28 ธันวาคม 2550 14:44 น.
"เพชรสังคีต"
"จันทราชา"
ตอน ศึกศุกร์ดารา
ต่อจากตอนที่แล้ว
(พระจันทรยกทัพสวรรค์ช่วยนครเสาร์ดารา)
....เมื่อนั้น
พระเสาร์ดารามานร่านร้อน
เห็นทีครานี้ต้องม้วยมรณ์
ถูกราญรอนโจมจันฟันตี
มิได้คิดชาตินี้จะมีศึก
ใจก็นึกกลัวภัยใคร่หลบหนี
แต่เจาะจงส่งสาส์นผ่านภูมี
ป่านฉะนี้มิตอบมาว่าอย่างไร
แม้นไม่ช่วยก็คงจะยอมพ่าย
เพราะฤทธิ์ร้ายศุกร์ดาราช้าไฉน
โอ้โอ๋เราแต่นี้จนต่อไป
คงอาลัยเสาร์นครให้ร้อนรน
ว่าพลางทางขื่นสะอื้นโอด
พระจงโปรดกรุณาข้าสักหน
คงไม่สิ้นน้ำพระทัยภูวดล
นึกกล้ำกลืนฝืนทนอยู่ในใน ฯ
....บัดนั้น
อำมาตย์เสาร์นครากรุงใหญ่
ถวายบังคมภูวนัย
หน้าตาดีใจเป็นล้นพ้น ฯ
....เมื่อนั้น
พระเสาร์ตริตรึกนึกฉงน
ท่านผู้นี้เห็นทีชอบกล
มารื่นรื่นรนรนถวายบังคม
จึงตรัสถามอำมาตย์ผู้มียศ
พลางสลดฝืนใจให้เหมาะสม
มีอันใดแจ้งมาในอารมณ์
ดูเริงรื่นชื่นชมถึงเพียงนั้น ฯ
....บัดนั้น
อำมาตย์ก้มหัวตัวสั่น
ข้าแต่พระเสาร์ราชันย์
มีเรื่องสำคัญมากราบทูล
บัดนี้พระจันทรนฤนารถ
องอาจพร้อมทัพนเรศูร
มาช่วยชาติเชื้อเกื้อกูล
อย่าอาดูรเลยหนาพระราชันย์ ฯ
....เมื่อนั้น
พระเสาร์ได้สดับกลับสุขสันต์
รุดเสด็จออกไปเฝ้าพระจันทร์
จากพระโรงทองนั้นมาทันที
ครั้นเห็นทัพพระจันทร
แลสลอนสล้างไปในทุกที่
ยอกรบังคมภูบดี
หม่อมฉันมิขาดที่พึ่งพา ฯ
....เมื่อนั้น
พระจันทรสูงส่งวงศา
ตรัสตอบพระเจ้าเสาร์ดารา
เผยพจนามาทันใด
แม้นมิส่งสาราให้มาช่วย
จะปล่อยให้ท่านม้วยหามิได้
ความทราบถึงเราก็เศร้าใจ
เห็นทีต้องได้ตัดญาติกัน
ศุกร์ดาราเรืองสนามพระนามนี้
เป็นถึงที่พระนัดดาเชียวหนานั่น
เมื่อครั้งก่อนกาลวารวัน
ก็ถึงชั้นราชบุตรสุดโสภา
แห่งองค์พระเชษฐาอาทิตย์
ผู้ประสิทธิ์แสงไถงในโลกหล้า
ครานั้นเสวยราชย์เป็นจอมฟ้า
เราถือยศอนุชาจันทร
เมื่อพระพี่ของฉันสวรรคต
ก็สิ้นหมดผู้ชาญราญสมร
จึ่งเราขึ้นครองฟ้านภาพร
เพราะสังวรหน่อกษัตริย์ขัตติยา
มาบัดนี้หลานเราหลงในอำนาจ
จะฟัดฟาดเอาชัยไม่เข้าท่า
เห็นทีต้องใช้เล่ห์เจรจา
มิให้เสียกำลังฟ้าจะอาวรณ์
ตรัสพลางทางถอนหฤทัย
แล้วสั่งทัพไทไกรสร
ตั้งหลักปักฐานรานรอน
รอคอยภูธรบัญชา ฯ
....เมื่อนั้น
พระเสาร์ยศใหญ่ใจกล้า
ทูลเชิญพระจันทราชา
สู่พระโรงมโหฬาร์คลาไคล ฯ
(ติดตามต่อใน พระศุกร์ยกทัพหมายรานรอนนครเสาร์ดารา)
24 ธันวาคม 2550 17:50 น.
"เพชรสังคีต"
ประชุมสักวา
....สักวาเดือนเพ็ญเห็นอร่าม
ทอแสงงามวามแวมแจ่มเจิดศรี
ปานจะเลื่อนลอยมาในราตรี
รัศมีแอร่มฟ้าเมฆาทอง
คิดถึงนงรามทรามสงวน
กลิ่นแม่หวลอวลอลตรลบห้อง
ยลจันทราเพ้อว่านวลลออง
มาเคียงสองครองขวัญนิรันดร์เอย ฯ
....สักวาดาวรายพรายระยับ
มาด่วนดับอับแสงทุกแห่งหน
สุรีย์ทองส่องสว่างกลางสกล
ดังจะดลดวงใจให้ไคลคลา
ไก่แก้วกู่ขานขันกระชั้นเสียง
ต่างสำเนียงขับครวญให้หวนหา
โอ้อุษาแล้วหนอพี่ขอลา
อย่าเคืองกันวันหน้ากลับมาเอย ฯ
....สักวาเจ็บใดไหนจะเจ็บ
เท่ารักเหน็บ ณ ทรวงไห้ห่วงหา
ต้องศรพิษแห่งรักสลักอุรา
นึกเห็นหน้าน้ำตานองจนร้องครวญ
มิเห็นใจก็เห็นแก่มิตรภาพ
นี่ทำบาปเต็มประดาพากำสรวล
โศกสลดรันทดใจไม่สำรวล
เพราะใจป่วนจวนแตกแหลกแล้วเอย ฯ
....สักวารักข้างเดียวเปลี่ยวดวงจิต
เพียงแค่นิดเพ้อไกลอาลัยแสน
เหมือนรักอื่นดื่นไปในดินแดน
มิเหมือนแม้นรักข้าที่พาที
เพียงแค่เหลียวมองหน้าพาใจป่วย
ผิดโรคด้วยหฤทัยใคร่เต็มที่
มิสมหวังก็ว่าไม่ปราณี
พอกันทีรักข้าสักวาเอย ฯ
....สักวาเดือนคล้อยเลื่อนลอยล่อง
ตามทำนองราตรีที่ใฝ่ฝัน
เหมือนหลบหลีกปลีกแสงแห่งดวงจันทร์
พาหัวใจไหวหวั่นทุกวันไป
เอ๊ะเวลาคล้ายมาเพียงประเดี๋ยว
ดาราเลี้ยวลับฟ้าน่าสงสัย
ต้องขอฝากมิตรจิตติดกันไว้
หวังวันหน้าฟ้าใหม่ได้พบเอย ฯ
....สักวาหน้าหนาวหนาวหนาวหนาว
พอลมซัดพัดพราวหนาวไฉน
ให้มันหนาวกายาทั่วหน้าไป
หนาวหัวใจหนาวได้แม้ไม่หนาว
หนาวในรักหนาวนักสลักสลอน
หนาวองค์อ่อนอรชรยิ่งร้อนผ่าว
หนาวไฟรุมสุมทรวงล่วงถึงดาว
หนาวหนาวหนาว หนาวหนาว หนาวหนาวเอย ฯ
....สักวาใจร้อนรอนร่อนร้อน
เดือดดาลดิ้นดังกลอนจะร้อนไหม้
แหมมันร้อนถอนอุราเกือบบ้าไป
ด้วยไฟรักทะลักใส่หัวใจเรา
โอ๊ยร้อนร้อนร้อนร้อนร้อนร้อนร้อน
แม้ยามนอนคลอนทรวงทั้งง่วงเหงา
หลับไม่ลงปลงไม่ได้เหมือนในเตา
ร้อนหนักเข้าเขาก็ว่าสักวาเอย ฯ
(เพชรสังคีต)
....สักวาโศกศัลย์ประหวั่นจิต
พี่เฝ้าคิดครำครวญหวนหา
เจ้ามาจากพี่ไปไม่คืนมา
พี่แสนเศร้าอุรานำตานอง
แต่ก่อนเคยร่วมเรียงนอนเคียงใก้ล
โอ้บังอรมาจากไปให้หม่นหมอง
บัดนี้เล่าหนาวใจไร้คู่ครอง
โอ้นวลน้องจากพี่ไปไกลแล้วเอย ฯ
(สุวรรณหงส์สังคีต ประพันธ์)
สุวรรณหงส์สังคีต สายงานดนตรีปี่พาทย์ รร.ราชสีมาวทิยาลัย
เพชรสังคีต สายงานดนตรีเครื่องหนัง และเครื่องสายไทย
ร่วมกันประชุมสักวานะครับ
24 ธันวาคม 2550 17:18 น.
"เพชรสังคีต"
"จันทราชา"
ตอน ศึกศุกร์ดารา
(พระจันทรได้รับราชสาส์นจากพระเจ้านครเสาร์ดารา)
....เมื่อนั้น
พระจันทรบดินทร์ปิ่นสวรรค์
เสด็จทรงรถทองผ่องพรรณ
กรีดกรายผายผันลีลามา
แสงทองทาบทับกับองค์
เสนาร้องส่ง ณ เวหา
จรัสแจ้งกว่าแสงพระจันทรา
เหนือแสงดารายองใย
ครั้นถึงจึงหยุดเกยสถาน
เสด็จสู่ทิพย์วิมานสวรรค์ไสว
เทวาเปิดม่านทันใด
คลาไคลสู่ท้องพระโรงครัน
ประทับนั่งเหนือแท่นมณีอาสน์
โอภาสผ่องพรายผายผัน
ฉัตรทองเหลื่อมล้ำสีอำพัน
ตั้งอยู่เรียงกันทั้งแปดทิศ
พรั่งพร้อมเทวาสุรารักษ์
เสนาผู้ภักดิ์ประจักษ์จิต
เทพทุกเหล่าเฝ้ามาทั่วสารทิศ
ไว้จริตสวยสอางค์อย่างเทวี
ครั้นพอถึงยามฤกษ์เบิกสวัสดิ์
ก็เรืองรองผ่องจรัสรัศมี
อำมาตย์อ่านสาส์นถวายพระภูมี
ทูลถึงที่จอมสวรรค์พระจันทร ฯ
....บัดนั้น
เทพอาลักษณ์เรืองรองคล่องอักษร
กราบบังคมพระผู้อรชร
แล้วยอกรยกสาส์นอ่านทันใด
ข้าแต่พระจันทรผู้ทรงภพ
แปดทิศจบพระบาทามาแต่ไหน
บัดนี้ต้องเคืองราชหฤทัย
เหตุเพราะสาส์นหม่อมฉันไปเป็นแน่แท้
ด้วยพระศุกร์ดาราบดีมีอำนาจ
คิดอุกอาจด้วยประสงค์จำนงค์แน่
ได้ยกทัพต่อตีทุกที่แพ้
เสร็จแล้วยึดไว้แต่พระศุกร์เอง
ด้วยหลงอำนาจวาสนา
ข้าน้อยเสาร์ดาราถูกข่มเหง
แม้นอ้างถึงพระองค์ไปไม่กลัวเกรง
กลับเปล่งสีหนาทประภาษมา
ว่าจันทรบดินทร์ปิ่นสวรรค์
เป็นเพราะเชื้อเผ่าพันธุ์อันมุสา
เท็จจริงอย่างไรได้ฟังมา
แต่เห็นว่าท่าทีจะมีนัย
จึงส่งสารแทบบาทยุคล
หวังพึ่งผลบารมีที่สดใส
บังคมเบื้องยุคลบาทพระเทพไท
สรรพชีวีอยู่ใต้บาทบงสุ์ ฯ
....เมื่อนั้น
พระจันทรวงศาสูงส่ง
ได้สดับสาราดังฟ้าลง
คราวนี้คงณรงค์แน่เป็นแท้จริง
พลางเผยพจนารจผงาดว่า
ศุกร์ดารานั้นใครไม่สุงสิง
คงพรั่นพรั่นหวั่นจิตคิดประวิง
จึงละทิ้งศีลธรรมจนต่ำช้า
เอาเถิดแม้ใคร่งานในการศึก
ก็จงนึกหลีกหนีทุกทีท่า
เราจะไปรบพุ่งมุ่งพารา
ช่วยเมืองเสาร์ดารารมย์บุรี
จึงตรัสสั่งเสนามหาอำมาตย์
นายพลจตุรงคบาททั้งสี่
จงจัดเวรเกณฑ์ทัพโยธี
แล้วจงรีบจรลีไปทันใด
....เมื่อนั้น
เทพเสนางามงดยศใหญ่
น้อมเกล้าวันทาแล้วคลาไคล
เยื้องย้ายจากท้องพระโรงทอง ฯ
....เมื่อนั้น
พระจันทรภูวดลหม่นหมอง
เสรด็จหาสนมชมน้อง
วางท่าประคองจะเจรจา
รุจิเรขเอกสนมก้มลงกราบ
ดั่งความทราบถึงหล่อนก่อนพระว่า
เงยพลางทางโศกโศกา
เอื้อนเอ่ยพจนามาทันที ฯ
....เมื่อนั้น
รุจิเรขเอกสนมก้มเกศี
พลางว่าเอ๋ยพระราชสวามี
จากวันนี้วันไหนจะได้พบ
เหมือนดอกไม้ใกล้ใกล้ที่ได้กลิ่น
มาเหือดสิ้นสาบสวนอวลตรลบ
ใครก็รู้การใดไม่เหมือนรบ
แล้วเมื่อใดจะได้พบบรรจบกัน
ว่าพลางทางฝืนสะอื้นไห้
ด้วยอาลัยยามนอนจะคลอนขวัญ
จะเงียบเหงาดวงฤดีทุกวี่วัน
จะหวิวหวั่นหวาดผวาคราถอนใจ ฯ
....เมื่อนั้น
พระจันทรบดินทร์เป็นใหญ่
เห็นสนมโศกาก็อาลัย
จึงตรัสไปปลอบชู้คู่ประคอง ฯ
สนมเอ๋ยสนมนาถ
ยามนิราศจากลาอย่าหม่นหมอง
พี่จะเคร่าคอยเวลามาหาน้อง
มาตระกองกอดเจ้าทุกเพรางาย
เมื่อพี่จากดวงใจมิได้จาก
ยังฝังฝากรอยรักสลักหมาย
ก็หวังเจ้าจอมหอต่อวันตาย
มิเคยหน่ายสักเวลามาแต่ไร
พี่ไม่อยู่จงระลึกเหมือนพี่อยู่
ยอดพธูเรขาอย่าหวั่นไหว
เอาเสียงนกวิหคร้องทำนองไพร
ต่างสำเนียงเสียงใจไว้ข้างกัน
ยามน้ำค้างพร่างพรมลมระรื่น
ต่างความชื่นเหมือนพี่พัดวีมั่น
สนมน้อยคอยเถิดหนาวิลาวัณย์
มิอาสัญพี่จะมาหาเจ้าเอย ฯ
ตรัสพลางเขยื้อยเลื่อนองค์
แล้วหนุนลงตักนางต่างเขนย
ด้วยใคร่อยู่ชื่นขวัญอันน่าเชย
ก่อนลาเลยไปพหลรณรงค์ ฯ
....เมื่อนั้น
พระจันทรนครินทร์สูงส่ง
ครั้นได้ฤกษ์เวลาก็อ่าองค์
เสด็จลงสรงอ่างสุวรรณชลา ฯ
หยาดวารีรี่ไหลอยู่ในห้อง
พระผิวทองรองเรืองเปลื้องผ้า
น้ำซัดสาดกระเซ็นเป็นวงมา
ต้องฉวีชีวาคราชื่นใจ
เกาะเป็นเม็ดเจ็ดสีมณีพร่าง
แสนสำอางค์พลางชมนิยมไฉน
นัยเนตรแววดำอำไพ
ต้องแสงรำไรเป็นวาวมา
บรรจงสอดสวมซับสนับเพลา
พร้อมเทพเหล่าท้าวนางกางผ้า
ภูษาเหลืองเรืองดีสีจันทรา
ยกพื้นบุษราน่ามอง
เจียรบาดคาดไว้มิให้เคลื่อน
ปั้นเหน่งเหมือนเดือนเพ็ญเผ่นผยอง
ตาบทิศทับทรวงพ่วงทอง
เกี่ยวกรองสังวาลย์ชาญชัย
ทองกรล้วนแล้วประดับมุก
ธำมรงค์ส่งสุกด้วยพลอยใส
มาลาปราบปัจจามิตรฤทธิไกร
ทรงสวมเสมอไปในสงคราม ฯ
แล้วเสร็จขุนนางกางม่าน
เสด็จลานเวหาน่าเกรงขาม
ยุรยาตรขึ้นเกยแก้วงาม
พร้อมทหารแลหลามล้วนเทวา ฯ
เสด็จทรงรถทองผ่องพราย
ลวดลายล่องลอยเวหา
พวกพหลพลเหล่าเสนา
นุ่งเหลืองพิไชยาคลาไคล
มโหระทึกกึกก้องซร้องเสียง
สังข์เพรียงเรียงรี่ปี่ไฉน
ทหารโห่ขับคล่องร้องไป
เลื่อนลอยมาในอัมพร ฯ
(โปรดติดตาม พระจันทรยกทัพช่วยนครเสาร์ดารา)