มีคนส่งรูปภาพเหล่านี้มาให้ ไม่รู้เขาอยากให้เราใส่ใจความรู้สึกของคนอื่นหรือเปล่าหนอ อ่านแล้วก็คิดทบทวน เรามองข้ามความรู้สึกของใครหรือลืมเอาใจใส่เขาหรือเปล่า ไม่รุ้สิ ฉันก็เป็นของฉันแบบนี้ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย บางทีก็เหมือนจะเอาใจคนอื่น แต่บางทีก็เหมือนเมินเฉย ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน หลายครั้งที่เกิดความไม่เข้าใจในความสัมพันธ์ ฉันเป็นฝ่ายที่เงียบหายไปแบบไม่มีเหตุผล นี่เรียกว่าเป็นความไม่ใส่ใจหรือเปล่าไม่รู้นะ แต่ต้องยอมรับเลยว่ามีความกังวล ไม่สบายใจในสถานการณ์นั้น การแสดงความเอาใจใส่ หรือใส่ใจความรู้สึกของคนอื่น ยากเหมือนกันนะ การที่ใครบางคนเสียสละมาทำอะไรให้ฉัน ไม่จำเป็นต้องเป็นคนรักหรอก แค่เพื่อน คนรู้จัก แค่แสดงความกระกระตือรือร้นที่จะให้ความช่วยเหลือ รับรู้เข้าใจในรายละเอียดเล็กๆน้อย หรือบางครั้งจดจำคำพูดเล็กๆน้อยที่เราเคยพูดได้ แค่นี้หัวใจก็พองโตเป็นปลื้ม ขอบคุณในทุกความใส่ใจนะคะ บางทีก็รู้สึกว่าตัวเองใส่ใจมากเกินไป คอยกังวลเสมอว่าป่านนี้ทำอะไรอยู่ อยู่ที่ไหน บางครั้งคนที่รับความห่วงใยจนเกินพอดีนั้นคงจะหงุดหงิดได้ได้เหมือนกัน ขอบเขตความใส่ใจอยู่ที่ไหนนะ การจะทำให้ถูกใจทุกคนเป็นเรื่องยาก แม้แต่ใจเราเองยังเอาใจตัวเองไม่ค่อยถูก หรือว่าจะใส่ใจความรู้สึกตัวเองมากไปหรือเปล่าก็ไม่รู้ จะให้มองข้ามไปเฉยๆก็กระไรๆอยู่ ยากเหมือนกันนะเรื่องของจิตใจ ไม่ได้อายเลยที่จะใส่ใจความรู้สึกของคนรอบตัว แต่เกรงว่าแสดงไปจะไม่สบอารมณ์มากกว่า ถ้อยคำเดียวกันคุยกับคนหลายคนได้ผลออกมาไม่เหมือนกัน แต่รักที่จะใส่ใจแล้ว ย่อมไม่กลัวผลกระทบ อย่างน้อยสักวันเขาคงจะรับรู้ได้ แต่ถึงไม่รับรู้ เราเองก็รู้อยู่แก่ใจ อ่านข้อความในรูปภาพเหล่านี้แล้วคิดทวนซ้ำอีกรอบและขอโทษหากลืมใส่ใจความรู้สึกของใครไป
อีสานทัวร์ของฉันเริ่มต้นเมื่อตอนเที่ยงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ เดินทางเข้าหมอชิตเพื่อต่อรถกลับบ้านที่โคราช ถึงบ้านสามทุ่มแล้วต้องออกเดินทางไปงานแต่งพี่ชายที่สกลนครตอนตีหนึ่งครึ่ง หลังจากเสร็จพิธีแต่งงานของพี่ชายราวบ่ายโมง ขออนุญาตคุณแม่ไปเที่ยวต่อ อิอิ ไม่จะไม่ให้ไปแต่ก็บอกว่านัดเพื่อนไว้แล้ว เลยโดนกระแนะกระแหนนิดหน่อยว่าชอบเที่ยว เหมือนใครบางคนว่าเลย หมั่นไส้คนมนุษยสัมพันธ์ยอดเยี่ยม อิอิ บ่ายโมงครึ่งนั่งรถจากอำเภอสว่างแดนดินเข้าตัวเมืองสกลเพื่อไปพบหวานใจ(ของใครไม่รู้) บ่ายสามโมง ทันทีที่ก้าวลงจากรถโดยสาร ฝนก็ตกกระหน่ำลงมาต้อนรับ มารับพี่หน่อย พี่อยู่หน้าที่ทำงานเธอแล้วนะ หลบฝนอยู่หน้าเลยนะ จ้า เดี๋ยวไปรับ สักพักน้องสาวจ๋า แมงกุ๊ดจี่ ออกมารับฉันเข้าไปในที่ทำงานของเธอ ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองที่เราได้พบกัน ครั้งแรกไปร้องคาราโอเกะทีได้บัตรจากไทยโพเอมตอนเดือนกันยายนปีที่แล้ว ดูมะกรูดไม่ค่อยเปลี่ยนไปมากนัก สีชมพูมาแต่ไกลเลยนะคะ เจอหน้าก็แซวกันเลย ยังไม่ได้พักเลยก็มีงานให้ทำเสียแล้ว พี่กานต์แปลงานให้หน่อย บทคัดย่อนิดเดียว ใครจะปฏิเสธเจ้าบ้านได้ล่ะ พอหมดเวลาทำงานของเธอ น้องสาวจ๋าก็พาเข้าที่บ้านพักของเธอ เพียงพลิ้วขอพักก่อนล่ะเหนื่อยเหลือเกินโดนทั้งแดดทั้งฝน ทั้งเดินทาง ขอนอนก่อนแล้วกัน ตื่นขึ้นมาแม่เจ้าบ้านตัวดีก็หาย มีแต่แขกสองสามคนที่เราไม่รู้จัก นี่ถ้าเพียงพลิ้วขี้อายสักหน่อย รับรองมุดอยู่ในห้องแน่ๆเลย แต่ไม่ใช่แบบนั้น ไม่กี่นาทีก็มีพี่สาวคนใหม่ พี่แป๋ว น้องชายตัวโตอารมณ์ดีอายุมากกว่า น้องกรี อิอิ เย็นนั้นมีปาร์ตี้ลูกชิ้น ปลาหมึกย่างน้ำโค้กอร่อยๆ กว่าจะได้นอนก็ตีหนึ่งเชียวแหละ เก็บของ นั่งคุยกันเพลิน ค่ำนี้มีโอกาสได้พบคุณอุ๋ย ปริณดา สมาชิกอีกคนของบ้านกลอนด้วย ตื่นเช้ามาน้องไปทำงาน พี่ยังนอนต่อ น้องมารับไปทานข้าวตอนกลางวันพอดี พี่แป๋ว น้องปุ๊ก สองพี่น้องที่น่ารักก็มาด้วย เราไปกินจิ้มจุ่ม ถล่มเจ้าภาพกันที่ร้านปรุงแต่ง สั่งยำสามสี่ชนิด รสชาติอร่อยทั้งนั้นเลย กลับมายังว่าจะทำจิ้มจุ่มกินกันเลย อาหารเต็มโต๊ะ แต่อีกไม่กี่นาทีต่อมา ก็เหลือสภาพนี้ อิอิ ขณะที่ทานอาหารกันอยู่ ฝนก็ตกลงมาอีก มาสกลคราวนี้มาพร้อมสายฝนจริงๆเลย หลังจากทานกันเสร็จ การเที่ยวเมืองสกลก็เริ่มต้น เริ่มต้นที่วัดสุทธาวาสที่มีพิพิธภัณฑ์หลวงปู่มั่นและหลวงปู่หลุย ได้มีโอกาสกราบพระและทำบุญเล็กน้อย ออกจากวัดป่าสุทธาวาส สี่สาวสวยก็เดินทางไปยังหนองหานอันเป็นเป้าหมายของการมาเที่ยวเมืองนี้ของเพียงพลิ้ว อยากไปดูตะวันรอนที่หนองหาน แต่วันนี้อากาศไม่เป็นใจ ขอไปเที่ยวตอนแดดร้อนๆนี่แหละ หนองหานในจินตนาการไม่ค่อยเหมือนหนองหานในความจริงเท่าไร คิดว่าจะเจอบึงกว้างๆน้ำใสๆ แต่วันนี้น้ำไม่ค่อยใสเท่าไร และมีผักตบชวาเยอะเลย แต่ก็ไมได้ผิดหวังอะไร ก็เพื่อนร่วมทางออกจะน่ารักแบบนี้ เราไปถ่ายรูปกับรูปปั้นตัวละครในตำนานเรื่องผาแดง-นางไอ่ อันเป็นตำนานของหนองหานอย่างสนุกสนาน กลางแดดร้อนจ้า พี่แป๋วพาไปแวะทานไอศกรีมที่สวนสมเด็จย่า บรรยากาศร่มรื่นดี มีเด็กๆที่มีทัศนาจรมาปั่นเรือกันอย่างสนุกสนาน ไกด์ยังไหวแต่ลูกทัวร์ขี้โรคไม่ไหว อิอิ เลยต้องพากันกลับบ้าน ก่อนกลับแวะซื้อส้มตำ มะกรูดซื้อตำมะขามเทศ(เพิ่งเคยได้ยินที่นี่ค่ะ) ตำตะไคร้(อันนี้ก็กลัวค่ะ ไม่ชอบสมุนไพร อิอิ) ขอบอกว่ากลิ่นน่าทานมากเลย หอมหึ่งเลยเชียว ตกเย็นแผนที่จะคาราโอเกะ เป็นอันล้มเลิก เพราะฝนตกหนัก บรรยากาศน่านอน ลูกทัวร์งอแง เพราะง่วงจัดและเสียงไม่มี ขอบอกน้องมะกรูดว่าอย่าคิดมากนะคะ พี่สาวจ๋าไม่ได้เสียใจหรอกที่ไม่ได้ไป เดี๋ยวคราวหน้าจะเยี่ยมใหม่นะคะ คืนนั้นหลับฝันดี แต่เสียดายที่ต้องตื่นเช้าเพื่อเดินทางต่อ ชีพจรลงเท้าจังนะพี่กานต์ เสียงน้องสาวแซวลอดมา ตื่นเช้า แหะๆ ไม่รู้เช้าไหมสองโมงเช้า ต้องรีบเดินทางไปอุดรต่อ นัดกับเพื่อนที่ทำงานจะเดินทางไปหนองคายเพื่อนร่วมงานแต่งงานของเพื่อนที่ทำงานในวันที่สี่ นัดกันไว้สิบเอ็ดโมงที่บิ๊กซี อุดร ไปถึงตามเวลาเป๊ะๆเลย แต่ยังไร้วี่แววเพื่อนๆมา โทรตามบอกอีกร้อยกว่ากิโลถึงอุดร โมโหก็เลยเดินซื้อเสื้อผ้าเสียเพลินเลย อิอิ บ่ายโมงตรงเพื่อนที่เดินทางจากพัทยาก็มาถึง บอกที่มาช้าเพราะแวะบ้านเพื่อนอีกคนที่ชัยภูมิก่อน รถสองคันคนเก้าคนเดินทางจากอุดรสู่หนองคาย โดยพี่ๆให้ฉันนั่งหน้าเป็นคนบอกทางในฐานะคนในพื้นที่ ไม่รุ้เสียแล้วว่าอาจจะพาหลงทางได้ง่ายๆ ใช้เวลาไม่ถึงสองชั่วโมงก็ถึงบ้านเจ้าสาว เราได้ร่วมทำผ้าป่าที่จะนำไปทอดวัดวันมาฆบูชา แต่เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวไม่อยู่ไปซื้อของในเมือง เราก็เลยออกไปเที่ยวสะพานข้ามแม่น้ำโขงกัน แต่เสียดายที่เขาปิดไม่ให้เข้าเพราะไปค่ำเกินไป พี่ๆจะพาไปตลาดอินโดจีนแต่พาไปแล้วหลงทางก็เลยกลับเข้าบ้านเจ้าสาว ตกเย็นก็ทานข้าวกัน ใครใคร่ดื่ม ดื่ม ใครใคร่นอน นอน สาวๆนอนกันแต่หัวค่ำ แต่พวกหนุ่มก็ดื่มเหล้ากัน ตื่นเช้าเราก็ร่วมพิธีแต่งงานของเพื่อน บรรยากาศที่นี่สนุกสนานมาก มีการร้องคาราโอเกะตลอดเวลา พ่อเจ้าสาวคงตื้นตันใจในงานนี้มากเลยเพราะจับไมค์ไม่ยอมปล่อยเลย คอยแนะนำให้เจ้าบ่าวรู้จักกับญาติๆ วันนี้รับหน้าที่เป็นช่างภาพ ถ่ายทุกช้อต หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจหน้าที่เพื่อน ขบวนของเราก็เดินทางกลับออกจากหนองคายไปยังบ้านของเพียงพลิ้ว เพื่อพักทานข้าวทานปลากัน เดินทางเที่ยงถึงโคราชสี่โมงเย็น พี่สาวต้มยำไก่บ้าน น้ำพริกปลาร้า ไข่เจียว ผัดผักให้ทาน รู้สึกว่าเพื่อนๆจะทานข้าวกันอร่อยมาก เพราะไปทางหนองคายได้ทานข้าวเหนียวกับอาหารอีสานดั้งเดิม ลาบเนื้อๆขมๆ ต้มแซบขมๆ มีการเผาเพียงพลิ้วให้แม่ฟังเล็กน้อย และแม่ก็บอกว่าถ้าคาหาลูกเขยให้แม่ได้แม่จะให้ค่านายหน้า อิอิ ฉันต้องรีบไล่เพื่อนให้เดินทางกลับพัทยาไวๆ เราพักที่บ้านฉันชั่วโมงหนึ่ง แล้วเดินทางต่อ ฉันต้องทำหน้าที่คนบอกทางอีก ไม่ค่อยได้เรื่องเท่าไรหรอก ชี้บอกให้ไปทางโน้นทางนี้ จนคนขับรถดุบ่อยๆ เจ๊ อย่าชี้สิ บอกว่าไปซ้ายหรือขวา ไม่งั้นผมก็ต้องคอยมองแต่ปลายนิ้วเจ๊สิ เจ้าหนุ่มยังไม่รู้ว่าฉันมีปัญหาเรื่องทิศทาง อิอิ จนกระทั่งห้าทุ่ม เราก็ถึงพัทยากันโดยสวัสดิภาพ ได้เดินทางสี่วันเต็มๆก็เหนื่อย แต่สนุกดีนะคะ
พี่จะแต่งงานวันที่ 1 มีนาคมนี้ น้องจะมาไหม ไปสิคะ พี่ชายแต่งงานทั้งที น้องไม่ไปได้ยังไงคะ แต่ว่าเราไม่สบายอยู่ เดินทางจะไม่เป็นไรเหรอ ไม่เป็นไรค่ะ อยากไปงานพี่ชาย ถ้าเรามาพี่ก็ดีใจมากนะ แต่ถ้าไม่สบายก็ไม่ต้องมานะ นั่นคือบทสนทนาระหว่างฉันและพี่ชายเมื่ออาทิตย์สุดท้ายของเดือนกุมภาพันธ์ พี่ชายคนเดียวของฉันเพิ่งกลับมาจากทำงานต่างประเทศเมื่อตอนกลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมานี่เอง พี่ชายคนโต คนเดียวของฉันน่ารักกับฉันเสมอ แม่มักจะว่าให้อยู่บ่อยๆว่าตามใจน้องจนน้องเอาแต่ใจ พี่ชายจะแต่งงานกับคนแปลกหน้าที่ฉันไม่เคยเห็น ความรู้สึกต่อว่าที่พี่สะใภ้ก็แปลกๆอยู่เหมือนกัน พี่ชายรู้จักกับว่าที่พี่สาวคนนี้จากการติดต่อของน้องเขยของตัวเองที่ทำงานอยู่ที่เดียวกับพี่ชาย คุยโทรศัพท์ติดต่อกันสองปีกลับมาเจอกันได้สองอาทิตย์ก็แต่งงาน พี่ชายจะเข้ากับเขาได้ไหม ฉันคิดของฉันไปคนเดียวขณะที่เดินทางกลับบ้านตอนสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ เดินทางเที่ยงถึงบ้านสามทุ่ม ไกลเหมือนกันนะ โชคดีที่ไม่ค่อยไอเท่าไรตอนอยู่บนรถ ไม่งั้นเพื่อนร่วมทางคงรำคาญแย่ กลับไปถึงบ้านก็ไม่ได้นอนเลย ญาติพี่น้องมาถามข่าวคราว และเตรียมตัวเดินทางไปงานแต่งที่จังหวัดสกลนครซึ่งเป็นบ้านของเจ้าสาว กานต์ กินยาก่อนนะ แม่ไปซื้อยาที่อนามัยมาให้แล้ว น้องนอตไปเอาน้ำมา แล้วดูด้วยว่ากินยาไหม แม่ก็เป็นแบบนี้ทุกที รู้ทันทุกที ว่าไม่ชอบกินยา ฉันพลิกซองยาเล่นอยู่หลายนาทีแล้วก็วางไว้เฉยๆ แต่แม่กับน้องนอตไม่ยอมเฉย อิอิ กินยาเดี๋ยวนี้ เสียงแม่กับน้องนอต หลานชายตัวดีพูดพร้อมกัน ไม่มีทางเลี่ยง จำต้องกินยาไปสองเม็ด เฮ้อ เราเดินทางจากบ้านไปสกลนครตอนตีหนึ่งครึ่ง ไปถึงบ้านเจ้าสาวที่อำเภอสว่างแดนดินตอนเก้าโมงเช้า ไกลเหมือนกันนะ เดินทางติดต่อกันนานๆเหนื่อยเหมือนกันนะ ญาติเจ้าสาวและพี่ชายที่เดินทางล่วงหน้าประมาณสองอาทิตย์มาต้อนรับ อ้อมกอดของพี่ชายอบอุ่นเสมอ ตั้งห้าปีที่เราไม่ได้เจอกัน น้องยังเด็กอยู่เลยนะ อายุเท่าไรแล้ว 22 เหรอ โอย แก่แล้วค่ะ จะสามสิบปีนี้ค่ะ ยังเด็กอยู่เลยนะ ขาวขึ้นด้วย แต่ยังสมบูรณ์เหมือนเดิม และแล้วเสียงแม่ก็แทรกขึ้นมา กานต์มันโตแล้วล่ะ มัวแต่เห็นน้องเป็นเด็กอยู่นั่นแหละ ถึงไม่ยอมโตสักที เท่านั้นแหละ วงแตกเลยสองพี่น้อง พิธีการแต่งงานของพี่ชายเริ่มขึ้นตอนเก้าโมงครึ่ง เราตั้งขันหมากกันเป็นขบวนเล็กๆ แต่บรรยากาศก็สนุกสนานครื้นเครงดี การแต่งงานของพี่ชายก็ดำเนินไปตามประเพณีอีสานที่เรียบง่ายและอบอุ่น ฉันเดินไปทางไหนป้าๆยายๆของเจ้าสาวก็มาล้อมรุมเหมือนฉันเป็นของแปลกเลย อิอิ มาเป็นตาแพงแท้นาง เฮ็ดจุ๊กุ๊อยู่ ยายคนหนึ่งเข้ามาจับแขนแล้วก็ลูบๆอย่างทึ่งจัดในความสมบูรณ์ของฉัน ตาฮักตาแพงเนาะ เนื่อแข่นๆ ตาจับตาบายเนาะ เล่นเอาฉันเดินไปไหนไม่ค่อยสะดวกเลยสิ เขินคุณยายคุณป้าที่ไม่ค่อยเจอคนกินดีอยู่ดี อิอิ พอเสร็จพิธี พี่สะใภ้คนใหม่ของฉันก็ชวนไปเที่ยวป่า ไปเก็บผักติ้วไปฝากพี่น้องที่บ้าน ฉันก็ญาติๆก็นั่งรถสามล้อไปกัน เดินไปไม่ไหวแน่ แดดจัดมาก ฉันไม่ชอบกินหรอกผักติ้ว รสชาติแปลกๆแต่ก็ไปกับเขาด้วย ดอกผักติ้วก็สวยดี เล็กๆกินได้ด้วย เอามาต้มใส่ปลา บางคนก็เอาไปดองหรือกินกับน้ำพริกสดๆ ฉันดีใจที่ตัวเองตัดสินมางานแต่งงานของพี่ชายทั้งที่ตัวเองก็ไม่ค่อยสบายนัก งานนี้ได้พบทั้งคนในครอบครัวและญาติๆหลานๆที่อยู่คนละต่างจังหวัดหลายคน พี่ชายเองก็ดีใจจนน้ำตาจะไหล แต่ฉันไม่ร้องไห้แฮะงานนี้ จำได้ว่าตอนที่น้องชายแต่งงานร้องไห้เพราะเป็นห่วงมากๆ แต่ตอนนี้หายห่วงแล้ว โล่งอกไปได้ พี่ชายคงใช้เวลาปรับตัวอีกหน่อยในการอยู่บ้านของเจ้าสาว ท่าทางอยากกลับมาอยู่บ้าน แต่พี่สะใภ้ไม่ยอม ตอนที่หลานน้อยสองคนชวนกลับบ้าน พี่ชายก็น้ำตาซึมเลย แม่ก็เลยบอกว่า อยู่ไกลแม่ก็จะมาเยี่ยม ถึงลูกมีครอบครัวใหม่ แต่ครอบครัวเราก็ยังมีลูกเสมอ ทุกคนร่ำลาพี่ชายและพี่สะใภ้และเดินทางกลับบ้านที่โคราช แต่ยังยังไม่กลับพร้อมแม่ แต่จะไปไหนต่อ เดี๋ยวจะมาเล่าให้ฟังนะคะ