26 กันยายน 2551 15:28 น.
"เพชรสังคีต"
ตามที่เสภาฉบับหอพระสมุดวชิรญาณ จัดให้ตอน "จระเข้เถรขวาด" เป็นตอนสุดท้ายของเสภาขุนช้างขุนแผนฉบับหอพระสมุดฯ โดยใน "ตำนานเสภา" ของกรมพระยาดำรงราชานุภาพ กล่าวไว้ว่า เหตุที่ไม่ชำระพิมพ์เสภาต่อจากตอนจระเข้เถรขวาด เนื่องจากไม่มีสาระทางวรรณคดี
ผมจึงอาจเอื้อมเอาวรรณคดีไทยมาแต่งต่อ เป็นตอน "เณรจิ๋วลงไปตามเถรขวาด" ต่อจากตอน "จระเข้เถรขวาด" ที่มีความย่อๆว่า
หลังจากเถรขวาดถูกพลายชุมพลจับได้ว่าทำเสน่ห์ให้นางสร้อยฟ้า ภริยาจมื่นไวยวรนารถ (พลายงาม) จึงถูกจับจะนำไปประหารชีวิต กับเณรจิ๋วอีกคนฐานสมรู้ร่วมคิด แต่กลางดึกคืนนั้น ขณะที่ผู้คุมหลับใหล เถรขวาดได้อ่านมนต์เสดาะโซ่ตรวนออกทั้งหมด แล้วแปลงกายเป็นจระเข้หนีไปโดยเณรจิ๋วเถรขวาดอ่านมนต์ให้แปลงเป็นจระเข้น้อยเกาะหลังไปด้วย ส่วนนางสร้อยฟ้าถูกขับให้กลับเมืองเชียงอินทร์ไม่ประหารชีวิตเพราะนางศรีมาลา (ภริยาหลวงจมื่นไวย) ขอว่านางกำลังท้อง
เมื่อเถรขวาดหนีกลับมาอยู่เชียงอินทร์ก็ได้เป็นที่ "สังฆราชามลาวงศ์" คือสังฆราชของเมืองลาว คิดแค้นพลายชุมพลอยู่ไม่รู้หาย จึงตัดสินใจจะลงไปอยุธยา โดยแปลงเป็นจระเข้ลงไป เที่ยวกัดคนตายนับร้อย หมอจระเข้ที่ไหนมาก็แพ้หมด ร้อนไปถึงสมเด็จพระพันวัสสา จึงสั่งให้พลายชุมพลลงไปจัดการ พลายชุมพลให้วิชาอาคมต่างๆดูก็รู้แน่ว่าเป็นจระเข้มนต์ จึงกำราบเสีย ความแตกสุดท้ายจระเข้กลายเป็นเถรขวาด สมเด็จพระพันวัสสากริ้วเถรขวาดมาก รับสั่งให้ประหารชีวิต เถรขวาดหนีไปไหนไม่รอดถูกฆ่าตัดหัวเสียบประจาน
แต่ก่อนที่เถรขวาดจงลงมานั้น ได้บอกเจ้าสร้อยฟ้า และสั่งกับเณรจิ๋วว่าหากพ้นสามเดือนยังไม่กลับมา ให้ลงไปตาม แต่ในฉบับหอพระสมุดทรงชำระเสภาพิมพ์แต่เพียงนั้น ผมจึงได้ช่องท่างที่จะเขียนต่อ ด้วยเห็นว่าความยังค้างอยู่ จึงคิดต่อเติมให้แยกออกไปอีกทางหนึ่งของเรื่องขุนช้างขุนแผน ด้วยใจรักในวรรณคดีไทย หาได้จะเปรียบเทียบฝีมือกวีชั้นก่อนไม่
จะควรมิควรประการใดขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของท่านผู้อ่าน โดยจะทยอยนำมาลงทุกวันศุกร์จนกว่าจะจบตอน "เณรจิ๋วลงไปตามเถรขวาด" แล้วจะสำรวจความคิดเห็นว่าบังควรที่จะเขียนต่อไปหรือไม่ครับ
บทเดิมจากตอนจระเข้เถรขวาด (ตอนจบ)
...พระนายไวยนำหน้าออกมาพลัน
ถึงบ้านบอกบิดาหาช้าไม่ ต่างดีใจปรีดิ์เปรมเกษมสันต์
ทั้งวงศ์ญาติชื่นบานสำราญครัน อยู่เป็นสุขทั่วกันแต่นั้นมา ฯ
ต่อไปเป็นตอนเณรจิ๋วลงไปตามเถรขวาด ๑
๏ จะกล่าวถึงเณรจิ๋วเมืองเชียงอินทร์ ครั้นสุริยากระจ่างสิ้นตื่นล้างหน้า
แล้วนึกคิดครวญคะนึงถึงหลวงตา จนป่านนี้ยังไม่มาเชียงอินทร์
ให้หวั่นหวั่นครั่นคร้ามขามจิต คิดคิดเร่าร้อนฤทัยถวิล
เมื่อคราไปสั่งไว้ยังได้ยิน ถึงสามเดือนถ้าไม่สิ้นจะกลับมา
นี่ก็สามเดือนปลายแล้วหนาพ่อ เป็นไฉนนี่หนอหลวงตาขา
ฤๅอ้ายไวยมันอาจอหังการ์ เคี่ยวเข็ญเข่นฆ่าพระอาจารย์
จำจะลงตามเรื่องไปเมืองใต้ ตามหลวงตาสั่งไว้ให้แตกฉาน
คิดแล้วลุกพลันมิทันนาน จะเข้าไปแจ้งการเจ้าสร้อยฟ้า
นุ่งห่มจีวรไหมย้อม เครื่องรางใส่ย่ามพร้อมพาดบ่า
แล้วร้องเรียกเด็กวัดที่ศรัทธา เฮ้ยอ้ายทองมึงมานี่ไวไว
กูจะขึ้นไปเฝ้าเจ้าสร้อยฟ้า จะไปตามหลวงตาที่เมืองใต้
มึงอยู่นี่ดูกุฏิอย่านอนใจ เมื่อไรกลับมาอย่าให้รก
ข้าวของกองไว้อยู่กล่นเกลื่อน อย่าได้แชเชือนทำหล่นตก
อ้ายทองพยักหน้าอยู่งกงก มึงไม่ดูกูสิชกเป็นเสี่ยงไป
สั่งเสร็จออกมาพลันมิทันนาน ถึงทวารตำหนักจันทน์โตใหญ่
พวกนางกำนัลอยู่ข้างใน แปลกใจเยี่ยมหน้าออกมาดู
เอะเณรน้อยน้อยมาหาใคร นุ่งห่มสไบไหมดูงามหรู
เณรว่าฉันเป็นศิษย์เถรขวาดครู เจ้าสร้อยฟ้านั้นอยู่ตำหนักใด
นางกำนัลว่าอ้อมาขอเฝ้า เชิญสิเจ้าเข้ามาอย่าช้าได้
เจ้าสร้อยฟ้านางอยู่ข้างใน รออยู่นี่ฉันจะไปกราบทูล ฯ
๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าสร้อยฟ้า ราชธิดาเชียงอินทร์มไหศูรย์
กับพลางยงวงศ์นพรัฐแก้วกูน บริบูรณ์อยู่ในตำหนักจันทน์
แปดปีแต่เมื่อจากอยุธยา ผ่านฟ้าโปรดให้ขับมาคราวนั้น
จากพระไวยหวนไห้อาลัยครัน ยังโศกาจาบัลย์อยู่มิคลาย
ครั้นสนมกำนัลคลานเข้ามา แสร้งหน้ายิ้มแย้มแอร่มฉาย
นางกำนัลทูลแจ้งจนสิ้นปลาย มิได้ชายดูพักตร์นางเทวี
สร้อยฟ้าจึงว่าให้เข้ามา เร็วเถิดหวากูจะบาปไม่พอที่
ให้ตากแดดร้อนอยู่ใยไม่เข้าที ร่มมีไปรับท่านเข้ามา
นางกำนัลรับสั่งเจ้านางน้อย ค่อยค่อยขยับลุกออกมาหา
แจ้งการเณรว่าพระธิดา ให้มานิมนต์ไปบัดนี้ ฯ
๏ ครานั้นเณรจิ๋วธรรมโชติ เดินเร็วล่วงโลดไปจากที่
ครั้นเห็นพระพักตร์นางเทวี จึงว่าเณรนี้จะขอลา
จะไปตามอาจารย์ที่เมืองใต้ ป่านฉะนี้เป็นจะไดไม่รู้หวา
บอกสามเดือนแล้วจะกลับมา หากเกินนั้นอย่าช้าจงไปตาม
นี่สามเดือนปลายแล้วหนาแม่ เณรก็ได้แต่นึกเกรงขาม
ให้คิดหวาดหวั่นครั่นคร้าม จำจะลงสืบความไปตามมี
เจ้าสร้อยฟ้าว่าโอ้พุทโธ่เจ้า หลวงเถรเฒ่ายังไม่กลับมาหรือนี่
จึงว่าเณรอย่างนั้นอย่าช้าที ช้างมีเราจะให้เณรไป
กับบ่าวไพร่ไว้หุงหาอาหาร กว่าจะเจอพระอาจารย์ที่เมืองใต้
สร้อยฟ้าเร่งว่าจงคลาไคล ได้ความอย่างไรให้รีบมา ฯ
๏ เณรจิ๋วฟังว่าทำหน้าม่อย เอิกเกริกไปหน่อยเจ้าแม่ขา
ลาวขี่ช้างลงไปถึงอยุธยา อ้ายชุมพลจะสงกาจะมาดู
แม้มันพบตัวเณรเห็นจำได้ จะตีต่อยลงไว้ให้อดสู
จะไม่ทันได้ตามหลวงตาครู ตัวจะแยกเป็นคู่ไม่คืนมา
สร้อยฟ้าได้ฟังแล้วนิ่งคิด เณรจะสิ้นชีวิตเพราะตัวข้า
แล้วคิดแยบคายด้วยปัญญา ว่าบอกเณรพลันทันใด
ถ้าอย่างนั้นเราจะให้เสื้อผ้า แล้วแปลงกายาไปเมืองใต้
เป็นมาณพน้อยค่อยไป แม้ได้ข่าวแล้วจงคืนมา
จึงสั่งนางกำนัลที่อยู่เฝ้า จงไปเอาเงินทองแลเสื้อผ้า
จะให้เณรลงไปอยุธยา ตามสังฆราชาอาจารย์ ฯ
๏ รับประทานเสร็จพลันมิทันช้า ออกมาขึ้นช้างที่หน้าฉาน
รีบไปใจเกรงมิทันการ เร่งข้าอลหม่านมาตามทาง
ผ่านหน้าอารามเมืองเชียงอินทร์ ดวงใจไห้ถวิลหม่นหมาง
แลดูช่อฟ้าระกาพลาง ครวญครางกำสรดโศกี
โอ้ว่าป่านฉะนี้หลวงตาครู จะอยู่หนใดไม่รู้ที่
สามเดือนปลายเหมือนว่าไม่ปราณี ทอดทิ้งศิษย์นี้อยู่เดียวดาย
แม้หลวงตายังอยู่จะบ่นพร่ำ เณรก็เลี่ยงประจำทำหน่าย
บัดนี้อาภัพมากลับกลาย เป็นตายโอ้เณรมิรู้เลย
ตะลึงแลเหลียวลับพระอาวาส เหมือนดวงใจจะขาดแล้วกูเอ๋ย
จึงชักม่านบังพระพายที่รำเพย ก่ายเกยหมอนหลับระงับไป ฯ
************************************
(ต่อตอน ๒ วันศุกร์หน้า)
13 กันยายน 2551 15:13 น.
"เพชรสังคีต"
จำเรียงร่ายกรายกรสุนทรเสนาะ
จะเล่าเรื่องเรืองพรายให้ไพเราะ
ให้เหมาะเจาะตามตำนานกล่าวขานมา
ข้าน้อยเพชรสังคีตประณีตศัพท์
ชอบสดับระบำบรรพ์พอหรรษา
คราวก่อนเขียนละครจันทราชา
ให้ยืดยาวหนักหนาน่ารำคาญ
ครั้นจะนำกลอนเก่ามาเล่าใหม่
เห็นจะไม่สมใจในแก่นสาร
ด้วยอ่อนบทมธุรสพจมาน
ไม่ควรสมเทียมกานท์โบราณมา
ที่นี้ฉันจะบังอาจเอาเรื่องเก่า
ถึงพงศ์เผ่าอสัญแดหวา
โดยอิเหนากุเรปันพารา
คะนึงนางผู้ดวงตาทั้งสิบองค์
แม้นกลอนเก่าเล่าใหม่ไม่ไพเราะ
ไม่เสนาะพอให้ชมสมประสงค์
แต่หวังเพียงความก่อนสุนทรธำรงค์
อย่าค่อนแคะขัดลงเป็นความเลย
มิใช่อาจเอื้อมเอาเก่ามาล่อ
มาหยอกล้อสกปรกนะอกเอ๋ย
เพียงแต่ให้คนไทยใครไม่เคย
เรื่องอิเหนาไม่รู้เลยเป็นอย่างไร
พอสืบสายลมหายใจวรรณศิลป์
มิหวังชื่อลือระบิลไปหนไหน
เพียงเจิมกลิ่นจันทน์ฟุ้งจรุงใจ
ให้อยู่ยงคงไว้ไปชั่วกาล
..........................................................
เมื่อนั้น
พระผู้วงศ์เทวาศักดาหาญ
ตื่นบรรทมจากแท่นรัตน์ชัชวาล
เสด็จสรงชลธารทันใด
ลงสาครชำระสระสนาน
แหวกว่ายชลธารซ่านใส
กรเกี่ยวก้านปทุมมาลัย
คะนึงถึงยาใจทั้งสิบองค์
ไก่แก้วขันกระชั้นว่าปัจุสมัย
ป่านฉะนี้นางในแน่งนวลหง
จะตื่นจากแท่นสุวรรณบรรจง
โอ้ว่าเจ้าโฉมยงของพี่ยา
มาสระสรงคงคาเหลียวหาน้อง
คิดถึงแม่เนื้อทองเสน่หา
ยิ่งพินิศพิศดอกปทุมมา
เหมือนบัวนางจินตะหราวาตี
นมสวรรค์ระย้าย้อยห้อยเฉลา
หรืองามเท่าบุษบามารศรี
งามจริงพริ้งพร้อมทั้งอินทรีย์
เอกองค์ประไหมสุหรีทั้งสองรา
กาเหว่าจับเจ่ากาหลงมี่
ดั่งมาหยารัศมีมาตามหา
หางนกยูงยูงจับจำนรรจา
ว่าเสียงนางสะการะวาตี
พิศพรรณมัจฉาที่ว่ายเคล้า
เวียนเฝ้ากอบัวบายสุหรี
ตะเพียนทองแคล่วคล่องชลธี
ดุจบุษบาวิลิศศรีห่มตาดทอง
ปลานวลจันทร์แสร้งแสงจันทร์ระเรื่อ
คิดถึงเมื่อเสพสุขประสมสอง
บุษบากันจะหนาแนบประคอง
ใต้แสงจันทร์นวลผ่องประกายพราย
ปลาเนื้ออ่อนอ่อนเสียงเพียงพูดว่า
องค์ระหนากะระติกาโฉมฉาย
อรชรอ่อนอวดทุกลวดลาย
เอกลิกูฝ่ายซ้ายบำเรอรมย์
ชำเลืองแลเนตรเนื้อกวางละมั่ง
เนตรเหมือนดังอรสาที่งามสม
นามแม่พ้องดรสาที่ตรอมตรม
อันแบหลาอัคคีจมด้วยภักดี
นกนางแอ่นแอ่นกายผายผัน
เหมือนสุหรันกันจาส่าหรี
คู่องค์หงยาหยานารี
เป็นเหมาหลาหงีทั้งสองรา
พระใคร่ครวญหวนคิดพินิศองค์
งามระหงสมวงศ์อสัญหยา
จึงทรงเครื่องเรืองรองรจนา
เสด็จขึ้นมณเฑียรหายอดยาใจ
********************************************
11:15 12/9/2551
5 กันยายน 2551 13:43 น.
"เพชรสังคีต"
"ลานางจินตะหรา"
ลำดับนั้นพวกละครก็ฟ้อนรำ
ขับลำนำถึงระเด่นจินตะหรา
เมื่อจะทราบว่าองค์พระภัสดา
จะยกทัพจากพาราไม่ช้าวัน
ให้ขุ้นเคืองคิดแค้นฤทัยหนัก
เจียนว่าโฉมลักษณ์จะอาสัญ
เหมือนเอากริชนีดเน้นดวงชีวัน
ให้นึกหวั่นไม่เป็นสมประดี
อนิจจาครานี้นะอกกู
น่าจะถูกทิ้งอยู่ปราสาทศรี
กระไรกับองค์บุษบานารี
พระภูมีตุนาหงันแต่เดิมมา
อันการศึกพระเชี่ยวชำนาญหนัก
อันการรักพระชาญยิ่งนักหนา
แต่เพียงพบประสบพักตร์บุษบา
จะทิ้งนางจินตะหราไว้บูรี
ฝ่ายว่าองค์อิเหนากุเรปัน
ป่วนปั่นถึงน้องให้หมองศรี
คะนึงนางพลางรีบจรลี
มาที่จินตะหรานงลักษณ์
ฝ่ายองค์จินตะหราวาตี
ทรวงร้อนดังอัคคีประหารหัก
กุมกรถอนพระทัยไม่ผินพักตร์
ฮึกฮักเบือนหน้าไม่บังคม
ฝ่ายองค์อิเหนาภัสดา
กางกรกอดคว้าได้ผ้าห่ม
จึงว่าทำฉะนี้ไม่น่าชม
หันมาเถิดจะตรมไปใยน้อง
ฝ่างนางจินตะหรามารศรี
ได้ฟังถ้อยวจียิ่งเศร้าหมอง
จึงว่าบุษบานวลละออง
พระนางต้องคอยท่าอย่าช้าที
จริงที่ว่าน้องนี้ไม่น่าชม
มานิยมอยู่ใยไม่พอที่
รีบเสด็จรณรงค์รบไพรี
รับบุษบามารศรีไปแนบไว้
ฝ่ายโฉมยงองค์ระเด่นมนตรี
ทอดถอนดวงฤดีหม่นไหม้
จึงตรัสว่าเจ้าอย่ารำคาญใจ
แม้ท่านมิใช้ไม่ไปเลย
นี่แน่เหลียวมาดูเถิดน้อง
เพราะบิดาขุ่นข้องนะอกเอ๋ย
เป็นหลายครั้งที่พี่ทำเฉยเมย
เงยหน้ามาอ่านสาส์นสารา
ฝ่ายว่าจินตะหรามารศรี
ก้มพักตร์พาทีไม่เงยหน้า
รีบไปเถิดแทนคุณพระบิดา
รับองค์บุษบามาชื่นใจ
"แล้วว่าอนิจจาความรัก
เพิ่งประจักษ์ดังสายน้ำไหล
ตั้งแต่จะเชี่ยวเป็นเกลียวไป
ไหนเลยจะไหลคืนมา"
ว่าพลางทางชักเอาผ้าห่ม
อกตรมสะเทิ้นเมินหน้า
ผินหลังไม่แลดูสารา
กัลยาก้มพักตร์ไม่พาที
ฝ่ายโฉมยงวงศ์อสัญแดหวา
อิเหนาภัสดาเรืองศรี
จึงว่าเจ้าอย่าโศกี
ความรักพี่กี่ปีไม่คืนคลาย
หากเป็นบัญชาบิตุเรศ
จอมวงศ์พงศ์เดชมั่นหมาย
พี่นี้ก็ชื่อว่าลือชาย
ไม่ตายคลายสัตย์ก็พอกัน
หันมาเจรจาบ้างเถิดน้อง
อย่าข้องเคืองขุ่นหุนหัน
ต้องออกรบไพรีนานกี่วัน
ให้พี่รับขวัญบ้างเป็นไร
ฝ่านนางจินตะหราวาตี
อ่อนทรวงโศกีร่ำไห้
ค่อยคลายอัดอั้นตันใจ
สำนึกในวาทีพระภูธร
จึ่งเคลื่อนองค์ลงจากพระแท่นแก้ว
บังคมแล้วแนบบาทลงต่างหมอน
ประทานโทษโปรดอย่าทรงอาวรณ์
มีแก่ใจราญรอนรบไพรี
เพราะน้องรักพระยิ่งบิตุเรศ
จึงหลงเคืองเรืองเดชไม่พอที่
มิทันอ่านสาราว่าร้ายดี
อันบัญชาทรงศรีกำชับมา
พระไปไกลแล้วอย่าลืมน้อง
จะคอยนับวันจ้องรอท่า
จึ่งบังคมลงที่ตรงพระบาทา
กัลยาประจักษ์แจ้งหฤทัย
************************************************
(ตัวเข้มเปนสำนวนพระราชนิพนธ์ในล้นเกล้ารัชกาลที่ ๒)