4 กันยายน 2550 20:06 น.
เปเป้ซังแม่มู๋ผู้เดียวดาย
วะวาบวับรับลมรื่นชื่นดวงจิต
ไฟดวงนิดลอยละล่องล้อลมหลง
หิ่งห้อยน้อยเจ้าล่องลอยอยู่ในดง
พร่างพรายพงพนาไพรดาราดิน
อีกแสงจันทร์เงินยวงลวงใจจิต
ทาบทุกทิศประกายแสงเสกเสริมศิลป์
ดั่งจันทร์เจ้ามีมนต์ร่ายตามใจจินต์
ให้ถ้วนถิ่นระเรื่อรัศมีทอง
ค่ำมากแล้วน้ำทิพย์ฉ่ำพรำพารา
เติมอุราที่ล้าแรงทั่วทั้งผอง
นิมิตรเทพที่เสกสันต์จะประคอง
คลายเศร้าหมองท่ามนิทรามนตรากาล
หลับเถิดนะพริ้มตาลงบนอกพี่
ไม่คิดหนีพี่จะอยู่คู่สมาน
ให้น้องนางอิงอกอุ่นสนิทนาน
ให้เจ้าผ่านวารวันอันโรยรา
3 กันยายน 2550 18:18 น.
เปเป้ซังแม่มู๋ผู้เดียวดาย
อดีตาผ่านพ้นไปแสนไกล
แต่หัวใจยังอยู่คู่สถาน
ที่ที่เดิมที่ตรงนี้อย่างเดียวดาย
มิเคยคลายกับอาวรณ์อารมณ์เดิม
ครบอีกปี่สินะวันพี่แก้ว
ครบรอบแล้วอีกปีน่าส่งเสริม
พี่อายุมากขึ้นกว่าจากเดิม
และยังเสริมอีกปีหนึ่งที่ลาไกล
แม้นพี่ไปลงหลักกับรักใหม่
แต่หัวใจน้องนั้นมิไปไหน
ยังคงรักและรอรอคอยกอบดวงใจ
มิให้ไหลเรื่อยรินกับน้ำตา
พรอันใดในโลกหล้าว่าประเสริฐ
ขอบังเกิดแด่ตัวพี่ที่จิตหา
แม้ตัวไกลใจคงอยู่กับเวลา
จากแก้วตาที่ลงหลักปลักรักตรม
1 สิงหาคม 2550 22:26 น.
เปเป้ซังแม่มู๋ผู้เดียวดาย
สงบเงียบเยียบเย็นมิเห็นใคร
อยู่กลางใจที่ราบเรียบเปรียบเวหา
มีเพียงลมที่โหมพัดให้จิตพา
อ่อนแรงราโรยลงเพียงผู้เดียว
โลกของฉันมีเพียงเหงารุมเร้าจิต
ยากพิชิตความเหงาลงโดยมิเหลียว
อยู่กันมาจนแทรกซึมเป็นหนึ่งเดียว
คล้ายพันเกี่ยวแนบไว้โดยชะตา
จนกระทั่งวันนี้มาพบเธอ
ใจละเมอฝันถึงใคร่หวลหา
เฉกน้ำแข็งเจอตะวันให้นำพา
ละลายท่าแปรเปลี่ยนไปเป็นเพียงลม
อบอุ่นนักเรียกว่ารักจะได้ไหม
ไม่แน่ใจว่าเธอนั้นอยากอุ้มสม
กลัวเพียงว่าเวลาผ่านตะวันลม
เพิ่มเสียงขรมแห่งน้ำตาแช่แข็งใจ
27 กรกฎาคม 2550 22:51 น.
เปเป้ซังแม่มู๋ผู้เดียวดาย
ติ่ง....ติง..ติ๊ง......ตะลิง...ติ๊ง......ติ่ง......ติง.....ตริ๊ง......
บาดลึกจริงเสียงนี้หวนอาวรณ์หา
แว่วซึงดีดกรีดใจเจ็บทุกคราวครา
ระลึกหน้าถึงดวงใจชายคนเมือง
เคยดีดอ้อนตระกองแนบแอบเคียงข้าง
อีกเจือจางเอื้อนเอ่ยคำดั่งจากเหมือง
ขุดคำรักกระซิบถ้อยให้คนเมือง
แม่ดาวเรืองเมืองฟ้าจงโปรดจำ
"อันปี้จายจะบ่ยะให้เสียใจ
กำสัตย์ใดที่ให้ไว้ตุกตุกก๋ำ
ดังจารึกลงศิลาตุกถ้อยกำ
แลจักย้ำบนใจเจ้าทุกโมงยาม"
แต่ก็นะน้ำคำจางต่างถิ่น
ยังไม่สิ้นกลิ่นรักก็ผลีผลาม
หันเหใจให้สาวอื่นจิตติดตาม
แล้วถ้อยความเคยให้ไว้คืออะไร
สาวเมืองกรุงไม่เคยทำให้เสียใจ
แต่คนไกลเอาคำสัตย์ไปไว้ไหน
ถ้อยคำพูดเสียงซึงดีดพอหมดไป
ราวกับไร้เหตุการณ์ควรจดจำ
ติ่ง....ติง..ติ๊ง......ตะลิง...ติ๊ง......ติ่ง......ติง.....ตริ๊ง......
แว่วเสียงซึง
ใครหนอดีดซึง ให้ข้าเจ้าซึ้งซ่าน ทรวงเอ๋ย
ก่อนนั้นพี่เคย ดีดซึงสอนข้า เจ้าฮัก
ต่าง ฮู้ ใจ กัน ทุกวันประจักษ์
พะเยาป่าสัก สลักเสียงซึงยังตรึงอุรา
แว่วซึงคร่ำครวญ ให้ใจฮักข้าเศร้า จริงหนอ
ข้าเจ้ายังรอเฝ้าคอยฮักอ้าย กลับมา
บ่ ฮู้ ใจ อ้าย ร้ายดังเขาว่า
เสียแรงคอยท่า ข้าเจ้าฮักจริงยิ่งกว่าสิ่งใด
อ้าย เอย บ่ห่อนเยือนฮักข้าเจ้า
อ้ายลืม พะเยาลำเนาพงไพร ลืม ซึง ยังหวานซ่านซึ้งดวงใจ
เสียงซึงแว่วมาครั้งใด ให้ข้าเจ้าหลั่งน้ำตา
อ้ายเอยบ่มีใจฮัก ข้าเจ้า แล้วหนอ
ลืมเหย้าลืมหอ เฮือนฮักของอ้าย ห่อน มา
สิ้น ฮัก ข้า เจ้า บ่เยือนเห็นหน้า
บ่ได้เห็นว่า อ้ายพี่นี้มาฮักร่วมดีดซึง
26 กรกฎาคม 2550 22:54 น.
เปเป้ซังแม่มู๋ผู้เดียวดาย
ณ ค่ำคืนเย็นเยียบเสียบแสงเหงา
มีเพียงเงาไพรพฤกอยู่ไหวไหว
โอนเอนอ่อนโยนหยอกกลอกกลั้วไป
ยามฟ้าใสเดือนดับจับดารา
เสียงลมเอื่อยเอื้อนอ้อนค้อนหวีดหวิว
สะบัดริ้ววาโยกลางเวหา
ล้อลมเล่นกับไม้ไพรพนา
ไล้ธาราระลอกรื่นคลื่นควรญลม
เสียงเห่กล่อมก้องกึกเริ่มแทรกมา
ขับเห่พาใจหวั่นครั่นขืนขรม
เสียงเย็นเยือกลอยลิ่วหวั่นอารมณ์
ยังอีกลมหอบหิ้วเสียงหอนมา
บทกล่อมส่งเสียงหอนขึ้นร้องรับ
ดั่งจะขับราตรีนี้ให้ผวา
เย็นสันหลังวะวาบวับสั่นขึ้นมา
หวั่นเสียงหมาเสียงนั่นเข้าจับใจ
อยากจะเดินหาต้นตอร่องรอยเสียง
ว่าสำเนียงเย็นเยียบอยู่แห่งไหน
แต่ใจหนึ่งก็กลับกลัวเข้าจิตใน
กลัวเข้าไปพบสิ่งมิควรเจอ