8 สิงหาคม 2546 23:49 น.
เพื่อนของพระจันทร์
ความรู้สึกในใจ มันพูดว่าไม่เหมือนก่อน
ไม่เหมือนคนที่ยังรักกัน
เธอมาเปลี่ยนไป เฉยเมยกับฉันอย่างนั้น
ดูเธอเงียบงันไม่เป็นเหมือนเคย...
เพิ่งรู้ว่าหลายๆอย่างที่เป็นอยู่มันทำให้คนอื่นอึดอัด
แล้วตัวเองก็อึดอัด เกรงใจที่ทำให้เค้าทุกข์ทรมานใจเพราะเรา
ความจริงก็รู้สึกมาตลอด ความคิดที่จะผูกมัดใครไว้กับตัวเอง
ก็เลยแทบไม่มีเหลืออยู่เลย
เหนื่อยกายแล้วยังจะยอมเหนื่อยใจอีกหรือ นี่เป็นคำถามที่เราเฝ้าหาคำตอบให้ตัวเองอยู่ตลอดเวลา
คงถึงเวลาแล้วซินะ ที่เราควรหันหลังเดินออกมา แล้ววางมันทิ้งไว้อย่างเดิม
เหมือนเดิมก่อนที่เราจะบังเอิญเดินผ่านมาพบมาเจอกับมันเข้า
ถ้าเป็นเรา เราจะทนฝืนใจได้นานเท่าเค้าไหม คงไม่กระมัง
เราอยากบอกว่าเสียใจที่ทำให้เค้าคนนั้นอึดอัด จริงๆนะ
มีอะไรปิดบังกันหรือเปล่า
อยากฟังเรื่องราวให้มันเข้าใจ
เธอเองที่รู้ ว่าเป็นเพราะอะไร
ช่วยบอกได้ไหมอย่าเก็บเอาไว้เลย...
มิตรภาพที่เกิดและคงอยู่ได้เพราะความเกรงใจ สงสาร สมเพช
ถ้าเป็นเรา เราจะไม่เก็บมันเอาไว้ เราจะบอกออกไปให้เค้าได้รับรู้
ว่ามันไม่ได้มีคุณค่ากับเรามากไปกว่าคนที่เราอยากจะมอบให้ในตอนนี้
เค้าคนนั้น..คือ..ใครอีกคนที่สำคัญกว่าของเธอ
แต่ทำไงได้ละคนนี้ก็น่าสงสาร
อืม คงน่าเศร้าพิลึกซินะคนที่ถูกทิ้งไว้เป็นตัวเลือกสุดท้าย
สำหรับความสุขสำราญในการแจกจ่ายมิตรภาพของใครบางคน
มิตรภาพของเราที่ตั้งอยู่บนฐานของความมั่นคง
มิตรภาพของเค้าที่ตั้งอยู่บนความแปรผัน
มันช่างแตกต่างกันจนเกินรับได้จริงๆ
ไม่รักก็บอกไม่รัก อย่าทำให้ฉันเข้าใจผิด
และคิดว่าเธอรักกันอยู่อย่างนี้
ไม่รักก็บอกกับฉัน ปิดบังกันไปยิ่งไม่ดี
บอกฉันให้รู้ซักทีถ้าเธอหมดใจ...
คนที่เราชอบกับคนที่เรารักมันช่างแตกต่างกันเหลือเกินนะ
เป็นความจริงที่ถูกต้องและสมเหตุสมผลที่สุดในความคิดของเรา
ฉันรักเธอ...ฉันไม่รักเธอ..ฉันชอบเธอ..และสุดท้าย..ฉันไม่ชอบเธอ
เธอต้องการฟังคำพูดประโยคไหน บอกเรามาได้เลย
เธอต้องการพูดประโยคไหน ก็เอ่ยมันออกมา ยินดีจะรับฟังเสมอ
ไม่ต้องกลัวว่าจะต้องหันหลังให้กับน้ำตาของผู้หญิง
เพราะมันอาจจะเป็นสิ่งที่เธอทนดูไม่ได้
แต่น้ำตาเรามันมีค่าเกินกว่าจะปล่อยให้มันไหลริน ณ ที่ตรงนี้
..วางใจเถิดคนดี..เพราะเธอไม่มีสิทธิ์ได้เห็นมันอีกแล้ว
ฉันทำได้แค่นี้ และพร้อมจะรับความจริง
กับเรื่องเราที่ต้องเปลี่ยนไป
ยิ่งรักก็ยิ่งอยากรู้ ยิ่งคิดก็ยิ่งคาใจ
มันจริงใช่ไหมแต่เธอไม่กล้าบอกกัน
การยอมรับความจริง บางครั้งมันอาจจะเกินความสามารถของใครบางคน
แต่ไม่เกินความสามารถของเรา มั่นใจ เชื่อใจเถอะว่าเราทำได้
ทุกสิ่งเมื่อมีการเริ่มต้นมันก็ย่อมมีวันสิ้นสุด
เหมือน .....ฉบับนี้
ที่เราเรียกมันว่าฉบับสุดท้าย เพราะมันเป็นฉบับสุดท้ายของหัวใจเราจริงๆ
...บอกฉันให้รู้ซักทีถ้าเธอหมดใจ... ฉันจะได้เตรียมใจ ถ้าไม่มีเธอ .....
8 เมษายน 2546 23:14 น.
เพื่อนของพระจันทร์
พรุ่งนี้เราก็จะต้องจากกันแล้วนะ
ถึงแม้ว่ามันจะไม่สลักสำคัญอะไรนักในความรู้สึกของเธอเมื่อเราห่างไกลกัน
แต่ขอเอ่ยถ้อยคำจากใจที่เก็บมันมานานให้เธอรับฟังมันบ้าง..... ได้หรือเปล่า
วันนี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่เราไม่เข้าใจกัน
(ถึงจะไม่ได้แสดงออกมาชัดเจน แต่ในความรู้สึกเราสองคนต่างรับรู้ได้ใช่ไหม)
ตั้งแต่วันที่เราเจอกัน ตกลงคบเป็นเพื่อนกัน
ไม่มีวันไหนเลยที่ทำให้รู้สึกว่าเราเป็นเพื่อนกันได้อย่างสนิทใจ
มันเหมือนมีอะไรบางอย่างบอกใจว่าถึงแม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนมันก็ไม่ใช่ ไม่ใช่จริงๆ
คำว่า...ลาจาก...เป็นอีกคำหนึ่งที่เราต่างก็ไม่อยากได้ยิน
คำว่า...ห่างไกล...เป็นอีกคำหนึ่งที่เราต่างก็ไม่อยากรับรู้ความเจ็บปวดที่เกิดจากมันเลย
แต่เราก็ต้องลาจาก ต้องห่างไกลกันอยู่ดี
ขึ้นอยู่กับว่าวันเวลาจะมาถึงเมื่อไหร่เท่านั้นเอง
อยากรู้ว่าเธอเหนื่อยไหม ที่จะต้องมาเดินในเส้นทางที่กลับไม่ได้ไปไม่ถึงร่วมกับฉันอย่างนี้ทุกวัน
บางครั้งเราก็ดูเหมือนคนรู้ใจกัน แต่บางครั้งก็ดูเหมือนคนที่ไม่มีวันจะเข้าใจกันเลยซักนิด
อยากรู้ว่าทำไมเราสองคนไม่มีจุดยืนเลย
ถ้าวันนี้เราเหงา เราเศร้า ใครจะนั่งอยู่ข้างๆคอยปลอบโยนเราให้ความทุกข์บรรเทาเบาบางลง
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับเราหรอก
ป่วยการเปล่าที่จะมาใช้คำถามเพื่อเรียกร้องให้ใครอยู่เคียงข้างใครตลอดเวลา
ฉันไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไรจากเธอ และเธอก็ไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไรจากฉันเช่นกัน
แม้ว่าใจเราสองคนมันจะตรงกันหรือไม่ก็ตาม ....ใช่ไหมเธอ...คนที่อาจจะตอบคำถามฉันได้
"Love is like war : easy to begin but very hard to stop"
4 เมษายน 2546 23:59 น.
เพื่อนของพระจันทร์
ผมไม่เคยรู้สึกดีกับพ่อมาก่อนอย่างนี้
ผมไม่เคยรู้สึกรักพ่อมาก่อนเท่าครั้งนี้
ถึงเวลานี้ผมได้แต่นั่งรอเวลาที่ผมจะโผเข้าสวมกอดร่างของพ่ออีกครั้ง
จะนานแค่ไหนไม่รู้
จะนานกี่ชั่วโมงไม่รู้
กว่าที่ประตูห้องฉุกเฉินนั่นจะเปิดออก
แล้วผมจะกลับเข้าบ้านหลังนั้นอีกครั้ง กลับเข้าไปสู่อ้อมแขนของพ่ออีกครั้ง
และครั้งนี้มันคงทำให้ผมเขียนเรื่องสั้นได้ทันส่งต้นฉบับวันพรุ่งนี้แน่นอน
ผมตั้งชื่อเรื่องรอไว้ก่อนแล้วว่า นิทานของพ่อ
พ่อคนเดียวที่สอนให้ผมรู้จักตัวเอง ให้ผมเข้มแข็ง
ให้ยืนหยัดได้ด้วยความฝัน สองแขนสองขาของตัวเอง
ผมอยากบอกว่า ผมรัก รักมาก อย่างที่ไม่เคยรักมาก่อน
และผมก็รักพ่อไม่น้อยกว่าที่รักแม่หรอก
4 เมษายน 2546 22:46 น.
เพื่อนของพระจันทร์
แต่ผมก็ยังไม่ละทิ้งความฝันที่อยากจะเป็นนักเขียนหรอก
ผมเฝ้าฝึกฝีมืองานเขียนจนคิดว่าดีพอถึงได้ลองส่งไปลงยังนิตยสารฉบับหนึ่ง
จนในที่สุดก็ได้รับการตีพิมพ์
ผมเริ่มมีความสุขกับการเขียนหนังสือมากขึ้น
เมื่อความฝันของผมเป็นจริง
หนังสือเล่มแรกในชีวิตของผมพิมพ์เสร็จเป็นรูปเล่มเรียบร้อยแล้ว
ผมรับหนังสือจากพี่ใหม่มา เปิดออกดูทีละหน้า ๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า
ไม่อยากเชื่อเลยว่าผมจะมีโอกาสแบบนี้จริง ๆ
นี่มันสุดยอดความฝันของผมเลยครับพี่ ขอบคุณมากครับ
เอ้า!นี่หนังสือของนัทเก้าเล่ม พี่ให้นัทเอาไว้แจกเพื่อน ๆ
ถ้าไม่พอยังไงก็เข้ามาเอาใหม่ล่ะกัน พี่ใหม่หยิบห่อกระดาษยื่นให้ผม และนี่เช็คเงินสดค่าเรื่อง
ขอบคุณมากครับ พี่ใหม่
ผมรับเช็คค่าความคิด ค่าน้ำหมึกของผมมาถือไว้ด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก
แต่ที่แน่ ๆ มันเต็มเปี่ยมจนล้นไปด้วยความภาคภูมิ
มาถึงตอนนี้ผมมั่นใจได้แล้วว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความจริง ไม่ใช่ความฝัน
ผมอยากให้พ่อรู้เหลือเกินว่าในที่สุดผมก็ทำความฝันของผมได้สำเร็จ
ผมละภาพความหลังเก่า ๆ
ละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ด้วยการไปเดินเล่นที่ท่าน้ำ
สายน้ำแห่งเจ้าพระยายังคงไหลเวียนไม่ขาดสาย
ประกายแสงจากดวงอาทิตย์สะท้อนผืนน้ำระยิบระยับ
เรือลำน้อย เรือลำใหญ่แล่นว่ายอย่างเช่นเคย
ที่ตรงนี้ล่ะที่ทำให้ผมมีความสุข รู้สึกสบายอกสบายใจทุกครั้ง
และมักจะได้คำตอบหรือแนวพล็อตเรื่องอยู่เสมอ ๆ
วันนี้ผมก็หวังไว้เช่นนั้นเหมือนกัน
26 มีนาคม 2546 18:00 น.
เพื่อนของพระจันทร์
ผมพิมพ์มาถึงตรงนี้ ก็ต้องกด Delete ลบข้อความนั้นทิ้งเสียหมด
หลังจากที่ผมนั่งจ้องอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ร่วมครึ่งชั่วโมงแล้วมั้ง
แต่งานเขียนของผมก็ยังอยู่เหมือนเดิม
ไม่มีอะไรคืบหน้า ไม่มีอะไรขยับเขยื้อนไปสักอย่าง
ทั้ง ๆ ที่ผมจะต้องส่งต้นฉบับในวันพรุ่งนี้แล้ว
แย่จริง ๆ สมาธิหายไปไหนหมดนะ
บรรยากาศ ภาพความหลังในวัยเด็กหายไปไหนหมดนะ
- - นี่ผมคิดผิดหรือเปล่าหนอ? - -
ที่รับงานเขียนเรื่องสั้นเกี่ยวกับพ่อมา
ก็เพราะคำว่า พ่อ นี่แหละที่ทำให้ผมเขียนไม่ออก
ไม่รู้จะเขียนอะไร เพราะพ่อไม่เคยอยู่ในความทรงจำของผม
หรือเป็นฮีโร่เยี่ยงอย่างพ่อคนอื่น ๆ จนบางครั้งผมมีความรู้สึกราวกับว่า
พ่อกับผมเป็นคนแปลกหน้าที่ต่างวัยและบังเอิญมาอาศัยอยู่ภายใต้ชายคาเดียวกัน
พ่อยังเป็นคนทำลายครอบครัว ทำลายความรักที่แม่มีต่อพ่ออย่างหมดสิ้น
จนแม่ทนไม่ไหวต้องหย่าร้างกันไปในที่สุด และพ่อยังจะทำลายความฝันของผมอีก
ผมอยากเรียนหนังสือ ผมชอบงานเขียนหนังสือ
ผมบอกกับพ่อในวันที่พ่อบอกให้ผมเลิกเรียนหนังสือ
และออกมาช่วยกันทำงานที่โรงกลึงของตนเอง..
แกจะเรียนไปทำไมนักหนา กิจการของพ่อก็มี
แล้วไอ้ความฝันบ้า ๆ บอ ๆ ของแกอีก
ผมทิ้งมันไม่ได้ ผมทิ้งความฝันของผมไม่ได้หรอกพ่อ ผมเถียง
แต่แกต้องทิ้งมัน แกต้องมาช่วยฉันทำงาน พ่อขึ้นเสียงตอบกลับมา
พ่อ มันหมดสมัยที่พ่อจะบังคับลูกแล้วนะ
แต่ฉันจะบังคับแก พ่อยืนคำขาด
พรุ่งนี้แกต้องไปลาออก
ผมเกลียดพ่อ ผมเกลียดความคิดโง่ ๆ ของพ่อ
เกลียดการกระทำของพ่อ
ที่วัน ๆ มัวแต่นั่งทำงานงก ๆ พ่อไม่เคยสนใจผม
พ่อไม่เคยถามผมสักคำว่าผมต้องการอะไร เอะอะอะไรพ่อก็บังคับผม
ผมเกลียดพ่อ !!!