวลากเก้าอี้รี่เข้ามา
ยืนตัวตรงบนเก้าอี้หมายพลีร่าง
มือจับคว้างผ้าขาวยาวสองหลา
ผูกปลายผ้าเป็นห่วงจ้วงชีวา
ไว้ชาติหน้าค่อยว่ากันพลันนึกเอา
ตระเตรียมห่วงจะคล้องคอในบัดดล
ต้องสับสนด้วยเสียงเพลงทำนองเหงา
ชะโงกดูเห็นขอทานหน้าบ้านเรา
พาให้เอามาคิดจิตตรึกตรอง
ขอทานแก่ตาบอดพิการขา
เป็นภาพพาชวนสลดตัวเป็นหนอง
ตามร่างกายล้วนด้วยแผลพุพอง
ดูสยองปนสมเพชเวททนา
เดินลงจากบรรไดให้เงินเขา
เสียงขอบคุมเร่าๆอนาถา
"ขอให้ท่านจำเริญเงินไหลมา"
ฟังแล้วพาชวนขำจำสำเนียง
ขอทานนั้นยังมิอาจบรรลุสุข
ร่างจมทุกข์สาหัสอาภัพเพี้ยง
จะอวยพรผู้ใดได้แค่กล่าวเพียง
ด้วยออกเสียงอวยชัยไม่กี่คำ
แต่ครั้นมองมุมลับกลับสะดุ้ง
เหมือนไฟพุ่งรุ่งร่างไม่พลางขำ
มองไปอีกมุมหนึ่งตะลึงคำ
"ขอให้ท่านจำเริญเงินไหลมา"
เขาเหมือนตายแต่ตะกายเพื่อจะอยู่
และรับรู้ความจริงอนาถา
ผิดกับเราที่คิดปลิดชีวา
เพื่อหลีกหน้าไม่กล้าสู้รู้ทุกข์ทน
เปรียบกับเขาเราเป็นเพียงคนขี้ขลาด
คิดพิฆาตรชีวาหน้าฉงน
เขานั้นกล้าบากหน้ากอบกู้ตน
แต่เราทนให้ทุกข์ทับคิดดับแด
หัวเราะร่าพาหลุดพ้นค้นพบสัจย์
ใช่มองลัดเพียงทุกข์เราไม่แยแส
ทุกข์ของเขามากกว่าเราทวีแท้
เขายังแน่สู้ทนแม้นหม่นมัว
คนเรามักมองตัวเราเอาเป็นใหญ่
ทุกเมื่อไรมักมองว่ามืดขมัว
มืดมิดจนเนตรพร่าตาบอดมัว
แล้วมาดมั่วว่าหนักหนาแสนสากันต์
แต่เมื่อเรามองเห็นที่มืดกว่า
จะรู้ถึงคุณค่าความมืดนั้น
มองกลับอาจเห็นว่าสว่างพลัน
เพราะเห็นอันที่มืดกว่าในครายล
มืดกว่ามืดใช่ว่าเป็นสาระ
เพียงคิดผละจากตัวเราอย่าสับสน
มองที่มืดกว่ามืดเพื่อหลุดพ้น
จากมืดมนที่ทับถมตัวเราเอง
24 มิถุนายน 2548 00:20 น.
เมฆน้ำแข็ง
แม้นมองเมียงเพียงรูปลักษณ์จักแลเห็น
ก็แค่เป็นลายรูปอักษรศรี
บ้างหวัดบ้างบรรจงบ้างตามกวี
อาจจะมีพราดพรั้งระวังความ
อาจแลเห็นผิดรูปและผิดรอย
ผิดทำนองคล้องคล้อยอย่าเหยียดหยาม
อาจเขียนผิดไปบ้างดูไม่งาม
แต่อย่าตามเพียงอักษรให้ร้อนรน
ดูดีๆประโยชน์มีที่ความหมาย
ไม่เลือนหายเหมือนอักษรให้ฉงน
อันความหมายอยู่ในลักษณ์ซ่อนเล่ห์กล
ให้เหล่าคนค้นหาพาความงาม
เหมือนดั่งเงาะซ่อนรูปอยู่ดูไม่เห็น
นอกลำเค็ญในสะคราญน่าเกรงขาม
อันเนื้อทองซ่อนในรูปรอโมงยาม
คนจะเห็นความงามตามสำเนียง
มองอะไรมองดูให้รู้แท้
ดูให้แน่ถึงภายในสรุเสียง
พินิจงามที่ความหมายใช่ดูเพียง
อย่าลำเอียงด่วนตัดสินจนหมิ่นความ
ภายนอกอาจแลเห็นเป็นงามพร้อม
แต่ในปลอมแปลกไปให้เหยียดหยาม
ดั่งทองทาภายนอกเป็นแลเห็นตาม
แต่ความทรามซ่อนซุกในอย่าใฝ่ปอง
มองดูคนงามล้นอร่ามเหลือ
ทองระเรื่อสร้อยแหวนแสนผยอง
หม่นหมองมัวมั่วในมิใช่ทอง
หัวใจกองเป็นเพียงหินดินดำๆ
****คุณค่าของทุกสิ่ง มิได้ดูและพินิจเพียงภายนอก แล้วจักแลเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง
ต้องมองตามลงไปถึงภายใน "หัวใจ" แล้วจะเห็นความจริง****
23 มิถุนายน 2548 16:12 น.
เมฆน้ำแข็ง
คนขวักไขว่เดินไปในตลาด
ดูเกลื่อนกลาดผู้คนยลสิ่งของ
กลิ่นผักปลาคลุ้งคละปนกลิ่นสุกร
เห็นคนจรร่อนเห่เร่ขอทาน
ตะลอนเดินเผอิญพบร้านโรตี
เห็นป้ายมีเขียนขึ้นเพื่อไขขาน
ว่ามีโรตีใส่ใข่โรยน้ำตาล
กลิ่นหอมหวานน่ากินสักชิ้นลอง
ครากวาดตาเห็นอาบังทอดโรตี
ทั้งเห็นมีกะทะใหญ่ไว้ทอดของ
หยอดน้ำมันรอบขอบกะทะรอง
ในสมองลองคิดเล่นเช่นสังคม
กะทะก้นเว้ากลมเป็นวงใหญ่
เปรยเปรียบไปโลกสักใบเห็นเหมาะสม
น้ำมันหยอดทุกหยดหยาดมาดเป็นปม
ก็เช่นความคิดของคนปนรวมกัน
น้ำมันหยดหยาดปะกะทะร้อน
ต่างวิ่งจรลงกะทะผละถลัน
ไปรวมอยู่ศูนกลางไม่ห่างกัน
คิดได้พลันเปรยเห็นเห็นเล่ห์กล
ความคิดปนจิตใจไปสมอง
แสดงออกตามครรลองของเวหล
คิดเหมือนกันจึงประกอบเป็นกลุ่มชน
เช่นได้ยลบนกะทะทอดโรตี
หนึ่งความคิดหนึ่งน้ำมันที่พลันหยด
รวมจับจดกลางกะทะไม่ผละหนี
เป็นความคิดเห็นอ่านตามวลี
ว่าสิ่งนู้นสิ่งนี้ชี้ตามกัน
เห็นเหมือนกันมองเหมือนกันพลันรวมกลุ่ม
แล้วจึงมุ่งความคิดเห็นขมีขมัน
นี่ฉันบอกว่า"กลม"กลมตามกัน
หนึ่งเสียงพลันบอกว่า"เหลี่ยม"ไม่เจียมตัว
คิดเหมือนกันทางเดียวกันพลังมาก
คอยพิพากษ์คิดแปลกไปเรียกใจชั่ว
คิดไม่เหมือนโดนประณามให้หมองมัว
ว่าคิดชั่วผิดแผกแยกสังคม
กลิ่นน้ำมันลอยปะทะจมูก
ดั่งเหมือนถูกกลิ่นหืนให้ขืนข่ม
รีบป้องปิดแล้วก้าวห่างกะทะกลม
พอดอมดมแล้วมาดว่าคลาคิดไป
กลิ่นหืนเหม็นในน้ำมันที่ใช้ทอด
แล้วเมื่อหยอดลงกะทะคละไถล
เพียงหยดเดียวไม่ได้กลิ่นเหม็นอันใด
แต่พอไปรวมกันสุดกลั้นกลืน
ความคิดเน่าเคล้ากันเป็นสังคม
พวกเดียวกันดอมดมความเหม็นหืน
แล้วบอกว่าหอมเย็นเป็นชื่นมื่น
ผู้ใดฝืนคือคิดผิดจิตเสื่อมทราม
เฝ้าคิดเพลินจนลืมสั่งโรตี
อาบังรี่เอาอะไรตั้งคำถาม
สะดุ้งเฮือกรีบบอกไปตามใจความ
เอาโรตีใส่น้ำตาลไม่ใส่นม...
22 มิถุนายน 2548 23:45 น.
เมฆน้ำแข็ง
มองดูแหวนสวมนิ้วนางมือข้างซ้าย
ระลึกคล้ายกระจกเร้าเป็นเงาหลอน
อดีตภาพที่ตราตรึงกลับโยกคลอน
ความเว้าวอนวิ่งวุ่นกรุ่นกายใจ
แหวนวงนี้เคยมีคู่ใช่แหว่งเว้า
เคยมี"เรา"วาดฝันกันสดใส
วันนี้"เรา"เป็นวันวานผ่านพ้นไกล
เพราะว่าใจเธอมี"เขา"ใช่"เราเคียง
แหวนแยกไปคนก็ไกลแต่ใจอยู่
อย่างน้อยรู้ฉันยังรักไม่หักเฉียง
ใจยังตรงแหวนยังคงแค่รอเพียง
จะผิดเพี้ยงไม่ร่วมเรียงอยู่ข้างกาย
ก็ยังรู้เต็มอกประสบอยู่
ดังอึงอลเต็มหูไม่ห่างหาย
แม้นผ่านมาเนิ่นนานกลกาลกลาย
ฉันยังได้ยินอยู่ทู่ซี้ฟัง
แม้นวันนี้มิได้เจอแค่เพ้อพก
แต่หัวอกยังตราตรึงต้องมนต์ขลัง
รักเหมือนภาพหลอนใจไร้จีรัง
ทรงพลังสาปสิ้นทุกสิ่งทราม
รำลึกแหวนรำลึกใจให้สลด
ยังจำจดจวบจิตคิดคำถาม
แหวนประดับบนเรือนนิ้วเรียวงาม
เหมือนดั่งล่ามให้ใจอยู่รู้ความจริง
19 มิถุนายน 2548 23:40 น.
เมฆน้ำแข็ง
เพลิงเพี้ยงพรุ่งเพริศแพร้ว เผาผลาญ
ฤธิ์รุ่มร้อนลนลาน มอดไหม้
ร้ายเลิศมิประมาณ ขานเปรียบ
พระเพลิงแพ้พ่ายไซร้ หนึ่งเดียว "รักลวง"
แรกรักเริ่มเกิดก่อ ดั่งฝน
พรมพร่างเพี้ยงสายชล ชุ่มชื่น
รีบรับลงระคน ยลเล่น
จวบทราบจิตสะอื้น เคล้าคลื่น "น้ำตา"
เปรยเปรียบเป็นสองแง่ คำ"รัก"
เหมือนทุกสิ่งประจักษ์ ดำขาว
มองดีรักเปรียบทัก ดั่งฝน
มองชั่วรักร้ายร้าว ยิ่งไฟ โลกันต์