26 มิถุนายน 2555 02:29 น.
เปลวเพลิง
กับแดดลอดร่มไผ่ในวันหนึ่ง
เราเดินถึงลำธารซ่าซ่านไหล
พลิ้วระยับกระเซ็นเย็นยวนใจ
ดุจภาพในความฝันอันเพราตา
เพลงนกร้องก้องเคล้าลำเนาไม้
หวามหทัยสู่ถิ่นถวิลหา
วารีรื่นระรวยด้วยมนตรา
กล่อมวิญญาณ์สุขเปี่ยมคราวเยี่ยมยล
เราจึงวักน้ำใสขึ้นไล้หน้า
พอหรรษาฉ่ำชุ่มทุกขุมขน
ทัศนาปลาว่ายกลางสายชล
หอมลมปนกลิ่นบุหงาสุมาลิน
ณ ลำแก่งแห่งนี้มีมนตร์ขลัง
ร่มไม้บังปกแผ่กระแสสินธุ์
เราหนีห่างความล้าเคยชาชิน
มาเพื่อผินพบเห็นสิ่งเย็นทรวง
แล้วลงเกลือกกลิ้งตัวหัวร่อร่า
กอดหญ้าเกลื่อนเถื่อนท่าภูผาหลวง
ม่านอุษาเลื่อมปรุทะลุทะลวง
ทาบบนปวงผีเสื้อเมื่อเราชม
ครั้นเปลวแดดแผดคุระอุอ้าว
เราย่างก้าวราวไพรเรไรขรม
ใบไม้ทิ้งต้นกรูลงปูพรม
เพื่อภิรมย์จมจิตนิจกาล
เราสัมผัสมนตร์ธารละหานห้วย
และความสวยสงบซึ้งซึ่งสุขศานต์
เพื่อลบภาพแล้งโรยโหยกันดาร
ที่ไม่พานพบได้จากในเมือง
25 มิถุนายน 2555 00:50 น.
เปลวเพลิง
ผมได้อ่านรวมกลอนชื่อ "ดอกหญ้า"
ของคุณครู "จินตนา ปิ่นเฉลียว"
เป็นหนังสือที่ดีมากทีเดียว
ครบรส เปรี้ยว เผ็ด เค็ม หวานเต็มคอ
ถ้วนทุกบทเหมือนมีเงาชีวิต
เนรมิตอักขระทักษะส่อ
เคล้าอารมณ์ ไหว หวาม งามลออ
แฝงด้วยข้อคิดดีแก่ชีวัน
ผมจึงเริ่มพากเพียรเขียนกลอนมั่ง
ก่อนนี้ยังซาบซึ้งไม่ถึงขั้น
ก็ตั้งจิตพยายามอยู่ครามครัน
และยืนยันเขียนต่อไปไม่สร่างซา
แล้ววันนี้เริ่มเห็นว่าเป็นผล
ผมได้ดลกลอนที่รักเป็นหนักหนา
สมที่คิด คัด เขียน พากเพียรมา
คุ้มเวลายาวนานผ่านเดือนปี
แม้จะไม่พริ้งเพราะเสนาะนัก
แต่ใจรักผมใส่ให้เต็มที่
พอผสมเป็นพจน์บทกวี
กล่อมฤดีแล้งรื่นให้ชื่นบาน
ทั้งต้องขอคารวะมาจากจิต
ทุกความคิดเห็นของผองผู้อ่าน
เปรียบน้ำทิพย์ถั่งไหลอยู่ในมาน
ให้ผมสานสืบต่อกลอนต่อไป
ด้วยรวมกลอน ดอกหญ้า ที่น่ารัก
ผมประจักษ์โลกซึ่งซึ้งสดใส
จำหลักชื่อ จินตนา ไว้อาลัย
ด้วยดอกไม้คำกลอนสุนทรเทอญ
............................................................
แด่ ครูจินตนา ปิ่นเฉลียว
ครูกลอนที่ผมชอบมาก
แม้ท่านจะเสียชีวิตไปนานมากแล้ว
แต่ผลงานของท่านก็ยังคงเป็นแบบอย่าง
ให้แก่คนรุ่นหลังได้เสมอ
10 มิถุนายน 2555 15:08 น.
เปลวเพลิง
เธอนั่งเงียบเหงาหงอย-คอยใครอยู่?
หน้าเธอดูซึมเซา-เศร้าไปไหม?
แววหมดหวังซังกะตาย-หน่ายหรือไร?
เห็นน้ำตาเธอไหล-ใครทารุณ?
ฉันยังมีไหล่ไว้ให้พิงพัก
มีเนินตักพร้อมเสนอยามเธอหนุน
มีเพลงกล่อมถนอมไล้ละไมละมุน
มีไออุ่นอ้อมจิตยามนิทรา
เชิญวางความเหนื่อยหนักลงพักผ่อน
อย่าอาวรณ์-ลืมวันพรั่นผวา
ทิ้งสรรพางค์ร่างกายลงไสยา
ใต้เงาฟ้า เดือน ดาว พราวโสภณ
ฉันจะทอน้ำค้างต่างแพรผ้า
ถักใบหญ้าเบิกบานทั่วลานสถล
ร้อยความดีที่เหลือลงเจือปน
ด้วยเลิศล้นรักซึ่งฉันพึงมี
เธอเหมือนรอเพียงวันครรไลจาก
สู่อีกฟากฝั่งของผองภูตผี
ชลนัยน์ที่หลั่งดังชีพนี้
ร้างรวีวันพรุ่งให้มุ่งไป
เธอนั่งเงียบเหงาหงอยคอยใครอยู่?
หรือรอผู้นฤมิตชีวิตใหม่?
เขาน่ะหรือ-คือหวัง กำลังใจ
จุดเชื้อไฟเริงแรงแข่งโรคา
และฉันก็อยู่ตรงนี้-ที่ใกล้ใกล้
แนบรักในกลอนเห่เสน่หา
อรุณรุ่งเมื่อเธอฟื้นตื่นลืมตา
จงรับฟ้าวันใหม่ไร้มะเร็ง