18 พฤษภาคม 2550 22:41 น.
เพลง-ทิชากร
หลังจากที่ได้รับโทรศัพท์ของลูกสาวและเพื่อนๆว่าหอพักหญิง
ในมหาวิทยาลัยและหอพักหญิงบริเวณด้านหน้าเต็มหมดแล้ว
ผมก็รีบเข้า กทม.ทันที ด้วยเป็นห่วงกลัวว่าลูกสาวจะไม่มี
ที่ซุกหัวนอนกันในวันเปิดเทอมวันแรก
ผมมาถึงหน้ามหาวิทยาลัยในช่วงเที่ยงของวันนั้นเอง
หลังจากสอบถามฝ่ายทะเบียนห้องพักนักศึกษาของมหาวิทยาลัย
จนแน่ใจแล้วว่าไม่มีห้องว่างแน่แล้ว ผมจึงรีบพาลูกๆเดินหาหอพัก
ที่อยู่รอบนอกทันที
ที่ด้านหน้ามหาวิทยาลัยจะเป็นหอพักรวมเสียส่วนใหญ่
ส่วนหอพักสตรีนั้นเต็มหมดแล้วราคาค่าเช่าก็สูงไม่ใช่น้อย
มีราคาตั้งแต่ 4,000 บาทขึ้นไป รวมเงินประกัน เงินล่วงหน้าด้วย
ก็คงจ่ายกันเป็นหมื่น
แต่ราคาค่าเช่าห้องมันไม่ได้เป็นปัญหาอะไรมากนัก
ปัญหาของผมตอนนี้ก็คือ ทำอย่างไร จึงจะหาหอพักสตรีให้ลูกได้เท่านั้น
ผมเดินจนเมื่อยล้า ปากก็ถามคนนั้นที คนนี้ทีว่า
แถวนี้ยังมีหอพักหญิงเหลืออยู่อีกใหม ?
คำตอบคือ ไม่มีแล้ว แต่ถ้าต้องการก็คงต้องเดินกันเหนื่อยหน่อย
เพราะรอบนอกอาจมี
ผมกับลูกเหนื่อยล้าเต็มที เลยหยุดพักนั่งกินก๋วยเตี๋ยวกันแถวๆนั้น
และบังเอิญว่าช่วงนั้นแม่ค้าเจ้าของร้านขายก๋วยเตี๋ยวว่างพอดี
ผมก็เลยชวนเธอคุย พอเป็นความรู้ไว้บ้าง
ผมถามเธอไปว่าทำไมแถวนี้หอพักหญิงมีน้อยจัง
เธอตอบว่า ก็มีพอควรแต่น่าจะเต็มหมดแล้วทุกที่
ต้องจองกันตั้งแต่ยังไม่ปิดเทอมโน่น มาตอนนี้ไม่มีเหลือหรอก
จะมีก็แต่หอพักรวมนั่นแหละที่ยังเหลืออยู่บ้าง พวกนักศึกษาเค้าชอบกัน
เค้าชอบอยู่กันเป็นคู่ๆ ส่วนใหญ่จะเป็นพวกรุ่นพี่
พอมีแฟนก็แยกตัวออกมาจากเพื่อน มาช่วยกันแชร์ค่าห้องกับแฟน
อยู่กันแบบผัวเมีย ใช้ชีวิตแบบผัวเมีย เป็นอย่างนี้มานานแล้ว
ผมก็เชื่อว่าจริงนะ เพราะจากที่เห็นก่อนหน้านี้
ผมรู้สึกว่าได้เห็นอะไรบางอย่างที่คิดว่าน่าจะใช่เลยแหละ
พวกเค้าใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันแบบนั้นจริงๆ
แต่เห็นเป็นพวกรุ่นพี่เสียส่วนใหญ่
คำถามมันก็เลยเกิดขึ้นมากมาย
เคยมีคนคุยในกระทู้คำถามที่ผมเคยถาม
เกี่ยวกับทัศนะคติของเด็กหอพักรวมชาย-หญิงที่จับคู่กันแชร์ค่าห้อง
"เรื่อง ผัวเมียนักศึกษา" อยู่หลายคน เค้าถามไปว่า
ความรู้สึกของนักศึกษาหญิง ได้อะไร มีข้อดีอะไร
กับการได้อยู่ร่วมกับแฟนตนเอง
เธอตอบว่า รู้สึกอบอุ่นและรู้สึกปลอดภัย
รู้สึกว่ามีคนคอยดูแลห่วงใยใกล้ชิดตลอดเวลา
ถามนักศึกษาชายต่อว่า รู้สึกอย่างไร ที่ได้มาอยู่ร่วมห้องกับน้องผู้หญิง
เค้าตอบว่า รู้สึกดีใจ ที่มีคนซักผ้าให้ รีดผ้าให้ ทำความสะอาดห้องให้
และเมื่อมาถึงตรงนี้ผมจะยังไม่พูดอะไรต่อ
ชั่วโมงนี้ ผมต้องรีบเดินหาหอพักหญิงให้กับลูกสาวโดยเร็ว
เรื่องอย่างนี้ผมคิดว่า ถึงอย่างไรก็ตาม เด็กสาวปี 1
ก็ยังคงเป็นเด็กปี 1 อยู่วันยังค่ำ เธอยังต้องเรียนรู้
ถึงการใช้ชีวิตของพวกรุ่นพี่ ที่เป็นผัวเมียนักศึกษา
อยู่ภายในหอพักสตรีอย่างน้อยอีก 1 หรือ 2 ปี
และผมคิดว่า เธอคงจะได้เห็นอะไรอีกมากมายตรงนี้
ในชีวิตของการเป็นนักศึกษาของเธอ
ผมขอเวลาเดินหาหอพักหญิงให้ลูกสาวสักประเดี๋ยวนะ
เดี๋ยวคงมีข่าวดีมาบอก
...
16 พฤษภาคม 2550 14:42 น.
เพลง-ทิชากร
"สองคนผัวเมียนักศึกษา"
กับคำถามของสังคมวันนี้ (ยังอยู่)
...
" มีความคิดเห็น มีเหตุผลอย่างไรเมื่อต้องมาอยู่กินกันในหอพัก
หรือ อพาทต์เมนท์ ฉันฑ์ สามี-ภรรยา เพียงสองต่อสองโดยลำพัง
ในขณะที่ยังศึกษาอยู่ "
คำตอบที่น่าฟัง จากลูกหลานของเราวันนี้ ...
เราเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่ง ที่ต้องเข้ามาศึกษาต่อที่กรุงเทพ
ไม่มีญาติ ไม่มีเพื่อน ฐานะทางบ้านก็ค่อนข้างยากจน
พ่อกับแม่ทำงานหาเช้ากินค่ำ หาเงินส่งให้เรียนแทบไม่พอ
แต่ต้องทน เพียงเพื่อต้องการให้ได้เรียน
อยู่นี่ ต้องทน ... เพราะไม่มีใครเลยจริงๆ ทุกอย่างต้องใช้เงิน
ไม่มีเงินก็อดตาย ใหนจะค่าหอพัก ค่าอาหาร ค่าน้ำ ค่าไฟ จิปาถะ
ต้องใช้ความอดทนอย่างสูงในการดิ้นรนเพื่อให้ได้อยู่ ได้เรียน
อยู่กินกันแบบปากกัด ตีนถีบ
ไม่มีใครเลยจริงๆ เจ็บป่วยทีก็ไม่รู้จะหันหน้าไปทางใหน
จะเลิกเรียนไปเลยก็สงสารพ่อแม่ ...
แต่บังเอิญได้เจอผู้ชายแสนดีคนหนึ่ง เรียนอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกัน
เขาเป็นทั้งเพื่อน ทั้งพี่ เป็นคนรัก ช่วยในส่วนขาด
เราอยู่กันด้วยความรัก ช่วยกันแชร์ค่าห้อง ค่าอยู่ค่ากินในแต่ละมื้อ
ต้องเลือกหรือที่จะต้องเป็นคนดีที่สุด ในขณะที่เราหมดทางเลือก
และไปใหนต่อไม่ไหว เราเลือกที่จะเรียนต่อเพื่อความหวังของพ่อแม่
และอนาคตของตัวเราเอง ถึงทางเลือกของเราคือความชั่วร้าย
ของสังคมก็จริง แต่นั่นมันคือหนทางแห่งความสำเร็จของการศึกษา
ที่รออยู่สำหรับเราข้างหน้า
"เราอยู่กันที่นี่ด้วยความรัก และความเข้าใจ" ...
...
อ่านแล้วรู้สึกอย่างไร ?
16 พฤษภาคม 2550 07:03 น.
เพลง-ทิชากร
น้องเพลง พี่สาวเบื๊อก อายุครบ 19 ปี เมื่อ 2 วันที่แล้ว
หลายคนว่าเธอนั้นโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว บรรลุนิติภาวะแล้ว
ตัวเธอเองก็คิดอย่างนั้นเช่นกัน
แต่ผมผู้พ่อ ไม่ได้คิดอย่างนั้น ... กลับคิดไปอีกอย่างหนึ่ง
เราพ่อลูก เคยคุยกันหลายครั้งเกี่ยวกับเรื่องการคบหาเพศตรงข้าม
ผมไม่ได้ห้ามสักนิดในเรื่องการคบหาเพื่อนชาย แต่ก็ปรามอยู่บ่อยครั้ง
เมื่อเห็นว่าไม่เหมาะ เธอก็เชื่อ ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อ
แต่ก็มีหลายครั้งที่เราต้องขัดคอกันอยู่บ้างเพราะความไม่เข้าใจกัน
...
ลูกสาวผมเค้าเป็นคนค่อนข้างอ่อนไหวเรื่องของความรักผมรู้ดี
ผมคอยปรามอยู่บ่อยๆเวลาเห็นเธอคุยโทรศัพท์กับเพื่อนชาย
(เห็นแล้วนึกหมั่นไส้ขึ้นมาตะหงิดๆ)
ในที่สุดเธอก็ต้องเลิกคุยและเลิกคบหากันไป
(เธอเคยบ่นว่า รำคาญพ่อ เลิกเลยดีกว่า)
ปัจจุบันเธอเองไม่เคยมีแฟนเหมือนเพื่อนคนอื่น
ในรุ่นราวคราวเดียวกันสักคน เธอเคยถามผมว่า ...
" พ่อพอใจไม๊ ? ที่ลูกสาวของตัวเองหง่ะ ป่านนี้ยังไม่มีเพื่อนชายที่ใหน
กล้ามาคบหาเลยสักคน"
"ใครแวะเวียนมาหน้าบ้าน พ่อก็ออกมาแยกเขี้ยวใส่เค้าไปซะหมด
จะแยกเขี้ยวทำไม ?"
นั่นเป็นเสียงบ่นของเธอ
...
ผมก็มีเหตุผลของผม ซึ่งสามารถอธิบายได้บ้างเล็กน้อย ...
เป็นเรื่องจริงไม๊ ? ...
ที่พ่อแม่ทุกคนไม่เคยมองเห็นเลยว่าลูกของตัวเองนั้นโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว
ทั้งๆที่หลายคนรอบข้างกลับมองเห็นว่า เค้าโตเป็นผู้ใหญ่มากแล้ว
และบรรลุนิติภาวะแล้ว ?
เป็นเรื่องจริงไม๊ ? ที่เด็กหนุ่มเด็กสาวอายุ 19-20 ปี จะสามารถปกครอง
ตนเองได้ และเอาตัวรอดได้เองในสังคมของเราวันนี้ ?
14 พฤษภาคม 2550 09:41 น.
เพลง-ทิชากร
คืนก่อน ผมนอนไม่หลับทั้งคืน
หลังจากที่รู้ผลการสอบเข้ามหาวิทยาลัยของลูกสาวไม่ผ่าน
ตอนเช้าผมตัดสินใจอยู่นานว่าจะโทรไปบอกลูกอย่างไรดี
ที่จะทำให้เธอเสียใจน้อยที่สุด
ผลคะแนนมันประกาศเมื่อเวลา 18.00 น ของตอนเย็นวันที่ 12
ผมเปิดดูได้ตอน 2 ทุ่มทางเว็ปไซค์ตามที่เธอบอก
เธอโทรมาจากเชียงใหม่ในตอนเช้าของวันนั้นเอง
บอกให้พ่อช่วยดูให้ที เพราะไม่กล้าดูเอง
(จริงๆแล้ว เธอก็คงหวังเอาไว้มากเหมือนกับเพื่อนคนอื่นๆทั่วไป)
ผมตัดสินใจกดโทรศัพท์โทรไปหาลูกทันทีในเช้าวันนั้น
(หลังจากที่นอนคิดมาทั้งคืน)
เสียงโทรศัพท์ดังครั้งเดียวจริงๆหลังจากที่ผมกดเข้าไปยังมือถือของเธอ
" พ่อๆ หนูติดหรือเปล่าจ๊ะ " เป็นประโยคแรกที่เธอถามคำแรก
ผมนิ่งคิดไปชั่วขณะ
" อืม ม ไม่ติดหรอกลูก "
ผมตัดสินใจพูดออกไปทันทีหลังจากที่ต้องอึ้งอยู่พักหนึ่ง
ผลที่ตามมาคือความเงียบ ... เงียบจนผมแทบไม่ได้ยินเสียงอะไร
เงียบจริงๆ ผมเรียกชื่อเธอเบาๆ เพื่อเรียกสมาธิของเธอกลับคืนมา
ผมรู้ว่าเธอคงเสียใจมาก
" เป็นอะไรหรือเปล่าลูก ? " ผมค่อยๆถาม
" พูดกับพ่อหน่อยสิ อย่าเงียบอย่างนี้ "
ผมพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่ปลอบโยน
(ตอนนั้นเธอเงียบมากเหมือนกับเลิกสายไปแล้ว)
" หนูไม่เป็นไรพ่อ ... " เธอตอบออกมาเบาๆ เสียงสั่นเครือ
บ่งบอกว่าเธอกำลังร้องให้ ...
ผมได้แต่คอยปลอบลูกซึ่งเธอก็เข้าใจทุกสิ่ง
แต่ในขณะนั้นเธอคงยังรับไม่ทันกับความผิดหวัง
ยังมีเรื่องอีกมากมายที่เราพ่อลูกได้คุยกันในขณะนั้น
ผมชวนเธอคุยถึงเรื่องการวางแผนการเรียนต่อของเธอ
พยายามพูดออกไปมากที่สุดเท่าที่จะมากได้
เพื่อให้เธอได้หายจากอาการเศร้าเสียใจที่มันเพิ่งเกิด
ผมถามเธอว่าเพื่อนๆโทรมาหากันบ้างหรือเปล่า ?
เธอตอบว่า ก็โทรมา แต่ไม่มีใครติดเลย หลุดไปหลายคน
ตอนนี้พวกเพื่อนๆคงกำลังเดินทางเข้ากรุงเทพกัน
เพื่อหามหาวิทยาลัยเอกชนที่สามารถเรียนได้
ผมบอกลูกไปว่า ไม่ต้องกลัวอะไร ถึงอย่างไรพ่อก็จะช่วยลูกจนถึงที่สุด
ที่จะให้ลูกได้เรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย
วันนี้ เป็นวันเกิดของลูกสาวคนเดียวของผม
เธอจะอายุ 19 ปีเต็มใน 11.29 น.ของวันนี้
ผมดีใจที่คุยกับเธอรู้เรื่อง และดีใจมากที่เธอไม่ได้ฟูมฟายมากนัก
ตอนบ่ายของวันนี้เธอจะกลับมาบ้าน กลับมาเพื่อเริ่มต้นอะไรใหม่ๆ
ทำสิ่งใหม่ๆ เพื่อชดเชยให้กับความผิดหวังที่มันเพิ่งเกิดขึ้น
ผมเลิกเสียใจ เธอก็บอกว่าเลิกเสียใจแล้วเช่นกัน
เธอบอกกับผมว่า เรื่องนี้พ่อไม่ต้องเป็นห่วง
เพราะเธอเผื่อใจไว้แล้วมากมาย อาจจะมากกว่าพ่อด้วยซ้ำไป
พ่อก็เชื่อนะว่า ลูกสาวของพ่อทำดีที่สุดแล้ว
" มหาวิทยาลัยที่เราหวัง มันไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของเราหรอกนะ"
เพราะชีวิตของคนเรายังต้องเจออะไรที่เลวร้ายยิ่งกว่า อีกตั้งมากมาย
รักลูกสาวของพ่อเสมอนะ ...
13 พฤษภาคม 2550 15:45 น.
เพลง-ทิชากร
ถึงเบื้อกลูกรัก
ที่วันนั้นพ่อบอกกับแม่ว่า ... พ่อ
...
รักพี่สาวเราเป็นที่ 1
รักแม่เราที่ 2
รักเราที่ 3 นั้น ...
...
มันไม่ได้หมายความว่า "พ่อรักพวกเราไม่เท่ากัน" ...
มันไม่ใช่อย่างนั้น
จริงๆแล้ว "พ่อรักพวกเราเท่ากันทั้งหมดนั่นแหละ"
แต่ ... รักไม่เหมือนกันต่างหาก
...
รัก และ ห่วง พี่สาวเราตรงที่เค้าเป็นผู้หญิง
เพราะเค้าไม่ได้แข็งแรงเหมือนเรานี่
รักแม่ตรงที่ แม่อายุมากแล้ว
พ่อเป็นห่วงเรื่องโรคภัยไข้เจ็บของแม่เค้า
พ่อเป็นห่วงเรื่องสุขภาพของแม่ ...
...
แต่เราสิเบื้อก ... เป็นผู้ชายไม่ใช่หรือ
ในอนาคตเมื่อเติบวัย เบื้อกต้องเป็นผู้นำครอบครัว
เบื้อกต้องทำใจให้เข้มแข็งและหนักแน่นได้แล้ว
อย่า "ปวกเปียกเหมือนที่อาจารย์เค้าว่าให้มากนัก"
...
แต่ตอนนี้ขอร้อง เบื้อกอย่า"กวนตีน"พ่อให้มากนักสิ
อ้อ !!! พ่อลืมไปอย่างนะ ไอ่เรื่องหยอกพ่อน่ะ
ขอร้องว่าให้เบาๆหน่อย "พ่อเจ็บนะเว๊ย ยยย !!!"
และพ่อไม่ใช่เพื่อนแกนะ
จะได้มาชกกันเล่นเป็นนักมวยอยู่ได้ ... เง้ออ ออ อ
...
เบื้อกเอ๋ย ... จำคำพ่อเอาไว้นะ
ถึงอย่างไรพ่อก็รักลูกเท่ากันนั่นแหละ
ถึงตอนนี้เบื้อกจะเป็นที่ 3 ก็ตาม
และพ่อขอร้อง หนึ่งข้อนะว่า "ให้เลิกกวนตีนพ่อได้แล้ว"
...
(บันทึกเล็กๆจากพ่อ ถึงเบื้อก)
พ่อ เต่ย ย