22 เมษายน 2550 07:51 น.
เพรง.พเยีย
๏ เพ่งภาพพลันนึกย้อน.............อโยธยา พู้นเอย
ตรึกกอปรคำตำรา.....................กล่าวอ้าง
ยอยศยิ่งราชธา-.........................นีเอก
เหล่าวัดเหล่าวังสร้าง..................เสกแม้นเมืองสวรรค์ ฯ
๏ เมืองอู่ข้าวอู่น้ำ......................บริบูรณ์
ล้วนแหล่งทรัพย์เกื้อกูล...............ก่อตั้ง
ลำน้ำใหญ่รวมศูนย์.....................ไหลสบ
เสริมส่งเมืองให้รั้ง......................ท่าค้าสำคัญ ฯ
๏ ศิลปะงามเลิศล้ำ.....................ศรีบุรินทร์
ด้วยปราชญ์แลศิลปิน...................ประดิษฐ์ไว้
สร้างสรรค์รูปแบบจิน-..................ตะภาพ ใหม่เนอ
จนจวบวันนี้ไซร้............................สืบซ้องสรรเสริญ ฯ
๏ อโยธยาแว่นฟ้า......................เวลา นี้เอย
ล้วนอิฐเศษศิลา..........................เกลื่อนว้าง
เห็นก่ายแต่กองอา-.....................ดูรเทวษ
ซากวัดซากวังร้าง........................ล่มแล้วฤาไฉน ฯ
๏ นั่นหรือ! ปราสาทคุ้ม................เขตวัง
ตำหนักศรีบัลลังก์.......................ฉัตรแก้ว
โอ้..เห็นแต่พาบพัง......................พูนสาป
เพลิงศึกโหมสิ้นแล้ว....................ล่มร้างเลือนสยาม ฯ
๏ นั่นซากทรงส่วนแจ้ง................เจดีย์
ยอดจรดราวคีรี............................เรี่ยฟ้า
ต่างโกศพระภูมี..........................มิ่งสถิต
เทิดเกียรติไว้เอ่ยอ้า....................ออกครั้งครองสมัย ฯ
๏ กลับเหลือเพียงหม่นให้............แหงนมอง
ด้วยศึกเผาสิ้นผอง.......................ภาพอะเคื้อ
เหลือร่างบอกเรืองรอง................รอยอดีต
สูญศักดิ์แทบสิ้นเชื้อ....................ชาติแกล้วกรุงศรี ฯ
๏ เหล่าราษฎร์คงตื่นไห้...............อาดูร
กี่ศพในกองกูณฑ์.......................เกลือกเถ้า
ข้าศึกแล่งดับสูญ........................พินาศส่ง
การณ์สุดสะอื้นเคล้า...................ขื่นร้องระงมเสียง ฯ
๏ รอบเมืองเคยแกร่งด้วย...........ปราการ
มากลับกลายล่มลาญ..................แหลกได้
ต้องพลัดถิ่นทิ้งฐาน....................แต่เกิด เนาเนอ
คอยอยู่อย่างยากไร้....................ทั่วร้างเทวษเหลือ ฯ
๏ บ้านเมืองเหลือจักฟื้น..............บูรณา
แท้เหตุใดนำพา..........................พินาศนี้
หรือการดั่งตำรา..........................เราบอก
แจงเหตุล้วนบ่งชี้.........................หนึ่งไว้สำคัญ ฯ
๏ การณ์นั้นคือแตกข้อง..............สามัคคี
จึงเปิดช่องไพรี...........................ล่วงล้ำ
เข้าเหยียบย่ำธานี........................เลือกเข่น
จนสุดทานเพลี่ยงพล้ำ..................แตกแพ้พังหนี ฯ
๏ เหลือเมืองเพียงกล่าวใต้..........ตำนาน
กับซากอิฐโบราณ.......................แหล่งอ้าง
ไว้คอยบอกลูกหลาน....................เราสืบ
สูงสุดสู่ล่มร้าง.............................เหตุนั้นจากไฉน ฯ
18 มีนาคม 2550 08:26 น.
เพรง.พเยีย
๏ เนิ่นนานปลิวปรายสายลมหนาว
กรีดร้าวเกินกั้นความหวั่นไหว
ปลิดเถิดปลิดปล่อย..ล่องลอยไป
โหยไห้เก็บกล้ำกับคำนึง
๏ อิงแอบหม่นว้างอยู่อย่างนั้น
เงียบงันเหมือนสิทธิ์เพียงคิดถึง
ล่วงรอยเวลาอันตราตรึง
ให้หนึ่งคืนหนาว..ช่างยาวนาน
๏ ซ่อนหน้าผ่านคืนอันขื่นขม
โบยบ่มวิญญาณ์ด้วยพร่าผลาญ
เหลือเพียงเศษฝันจากวันวาร
โลมรานคืนเหงาที่เปล่าดาย
๏ แอบหยดน้ำตาที่บ่าไหล
อย่าให้ใครเห็นหล่นเป็นสาย
อาบรินดวงตาจนพร่าพราย
เกินหมายคืนมา..ร่วมฟ้าเดียว..
26 ธันวาคม 2549 05:37 น.
เพรง.พเยีย
๏ หรือลิขิตจากฟ้าลงตราไว้
ส่งดวงใจสองผ่านบนลานฝัน
ให้ครั้งหนึ่งร่วมปลูกความผูกพัน
เกิดต้นขวัญบานรับประดับใจ
๏ ขวัญเจ้าเอย..มาหลอมมาร้อยสู่
สองสินธูเชื่อมผ่านสมานสมัย
รวมเป็นหนึ่งร้อยปวงความห่วงใย
มารองไว้ซับเข็ญบนเส้นทาง
๏ ขวัญเจ้าเอย..จะกล่อมนอนในคืนหนาว
ใต้แสงดาวจุดปรุงจนรุ่งสาง
ห่มแพรผืนอุ่นไอจากใจนาง
ที่เทียบวางไว้สู่เพียงผู้เดียว
๏ ดวงตาวันทาทาบในภาพเช้า
พรายแสงเงารุ่งรางบนทางเปลี่ยว
โลมแดดอุ่นแอบอ้อนใบอ่อนเรียว
ลบเศษเสี้ยวคืนหนาวอันยาวนาน
๏ จากเพรงกาลทดท้อ..ผู้รอคอย
กลับตรารอยด้วยลิขิตชิดสมาน
เก็บหยาดคำร่ำกรองมาลัยกานต์
คล้องวิญญาณแนบขวัญนิรันดร
๏ แม้สายธารบรรจบในภพนี้
มอบไมตรีคู่เคียงเพียงอักษร
จดจารไว้ธาราแห่งอาทร
สู่อกอร..ตราบสายลมหายใจ
๏ นับแต่นี้..ตราไว้ในดวงจิต
เสมอมิตร..กัลยาร่วมปราศรัย
เสมอกานต์..ล้อมกายด้วยสายใย
เสมอไป..เช่นนั้น..ขวัญเจ้าเอย..
14 พฤศจิกายน 2549 04:52 น.
เพรง.พเยีย
๏ โลมแดดสายทอดทิวสู่ผิวเนื้อ
โอบอุ่นเจือหนาวลมมาห่มหาย
ระยับแสงทอดทางจนพร่างพราย
ร้อยความหมายกำซาบลงทาบใจ
๏ แต่ละหยดหยาดรินก็สิ้นแล้ว
ยังแต่แว่วฝากย้ำกับคำไข
ก็เพียงหยาดน้ำค้างที่จางไป
ท่ามเนื้อไอหนึ่งเจ้า..ผู้เฝ้าคอย
๏ ทุกอณูแห่งถวิลระรินผ่าน
จากฝุ่นลานผืนย่ำอันต่ำต้อย
จรดสรวงงามเรื่อดั่งเนื้อพลอย
มาหลอมร้อยรับขวัญอย่างบรรจง
๏ โอบจนอุ่นแทนเจ็บอันเหน็บหนาว
ลบเรื่องราวเกาะกุมจากลุ่มหลง
ทิ้งเงาร้างปรากฏจนหมดลง
พร้อมรอยบ่งเลือนหายกับสายกาล
๏ ปลิดปลิวเถิด..บทตอนวันอ่อนไหว
เพื่อแกร่งใจได้ระบัดขึ้นหยัดขาน
ถ้อยสำเสียง..เถิดฟัง..ยิ่งกังวาน
เมื่อแว่วหวานร่วมร่ำขับทำนอง
๏ กระซิบผ่านธารโศกถึงโตรกผา
กี่น้ำตาซับบนความหม่นหมอง
ตราบรุ่งแสงระเหยไห้เป็นไอฟอง
ใต้ครรลองโชนช่วงแห่งดวงไฟ
๏ โลมแดดผ่านลานพุ่มโกสุมสี
แต้มมาลีร่วมล้อมกล่อมสมัย
ลบอดีตกรีดรอยจากคอยใคร
เหลือเพียงใจหนึ่งร้อย..มาคอยเคียง
1 ตุลาคม 2549 09:06 น.
เพรง.พเยีย
๏ โปรยดอกฝนหล่นล่องละอองสาย
บรรจบปลายซับรินสู่ดินผืน
ให้รากหนึ่งปลูกฝังจนยั่งยืน
ร่วมฝากฟื้นคืนช้ำกลับอำไพ
๏ ผ่านคีตาโอบขวัญสู่บรรจถรณ์
กล่อมอัปสรแนบนำกับคำไข
นานเจ้าเอย..เคยคอยด้วยน้อยใจ
แอบร่ำไห้พร้อมฟ้าอยู่ครานั้น
๏ เหลือเพียงหยาดซับขวัญในวันนี้
หลอมยินดีทั้งผองมารองฝัน
ให้อ้อมแขนหนึ่งวาง..เป็นรางวัล
โอบป้องปันขับว้าง..จนร้างรอย
๏ เหลือเพียงหยาดหยดแพร้วดั่งแก้วทิพย์
ต่างพร่างพริบเนตรเหลียวมาเกี่ยวก้อย
อุ่นสายใยท่ามฝนที่หล่นปรอย
กลบสิ้นสร้อยวันเก่าสู่เถ้าธาร
๏ บรรจงวาดความหลังอีกครั้งหนึ่ง
ด้วยคำนึงหวนเลยได้เชยผ่าน
เพื่อกอปรนำเดียงสาเป็นปราการ
เขียนตำนานเพรงภาคผกาพวง
๏ กรุ่นบุปผาหอมรื่น..พี่ยื่นให้
ถนอมไว้ในแขนด้วยแหนหวง
แทนหนึ่งใครอิงแอบอยู่แนบทรวง
ลบสิ้นปวงอนธการ..ที่ผ่านมา..