14 ตุลาคม 2552 05:28 น.
เพรง.พเยีย
1.
๏ แล้วอีกวันตาตื่นกับชื่นเช้า
รอยแสงเงาทอดทาบอยู่วาบไหว
ราวเจ้าโบกมือทักขึ้นกวักไกว
เมื่อกิ่งใบไม้แกว่งด้วยแรงลม
๏ ฟ้าสีฟ้าระบายตัวไปทั่วฟ้า
สีเมฆพาขาวแซมแต้มประสม
เขียนรอยยิ้มแฝงรอยแห่งอารมณ์
หมื่นคำคมซ่อนปน..อยู่บนนั้น
๏ สองปีกบาง..บินร้องท่องอิสระ
แม้ขณะโลกสรวล..หรือโศกศัลย์
เสียงฮัมเพลงหนึ่งหลอมไปพร้อมกัน
นัยประพันธ์ละเลียดล้ำกับคำนึง
2.
๏ เป็นสิทธิ์ของหัวใจได้ดื่มด่ำ
ที่ลึกล้ำ..จนเกินประเมินถึง
ทุกร่องรอยเวลายังตราตรึง
กับเพียงหนึ่งรอยร่างอันห่างไกล
๏ วันเดือนปี..ดำเนินจนเหินห่าง
แม้หมดทางหวนวันถึงกันได้
ตระหนักดี..ที่เป็นนั้นเช่นไร
สำหรับใจ..ไม่เคยมี..แม้ที่ยืน
๏ รู้ดี..อย่างไรก็ไม่รัก
แต่จะหักอย่างไร..ใจยังฝืน
น้ำตามีไหลบ้างในบางคืน
เพื่อตาตื่นใจกลับ..ยอมรับมัน
๏ ความรักที่เธอว่า..น่าหัวเราะ
หรือมองเยาะยิ้มตามด้วยหยามหยัน
ด้วยเหตุผลรองรับ..อยู่นับพัน
หรือมีวันเธอเล่า..จะเข้าใจ
๏ รักของฉันไร้เลศ..ไร้เหตุผล
ประสาคนรู้จัก..จะรักได้
มิรู้หรอกว่ารักสักเท่าใด
นานเท่าไร..ยังผูกพันอย่างมั่นคง
๏ รู้ว่ามิได้เป็น..เช่นดอกฟ้า
อันสูงค่าพร้อมงามในร่างหงส์
เพียงดอกไม้รอวันกำนัลลง
มอบบรรจงแด่หมาย..ที่ชายเดียว
๏ แม้มิได้รักตอบ..ก็ชอบธรรม
จึงมิร่ำขอร้องตามข้องเกี่ยว
ถึงดอกไม้โรยกลีบจนรีบเรียว
ก็เพียงเหลียวคอยเหมือนเสมอมา
๏ ให้ความเงียบ..รายรอบที่ครอบคลุม
คอยโอบอุ้มความคิดถึงที่โถมถา
ให้การเลือนลับหายจากสายตา
แอบข้ามพาผูกปลายแห่งสายใจ
๏ เขียนรอยยิ้มอักษร..บนก้อนเมฆ
ลอยโยกเยกท่ามกลาง..ฟ้ากว้างใหญ่
ฝากเอาความคำนึงส่งถึงไป
เผื่อวันไหนเธอทอดแขน..ขึ้นแหงนมอง
๏ ปล่อยเสียงฮัมเพลงรักพร้อมปักษา
เห่เวลารอคอยให้ลอยล่อง
เสียงเพลงแผ่วซ้ำซ้ำผ่านทำนอง
มันคงก้อง..เพียงเธอใช้..หัวใจฟัง
๏ มีแสงแดดแทนแขนอุ่น..ละมุนอ่อน
โอบอาทรโมงยามแห่งความหลัง
เช็ดน้ำตายามไห้ไหลประดัง
ที่บางครั้งหลั่งคอย..อย่างน้อยใจ
3.
๏ แดดละมุนทอดเงา..ในเช้าหนึ่ง
รอยคำนึงถึงนั้นยังสั่นไหว
วันเดือนปีทอดเงาอีกเท่าไร
จะดับความเป็นไป..ไม่อาจรู้..
24 สิงหาคม 2552 05:38 น.
เพรง.พเยีย
๏ เนิ่นนานปลิวปรายสายลมหนาว
กรีดร้าวเกินกั้นความหวั่นไหว
ปลิดเถิดปลิดปล่อย..ล่องลอยไป
โหยไห้เก็บกล้ำกับคำนึง
๏ อิงแอบหม่นว้างอยู่อย่างนั้น
เงียบงันเหมือนสิทธิ์เพียงคิดถึง
ล่วงรอยเวลาอันตราตรึง
ให้หนึ่งคืนหนาว..ช่างยาวนาน
๏ ซ่อนหน้าผ่านคืนอันขื่นขม
โบยบ่มวิญญาณ์ด้วยพร่าผลาญ
เหลือเพียงเศษฝันจากวันวาร
โลมรานคืนเหงาที่เปล่าดาย
๏ สองฝั่งทางฝันเกินบรรจบ
เพียงพบ..พริบตาแล้วพร่าหาย
เพียงลู่ริ้วลม..ผ่านพรมปราย
เกินหมายคืนมา..ร่วมฟ้าเดียว..
๏ เหลือหนึ่งปลดเปลื้องอยู่เบื้องหลัง
บนฝั่งทางฝันอันเปล่าเปลี่ยว
เฝ้าลบรอยอดีตอันซีดเซียว
ปลดเสี้ยววันเก่าสู่เถ้าธาร
๏ ลิ่วลอยไหลล่องละอองรัก
ประจักษ์แล้วเช่น..เส้นขนาน
ปลดปล่อย..เลือนหาย..กับสายกาล
กลืนผ่านลอยหาย..กับสายลม
12 กรกฎาคม 2552 11:27 น.
เพรง.พเยีย
๏ มะลิร้อยถวายลงหน้าองค์พระ
พวงอุบะ..รักร้อยเป็นสร้อยสาย
กลีบใบแก้วแซมอวดเป็นลวดลาย
ลูกถวายหมายนำเพื่อบำบวง
๏ จุดธูปเทียนน้อมจิตอธิษฐาน
ขอประทานพรสวรรค์ทุกชั้นสรวง
ช่วยดับเถิดหมองไหม้ข้างในทรวง
ที่ปานห้วงหุบเหวแห่งเปลวไฟ
๏ สองมือลูกกราบขอ..หลวงพ่อขา...
โปรดเมตตา..ลูกหน่อยจะได้ไหม
ลูกนี้บาปหนัก..นักหรือไร
จึงต้องไห้สาหัสถึงบัดนี้
๏ หลวงพ่อเจ้าขา...
สิ้นแล้วค่าความรักและศักดิ์ศรี
เขาทำเหมือนหัวใจไม่เคยมี
เหลือเกินที่ใจคนจะทนทาน
๏ มิรู้เลยผ่านมาคือยาพิษ
เขาประดิษฐ์ซ่อนใส่ในคำหวาน
จึงเผลอไผลเสพสิ้นทั้งวิญญาณ
โอ้น้ำตาล...กร่อนกินแทบสิ้นใจ
๏ หลวงพ่อเจ้าขา...
สุดปัญญาลูกแท้จะแก้ไข
ทุกข์ร้อนราวเพลิงทัณฑ์..ทำฉันใด
ดับพ้นได้..วิญญาณอันซานซม
๏ หรือคือบาปหนี้รักอันหนักแสน
ให้หวนแม้นคืนมาอย่างสาสม
เสียงเขาเย้ยหมิ่นหยามดั่งหนามคม
กรีดแผลจมลึกซ้ำลงทำร้าย
๏ หลวงพ่อขา..ขอแรงสักแสงนำ-
ใจคนช้ำเจียนล่มแหลกสลาย
รักษารอยแผลตรม..ผู้งมงาย
แม้ใจกายถวายวัด..ก็จะยอม..
22 เมษายน 2552 04:57 น.
เพรง.พเยีย
๑
๏ คล้ายว่าหายเลือนลับในหลับฝัน
สงัดงันจนเสมือนหยุดเคลื่อนไหว
สงบนิ่งท่ามโลกว้าง..อันห่างไกล
นานเท่าไร..ผ่านคล้อยกับรอยทาง
๒
๏ เธออาจมอง..อาจเห็นอยู่เช่นนั้น
ปล่อยเงียบงันดำเนินจนเหินห่าง
เหมือนสัมพันธ์นั้นเป็น..เพียงเส้นฟาง
แสนบอบบาง..แค่เพียงหยาด..ก็ขาดลง
๏ แต่รู้ไหม..นัยรอยที่ไร้ร่าง
ยังพรายพร่างแฝงรอยมาคอยส่ง
มอบคำนึงสู่ขวัญอย่างบรรจง
และมั่นคงเช่นคำอยู่ร่ำไป
๏ เหมือนตะวัน..คงเรืองอยู่เบื้องฟ้า
เหมือนจันทรา..ทอรับขึ้นขับไข
เหมือนดวงดาว..คอยดูแม้อยู่ไกล
เหมือนหัวใจเจ้าเอย..มิเคยคลาย
๏ แม้-อยู่-เป็น..เสมือนว่าเพียงอากาศ
อณูธาตุ..ไร้นาม..ไร้ความหมาย
หากหนึ่งในอณูลม..ที่พรมพราย
แทรกหนึ่งสายลมร่ำ..คือคำนึง
๏ คือคีตาแห่งจินต์เพื่อยินเสียง
ที่ร้อยเรียงจำนงมาส่งถึง
ผ่านรอยกาลอำลาอันตราตรึง
แด่เพียงหนึ่งผู้ประทับ..แม้ลับลา
๏ บนวิถีสั่งสมด้วยลมหนาว
สลักพราวด้วยปวงความห่วงหา
แม้มิเคยต้องประจักษ์..ในสักครา
สำหรับค่า..รอยจารในม่านเงา
๓.
๏ ในม่านเงาจำหลัก..แห่งอักษร
คืออาทร..แฝงรอยมาคอยเฝ้า
มอบแด่เธอ..ชลกานต์..ตราบนานเนา
จากใจเจ้า..เพรงผกา..จนกว่าวาย..