7 มกราคม 2552 05:39 น.
เพรง.พเยีย
๑.
๏ บนท้องฟ้ายังคงมืดสนิท
หากรอบทิศเรือนทางสว่างไสว
ด้วยตะเกียงคบฟืนแลโคมไฟ
จุดขับไขก่อนรุ่งอรุณทอ
๒.
๏ แว่วยินเสียงผ่านพร้องสู่ห้องหับ
คือเสียงศัพท์สั่งงานของท่านพ่อ
"เอ็งจงรีบเร็วทีอย่ารีรอ
ให้ทันต่อทุกกิจมงคลกาล"
๓.
๏ ฝ่ายเรือนครัวจัดปรุงคอยหุงหา
เร่งตระเตรียมข้าวปลาแลอาหาร
อีกสำรับเพื่อหมายถวายทาน
เทียบใส่พาน..รอพร้อมไว้ก่อนเพล
๔.
๏ ภายในห้องเรือนนอนแต่ก่อนสาง
แสงสว่างจุดส่องให้มองเห็น
เผยร่างหนึ่งปรากฏ..อย่างชัดเจน
ลออเด่น..ด้วยถนิมพิมพาภรณ์
๏ สไบพริ้วผืนบางที่พาดบ่า
คือภูษา..ทอสอดประภัสสร
สวมซิ่นยาวทอดชาย..ลายประอร
เรียวปลายกร..คล้องผจงวงกำไล
๏ เรียวนิ้วนาง..ประดับลงด้วยวงแหวน
ที่หวงแหน..หวงยิ่งกว่าสิ่งไหน
เมื่อชายหนึ่งผู้เป็นยอดแห่งดวงใจ
สวมฝากให้เมื่อครั้งสู่สงคราม
๏ ประหนึ่งขอจับจองเป็นของหมั้น
จนถึงวันเสร็จศึก..สิ้นเสี้ยนหนาม
สัญญามั่นก่อนจากได้ฝากความ
"จักขอทรามสวาทพี่..เป็นศรีเรือน"
๏ มีมารดาห่วงใยอยู่ใกล้ชิด
แลบ่าวสนิท..เสมอทีเป็นพี่เพื่อน
ช่วยแต่งกายดูแลไม่แชเชือน
จนแลเหมือนรูปนิมิตรวิจิตรา
๏ เสียงเอ่ยจากมารดาด้วยปรานี
"วันนี้ลูกแม่งามนักหนา"
พร้อมมือลูบศีรษะไล้อยู่ไปมา
ดวงหน้า..โอนโยนยิ้มละไม
๏ "คุณแม่ท่าน..สุดกล่าวคำได้แม้นครึ่ง
เป็นที่พึ่งแต่เล็กจนเติบใหญ่
นับแต่นี้..จำต้องพรากจากอกไป
มิทันได้แทนบุญพระคุณเลย"
๏ เสียงตอบถ้อยมารดานั้นพร่าสั่น
จึงมารดารู้ทัน..ก็พลันเอ่ย
"อย่าไห้เชียว..ใช่จักอ้อนเหมือนก่อนเคย
ลูกเอ๋ย..จะพลอยหม่น..มงคลตัว
๏ ด้วยแต่นี้..ต้องตระหนักในหน้าที่
เป็นแม่ศรีเรือนผูกทั้งลูกผัว
การใดจำเริญชอบ..ต่อครอบครัว
จงอย่ามัวนิ่งอยู่เหมือนดูดาย
๏ จงจดจำคำเถิด..ประเสริฐเจ้า
ที่แม่เฝ้าสอนสั่งอยู่ทั้งหลาย
ประพฤติหญิง..ควรงามกิจ..แลจิต-กาย
จักเชิดชูวงศ์สาย..มิอายใคร"
๕.
๏ มโหรีขับขานประสานก้อง
ท่วงทำนองรื่นรมย์..มงคลสมัย
เสียงหัวเราะยิ้มหัวอยู่ทั่วไป
บนเรือนใหญ่ล้วนสิ้นแต่ยินดี
๏ แลคับคั่งขณะนี้ที่หอกลาง
ล้วนขุนนางสูงศักดิ์ในหน้าที่
ประดับยศงามสง่าในท่าที
กำหนดคอย..ฤกษ์ศรีพิธีการ
๏ บุรุษหนึ่งแต่งกายเห็น..เต็มกำหนด
ด้วยเครื่องยศสมชายชาติทหาร
สวมเสื้อคาดเจียระบาดพระราชทาน
ลายปักสาน..สอดสิ้นด้วยดิ้นทอง
๏ คือตำแหน่งประทาน..ทหารกล้า
เป็นออกญาขุนศึกนามกึกก้อง
เนื่องนำทัพมีชัยสมใจปอง
อริต้องแก่ตระหนักถึงศักดา
๏ ที่ข้างกายบุรุษเคียงอยู่เพียงใกล้
คือหนึ่งนางดวงใจผู้ใฝ่หา
ถึงวันนี้ดั่งคำ..เคยสัญญา
คืนกลับมาร่วมหอที่รอคอย
๏ ตาสบตารู้สิ้นแต่เพียงสอง
แม้มิต้องเอ่ยนำสักคำถ้อย
ความปีติเปี่ยมเห็นเต็มร่องรอย
สองปลายก้อยเกี่ยววางไม่ห่างกัน
๖.
๏ ครั้นหนึ่งผู้เชิญหีบหมาก..แลจั่นเพชร
จากสมเด็จฯ มาประทานเป็นของขวัญ
แด่ข้าหลวงเก่าครั้งอยู่วังจันทร์ฯ
จนถึงวันทูลลาเพื่อออกเรือน
๏ แต่เล็กนั้นรับใช้อยู่ใกล้ชิด
ตระหนักจิต...น้ำพระทัยหาใดเหมือน
เปรียบมารดาฟูมฟักคอยตักเตือน
ผ่านปีเดือนจวบสาว..เป็นชาววัง
๗.
๏ ครั้นพระสงฆ์สวดธรรมจำเริญจบ
เพลาครบกำหนด..รดน้ำสังข์
ประโคมชั่ยลั่นฆ้องจึงก้องดัง
ตลอดทั้งเรือนใหญ่เป็นสัญญาณ
๏ พร้อมบรรเลงด้วยเสียง..ดุริยางค์สรรพ
เป็นฤกษ์ชัยลำดับ..ขึ้นรับขาน
อีกสำเนียงเสียงสังข์ก้องกังวาน
พราหมณ์อาจารย์เบิกเจิม..เริ่มพิธี
๏ คู่บ่าวสาวหมอบเคียงบนเตียงตั่ง
รับน้ำสังข์..เพื่อสุขสวัสดิศรี
มงคลแฝดสวมคล้อง..สองขีวี
ด้วยแต่นี้...จักมิพรากไปจากกัน
๏ ทั้งบิดามารดา..บรรดาญาติ
กล่าวโอวาทมงคลสู่..แก่คู่ขวัญ
อำนวยพร..จนสองชื่นแลตื้นตัน
ปีตินั้น..ฉายแพร้วในแววตา
๘.
๏ บนเรือนนอนเหลือเคียงแต่เพียงสอง
หากหนึ่งต้องอายข่ม..จึงก้มหน้า
จึงมือหนึ่งเชยคางนั้น..ให้หันมา
แนบอุรากระซิบพร่ำเพียงคำเบา
๏ "พี่รอคอยวันนี้..มานานนัก
วันที่จักเคียงอยู่..เป็นคู่เจ้า
มิต้องพรากไกลห่าง..แม้ร่างเงา
ให้สมเฝ้ารอรับอยู่นับวัน
๏ ฟังคำเถิดน้องหญิง..แม่มิ่งศรี
ดวงใจพี่..จักซื่อตรงและคงมั่น
จักถนอมเจ้าเทียมยอดชีวัน
มิให้ใครได้หยัน..พี่สัญญา
๏ ยศตำแหน่งได้มาก็หมายเจ้า
จะได้เอาชื่นชมให้สมหน้า
ดั่งเช่นวันได้เคยเอ่ยวาจา
เมื่อกลับมาจักควรคู่..มิอายใคร"
๏ ตื้นตันนักใจนี้..แก้วพี่เอ๋ย
จนสุดเอ่ยตอบนำด้วยคำไหน
อันความรักค่าล้ำของน้ำใจ
หมื่นคำใดหรือจักเรียงออกเพียงพอ
๏ ขอตอบแทนน้ำใจ..ด้วยใจรัก
แลคอยภักดิ์ร่วมเรียงอยู่เคียงหอ
ให้สมกับสองเราที่เฝ้ารอ
แต่นี้ต่อเบื้องหน้า..จนกว่าวาย
๏ อันตำแหน่งยศถาบรรดาศักดิ์
ก็ตระหนักใจนวลที่ขวนขวาย
หากว่าแท้คือองอาจ..แห่งชาติชาย
ที่มั่นหมายจักสนองป้องแผ่นดิน"
๙.
๏ สองวิญญาณร่วมเรียง..เคียงถนอม
รวมหล่อหลอมครรลองสองถวิล
บรรเลงหนึ่งราตรีแห่งชีวิน
ที่จักยินเพียงห้วง..สองดวงใจ..