28 เมษายน 2556 22:33 น.
เปลวเพลิง
มีจดหมายส่งมาจากทางบ้าน
ถึงรายการตะละแม่ตอบจดหมาย
อันเป็นของหญิงสาวชื่อพราวพราย
เขียนเข้ามาทักทายให้เอนจอย
“สวัสดีค่ะคุณน้าที่น่ารัก
น้าคงไม่รู้จักหนูสักหน่อย
หนูเป็นเด็กสาวใหญ่ตัวไม่น้อย
ที่ง่วงหงอยซึมเซาเจ้าประจำ
หนูชื่นชอบงานบันเทิงรื่นเริงค่า
เอาแบบว่าหยอกล้อพอขำขำ
หนูอัดอั้นจึงระบายมาหลายคำ
ด้วยลำนำน้ำลายไหวลีลา
หนูอยากเข้าห้องเรียนแต่เวียนเฮด
ถ้าให้เซดบอกเอาไว้ “นอน” ง่ายกว่า
อ่านหนังสือก็เหมือนกันค่ะคุณน้า
เห็นตำราไม่เป็นเพื่อนเหมือนนิยาย
หนูล่ะกลุ้มจังค่าคุณน้าเอ๋ย
เรียนแล้วเสยแต่ดี-เอหนีหาย
ผลการเรียนอยู่เกือบอันดับสุดท้าย
ฮือ ฮือ ฮือ จะบ้าตาย-หนูอายคน
หน้าตาหนูใครมองต้องผงะ
ไม่สวยสะแถมสยองน่าพองขน
เหยียบถิ่นไหนเขาผวาจลาจล
หนูเลยบนกับเจ้าพ่อขอช่วยที
เจ้าพ่อรีบเริงร่ามาเข้าฝัน
แล้วจำนรรจ์พลันปลุกหนูสุขี
ให้หาสิ่งที่ตัวหนูทำได้ดี
เพิ่มความสุขให้ชีวีนี้คลายร้อน
หนูก็งงนิดนิดเหมือนกันค่ะ
ไม่รู้จะเริ่มทำการงานใดก่อน
หนูไม่ค่อยถนัดด้านการรำฟ้อน
เลยเขียนกลอนส่งมาหาคุณน้าค่ะ”
28 เมษายน 2556 01:33 น.
เปลวเพลิง
บ้านผมเป็นตอไม้ไปแล้วครับ
ป่าใหญ่เหลือคณานับกลับเตียนโล่ง
เมื่อมานั่งทัศนาลืมตาโพลง
อยากจะโก่งคอร่ำคร่ำครวญคราง
ก็แต่ก่อนต้นไม้ในป่านี้
ยังมากมีสุขสบายไปทุกอย่าง
ใบบังแดดแผดเผาให้เบาบาง
ลำต้นต่างเคหาสน์ราชวัง
และที่นี่คือที่ใช้ชีวิต
ซึ่งใบพิษเป็นอาหารหว่านความหวัง
แม้ไฟป่าถาโถมโหมประดัง
บ้านผมยังแตกหน่อต่อชีวี
เพียงจากไปไม่นานบ้านก็เศร้า
เหลือแต่ความว่างเปล่าไปแล้วนี่
ต้นยูคาลิปตัสเคยมามี
เหลืออนุสาวรีย์มีแต่ตอ
บ้านผมเป็นตอไม้รอให้กลับ
ผมเจ่าจับสับสนคนจริงหนอ
ไยเขาไม่หวง รัก รู้จักพอ
เอาแต่ก่อการทำลายไม่เว้นวัน
หัวใจผมโดนกระแทกแหลกแล้วครับ
ไร้บ้านซึ่งยามกลับจะรับขวัญ
โหยสะอื้น หงอยเหงา เศร้า จาบัลย์
ปวดร้าวอย่างเงียบงันเท่านั้นเอง
25 เมษายน 2556 23:44 น.
เปลวเพลิง
ฉันนั่งอยู่ตรงนี้นะที่รัก
ด้วยดวงพักตร์ขื่นขมและตรมหมอง
เมื่อที่รัก-เธอไม่ชายตามอง
ฉันจึงครองเหงาจิตชิดมิวาย
เช้าแรกเหมือนแดดอุ่นละมุนละม่อม
ทอมาย้อมหนาวเย็นให้เร้นหาย
ปลุกดอกไม้ผลิบานตระการราย
เปล่งประกายเหมือนสรวงพร่างดวงดาว
ใจฉันจากหินผาศิลาแกร่ง
ที่ทรงแห่งวิญญาณอันกร้านกร้าว
เริ่มอ่อนโยนอ่อนไหวขึ้นหลายคราว
ยิ่งนานยาวยิ่งกร่อนยิ่งอ่อนใจ
ด้วยเธอพรมหยาดน้ำฉ่ำชื่นแช่ม
หยดลงแต้มทุกวันจนหวั่นไหว
ฉันเริ่มมีรอยร้าวพราวภายใน
แล้วต้นรักก็ผลิใบขึ้นไม่ช้า
แต่เมื่อสูรย์โคจรถึงตอนบ่าย
น้ำก็หายโดยระเหยไปต่อหน้า
เธอเคลื่อนกายดั้นด้นขึ้นบนฟ้า
แล้วไม่มาไยดีเหมือนที่เคย
ฉันนั่งอยู่ตรงนี้นะที่รัก
มันเจ็บนักเจ็บกมลจนเกินเอ่ย
ยามหยาดเพชรจากตามาสังเวย
ฉันจะเย้ย "ที่รักจ๋า" ให้สาใจ
เมื่อเธอเป็นแสงอุ่นทอก่อความช้ำ
ฉันจะนำความเหน็บหนาวเข้าโถมใส่
ถ้าเธอเป็นน้ำหยดรดหทัย
ฉันก็จะเป็นไฟเผาไหม้เธอ
23 เมษายน 2556 02:23 น.
เปลวเพลิง
ในหมอกเมฆเวิ้งว้างอันว่างเปล่า
จะก้าวเท้ายังยากลำบากหลาย
ก่อนเราฝันถึงดาวอันพราวพราย
เดี๋ยวนี้คล้ายยากยลเห็นหนทาง
กับกระแสลมฤดูพัดขู่ข่ม
หนาวระบมเจ็บประดังทั่วทั้งร่าง
เหม่อมองหาสายรุ้งรุ่งรางชาง
เสมือนอย่างเพื่อนจิตและมิตรใจ
ความหวั่นเกรงเริ่มผสมห่มลงแล้ว
กลัวผิดแนวทางถนนจนหวั่นไหว
อนาคตที่สุดแคว้นไกลแสนไกล
มีรูปร่างเป็นอย่างไรก็ไม่รู้
แต่บทเพลงดอกไม้แห่งสายหมอก
พลิ้วมาบอกรหัสว่าต้องกล้าสู้
โพ้นม่านเมฆหมอกบังเบื้องหลังภู
มีประตูสีทองเป็นของเรา
กายจึงยังแกร่งกร้านการเช่นนี้
มีเท้าด้านดำปี๋ที่ไม่เขลา
เก็บสะสมประสบการณ์ผสานเชาวน์
เร่งไฟเร้าศรัทธาอยู่อาจิณ
จึงพบว่าวันนี้มิว่างเปล่า
พบเพื่อนผู้ย่ำเท้าผจญถิ่น
ซึ่งมีฝันอันกล้าเย้ยฟ้าดิน
ร่วมหลั่งรินสายใจไม่คลอนคลาย
ตอนนี้ม่านหมอกบางเริ่มจางแล้ว
เห็นบางสิ่งพรายแพรวที่สุดสาย
คือดาวทองหรือประตูสู่ความตาย
เกินจักทายหากมิกล้าไปหามัน
20 เมษายน 2556 16:27 น.
เปลวเพลิง
ขอร่ายพจน์บทกวีที่อ่อนหวาน
แทนสุมาลย์ลบขมอารมณ์หมอง
จงสุนทรียรสรื่นชื่นทำนอง
บทลบองสวยสมภิรมยา
ปวงความสุขสรวลสันต์พลันรุ่งรุจ
เพื่อช่วยจุดชีวันให้หรรษา
รอยยิ้มเพราพรรณรายเต็มสายตา
มอบไมตรีเป็นพลาอันอารี
ให้หวานเพลงคนธรรพ์อันเพราะพริ้ง
รินน้ำใสใจจริงไม่วิ่งหนี
ความซื่อสัตย์ซื่อตรงจงมากมี
ทั้งความดีอย่าร้างจางหายไป
เมื่อเดี๋ยวนี้เพลงทุกข์รุกเร้าเร่ง
ร้อนก็เปล่งเสียงกร้าวรุมเผาไหม้
น้ำใจเริ่มน้อยเนื้อเหลือแต่ไฟ
คนตัวใครตัวมันกันกว่าเดิม
มีความเครียดเกาะกุมสุมชีวาตม์
เป็นอำนาจผนวกผนึกให้ฮึกเหิม
ความเห็นแก่ตัวเองเร่งเพิ่มเติม
แล้วก็เริ่มหันมาฆ่ากันเอง
จึงร้อยพจน์บทกวีที่หวานแว่ว
ลงลบแววตาหมองจ้องข่มเหง
ลบระทดท้อสรรพ์น่าหวั่นเกรง
ด้วยบทเพลงโหมโรงจรรโลงใจ
ท้ายที่สุดคือบรรดามนุษยชาติ
รวมอำนาจร่วมบรรเลงเพลงขานไข
เปลี่ยนความเศร้าเร่าร้อนรอนฤทัย
เป็นเพลงชัยชนะอันอนันตกาล