8 เมษายน 2552 14:37 น.
เพชรพรรณราย
ลมเย็นเคลื่อนเลื่อนผ่านกายมิวายหนาว
แสนนานยาวราวจะสิ้นดินฟ้ากว้าง
ทอดสายตาหาความจริงยิ่งเปล่าทาง
ไร้กายร่างพรางเงาเฝ้าเมียงมอง
ทะเลหมอกระลอกใกล้ในสายลม
ค่อยไหลพรมผสมหนาวคราวพัดต้อง
มืดสลัวมัวหม่นสิ้นพื้นดินครอง
ลอยละล่องทั่วท้องนาป่าพงไพร
จนอาทิตย์สถิตฟ้าบนอากาศ
สีพลัดวาดพาดให้ขาวคราวหมอกไหล
สิ้นเหลืองแดงแต่งฟ้ามาทันใด
บริสุทธิ์สุดสดใสในตะวัน
อาทิตย์ขาวราวตะวันที่ผันส่อง
ยามเมื่อมองดังจ้องฟ้าราตรีผัน
หากเวลาทิวาใหม่ไร้ดวงจันทร์
ใช่สายัญที่ผันเปลี่ยนหมุนเวียนกาล
ลมเย็นเคลื่อนเลื่อนค่อยค่อยหมอกลอยลับ
หวนคืนกลับปรับท้องฟ้าคราหมุนผ่าน
คืนตะวันอันจ้าแจ่มแต่งแต้มตาม
ฟ้าสีครามยามแสงจ้าฟ้าเช่นเคย
17 มกราคม 2552 13:59 น.
เพชรพรรณราย
คนเราหรือถือกำเนิดเกิดบนโลก
สุขบ้างโศกโยกเปลี่ยนเวียนมาหา
เจ็บป่วยไข้ได้พบพรากจากเวลา
ล้วนมุ่งหน้าพาก้าวเดินเผชิญไป
ทางชีวิตลิขิตใดใครอาจต้าน
ล้วนต้องผ่านสานอาสัญวันหมองไหม้
เพียงทนรอต่อเวลาพาพรากไกล
ให้สิ้นไร้ในทุกสิ่งความจริงเดียว
เหตุนี้หนออย่ารอช้ากล้าจะสู้
อย่ามัวอู้ยืนสู้ฟ้าอย่าห่อเหี่ยว
ตามหาฝันอันแน่วแน่แท้จริงเชียว
อย่าลดเลี้ยวให้เที่ยวสร้างวางชะตา
ให้โลกรู้ผู้เพียรพากยากผิดหวัง
ล้มกี่ครั้งตั้งใจใหม่อย่าได้ล้า
จงลุกเดินเผชิญด้วยก้าวที่กล้า
วันข้างหน้าคงจารึกนึกนึกเรา
ความสำเร็จที่เสร็จสิ้นยินดีหนอ
แค่นั้นพอต่อชีวิตพิชิตลิขิตเป้า
สมความหวังที่ฝังใจให้บรรเทา
ดังที่เฝ้าเราสร้างสรรหมั่นอดทน
ถึงจะจากพรากโลกไม่โศกเศร้า
เพราะลำเนาเราเพียรสู้ไม่รู้หม่น
ถึงฝันน้อยไม่ด้อยค่าความเป็นคน
เพราะเป็นผลตนสร้างความพากเพียร
17 มกราคม 2552 12:42 น.
เพชรพรรณราย
เหนื่อยแสนท้อต่อชีวิตลิขิตสร้าง
แสนอ้างว้างทางเปลี่ยวเปล่าเหงาหมองหม่น
เจ็บปวดลึกใจสึกกร่อนอ่อนแอทน
ความสับสนวกวนอยู่ไม่รู้คลาย
สองกำปั้นกำมันแน่นแค้นใจนัก
เรื่องราวรักปักใจไยสลาย
อีกการงานสานสิ่งใดไยกลับกลาย
มันโหดร้ายตายทั้งเป็นหนอเวรกรรม
หรือชีวิตต้องผิดพลาดทุกวาดฝัน
ความโศกศัลย์หมั่นแวะเวียนเขียนรอยช้ำ
ทุกเส้นทางที่วาดหวังชั่งมืดดำ
ใจตอกย้ำระกำร้าวแสนยาวนาน
เหนื่อยหัวใจไม่ขอหวังตั้งใจแล้ว
ที่แน่แน่วกลับแตกแยกประสาน
ขอยินยอมพร้อมรับไปกับกาล
ไม่ขอค้านต้านชะตาฟ้ากฏเกณฑ์
อยู่เหงาเหงาเศร้าให้ตายหมายชีวิต
ใจมืดมิดปิดกั้นสุขทุกข์ยากเข็ญ
ความเจ็บปวดรวดร้าวอยู่คู่กรรมเวร
ให้ทุกข์เข็ญเน้นให้ช้ำย้ำจนตาย
26 กันยายน 2551 10:28 น.
เพชรพรรณราย
ลมฝนพัดสะบัดไม้ปลิวไหวว่อน
ฟ้าครึ้มค่อยอ่อนแสงสีที่ผันส่อง
เสียงคละโครมโถมสนั่นพลันฟ้าร้อง
แผดเสียงก้องพ้องสายแสงสำแดงตน
หยดน้ำใสในอากาศค่อยวาดสาย
จากประปรายกลายมืดหมอกระลอกฝน
สาดตามลมโชยชมชื่นพื้นบัดดล
ทั่งแห่งหนจนฉ่ำน้ำนองนา
จนค่อยค่อยกระปอยปิดหยดนิดน้อย
ค่อยเป็นฝอยอ่อยอ่อยย้อยไหลบ่า
ฟ้าเริ่มจางลางลางแสงแฝงเมฆา
ค่อยเปิดฟ้าพาสีครามยามฝนไกล
รุ้งเจ็ดสีมีให้เห็นเด่นเวหา
เมื่อฝนซาฟ้าสิ้นฝนคนเห็นได้
เป็นโค้งครึ่งตรึงจับประทับใจ
ขอบฟ้าใสให้สะท้อนก่อนฝนลา
นามีน้ำปลาดำว่านสายฝนหลั่ง
กบเขียดคลั่งสั่งเป็นเสียงสำเนียงหา
เข้าจับคู่กู่ก้องร้องตามท้องนา
ใกล้ต้นกล้านาปีที่หว่านดำ
จากเคยแล้งแห้งเหือดเลือดท้องทุ่ง
ฝุ่นคละคลุ้งทุ่งระแหงแล้งน่ำฉ่ำ
มาบัดนี้มีฝนหล่นลงพร่ำ
ชาวนาร่ำย่ำเท้าเข้าลงแรง
หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินสิ้นฝนผ่าน
คืนสู่บ้านอีสานแคว้านแดนหนแห่ง
กลับสู่นาหาแม่พ่อต่อเติมแต่ง
มาเบาแบ่งแรงงานสืบสานตน
ถึงกายเหนื่อยเมื่อยล้าพาเปื้อนเหงื่อ
ใจยังเอื้อเมื่อสู่ถิ่นดินขัดสน
ถึงยากไร้ใจก็สุขทุกทุกคน
ดีกว่าทนจนท้อในต่างแดน
ฟ้าหลังฝนให้คนสู้ไม้รู้ถอย
เพราะมีรอยฝอยอดีตขีดเป็นแผ่น
จากปู่ย่าตายายสร้างร่างวางแก่น
มรดกแดนแผ่นพื้นยืนภาคภูมิ
26 กันยายน 2551 10:08 น.
เพชรพรรณราย
ระยิบยิบริบหรี่สีแสงน้อย
บินล่องลอยค่อยขยับปรับปีกผัน
ฝ่าลมหมอกระลอกคลื่นฝืนบินพลัน
ด้วยหมายมั่นไม่หวั่นไหวในเส้นทาง
เพียงเพราะหมายเคียงฟ้านภาเด่น
ขอยอมเป็นเช่นดาวก้าวเคียงข้าง
หิ่งห้อยน้อยจึงค่อยบินสู่ฟ้าจาง
ให้แสงลางเคียงข้างฟ้าไม่ราไกล
ใกล้รุ่งสางแสงลางเงาเข้าก้อนเมฆ
เอ้กอีเอ้กเหวกก้องร้องขันไก่
ฟ้าค่อยเคลื่อนเลื่อนเปลียนเวียนสีไป
สู่วันใหม่ใต้แสงแห่งตะวัน
แสงน้อยน้อยค่อยหายวายริบหรี่
ว่าตรงนี้ที่เคียงฟ้าพาฝันใฝ่
จึงแหงนมองท้องฟ้าด้วยล้าใจ
เพราะอะไรไปไม่ถึงซึ่งฟ้างาม
เหนื่อยจะบินสิ้นแสงจะแข่งขัน
เมื่อตะวันผันเคียงฟ้าพามองข้าม
จำต้องหลบจบฝันอันวับวาม
เข้าซ่อนตามใต้ใบไม้ในร่มเงา
หิ่งห้อยหรือชื่อจะเทียบเปรียบอาทิตย์
แม้สักนิดแค่คิดขบจบด้วยเหงา
ยอมเสียใจไม่หาญสู้คู่นงเยาว์
ขอทนเศร้าเฝ้าร้องไห้ในชะตา