28 พฤศจิกายน 2554 03:07 น.
เปลวเพลิง
เราอาจเป็นเช่นนกที่ผกโผน
ถาทะยานไปโพ้นท้องฟ้ากว้าง
แสวงหาเสรีทุกที่ทาง
ทำสิ่งอย่างอย่างที่ใจชี้ทิศ
บินไปบินไปและบินไป
เมื่อแสงทองของอุทัยยังไพจิตร
บ้างอาจพบยากเย็นและเป็นมิตร
พบนิยามความคิดอันเติบโต
ปุยเมฆขาว สายลมคอยห่มรัก
ให้รู้จักโลกไพศาลอีกนานโข
พำนักจิตนิทรารมย์ใต้ร่มโพธิ์
แล้วบินโล้เรียวรุ้งจรุงใจ
ชื่นชีวีด้วยมีอิสระ
ที่เราจะบินตามความฝันใฝ่
โดยไม่ต้องร้องขอใครต่อใคร
จึงหัวใจตระหนักให้รักมัน
ถ้าหากว่าเราเป็นดั่งเช่นนก
คงโผผกเยี่ยมเยือนเรือนสวรรค์
ปีกกล้าที่กระหยับจับตะวัน
ซึมซับกับสีสันอันเสรี
อาจชีวิตนี้ไม่ใช่ดั่งนก
แต่ใจกกไฟฝันอันล้นปรี่
ปีกหทัยโบกฟ้าข้ามธาตรี
โดยไม่มีแร้วขวางทางนภา
เรายังคงบินไปและบินไป
ชมฟ้าใส เมฆพร่าง อย่างปักษา
กระพือปีกแห่งชีวิตอิสรา
ไปจนกว่าร่วงวูบลงจูบดิน
10 พฤศจิกายน 2554 01:52 น.
เปลวเพลิง
ได้ยินคำโบราณท่านว่าไว้
มิเคยมีสิ่งใดได้เปล่าเปล่า
ทั้งบ้าน รถ สร้อยทอง ว่าของเรา
ยังต้องเอาเงินแจกเพื่อแลกมา
เพื่อนถามฉัน มีอะไรในโลกนี้
ที่ดูดี สำคัญ น่าสรรหา
โดยปลอดค่าภาษีตีราคา
ฉันหรี่ตา ยักไหล่ คงไม่มี
เพื่อนฉันบอก โลกนี้มีอยู่นะ
ของที่จะไร้ราคาอย่างว่านี่
อาจมิใช่เงินทอง...แต่ของฟรี
ทุกชีวีมีสิทธิ์ใกล้ชิดมัน
ไม่ต้องแย่งแสวงชิงสิ่งนี้หนอ
แค่เพียงรอต่อไปอย่าไหวหวั่น
ปล่อยวิถีดีงามไปตามวัน
บนคลองธรรม์ถูกถ้วนกระบวนการ
มันเป็นของแน่ที่มีในโลก
อุปโลกน์ให้เห็นเป็นแก่นสาร
เราล้วนต้องพึ่งพิงทุกวิญญาณ
อยู่เช่นนี้เนิ่นนานมิเสื่อมคลาย
ฉันอยากรู้จึงถามไถ่ อะไรล่ะ?
ที่เราจะได้ฟรีอย่างที่หมาย
เพื่อนตอบว่า รอวันนั้น...รอวันวาย
ทุกคนย่อมได้ความตายไปฟรีฟรี
3 พฤศจิกายน 2554 16:22 น.
เปลวเพลิง
ถ้าหากว่าลองมองดูท้องฟ้า
ยังเมฆามืดบ้างบางเช้าสาย
เหมือนชีวิตของคนเกิดจนตาย
ย่อมมิวายหม่นบ้างในบางวัน
รอเวลาน้ำฝนหล่นพรากฟ้า
จึงนภาจะเห็นเป็นสวรรค์
ชีวิตรอฝ่าทุกข์บุกประจัญ
ไปชื่นวันชมคืนรื่นรมย์ใจ
ฟ้ากระจ่างสว่างตาหลังซาฝน
ค่อยเล่นกลรุ่งแรงเกิดแสงใส
มวลเมฆหมอกมลายจางหายไป
เริ่มวงวัฏจักรใหม่ให้โลกนี้
ในชีวิตที่ประดังเมื่อหลังฝน
ย่อมยินยลชีพครามพิรามสี
ชอุ่มฉ่ำผลิหวังว่ายังมี
วันฝนซาเช่นนี้อีกมากมาย
ถ้าหากว่าลองมอง...ทั้งท้องฟ้า
และชีวาเมื่อฝนหลั่งหล่นหาย
ย่อมสดสวยด้วยรุ้งพุ่งระบาย
งามผ่องพรายอยู่ในหัวใจแล้ว